ข่าวการเงิน
                    ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ก็ล้มละลายได้
                    
                 
                
                    
                        
                     
                    
                    
                                                
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงิน
ผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี)
โดยปกติแล้วธนาคารจะได้รับเงินเข้ามาจากการที่มีลูกค้ามาฝากเงินไว้ 
ซึ่งเงินที่ฝากจะถือเป็นเจ้าหนี้กับธนาคาร 
ดังนั้นธนาคารจำเป็นต้องตั้งเป็นหนี้สินสำรองเอาไว้ เพราะมันคือ 
ภาระที่ธนาคารต้องจ่ายคืนเงินให้ลูกค้าในอนาคต 
และจะต้องนำเงินที่ได้มาไปลงทุนให้เกิดดอกผลขึ้นมา 
เพื่อพยุงให้ธนาคารอยู่รอดต่อไป
การลงทุนกับธนาคารสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ 
ส่วนใหญ่จะเป็นการปล่อยกู้สินเชื่อ 
โดยระยะเวลาการปล่อยกู้สินเชื่อก็มีระยะเวลาที่แตกต่างกันไป 
ขึ้นอยู่กับประเภทของการปล่อยกู้
หรือถ้าธุรกิจของธนาคารไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อปล่อยสินเชื่อเพียงอย่างเดียว
 ธนาคารต้องนำเงินที่ได้มานั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินแบบอื่นด้วย 
ซึ่งพันธบัตรรัฐบาลถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อย
เมื่อไม่นานมานี้ ข่าวเรื่องของธนาคารในอเมริกาล้ม 
ซึ่งธนาคารเองก็ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงน้อย แต่ก็กลับมาพัง 
เพราะถือพันธบัตรรัฐบาลมากไป 
และเกิดการขาดทุนจากภาวะของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น 
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ 
ดันไปสอดคล้องกับธุรกิจประกันชีวิตที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ 
และหนึ่งในตราหนี้ที่บริษัทประกันชีวิตต้องมีไว้คือ พันธบัตรรัฐบาล
ธุรกิจประกันชีวิตถือว่าเป็นสถาบันการเงินประเภทหนึ่ง 
ที่รับเงินเข้ามาจากลูกค้า 
ซึ่งบริษัทประกันต้องเอาเงินที่ได้มาตั้งเป็นหนี้สินของตัวเอง 
เผื่อวันที่ลูกค้าเข้ามาขอยกเลิกกรมธรรม์และรับเงินมูลค่าเวนคืนเงินสดกลับไป
 และอีกส่วนหนึ่งก็ประเมินอนาคตว่าจะต้องจ่ายเงินสดออกไปเท่าไร 
และต้องจ่ายออกในช่วงไหน
เพื่อคำนวณและตั้งเป็นหนี้สินสำรองออกมา โดยเรียกสิ่งนั้นว่า 
เงินสำรองกรมธรรม์ประกันภัย และหลังจากที่ได้รับเงินมาแล้ว 
บริษัทนำเงินมาลงทุนเพื่อให้เกิดดอกผล ซึ่งกลไกเหล่านี้ 
ดูไม่ต่างกับธนาคารทั่วไปมากนัก 
ที่รับเงินฝากจากลูกค้ามาแล้วก็นำเงินไปปล่อยกู้หรือลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินอื่น
 ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต่างกันระหว่างธนาคารกับบริษัทประกันชีวิตคือ 
“ระยะเวลาของการลงทุนในสินทรัพย์ที่จะได้เงินต้นคืนมาเมื่อครบกำหนดสัญญา” 
กับ “ระยะเวลาที่ต้องจ่ายเงินก้อนคืนให้ลูกค้าเมื่อครบกำหนดสัญญา”
บริษัทประกันชีวิตมีระยะเวลาของหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ 
ซึ่งแตกต่างจากธนาคารที่หนี้สินของธนาคารจะมีระยะเวลาสั้นกว่า 
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าซื้อพันธบัตรระยะเวลา 5 ปี มันก็จะล็อกอัตราดอกเบี้ย 
และผลตอบแทนไว้ได้ เมื่อถือจนครบกำหนดสัญญาถึง 5 ปี
แต่ถ้าหนี้สินนั้นมีคนถอนเงินออกมาก่อน ทำให้ต้องขายพันธบัตรฉบับนั้นก่อน 
จากที่ธนาคารต้องถือให้ครบกำหนดสัญญา 
ซึ่งราคาของพันธบัตรในตอนนั้นอาจจะไม่ได้มีราคาที่มากนัก
ในกรณีสภาวะเศรษฐกิจที่เป็นช่วงดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น สามารถวิเคราะห์กลไกของธนาคารได้ดังนี้
1. ตราสารหนี้ระยะยาว จะถูกด้อยมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ 
เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งในมุมของการลงบัญชีนั้น 
ถ้าธนาคารตั้งใจที่จะถือให้ครบกำหนดสัญญาแล้ว 
การถูกด้อยมูลค่าจากอัตราดอกเบี้ยนั้น 
จะยังไม่ถือว่าเป็นการขาดทุนที่แท้จริง
2. หนี้สิน จะไม่ได้ถูกด้อยมูลค่า หรือได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นเท่าไร
3. เมื่อเกิดกรณีที่คนมาถอนเงินฝาก 
ทำให้ธนาคารต้องขายตราสารหนี้ที่ตัวเองเคยลงทุนไว้ออกมาก่อนกำหนด 
ซึ่งทำให้เกิดการขาดทุนจากสินทรัพย์ลงทุนในกรณีที่ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นได้
โดยสรุปแล้วจะเห็นได้ว่าบริษัทประกันชีวิตจะมีทิศทางการดำเนินงานตรงข้ามกับธนาคาร
 ตรงที่ระยะเวลาของหนี้สินนั้นมีระยะเวลานานกว่าสินทรัพย์ 
ทำให้เวลาดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นแล้ว และแม้ว่าสินทรัพย์จะมีมูลค่าลดลง 
แต่หนี้สินจะถูกด้อยมูลค่าลงไปอย่างมีนัยสำคัญมากกว่า 
และทำให้เกิดกำไรขึ้นมาได้
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
 
                     
                 
             
            
         
     
        
X