ภาษี
บทความโดย “ณัฐพรพิมพ์ อัครภูษิต”
ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
วันที่ 9 มกราคม 2567 บ่อยครั้งที่เราได้ยินว่า
“สองสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตคือ ความตายและภาษี” ในวันที่เราไม่อยู่
สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่อาจจะลืมนึกถึง คือ การส่งต่อทรัพย์สินอย่างไร
ให้ถึงมือลูกหลาน หรือคนที่เรารักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และแน่นอนภาษีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะภาษีมรดก
ที่เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ เพราะมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์
2559
ภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax) ภาษีมรดก เกิดขึ้นเมื่อเจ้ามรดกตาย
และผู้รับมรดกได้รับมรดกรวมกันแล้วมีมูลค่าเกินกว่า 100 ล้านบาท
ผู้รับมรดกมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
เช่น มิสเตอร์โจ มีสินทรัพย์ที่ดินมูลค่า 1,000 ล้านบาท และยกมรดกให้ลูก 2
คน คนละ 500 ล้านบาท ดังนั้น
ลูกหรือผู้รับมรดกต้องเตรียมการสำหรับชำระภาษีการรับมรดกถึงคนละ 5%
ของส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทแรก นั่นคือ 5% ของ 400 ล้าน เท่ากับคนละ 20
ล้านบาท โดยมรดก ประกอบด้วย
1. อสังหาริมทรัพย์ (ราคาประเมินกรมที่ดิน)
2. หลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (หุ้น)
3. เงินฝาก
4. ยานพาหนะ
5. ทรัพย์สินทางการเงินอื่น เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร หุ้นกู้
5 ข้อที่ต้องควรระวังในการวางแผนภาษีมรดกนั้น
1. ไม่ได้ชำระภาษีในระยะเวลาที่กำหนด ผู้รับมรดกมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภายใน
150 วัน หลังวันที่ได้รับมรดกเกิน 100 ล้านบาท
การไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษี
อาจได้รับบทกำหนดโทษทั้งเบี้ยปรับและโทษทางอาญา
เบี้ยปรับ
• ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีภายในเวลาที่กำหนด เสียเบี้ยปรับ 1 เท่าของภาษีที่ต้องชำระ
• ยื่นแบบ แต่ไม่ถูกต้องครบถ้วน หรือเท็จ ทำให้ภาษีขาด เสียเบี้ยปรับอีก 0.5 เท่าของภาษีที่เสียเพิ่ม
• ไม่ชำระภาษีให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลา ให้เสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือน
โทษทางอาญา
• ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี (ภ.ม.60) โดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท
• ไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
• หากทำลาย ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้น หรือโอนไปซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึด
หรืออายัด ให้แก่บุคคลอื่น ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน
400,000 บาท
• จงใจยื่นข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ
หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ ที่มา : ภาษีการรับมรดก, กรมสรรพากร https://www.rd.go.th/27614.html
2. ไม่รู้สินทรัพย์และหนี้สินที่มี การที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อน
อาจทำให้สินทรัพย์บางรายการตกหล่น หรืออาจต้องใช้เวลาในการรวบรวม
ซึ่งทำให้ยากต่อการจัดการ และทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ได้
3. ไม่ทราบความแตกต่างของประเภททรัพย์สิน : ทรัพย์สินแต่ละประเภท
มีข้อดีข้อเสียต่างกัน ในเรื่องของ (1) สภาพคล่อง เช่น
ทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์ เช่น เงินสด รถยนต์ ทองคำ เครื่องประดับ
จะมีสภาพคล่องมากกว่า อสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง
ที่ดิน เป็นต้น
(2) อัตราการเสียภาษีการรับการให้ (gift tax) และภาษีมรดก (inheritance
tax) ทรัพย์สินแต่ละประเภทมีความแตกต่างของการชำระภาษีการรับให้
และภาษีมรดก
เนื่องจาก 1. ภาษีการรับให้ (gift tax)
เป็นการจัดเก็บภาษีกรณีที่เจ้าของทรัพย์สินโอนเงินได้
