ข่าวการเงิน
ตามรอย “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เดินหน้าลงทุน เอาชนะทุกศึกสงคราม
วันที่
21 ตุลาคม 2566 นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ จำกัด
ผู้ให้บริการกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth เปิดเผยว่า ไม่น่าเชื่อว่าในช่วง
2 ปีมานี้ เราเจอกับเหตุการณ์สงครามติดต่อกันปีต่อปีเลยทีเดียว
เมื่อต้นปีก่อนสงครามรัสเซียยูเครน
สร้างความผันผวนให้กับเศรษฐกิจและตลาดการลงทุนทั่วโลก
มาช่วงปลายปีนี้สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาส
ก็ทำให้นักลงทุนปั่นป่วนกันอีกรอบ
แม้ตอนนี้สถานการณ์สงครามยังไม่ได้รุนแรงมาก แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้
เพราะความไม่แน่นอนหมุนอยู่รอบตัวเราเสมอ
ดังนั้นหน้าที่ของนักลงทุนจึงต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
ปรับพอร์ตลงทุนให้เท่าทันกับสถานการณ์อยู่เสมอ ที่สำคัญ ‘Stay Invest’
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรายังต้องลงทุนต่อไป
เช็คราคาสินทรัพย์หลังสงคราม
เห็นข่าวในเช้าวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา หลายคนคงตกใจ
เมื่อกลุ่มติดอาวุธฮามาส (Hamas) ชาวปาเลสไตน์
ยิงจรวดจากฉนวนกาซาเข้าโจมตีหลายพื้นที่ของอิสราเอล
และอิสราเอลก็ตอบโต้กลับทันที โดยการโจมตีทางอากาศไปยังพื้นที่ฉนวนกาซา
เปิดฉากสงครามรอบใหม่จากปัญหาความขัดแย้งเดิม
ที่ยืดเยื้อต่อเนื่องมายาวนานนับร้อยปี
เรามาดูกันครับว่า
สงครามที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์อะไรบ้าง
ที่ถูกกระทบหนักสุดคงหนีไม่พ้นราคาน้ำมัน หลังข่าวการโจมตีของทั้ง 2
ฝ่ายเผยแพร่ออกมา ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นไปทันทีที่ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เพราะตลาดกังวลว่าภาวะสงครามอาจทำให้น้ำมันขาดตลาดได้ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI
และ Brent ปรับตัวขึ้นมากกว่า 5% มาอยู่ที่ 86 ดอลลาร์ และ 89
ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันดิบลดลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566
เพราะความต้องการที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ตึงตัวทั่วโลก
อีกหนึ่งสินทรัพย์หลักที่ได้รับผลกระทบ นั่นก็คือทองคำ โดยเช้าวันที่ 9
ตุลาคม ที่ผ่านมา ราคา Gold Spot พุ่งขึ้น 0.9% มาอยู่ที่ 1,843.83
ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะนักลงทุนพากันหลบภัยสงครามสู่ Safe Haven
ซึ่งทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์กลุ่มปลอดภัยสูงนั่นเอง
ส่วนผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนยังมีไม่มากนัก โดยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลหลักอื่นๆ อย่างยูโรและปอนด์
เงินเยนยังคงเป็นแหล่งพักเงินและช่องทางเก็งกำไรสำหรับนักลงทุน
และมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
ทางด้านหุ้น ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ สูง
แน่นอนครับ ปรับลดลงกันแทบทุกตลาดทั่วโลก โดยเมื่อวันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม
ที่ผ่านมา ดัชนี Down Jones -0.12% ทางด้านยุโรป STOXX600 -0.98% Nikkei225
-0.55% และตลาดหุ้นจีน CSI300 -1.05%
อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามยังคงดำเนินต่อไปและเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2
ของการปะทะระหว่างอิสราเอล-ฮามาส
ปัจจัยเสี่ยงนี้เริ่มส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นของคู่พิพาทชัดเจนขึ้น
โดยตลาดหุ้น Tel Aviv (TA) ของอิสราเอล ดัขนี TA-125 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิง
และ TA-35 ซึ่งเป็นกระดานหุ้นบลูชิป ลดลงทั้งคู่ประมาณ 3.6%
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยซึ่งปิดทำการในวันหยุดสำคัญ ศุกร์ที่ 13 ตุลาคม
และเปิดทำการซื้อขายอีกครั้งในวันจันทร์ ที่ 16 ตุลาคม SET Index
ของเราก็ร่วงลงทันทีตาม Sentiment ตลาด
โดยระหว่างวันตลาดหุ้นไทยปรับลดลงกว่า 30 จุด
เพราะตลาดตกใจทั้งเรื่องสงคราม
และกลัวว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อคุมเงินเฟ้อ
หลังจากราคาน้ำมันทะยานขึ้นจากสถานการณ์สงคราม
ตามรอย ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ลงทุนช่วงสงคราม
เมื่อพูดถึง ‘สงคราม’
เราคงนึกถึงความโหดร้ายและสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
แต่ต้องยอมรับนะครับว่า ช่วงหลัง ๆ มานี้
ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งกรณีความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ Trade War และ Tech War ของ 2
ขั้วมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลกระหว่างจีน-สหรัฐ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
มาถึงสงครามล่าสุดระหว่างมหากาพย์คู่ขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์
ท่ามกลางความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มมากขึ้น
ทำให้หลายคนอาจถอดใจกับการลงทุน เน้นถือครองเงินสดเพื่อเพลย์เซฟที่สุด
โดยเฉพาะในสถานการณ์สงครามแบบนี้ แต่อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้เสมอ ๆ นะครับว่า
การไม่ลงทุนก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง
เพราะจะทำให้เราพลาดโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่า
เมื่อเทียบกับการกอดเงินสดไว้เฉยๆ โดยเฉพาะในภาวะเงินเฟ้อสูงแบบนี้
และผมก็ขอยกตัวอย่างการลงทุนของบรมครูปู่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’
ในภาวะสงครามกันอีกครั้ง เผื่อเป็นความหวังให้ทุกท่านในภาวะหดหู่ของสงคราม
ให้มีกำลังใจเดินหน้าลงทุนกันต่อไป
หลายคนอาจจะทราบกันแล้วนะครับว่า คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์
ซื้อหุ้นตัวแรกในชีวิตตอนสงครามโลกครั้งที่ 2
แถมยังเคยแนะนำให้ลงทุนในช่วงสงคราม
ซึ่งปู่เองยังเคยซื้อหุ้นตอนที่รัสเซียกำลังเข้ายึดไครเมียในปี 2557 มาแล้ว
แถมบอกว่ารู้สึกดีที่หุ้นที่เล็งไว้ราคาตก แต่ถ้าใครยังไม่รู้
ผมจะขอแชร์ประสบการณ์การลงทุนในภาวะสงครามของคุณปู่ให้ทราบกันอีกครั้ง
ย้อนอดีตกลับไปเมื่อต้นปี 2557
ช่วงที่รัสเซียกำลังเข้ายึดคาบสมุทรไครเมียจากยูเครน เหตุการ์เหมือน
‘แดจาวู’ ใช่มั้ยล่ะครับ
สงครามครั้งนั้นทำให้ตลาดหุ้นถูกครอบงำไปด้วยความกลัว
นักลงทุนพากันเทขายจนหุ้นตกเป็นใบไม่ร่วงในช่วง Fall season
แต่ปู่กลับให้สัมภาษณ์แบบสวนกระแสว่า
“ผมอยากบอกนักลงทุนที่กำลังตกใจว่า ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้า แล้วเห็นหุ้นที่ผมกำลังไล่ซื้อราคาตกลงมา ผมกลับรู้สึกดีนะ”
หลายคนคงตั้งคำถามว่า ตลาดหุ้นปั่นป่วนขนาดนี้
และไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์จะจบแบบไหน เมื่อไหร่
แล้วทำไมปู่บัฟเฟตต์ถึงแนะนำแบบนี้ ซึ่งปู่บอกว่า “ถ้ามัน (วิกฤตไครเมีย)
กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 หรือสงครามเย็นรอบใหม่
ผมก็ยังจะซื้อหุ้นอยู่ดี เพราะในช่วงสงคราม เงินเฟ้อจะสูง
ทำให้กำลังซื้อลดลง (จากการถือเงินสด)” และย้ำว่า
“สิ่งสุดท้ายที่คุณควรทำตอนเกิดสงครามคือการถือเงินสด”
สิ่งที่ปู่ต้องการจะบอกก็คือ เมื่อสงครามมาถึง ค่าของเงินก็จะลดลงอยู่ดี
หมายความว่า เมื่อก่อนมีเงิน 10 บาทคุณอาจจะซื้อน้ำได้ 1 ขวด แต่ 10 บาท
ในภาวะสงครามคุณอาจจะซื้อไม่ได้สักขวดด้วยซ้ำ การลงทุนนี่ล่ะ
ที่จะช่วยให้ค่าของเงินที่คุณมี ไม่ลดน้อยหายไปตามภาวะสงคราม
แต่ปู่ก็ไม่ได้บอกให้ซื้อหุ้นแค่อย่างเดียวนะครับ
เราสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ได้อีกด้วย โดยบอกว่า
“คุณจะลงทุนอย่างอื่นก็ได้ เช่น ฟาร์ม อะพาร์ตเมนต์
ขอแค่เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ย่อมดีกว่าการกอดเงินสดเอาไว้แน่
ๆ”
“ยิ่งถ้าเป็นการลงทุนระยะยาวด้วยแล้ว การมีสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ
(ปู่ใช้คำว่า Productive asset) ไปอีก 50 ปี ย่อมดีกว่าการถือแผ่นกระดาษ
(เงินสด) หรือบิตคอยน์เอาไว้แน่นอน”
คำพูดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า
แม้ในยามสงครามคุณปู่ก็ยังยึดมั่นในหลักการที่จะซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเสมอ
เพราะในตอนเกิดวิกฤตไครเมีย ราคาหุ้นก็ตกลงมาพอสมควร
ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นในเวลาไม่ถึงเดือน
เงินเฟ้อกับสงคราม ความสัมพันธ์ที่แนบแน่น
ถ้าเราย้อนไปดูตัวเลขเงินเฟ้อช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง
เราจะเข้าใจสิ่งที่ปู่พูดมากขึ้น เพราะตอนสงครามโลกครั้งที่ 1
(ปู่ยังไม่เกิด) เงินเฟ้อเฉลี่ยในสหรัฐฯ อยู่ที่ 9.7% ต่อปี
โดยมีช่วงที่เงินเฟ้อสูงเป็นเลขสองหลักติดต่อกันยาวนานถึง 26 เดือน
ส่วนตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 เงินเฟ้อเฉลี่ยในสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.3% ต่อปี
โดยมีถึง 9 เดือนที่เงินเฟ้อในสหรัฐฯ เป็นเลขสองหลัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ
ที่เงินเฟ้อสูงในช่วงสงครามโลก
เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อจ้างเอกชนให้ผลิตเสบียงที่ต้องใช้ในสงคราม
เช่น เสื้อผ้า อาหาร ยา อาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งตอนสงครามโลกครั้งที่ 2
นี่แหละที่ปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ในวัยเด็กทุบกระปุก
เอาเงินเก็บมาซื้อหุ้นตัวแรกตั้งแต่อายุ 11 ปี
แถมเป็นการซื้อก่อนเกิดเหตุการณ์ Pearl Harbor ไม่นานด้วย
และถ้าได้ศึกษาหลักการลงทุนแบบ VI ของปู่จะทราบดีว่า
เขาพยายามซื้อหุ้นของบริษัทที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้อยู่เสมอ
จากสงครามครั้งนั้น วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังให้ข้อคิดกับนักลงทุนว่า
“ผมอยากบอกว่ามัน (วิกฤตไครเมีย)
จะไม่ทำให้ผมต้องขายหุ้นหรือต้องเปลี่ยนแปลงอะไร
เพราะถ้าคุณเป็นเจ้าของบริษัทที่ทำธุรกิจอยู่ในสหรัฐฯ
ทำไมคุณถึงจะขายมันเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในยูเครน?
