ข่าวการเงิน
                    บทความโดย "ปีย์วรงค์ เชี่ยววณิชชา" 
นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
วันที่ 24 ตุลาคม 2566 แม้ว่าการพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัว 
จะนำมาซึ่งความเศร้าโศก แต่บางครั้งการได้รับมรดกจากผู้ล่วงลับ 
อาจสร้างความทุกข์ใจได้ จึงควรศึกษาข้อกฎหมาย 
เพื่อเตรียมส่งต่อทรัพย์สินให้กับทายาทหรือผู้สืบสันดานไปพร้อมกับความสุขและความสบายใจ
มรดก อ้างอิงความหมายตามมาตรา 1599-1600 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 
หมายถึง “ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ 
หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ด้วย 
ซึ่งทายาทของผู้ตายต้องรับสืบทอดหนี้สินของผู้ตายไปพร้อมกับทรัพย์สิน 
เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้”
ซึ่งสามารถเป็นทรัพย์สินในรูปแบบใดก็ได้ เช่น เงินฝาก หลักทรัพย์ ยานพาหนะ 
อสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา
ในพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ.2558 กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า 
“ผู้รับมรดกมีหน้าที่เสียภาษีหากได้รับมรดกจากเจ้ามรดกแต่ละรายหักด้วยภาระหนี้สินอันตกทอดมาจากการรับมรดกนั้น
 ในส่วนที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท ในอัตราสูงสุดร้อยละ 10 
ของมูลค่ามรดกในส่วนที่ต้องเสียภาษี
แต่ถ้าผู้รับมรดกเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 
และได้รับยกเว้นภาษีมรดกสำหรับคู่สมรสจดทะเบียนตามกฎหมาย 
โดยผู้รับมรดกจะต้องชำระภาษีภายใน 150 วันนับจากวันที่ได้รับมรดก
และสามารถเลือกผ่อนจ่ายได้สูงสุด 5 ปี โดยมีภาระเงินเพิ่มร้อยละ 0.5 
ต่อเดือน สำหรับการผ่อนตั้งแต่ปีที่ 3 ขึ้นไป 
หากไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในเวลาที่กำหนด ให้เสียเบี้ยปรับอีก 1 
เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ หรือหากยื่นแบบแสดงรายการไม่ครบถ้วน 
ให้เสียเบี้ยปรับอีก 0.5 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ”
ตัวอย่าง ทายาทได้รับมรดกเป็นเงินสดมูลค่า 200 ล้านบาท 
จะคิดเป็นภาษีที่ต้องชำระในอัตราสูงสุด 5 ล้านบาท ภายใน 150 วัน 
หรือผ่อนจ่ายได้สูงสุด 5 ปี พร้อมเงินเพิ่มประมาณ 1.5 ล้านบาท 
หากไม่สามารถชำระภาษีทั้งหมดได้ใน 2 ปีแรก
และหากไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภายในเวลาที่กำหนด จะเสียเบี้ยปรับ 5 ล้านบาท
 หรือหากยื่นแบบแสดงรายการไม่ครบถ้วน จะเสียเบี้ยปรับอีก 2.5 ล้านบาท 
ซึ่งกรณีนี้นับว่าโชคดีที่ได้รับมาเป็นเงินสด 
สามารถนำเงินสดที่เป็นมรดกนั้นไปชำระภาษีได้ทันที 
แต่ทายาทก็จะไม่ได้รับมรดกเท่ากับที่เจ้ามรดกได้ตั้งใจส่งต่อไว้ให้แต่แรก
หากผู้รับมรดกไม่ได้เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน 
แต่เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรม 
ได้รับเป็นบ้านและที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงแต่แปลงเป็นเงินสดได้ยาก
 เช่น ที่ดินราคาประเมิน 200 ล้านบาท เพียงอย่างเดียว 
ผู้รับมรดกจะต้องมีภาระนำเงินสดจำนวน 10 ล้านบาท มาชำระภาษีภายใน 150 วัน 
นับแต่วันที่ได้รับมรดก
ไม่รวมถึงค่าธรรมเนียมการโอนร้อยละ 2 ของราคาประเมิน หรือ 4 ล้านบาท 
ซึ่งผู้รับมรดกอาจจะไม่ได้มีเงินสดมากพอ 
หรือเป็นไปได้ยากที่จะสามารถขายที่ดินดังกล่าว 
เพื่อแปลงเป็นเงินสดมาชำระภาษีได้ทันก่อนมีเบี้ยปรับตามเวลาที่กฎหมายกำหนด
ดังนั้น หากเจ้ามรดกไม่อยากให้ทรัพย์มรดกของตนเป็นทุกขลาภแก่บุพการี 