หรือทรัพย์สินให้แก่บุคคลอื่น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหลีกเลี่ยงภาษีมรดก
โดยบุคคลที่ได้รับทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์ โดยเสน่หา จากบุพการี
ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จำเป็นต้องเสียภาษีจำนวน 5% ของส่วนที่เกิน 20
ล้านบาท, และส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทตลอดปีภาษี
ในกรณีที่ได้รับจากบุคคลอื่น ในทางกลับกัน ถ้าลูกได้รับที่ดิน
จากบุพการีที่เป็นผู้โอนกรรมสิทธิ์
หรือผู้ครอบครองทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ ในที่นี้ บิดา มารดา
จะเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีการรับให้ ในอัตรา 5% ในส่วนที่เกิน 20
ล้านบาทเช่นเดียวกัน
2. ภาษีมรดก (inheritance tax)
เป็นการจัดเก็บภาษีหลังเจ้าของมรดกเสียชีวิตแล้ว
โดยผู้รับมรดกจำเป็นต้องเสียภาษีจำนวน 5% ของส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท
หากผู้รับทรัพย์มรดกเป็นบุพการี หรือผู้สืบสันดานของเจ้ามรดก และ 10%
กรณีอื่น ๆ
ดังนั้น ถ้าพ่อแม่มีที่ดินที่ต้องการส่งต่อมรดกให้ลูกมูลค่าเกิน 100
ล้านบาท จำเป็นทีต้องคำนึงถึงอัตราการเสียภาษี
อีกทั้งพิจารณาเรื่องการทยอยโอนที่ดินบางส่วนเพื่อให้เสียภาษีน้อยที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นที่ดินที่สามารถจัดสรรได้
ไม่มีประเด็นในเรื่องของราคาและสภาพคล่องของการซื้อขายที่ดิน เป็นต้น
4. ไม่จัดการและแบ่งมรดกให้เหมาะสมกับผู้รับ
หลายครั้งที่เห็นในข่าวที่มีปัญหาเรื่องแก่งแย่ง คดีความ
ฟ้องร้องเรื่องมรดก เนื่องจากเจ้ามรดกอาจไม่ได้มีการทำพินัยกรรมไว้
หรืออาจจะมีแต่ไม่ได้มีการจัดการที่ชัดเจนเหมาะสมกับผู้รับ
ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันและทะเลาะวิวาทในภายหลัง
ในกรณีที่เจ้ามรดกมีทรัพย์สินเป็นจำนวนมากรวมถึงมีทายาทหลายคน ควรวางแผน
ดังนี้
• จัดการแบ่งทรัพย์สินในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
• จัดแบ่งให้มีความเป็นธรรมและชัดเจนกับทายาททุกคน
• มีการตกลงร่วมกัน หรือจัดให้มีการประชุม เพื่อบันทึกข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
• มีการประชุมทบทวนร่วมกันเป็นระยะ ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่ชัดเจนหรือปัญหาภายหลัง
5. ไม่ได้เตรียมการจัดสรรมรดกล่วงหน้าเพื่อผลประโยชน์ทางภาษี
ถ้ามีการจัดการ 4 ข้อข้างต้นได้ดีแล้ว
จะทำให้สามารถเตรียมการและวางแผนการเงิน
สำหรับนำมาชำระภาษีที่อาจเกิดขึ้นได้ ตามตัวอย่างข้างต้น ที่มิสเตอร์โจ
มีที่ดินมูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งผู้รับมรดกจำเป็นต้องเสียภาษีจำนวน 5%
ของส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท หากผู้รับทรัพย์มรดกเป็นบุพการี
หรือผู้สืบสันดานของเจ้ามรดก และ 10% กรณีอื่น ๆ
ดังนั้น
ลูกมิสเตอร์โจหรือผู้รับมรดกต้องเตรียมการจัดสรรค่าภาษีการรับมรดกถึงคนละ
20 ล้านบาท ในกรณีนี้ มิสเตอร์โจ สามารถวางแผนโดยการจัดสรรเงินสดให้ลูกคนละ
20 ล้านบาท หรืออาจวางแผนโดยการใช้ประกันชีวิต ซึ่งอาจใช้เงินน้อยกว่า
และมีประสิทธิภาพมากกว่า
สรุป เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เราสามารถเริ่มวางแผนมรดกได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยการ
1. รู้สถานะทางการเงินของตัวเองด้วยการทำบัญชีทรัพย์สินที่มีอย่างละเอียด
2. ศึกษาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3. วางแผนให้ส่งต่อมรดกไปยังทายาทโดยได้รับประโยชน์สูงสุดทางภาษี เช่น
การทยอยเปลี่ยนทรัพย์สินที่เสียภาษี
เป็นทรัพย์สินที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น การใช้ประกันชีวิต
เป็นต้น
4. พิจารณาความเหมาะสมในการมอบทรัพย์สินมรดกเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับตัวเองและทายาทตามมา
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาติธุรกิจออนไลน์
30/05/2024
30/04/2024
30/04/2024
07/03/2024
30/04/2024