ข่าวการเงิน

ทะลุ 18,000 ต่อเดือน!! ไม่ใช่ค่าแรง แต่เป็นค่าใช้จ่ายขั้นต่ำของไทย?


สถิติบอกชัด รายจ่ายต่อเดือนของ “คนไทย” พุ่งสูงถึง 18,000 บาทต่อเดือน สวนทาง ”รายได้” ที่น่าตกใจคือ “ชนชั้นกลาง” เสี่ยงต่อการกลายมาเป็น “คนจน” ด้วยเหตุผลเบื้องหลังที่ชวนคิดวิเคราะห์

รายจ่ายสูง รายได้ไม่โต

เงินเดือนเท่าไรถึงจะอยู่ได้ เมื่อ “สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.)” ออกมาบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ ที่ทำให้ “ค่าใช้จ่ายต่อเดือนโดยเฉลี่ยของคนไทย” มีถึง 18,023 บาท/เดือน

ณ ตอนนี้ค่าแรงขั้นต่ำโดยเฉลี่ยของบ้านเราอยู่ที่ 337 บาท/วัน ถ้าสมมติทำงานเต็มเดือน 30 วัน จะได้เดือนละ 10,110 บาท ส่วนเด็กจบใหม่ปริญญาตรี เริ่มต้นที่ประมาณ 12,000-15,000 บาท/เดือน

จากข้อมูลของ สนค.บอกว่า ใน 18,023 บาท นี้ ค่าใช้จ่าย “อันดับ1” คือ ค่าโดยสารสารสาธารณะ ค่าซื้อรถส่วนตัว ค่าน้ำมัน และค่าบริการโทรศัพท์เฉลี่ยอยู่ที่ 4,170 บาท คิดเป็น 23.14%

ตามมาด้วย “อันดับ2” ค่าเช่าบ้าน ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม อยู่ที่ 3,922 บาทคิดเป็น 21.76% ส่วน “อันดับ3” คือ ค่าเนื้อสด ที่ใช้ในการทำอาหาร อยู่ที่ 1,704 บาท เป็น 9.46% จากทั้งหมด ส่วนเหล้ากับบุหรี่ มาเป็น อันดับสุดท้าย หรือ “อันดับ4” เลย คือ 241 บาท เป็นเพียง 1.34% ของรายจ่ายต่อเดือน





จั๊ก-รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเฉพาะทาง รัฐสวัสดิการและความเป็นธรรมศึกษา วิทยาลัยสหวิทยาการ ม.ธรรมศาสตร์ ช่วยวิเคราะห์ตามคำขอของทีมข่าว ถึงปัญหาตอนนี้ที่ค่าแรงโตไม่ทันรายจ่าย

“ผมคิดว่าประเด็นแรกที่ต้องย้ำนะครับ คือว่าค่าจ้างของเรา ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างขึ้นต่ำ หรือว่าค่าจ้างโดยเฉลี่ย มันเติบโตไม่สอดคล้องกัน ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งก็จะรวมถึงดัชนีผู้บริโภค อัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ”

ตอนนี้ productivity (ประสิทธิภาพของการผลิต การทำงาน) เติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจาก ทักษะแรงงาน หรือเทคโนโลยี แต่ค่าจ้างโดยเฉลี่ยกลับไม่ได้เพิ่มตาม โดยรายได้ 80% ของคนส่วนใหญ่ ไม่สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

“ค่าครองชีพพื้นฐาน” หรือให้เรียกว่า “ค่าจ้างที่เราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี” ไม่ใช่แค่การมีเงินเพื่อเลี้ยงชีพไปวันๆ แต่หมายถึงโอกาสที่จะสามารถหาความบันเทิงให้กับชีวิตได้ด้วย




“ค่าเดินทาง” แพงแซงทุกอย่าง

น่าสนใจที่จากข้อมูล สนค.บอกว่า รายจ่ายส่วนใหญ่ไปกองอยู่ “ขนส่งสาธารณะ ค่าซื้อรถ ค่าน้ำมัน” เมื่อถามจั๊กว่าขนส่งเราแพงเกินไปหรือไม่ ดีหรือเปล่า? จนคนหันไปซื้อรถใช้เอง และยอมแบกภาระนี้