ทายาทผู้สืบสันดาน หรือผู้รับพินัยกรรม ควรวางแผนการจัดการทรัพย์สิน ดังนี้
ผ่องถ่ายทรัพย์สินบางอย่างให้ทายาท
1. เจ้ามรดกควรพิจารณาผ่องถ่ายทรัพย์สินบางอย่างให้กับทายาท 
โดยอาศัยข้อกำหนดในมาตรา 48 เรื่องภาษีการรับให้ว่า 
“บุพการีสามารถยกหรือโอนทรัพย์สินของตนให้กับผู้สืบสันดานได้ 
โดยผู้สืบสันดานนั้นจะได้รับการยกเว้นภาษีการรับให้ในส่วนที่ไม่เกิน 20 
ล้านบาทต่อปี
หากมีมูลค่าเกินกว่านั้น ผู้สืบสันดานต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5” 
เพราะฉะนั้นก่อนเสียชีวิต บุพการีที่ตั้งใจจะยกที่ดินราคาประเมิน 200 
ล้านบาท ให้กับทายาทคนหนึ่ง สามารถจัดสรรที่ดินออกเป็นแปลงย่อย 
แล้วทยอยโอนให้กับทายาทที่ตั้งใจไว้
โดยมีมูลค่ารวมไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี 
จนกว่าที่ดินผืนดังกล่าวจะเหลือมูลค่าไม่เกิน 100 ล้านบาท 
จึงทิ้งไว้เป็นมรดกได้ พร้อมดูแลค่าธรรมเนียมการโอนในอัตราร้อยละ 0.5 
ในแต่ละครั้งให้กับทายาทด้วย
สำหรับเจ้ามรดกที่มีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านบาท 
และต้องการมอบให้กับผู้รับมรดกตามพินัยกรรม 
สมควรอย่างยิ่งที่จะวางแผนผ่องถ่ายทรัพย์สินต่าง ๆ 
ให้เหลือมูลค่าเป็นมรดกน้อยกว่า 100 ล้านบาท เพื่อไม่ให้เสียภาษีมรดกร้อยละ
 10
ในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทนั้น โดยในการโอนทรัพย์สิน 
เจ้ามรดกต้องพึงระวังว่า การให้โดยเสน่หากับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุพการี 
ทายาทหรือผู้สืบสันดาน จะได้รับยกเว้นภาษีการรับให้ในส่วนที่ไม่เกิน 10 
ล้านบาทต่อปี ถ้าเกินกว่านั้นจะเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5  
ซึ่งก็ยังน้อยกว่าอัตราภาษีมรดกในกรณีนี้อยู่ดี
ทำพินัยกรรมโดยละเอียดถี่ถ้วน
2. เจ้ามรดก ควรพิจารณาทำพินัยกรรมโดยละเอียดถี่ถ้วน 
หากตั้งใจมอบทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท 
ให้กับผู้รับมรดกรายใดรายหนึ่ง ควรเพิ่มมรดกในส่วนที่เป็นเงินสดอีกร้อยละ 
5-10 ของมูลค่าทรัพย์สินดังกล่าว 
เพื่อเพิ่มเงินสดสภาพคล่องให้ผู้รับมรดกใช้เสียภาษีและเสียค่าธรรมเนียมดำเนินการต่าง
 ๆ
เป็นการลดภาระของผู้รับมรดกในอนาคตได้ 
หรือหากเจ้ามรดกไม่ได้เตรียมเงินสดไว้ตั้งแต่แรก การทำประกันชีวิต 
แล้วกำหนดทุนชีวิตให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น 
ผู้รับมรดกที่ได้ถูกระบุชื่อเป็นผู้รับผลประโยชน์ในกรมธรรม์ 
จะได้รับเงินค่าสินไหมมรณกรรมโดยตรงทันทีที่เจ้ามรดกผู้เอาประกันเสียชีวิต 
ก็จะสามารถประหยัดเงินมรดกที่ต้องเตรียมล่วงหน้าไว้ได้
ดังจะเห็นได้ว่า เจ้ามรดกที่มีทรัพย์สินมาก 
อาจสร้างปัญหาให้กับผู้รับมรดกในอนาคตได้ 
หากไม่มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายภาษีมรดกและการรับให้ 
รวมถึงหากไม่มีการทำพินัยกรรมที่ละเอียดถี่ถ้วนรองรับไว้ด้วย
ดังนั้น 
เพื่อให้ผู้เป็นที่รักได้ส่งต่อทรัพย์สินตามที่ตั้งใจและมีความสงบสุขในสัมปรายภพ
 การวางแผนภาษีและมรดก เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาจัดทำขึ้นร่วมกับทนายวิชาชีพ
 
หรือที่ปรึกษาการเงินที่ได้รับการรับรองคุณวุฒิจากสมาคมนักวางแผนการเงินก่อนที่จะสายเกินไป
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
                                    29/04/2024
                                    30/04/2024
                                    30/04/2024
                                    30/04/2024
                                    11/06/2024