หรือถ้าคุณเป็นเจ้าของฟาร์มที่ให้ผลผลิตตลอด
เป็นเจ้าของอะพาร์ตเมนท์ที่มีคนเช่าเต็ม
มีเหตุผลอะไรที่คุณจะขายมันเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครน?”
‘ความไม่แน่นอน เป็นอนิจจา’ ที่เกิดขึ้นได้เสมอนะครับ
และเราไม่สามารถควบคุมได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้คือ ‘สติ’ ของตัวเอง
อย่าปล่อยให้หวั่นไหวไปกับอารมณ์ของตลาด
อย่างที่ปู่เคยพูดไว้ “ถ้าเราควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
เราก็ควบคุมเงินของเราได้” ถ้านักลงทุนสาย VI อย่างเรา ๆ
ยึดหลักการลงทุนแบบปู่ ก็มั่นใจได้ในระดับหนึ่งเลยครับว่า
เราจะสามารถเอาชนะในทุกสงครามการลงทุนได้
ปรับพอร์ตอย่างไรในภาวะสงคราม
ผมเขียนบทความเรื่องนี้ช่วงกลางเดือนตุลาคม ซึ่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2
ของสมครามอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งสินทรัพย์อย่างหุ้น
เริ่มปรับตัวลงมากขึ้นแต่ยังไม่ถือว่ารุนแรงนัก ดังนั้น
นักลงทุนจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
หากสงครามลุกลามไปถึงตะวันออกกลางซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก
อาจส่งผลกระทบให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง
หรือความเสี่ยงที่สหรัฐฯ
จะคว่ำบาตรประเทศในตะวันออกกลางที่ให้การสนับสนุนกลุ่มฮามาสในการทำสงครามครั้งนี้
โดยเฉพาะอิหร่านที่ฮามาสยืนยันว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
หากสงครามลุกลาม ยืดเยื้อ หรือบานปลาย
เป็นปัจจัยลบที่จะกดดันราคาน้ำมันให้เพิ่มสูงขึ้น
และแน่นอนครับผลกระทบที่ตามมาคือเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
และที่จะกระทบต่อไปเป็นโดมิโนก็คือ
โอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อคุมเงินเฟ้อซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของธนาคารกลางสหรัฐฯ
และจะกระทบต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกให้ปรับตัวลดลงอีกครั้ง
เหมือนปีที่แล้ว เมื่อเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยแบบหนักหน่วง
สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นก็ถูกเทขายออกมาอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์สงคราม ณ ตอนนี้ ผมยังมองว่า
การปรับลดลงของราคาสินทรัพย์เสี่ยงไม่น่าจะรุนแรงเท่าปีที่แล้ว
นอกจากสงครามจะรุนแรงขึ้นและประเทศที่เข้าร่วมสงครามเพิ่มจำนวนมากขึ้น
ดังนั้น ในการกระจายสินทรัพย์ลงทุน ผมจึงแนะนำว่าให้ Safe Haven
เป็นหลุมหลบภัยจากสงครามในตอนนี้ ซึ่งภายหลังการเปิดฉากโจมตีของทั้ง 2 ฝ่าย
จะเห็นได้ว่าเงินลงทุนพากันไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและพันธบัตร
พันธบัตรตัวเลือกที่ใช่มากกว่าทองคำ
แม้ทองคำและพันธบัตรจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยทั้งคู่ แต่ในมุมมองของผมเห็นว่า
การลงทุนในพันธบัตรจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าทองคำ
แม้ราคาพันธบัตรได้ปรับลดลงมาบ้างแล้ว
แต่ด้วยผลตอบที่ยังอยู่ในระดับสูงประมาณ 4-5%
