ข่าวการเงิน
บทความโดย "นิราวัลย์ ธรรมศิริเจริญ"
นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 สมมุติว่าวันนี้เราเผลอหลับไป
แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทรัพย์สินต่าง ๆ
ที่เราสร้างและสะสมมา เช่น เงินสด ที่ดิน ธุรกิจ หุ้น เครื่องประดับ
ของสะสม ฯลฯ จะตกไปอยู่กับใคร
ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่านจากทรัพย์สินไปเป็นมรดก มักจะมีบางส่วนที่หายไป
เช่น ค่าใช้จ่ายในการถ่ายโอนทรัพย์สิน
หากทรัพย์มรดกนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี
ก็ต้องชำระภาษีก่อนที่จะส่งต่อให้กับผู้รับพินัยกรรมหรือทายาท
ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัว เกิดความล่าช้า
และทรัพย์สินอาจไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่เหมาะสม
หรือไม่เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของทรัพย์สิน หากไม่มีการวางแผนที่ดี
การตกทอดของมรดก
การตกทอดของมรดก ไม่ใช่มีเพียงแต่ทรัพย์สิน แต่ยังรวมถึงหนี้สินด้วย
หากเจ้ามรดกมีหนี้สิน ก็ต้องนำหนี้สินมาหักออกจากทรัพย์สิน
แล้วจึงส่งต่อให้กับผู้รับพินัยกรรม หรือทายาทโดยธรรมตามลำดับ
หากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต โดยไม่มีพินัยกรรม
หรือไม่ได้มีการเตรียมการใด ๆ
ทรัพย์มรดกจะตกทอดไปยังทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดก ซึ่งมี 6 ลำดับดังนี้
(ป.พ.พ. 1629) 1.ผู้สืบสันดาน (บุตร หลาน เหลน) 2.บิดา มารดา
3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4.พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน 5.ปู่
ย่า ตา ยาย 6.ลุง ป้า น้า อา
การรับมรดกจะเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง
ทายาทที่อยู่ลำดับถัดมาจะมีสิทธิได้รับมรดกต่อเมื่อไม่มีทายาทลำดับก่อนหน้า
ตามหลัก “ญาติสนิทตัดญาติห่าง” ยกเว้นทายาทลำดับ 1 จะไม่ตัดทายาทลำดับที่ 2
แต่ถ้าเจ้ามรดกไม่เหลือใคร ทรัพย์มรดกจะตกเป็นของแผ่นดิน
กรณีเจ้ามรดกมีคู่สมรส จะมีการแบ่งแยกทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส
เป็นสินส่วนตัว และสินสมรส โดยคู่สมรสจะได้รับส่วนแบ่ง 50%
ของสินสมรสไปก่อน ส่วนแบ่งอีก 50% ของสินสมรส และสินส่วนตัวของเจ้ามรดก
จะถือเป็นมรดกที่จะส่งต่อให้ผู้รับพินัยกรรม หรือทายาทตามลำดับ
กรณีไม่มีทายาทเหลืออยู่เลย คู่สมรสจะได้รับมรดกทั้งหมด (ป.พ.พ. 1635)
โชคดีที่วันนี้เราได้ตื่นมาอีกครั้ง ถ้าเราไม่ต้องการให้ทรัพย์สินตกหล่น
หรือตกไปยังคนที่ไม่ต้องการ ไม่อยากให้คนในครอบครัวทะเลาะกัน
เรากำหนดได้ว่าจะให้ทรัพย์สินต่าง ๆ ไปอยู่กับใคร
โดยการวางแผนการจัดการทรัพย์สิน หรือวางแผนมรดกไว้ล่วงหน้า
การจัดการทรัพย์สิน
แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต :
เจ้าของทรัพย์สินโอนหรือให้สิทธิในการใช้ทรัพย์สินของตนแก่บุคคลอื่น
ในขณะที่ยังมีชีวิต
2. การจัดการมรดก : เจ้าของทรัพย์สินทำพินัยกรรมเพื่อจัดการทรัพย์สิน
(มรดก) ของตน โดยให้มีผลหลังจากตนเสียชีวิตแล้ว กรณีที่มีพินัยกรรม
กฎหมายให้แบ่งทรัพย์ที่กำหนดในพินัยกรรมให้ผู้รับพินัยกรรมก่อน
หากมีทรัพย์ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรม จะแบ่งให้ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย
การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต สามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้
1. การกระจายทรัพย์สินให้สมาชิกครอบครัว ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น
• การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่าง ๆ
• การให้สิทธิในการใช้หรือหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ เช่น
สิทธิอาศัย : ให้สิทธิพักอาศัยในโรงเรือน สิทธิเหนือพื้นดิน :
ให้สิทธิปลูกสร้างอสังหาริมทรัพย์บนที่ดิน สิทธิเก็บกิน : ให้สิทธิในการใช้
ครอบครอง และถือเอาประโยชน์โดยไม่จำกัด
2. การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อถือครองทรัพย์สิน เช่น
บริษัทโฮลดิ้งที่ถือครองเงินทุน (Equity Holding Company)
หรือบริษัทโฮลดิ้งที่ถือครองตัวทรัพย์สิน (Asset Holding Company)
ซึ่งเป็นการแยกทรัพย์สินของครอบครัวออกจากกิจการของครอบครัว
เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้ของบริษัทที่ประกอบกิจการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของครอบครัว
ในขณะเดียวกัน หากสมาชิกครอบครัวก่อหนี้ส่วนตัว
เจ้าหนี้ของสมาชิกครอบครัวก็ไม่สามารถเรียกร้องให้บริษัทที่ดำเนินกิจการของครอบครัวชำระหนี้ส่วนตัวของสมาชิกครอบครัวได้เช่นกัน
และสามารถสร้างกฎระเบียบการบริหารจัดการทรัพย์สินผ่านข้อบังคับของบริษัทโฮลดิ้งได้
และอาจจะได้ประโยชน์ทางภาษีตามประมวลรัษฎากรด้วย
3. บริหารทรัพย์สินโดยใช้ธรรมนูญครอบครัว ธรรมนูญครอบครัว
คือเอกสารที่ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติของสมาชิกครอบครัว
ซึ่งกำหนดหลักในการดำเนินชีวิต การประกอบธุรกิจ
และการปฏิบัติตนต่อสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ และบุคคลภายนอก
ธรรมนูญครอบครัวจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยกำหนดให้สมาชิกในครอบครัวปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับรูปแบบการจัดการทรัพย์สินที่เลือกไว้ได้
ขั้นตอนการวางแผนมรดก
1. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เพื่อจัดทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เช่น เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้
ตราสารทุน เงินลงทุนในกองทุนหรือหลักทรัพย์
เอกสารแสดงสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ กรมธรรม์ประกันชีวิต และทรัพย์สินอื่น ๆ
พร้อมระบุประเภท ชนิด และจำนวน รวมทั้งหนี้สิน ภาระผูกพันต่าง ๆ
2. รวบรวมข้อมูลส่วนตัว เช่น บัญชีเครือญาติและผู้ที่อยู่ในความดูแล อาชีพ รายละเอียดของกิจการและโครงสร้างการถือหุ้น
3.
เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่างการจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิตและการจัดการมรดก
โดยคำนึงถึงข้อพิจารณาทางกฎหมาย ข้อพิจารณาทางภาษี และข้อพิจารณาอื่น ๆ
• ข้อพิจารณาทางกฎหมาย การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต จะใช้สัญญาเป็นเครื่องมือจัดการ ที่จะมีผลบังคับทันที ซึ่งหากสัญญาเกิดสมบูรณ์แล้วจะแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ยาก การจัดการมรดก
จะใช้พินัยกรรมเป็นเครื่องมือในการจัดการ
และเกิดผลบังคับเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต
ซึ่งแก้ไขได้ตลอดเวลาในขณะที่เจ้าของทรัพย์สินยังมีชีวิตอยู่ ข้อพิจารณาทางภาษี
กรณีมีการให้หรือโอนทรัพย์สินในขณะที่ยังมีชีวิต ให้แก่บุพการี
ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี หรือโอนให้บุคคลอื่น
เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ผู้รับโอนทรัพย์สิน จะต้องเสียภาษีการรับให้ (Gift
Tax) 5%
กรณีมีการโอนมรดกหลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต หากผู้รับโอนเป็นบุพการี
ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จะต้องเสียภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax) 5%
หรือหากผู้รับโอนเป็นบุคคลอื่น จะต้องเสียภาษีการรับมรดก 10%
ของทรัพย์สินส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท
• ข้อพิจารณาอื่น ๆ ผลกระทบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสมาชิกครอบครัว
หากมีการจัดการขณะมีชีวิต เจ้าของทรัพย์สินสามารถเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยได้
แต่หากมีผลกระทบหลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตไปแล้ว
ทายาทจะต้องตกลงกันเอง ผลกระทบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินต่อไปในอนาคต
หากผู้รับโอนยังเป็นผู้เยาว์ จะทำให้การจัดการทรัพย์สินยุ่งยาก
เพราะการจัดการบางอย่างต้องขออนุญาตจากศาล
ณ วันนี้ ในขณะที่เรายังมีชีวิต เราสามารถเลือกได้ว่า
ภาพฝันที่อยากให้เกิดขึ้นหลังจากที่เราจากไปเป็นอย่างไร
ทรัพย์สินที่สร้างและสะสมมา ทำอย่างไรให้ไม่ตกหล่น
และส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ตามความต้องการ หากมีการวางแผนมรดก
และส่งต่อทรัพย์สินอย่างเป็นระบบ
แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/finance/news-1508964
29/04/2024
07/11/2024
30/04/2024
10/06/2024
15/05/2024