“ใช่ คำว่าไม่ค่อยดีมันก็หลายอย่างนะครับ อย่างคุณภาพในเชิงกายภาพ ที่เราเห็นอันนั้นก็ส่วนหนึ่ง อีกด้านหนึ่งมันเข้าไปไม่ถึง เส้นเลือดฝอยในชีวิตของคนเมือง“

อาจารย์ยังบอกอีกว่า ไม่ใช่แค่ในกรุงเทพฯ ในต่างจังหวัดเอง ขนส่งสาธารณะก็ไม่ได้ถูกออกแบบให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ไม่ตอบโจทย์คนทำงาน “อาจจะใช้ได้ในผู้สูงอายุ ไปจ่ายตลาดหรือไปหาหมอในบางครั้ง”



[รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี]


“สมมติเราต้องนั่งมอเตอร์ไซค์มาปากซอยหน้าบ้าน แล้วเราต้องต่อรถเมล์ เพื่อที่จะไปรถไฟฟ้าอีก มันก็กลายเป็นว่าค่าใช้จ่ายอะไรต่างๆ มันก็สูงมาก คนที่พอมีกำลังส่วนใหญ่ ต้องซื้อรถมอเตอร์ไซค์ หรือไม่ก็รถยนต์ส่วนตัว”

ถ้าลองคำนวณการผ่อนรถแบบถูกสุด ตกเดือนละ 5,000 บาท ค่าน้ำมันอีก 1,000-2,000 รวมแล้วคนที่มีรถส่วนตัวต้องจ่าย 6,000-7,000 บาท/เดือน ส่วนคนที่ใช้ขนส่งสาธารณะ เดือนหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 บาท นั้น ก็เป็น 20-30% ของรายได้ต่อเดือนแล้ว

“ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แล้วนึกถึงขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมทั้งหมดเลย มันก็อาจจะประมาณ 4-5% ของค่าจ้างที่เขาได้รับต่อเดือนเท่านั้นเองนะครับ”




รายได้ต่ำ แต่ “ค่ากิน” พุ่งจนน่าห่วง!!

จากข้อมูลของ สนค.บอกว่ารายจ่ายทั้งหมดนี้ เป็น “ค่าอาหาร” ถึง 41.97% ทีมข่าวจึงชวนจั๊กคุยว่า ข้อมูลที่เห็นมันสะท้อนถึงอะไร?

“คือจริงๆ ค่าอุปโภคบริโภค มันเกี่ยวกับฐานะของคนนะครับ คือถ้าเราเทียบกัน กลุ่มคนที่รวยที่สุดกับกลุ่มคนที่จนที่สุด ค่าใช้จ่ายเรื่องอุปโภคบริโภคก็จะมีสัดส่วนที่ต่างกัน”

กลุ่มคนที่มีสตางค์ 5% บนสุด อาจจะหมดเงินไปกับ การลงทุน ค่าเดินไปเที่ยวหรือทำธุรกิจ แต่ในกลุ่มคนที่รายได้ต่ำ มักจะหมดไปกับ ค่าอาหารการกิน ถึง 70% ของรายได้เลยด้วยซ้ำ

“สิ่งหนึ่งที่เราเห็นภาพตรงนี้เนี่ย การที่ค่าใช้จ่ายอุปโภคบริโภคพื้นฐานของค มันสูงมากขึ้น มันสะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มคนไทยชนชั้นกลางกำลังจะหายไป แล้วก็จะมาป่องอยู่ข้างล่าง”

ยกตัวอย่างเด็กๆ จบใหม่ ทำงานอย่างหนัก แต่คุณภาพชีวิตไม่ได้แตกต่างกับผู้ใช้แรงงานในโรงงานเมื่อ 30 ปีก่อนเลย ที่ต้องทำหลายงาน ทำงานล่วงเวลา เพื่อคุณภาพชีวิตที่แค่ส่งบ้านส่งรถ เลี้ยงดูพ่อแม่เท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้เป็นคุณภาพชีวิตชนชั้นกลางแต่อย่างใด

“อันนี้เป็นสัญญานที่น่ากลัวเหมือนกันว่า ชนชั้นกลางของเรากำลังจะหายไป ที่ไปป่องข้างล่างมากขึ้น เพราะทุกคนกำลังกลายเป็นคนจน ต้องเป็นคนปากกัดตีนถีบกันหมด”




หรือเพราะทุนที่ผูกขาด?

อิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เคยออกมาเขียนบทความ “เกาให้ถูกที่คัน ค่าแรงขั้นต่ำ คือ คำตอบของการแก้ปัญหาค่าครองชีพของแรงงาน จริงหรือ”

ว่าด้วยค่าครองชีพที่สูงเหตุมาจาก 1) กลไกผูกขาด ภาครัฐถูกครอบงำโดยทุนใหญ่ 2) การทุจริตคอร์รัปชัน

ต้องแก้ปัญหา 2 อย่างนี้และผลักดัน นโยบายสวัสดิการ ถึงจะแก้ได้

สอดคล้องกับความเห็นของ ผอ.ศูนย์วิจัยเฉพาะทาง รัฐสวัสดิการฯ ที่มองว่า กลุ่มทุนที่ผูกขาด เกี่ยวข้องกับปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น และปัญหาค่าแรงที่ต่ำของบ้านเรา

“พอกลุ่มทุนผูกขาดที่ เขาได้รับสัมปทานหรือได้รับสิทธิอะไรบางอย่างจากรัฐ มันทำให้เขาไม่จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเรื่อง ชีวิตพื้นฐานของประชาชน

ดร.ได้อธิบายต่อว่า ในธุรกิจบางอย่างไม่จำเป็นต้องหากำไรขนาดนั้น แต่กลับมีกลุ่มทุนหลายกลุ่มเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น พลังงาน อาหาร การคมนาคม หรือการรักษาพยาบาล และการศึกษา ที่ตอนนี้เริ่มมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามามากขึ้น

ในด้านหนึ่งกลุ่มทุนเหล่านี้อาจมีความสามารถและเทคโนโลยี จนให้เติบโต แต่ไม่ได้จากการแข็งขันกันอย่างเสรี ส่วนหนึ่งมาจากการเอื้อประโยชน์จากรัฐ ได้สัมปทานหรือการอนุมัติอะไรบางอย่าง

“แต่ว่าเขากลับมีส่วนที่ทำให้ สองอย่างนี้คือ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราสูงมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ พวกเขากมีส่วนสำคัญที่ทำให้ค่าแรงไม่ได้มีการปรับขึ้นเท่าที่ควร เพราะว่ากลุ่มทุนผูกขาดมีอำนาจมาก”




เมื่อถาม ดร.จั๊กว่า ปัญหานี้จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการ “เพิ่มค่าแรง” จริงหรือเปล่า? หรือต้องทำควบคู่กับไปด้วย? อาจารย์ตอบว่า ยังไงก็ต้องปรับขึ้น เพราะตอนนี้คนอยู่กันไม่ได้แล้ว ส่งผลให้ปัญหาอื่นๆ ตามมา

“การปรับค่าแรงขั้นต่ำมันไม่ได้ทำให้ข้าวของแพงขึ้น อันนี้มันเป็นผีที่ถูกข่มขู่มาทุกยุคทุกสมัย จริงๆต้นทุนค้าแรงมันเป็นเพียง 10% เท่าเองของต้นทุนโดยเฉลี่ยเท่านั้น”

การขึ้นค่าแรงจะช่วยลดความเลื่อมล้ำได้ แต่จะได้ไม่เต็มที่ ถ้าไม่มีการปรับเรื่องสวัสดิการพื้นฐาน เพื่อให้ค่าแรงที่ได้มาเอาไป ต่อยอดในชีวิตได้จริง ไม่ได้หมายความแค่การลุงทุน แต่รวมถึง การพักผ่อน วางแผนใช้จ่ายและการออมได้ดีขึ้น เพราะค่าแรงสูงขึ้น

แต่คุณจะสิ่งเหล่าได้ไม่เต็มที่ ยังต้องห่วงเรื่อง การเลี้ยงลูก ดูแลคนแก่ รักษาพยาบาลหรือเรื่องค่าขนส่งสาธารณ สิ่งเหล่านี้ต้องมีการปรับ อีกอย่างคือนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น การท่องเที่ยว กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ฝึกทักษะแรงงานรุ่นใหม่

“3 ตัวนี้ต้องทำ เรื่องสวัสดิการและเศรษฐกิจระยะสั้นต้องทำคู่กัน เพื่อให้มันประสิทธิภาพดีที่สุดครับ”


แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์
https://mgronline.com/live/detail/9660000054093
X