จึงยังเป็นจัวหวะที่สามารถเข้าลงทุนได้
ในสถานการณ์ตอนนี้ ผมแนะนำว่า
นักลงทุนควรขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นออกมาชั่วคราวก่อน
และนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรแทนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้พอร์ตลงทุนมากขึ้น
หากสงครามไม่ทวีความรุนแรงค่อยปรับพอร์ตอีกครั้ง ด้วยการกลับไปลงทุนในหุ้น
แนวทางนี้น่าจะช่วยให้พอร์ตลงทุนของคุณรับมือกับสงครามได้
สำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในหุ้น
หากพิจารณาในแง่ภูมิภาคและศักยภาพการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
ผมยังยกให้ตลาดหุ้นจีนและเวียดนามเป็นดาวเด่น ในสวนของเวียดนามนั้น
เชื่อว่าปัจจัยสงครามไม่น่าจะกระทบมาถึงอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามยังมีศักยภาพเติบโตสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ที่สำคัญตั้งแต่ต้นปีมานี้
ตลาดหุ้นเวียดนามยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ทางด้านตลาดหุ้นจีน พี่ใหญ่แห่งภูมิภาคเอเชีย
แม้นักลงทุนหลายท่านอาจยังกังวลเกี่ยวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีน
และภาระหนี้ของอุตสาหกรรมนี้ แต่ตลาดหุ้นจีนได้ปรับลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อปี
2564 มาประมาณ 40% แล้ว จึงเป็นจังหวะเข้าสะสมหุ้นจีนได้
ขณะที่เงินเฟ้อจีนไม่ได้สูงมากเหมือนเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่น ๆ นอกจากนี้
รัฐบาลจีนยังมีเงินอัดฉีดเศรษฐกิจได้อีกมาก
หรือหากใครยังกล้า ๆ กลัว ๆ หวั่นวิตกกับการลงทุนในภาวะสงคราม
โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่อยู่ไกลหูไกลตา
ไม่ได้ใกล้ชิดข้อมูลเหมือนการลงทุนในบ้านเรา
การให้มืออาชีพช่วยดูแลความเสี่ยงในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง
น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
และ Global ETF ของ Jitta Wealth
เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยคุณบริหารพอร์ตลงทุนและดูแลความเสี่ยง
เพื่อให้คุณได้รับผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนยอมรับได้
โดยการกระจายความเสี่ยงลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งหุ้น พันธบัตรรัฐบาล
และตราสารหนี้เอกชน ภายใต้แผนการลงทุนแบบยืดหยุ่นที่มีให้เลือกถึง 3 แบบ
เมื่อโลกยังคงหมุนไป ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนก็หมุนตาม
และบางครั้งก็ไปซุ่มรอเราอยู่ข้างหน้าแบบไม่รู้ตัว เมื่อ Risk is all
around สิ่งที่เราทำได้ในฐานะนักลงทุนสาย VI ก็คือ
การบริหารจัดการกับความเสี่ยงนั้น
และอีกหลักการลงทุนที่สำคัญคือ การหาข้อมูล ความรู้อยู่เสมอ
เพื่อให้พร้อมเดินหน้าลงทุนและรักษาพอร์ตให้ปลอดภัยที่สุดไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านจะเป็นอย่างไร
เพราะในโลกของการลงทุน ไม่ได้มีแค่ความเสี่ยง
แต่ยังมีโอกาสอยู่รอบตัวเราเช่นกัน.. ตั้งสติ แล้ว Stay Invest
กันต่อไปนะครับ
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
X