Everyday knowledge for you
ประกันภัย
10/09/2024
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงินผู้เขียน : Actuarial Business Solutions [ABS]เคยมีคนสงสัยว่า ทำไม Actuary ถึงมีความเกี่ยวข้องกับงบการเงิน (Financial Report) ด้วย เพราะส่วนใหญ่คนจะเข้าใจว่า Actuary มีหน้าที่คำนวณเบี้ยประกันภัยเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ทั้งหมด เพราะนั่นเป็นเพียงแค่งานหน้าบ้านเท่านั้น ส่วนงานหลังบ้านที่หลายคนอาจยังไม่ทราบก็คือ การมีส่วนรับผิดชอบในงบการเงิน (Financial Report) ร่วมกับฝ่ายบัญชีด้วยโดยฝ่ายบัญชีจะเน้นการนำเอาตัวเลขที่เป็นเงินสด เช่น เบี้ยประกันภัยรับ หรือค่าสินไหมทดแทน มาลงในบัญชี ส่วน Actuary จะคำนวณเอาตัวเลขที่เป็นต้นทุนค่าใช้จ่าย หรือรายรับที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตมาประมาณการให้แม่นยำที่สุด แล้วบันทึกในงบการเงิน (Financial Report)ดังนั้นถ้าจะให้ถามหาความแตกต่างระหว่าง Actuary และนักบัญชี ก็คงจะได้คำตอบประมาณว่า นักบัญชีจะนำเอาตัวเลขที่เกิดขึ้นในอดีตมาใส่ในงบการเงิน (Financial Report) ให้ถูกต้องตามระบบมาตรฐานสากล หลังจากนั้น Actuary จึงจะประเมินบริษัทโดยสร้างสมมุติฐานต่าง ๆ เพื่อประมาณสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วจึงนำเอาตัวเลขมาใส่ในงบการเงิน (Financial Report) อีกทีหนึ่ง ส่วนความสามารถในการประเมินอนาคตของ Actuary นั้น คำทั่วไปที่ใช้ประจำคือ การนั่งเทียนอย่างมีเหตุผล (Educated Guess) นั่นเองตัวอย่างของตัวเลขที่เห็นได้ชัดว่าจะต้องมี Actuary เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอนคือ การตั้งเงินสำรองกรมธรรม์เพื่อให้เพียงพอกับกรมธรรม์ในแต่ละกรมธรรม์ และก็ต้องมาทำให้เข้ากับระบบบัญชีในแต่ละแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบที่กำหนดในประเทศ (Local Regulation) หรือแบบที่กำหนดตามมาตรฐานสากล (General Accepted Accounting Principle)โดยบางบริษัทก็มีระบบบัญชีที่ต้องทำให้ถูกต้องอยู่ประมาณ 4-5 แบบ เช่น แบบที่กำหนดในประเทศ แบบที่กำหนดเพื่อคำนวณภาษี แบบที่กำหนดตามผู้ถือหุ้นในออสเตรเลีย แคนาดา และอเมริกา เป็นต้นแล้วทำไมงบการเงิน (Financial Report) ของบริษัทประกันภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ นั่นเพราะว่างบการเงิน (Financial Report) จะบอกถึงสภาวะที่บริษัทมีกำไรหรือขาดทุน และมีเงินทุนที่เผื่อไว้ในยามฉุกเฉิน เหลืออยู่เท่าไหร่ที่จะสามารถนำไปชำระคืนให้กับผู้ถือกรมธรรม์ได้ ทำให้หน้าที่หลักของ Actuary อีกอย่างหนึ่งคือ การดูผลประกอบการ กำไรหรือขาดทุนของบริษัท รวมทั้งเงินทุน (Capital) ที่บริษัทมีเหลืออยู่แล้วการที่จะแสดงผลกำไรหรือขาดทุนได้นั้น ต้องขึ้นอยู่กับว่า Actuary จะประเมินการตั้งเงินสำรองกรมธรรม์ในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไร ที่สำคัญก็คือ ถ้าปีไหน Actuary เปลี่ยนแปลงการตั้งเงินสำรองกรมธรรม์ให้ลดลง ก็จะทำให้บริษัทแสดงผลกำไร พุ่งปรี๊ดอย่างทันตาเห็นแต่การจะเปลี่ยนการตั้งค่าเงินสำรองกรมธรรม์ในแต่ละปีนั้น ต้องอาศัยความรู้ความสามารถในเชิงลึก และวิจารณญาณ (รวมไปถึงจรรยาบรรณ) ของคนที่เป็น Actuary อีกทั้งประเทศไทยก็มี Actuary ที่อยู่ในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คอยดูแล เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคอีกทางหนึ่ง สังเกตได้ดังนี้1. ทิศทางของกำไร/ขาดทุนของบริษัท (Trend of Profit) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วย เพราะสภาพแวดล้อมในตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ2. แหล่งที่มาของกำไรของบริษัท (Source of Profit) ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ Actuary ควรจะวิเคราะห์3. การวางแผนอย่างเป็นระบบของบริษัท (Strategic Planning) ก็เป็นสิ่งที่ Actuary จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยทุกครั้ง เป็นการวางแผนล่วงหน้า4. รู้อย่างลึกซึ้งว่า หนี้สิน (Liability) และสินทรัพย์ (Asset) รวมทั้งเงินทุน (Capital) นั้น คำนวณมาได้อย่างไรในระบบมาตรฐานต่าง ๆในการจะทำงบการเงินระบบมาตรฐาน (Financial Reporting Standard Framework) นั้น จะต้องเข้าใจวัตถุประสงค์และสภาพแวดล้อมที่ใช้อยู่ในประเทศนั้น ๆ ก่อน และการตีความจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อให้ผู้บริหารได้ใช้ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์มาตัดสินใจ อีกทั้ง Actuary จะต้องทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุก ๆ ด้าน ที่ต้องการใช้งบการเงิน (Financial Report) เหล่านี้“ไม่ใช่ทำงบการเงินมาแล้วไม่มีใครอ่าน” งบการเงินที่ดี ถ้าทำเสร็จแล้วต้องมีคนอ่าน และคนอ่านสามารถทำความเข้าใจกับมันได้ด้วยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1641681
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
10/09/2024
การชมนิทรรศการศิลปะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจให้ผ่อนคลายความเครียดได้ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเสพงานศิลป์ ล่าสุดสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับสมาคมเพื่อการพัฒนาศิลปะและหัตถศิลป์ไทย (TACDA) จัดนิทรรศการ "ภาพบันดาล Art Decoded" แสดงการถ่ายทอดสุนทรียะจากผลงานของศิลปินแห่งชาติและนานาชาติสู่การต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบของที่ระลึกเรียกได้ว่าเป็นการเปิดมิติสัมผัสใหม่จากเพียงแค่สายตาที่รับรู้ผลงาน ขยายเพิ่มสู่การสัมผัสเป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ โดยการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผลงานศิลปะของศิลปิน รวม 11 ท่าน ได้แก่ ศ. (เกียรติคุณ) ปรีชา เถาทอง, Prof. Emeritus Peter Pilgrim, ศ. (เกียรติคุณ) ปริญญา ตันติสุข, รศ. ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ, สมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์, ศ. สุธี คุณาวิชยานนท์, ชลิต นาคพะวัน, รศ. กันจณา ดำโสภี, ผศ. ชัยพร ระวีศิริ, Konstantin Ikonomidis และ ยุรี เกนสาคูนิทรรศการนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "โครงการวิจัยการจัดนิทรรศการระดับนานาชาติและศึกษาต้นแบบสินค้า ที่ระลึกภายในพิพิธภัณฑ์ เพื่อต่อยอดสู่การจัดนิทรรศการและการจัดทำสินค้าเชิงพาณิชย์ จากฐานทุนวัฒนธรรมของไทย" มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับและส่งเสริมองค์ความรู้ด้านศิลปะในสังคมไทย เกิดการต่อยอดในเชิงพาณิชย์สู่สากลเป็นการทำงานเชิงบูรณาการจากการออกแบบ การทำงานเชิงศิลปกรรม และการพัฒนาต่อยอดในเชิงอุตสาหกรรม โดยมีความตั้งใจหลักเพื่อส่งเสริมการพัฒนารูปแบบสินค้าที่ระลึกในร้านจำหน่ายสินค้าของพิพิธภัณฑ์ของไทย ผ่านการถ่ายทอดสุนทรียะจากผลงานของศิลปิน และนำองค์ความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบและยกระดับผลิตภัณฑ์ของไทย พัฒนาต่อยอดให้เป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์จากต้นทุนวัฒนธรรมของชาตินิทรรศการ ภาพบันดาล Art Decoded จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 4 - 27 กันยายน 2567 เวลา 09:00 – 16:00 น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป (หอศิลป์เจ้าฟ้า) โดยปิดให้บริการทุกวันจันทร์-อังคารพิธีเปิดนิทรรศการในวันที่ 4 กันยายน 2567 ตั้งแต่ 14:00 น. เป็นต้นไป จะมีกิจกรรมบรรยายพิเศษโดย Véronique Delignette-Schilling ผู้อำนวยการหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตสำหรับผู้บริหาร (Executive MBA) ด้านการจัดการแฟชั่นระดับโลก French Institute of Fashion (IFM) สาธารณรัฐฝรั่งเศส ในหัวข้อเรื่อง “การยกระดับผลิตภัณฑ์ของไทยสู่ระดับนานาชาติ”สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 081-427-4998 หรือ Facebook page: สมาคมเพื่อการพัฒนาศิลปะและหัตถศิลป์ไทย (TACDA)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2811509
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
10/09/2024
ใครก็ตามที่เป็นสายเดินทางท่องเที่ยว และมักจะต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินบ่อยๆ บางทริปอาจต้องรอเวลานาน และใช้เวลาอยู่ที่สนามบินหลายชั่วโมงก่อนจะออกเดินทาง โดยระหว่างนั้นเราอาจมีความจำเป็นต้องทำงาน หาข้อมูลต่างๆ รวมไปทั้งกิจกรรมอื่นๆ แล้วทราบกันหรือไม่ว่าทั้งสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมินั้นมีบริการฟรี ! ให้บริการแก่นักเดินทางและนักท่องเที่ยวหลากหลาย ว่าแต่บริการฟรีที่ว่านั้นมีอะไรบ้างไปดูกันได้เลย6 บริการฟรีที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ1. น้ำดื่มฟรี ทั้งที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิมีบริการน้ำดื่มฟรีจากตู้กดน้ำดื่มเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสาร สามารถเลือกเติมน้ำร้อนหรือน้ำเย็นได้ตามต้องการ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำดื่มขวดใหม่ เพราะราคาอาหารและเครื่องดื่มภายในสนามบินมักจะสูงกว่าปกติมาก2. บริการ Wi-Fi ฟรี เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ในสนามบินเท่านั้น แต่ที่สนามบินจะมีให้เลือกหลากหลายเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi ฟรีของสนามบินเอง ค่ายมือถือ หรือร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ในสนามบินหากต้องการใช้งาน Wi-Fi ฟรีที่สนามบิน แนะนำให้เลือกใช้ของค่ายมือถือหรือของสนามบินโดยตรง จะปลอดภัยกว่าการเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ฟรีที่ไม่รู้แหล่งที่มา เพราะอาจมีความเสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวได้3. การอำนวยความสะดวกกิจกรรมด้านศาสนาฟรี สนามบินหลายแห่งมีบริการสิ่งอำนวยความสะดวกทางศาสนาฟรี เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารทุกศาสนา เช่น ห้องละหมาด ห้องรับรองสำหรับพระสงฆ์ เป็นต้น หากต้องการใช้บริการ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเจ้าหน้าที่ภายในสนามบิน4. บริการรถรับ-ส่งฟรี เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารในการเดินทางภายในสนามบิน หรือระหว่างอาคารต่างๆ โดยเฉพาะสนามบินขนาดใหญ่ เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ จะมีบริการรถ Shuttle Bus วิ่งให้บริการอยู่เป็นประจำ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร พนักงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องในการเดินทางไปยังจุดต่างๆ ภายในสนามบิน5. Airport Shuttle Bus รับ-ส่ง ฟรี ระหว่างสนามบิน สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้บริการ Airport Shuttle Bus เพื่อเดินทางต่อเที่ยวบินระหว่างสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิสามารถใช้บริการได้โดยต้องมีBoarding Pass ของเที่ยวบินต่อไปเท่านั้น และต้องแสดง Boarding Pass แก่เจ้าหน้าที่ก่อนขึ้นรถทุกครั้งผู้โดยสารที่ไม่ได้ต่อเที่ยวบิน และ ประชาชนทั่วไป ไม่สามารถใช้บริการได้6. จุดชาร์จมือถือฟรี ทั้งสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิมีจุดชาร์จมือถือให้บริการฟรี แต่ก็ต้องพิจารณาให้ดีในเรื่องของความปลอดภัยของการเชื่อมต่อเข้ากับพอร์ต USB หรืออะแดปเตอร์จ่ายไฟว่าจะเสี่ยงถูกขโมยข้อมูลหรือไม่ และไม่ควรชาร์จมือถือวางทิ้งไว้โดยไม่อยู่กับตัวเครื่องแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1449079/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
09/09/2024
เอไอเอ เพรสทีจ คลับ นำโดย นางสาวญดา วงศ์ทองคำ รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสิทธิพิเศษ และกิจกรรมลูกค้า เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมมือกับโรงพยาบาลกรุงเทพ จัดกิจกรรมทอล์คแอนด์เวิร์คช้อปให้กับลูกค้าเอไอเอ เพรสทีจ คลับ ในหัวข้อ “อย่าปล่อยให้เรื่องสุขภาพเป็นอนาคตที่คาดเดาไม่ได้” ภายใต้งาน The Future of Healthcare Discovery your genes Tailor your Life โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานมากกว่า 200 คน ณ ห้องประชุม 7 อาคาร R โรงพยาบาลกรุงเทพ เมื่อวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมาภายในงานลูกค้าเอไอเอ เพรสทีจ คลับ ได้รับฟังความรู้สุขภาพ “มะเร็ง…ลดเสี่ยงได้ด้วยการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์” วางแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม โดยนพ.ณัฏฐชัย สุวจิตตานนท์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ป้องกัน เฮลท์ดีไซน์เซ็นเตอร์ และ “โรคอัลไซเมอร์….รู้ไว ชะลอโรคได้” โดย นพ.ชาคร จันทรสกุล อายุรกรรมแพทย์สมองและระบบประสาทสำหรับกิจกรรมเวิร์คช้อป “ชวนทำอาหารต้านมะเร็ง” จากนักโภชนาการ และเวิร์คช้อป “Brain Gym” กิจกรรมฝึกสมองต้านอัลไซเมอร์ โดยวิทยากร คุณอกนิษฐา สีบุญเรือง Neuropsychology ซึ่งนอกจากกิจกรรมที่จัดให้กับลูกค้าเอไอเอ เพรสทีจ คลับ ณ โรงพยาบาลกรุงเทพแล้ว ยังได้มีการแนะนำแพคเกจ และมอบคูปองส่วนลดการซื้อแพ็กเกจให้กับลูกค้าเอไอเอ เพรสทีจ คลับ ที่เข้าร่วมงานอีกด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
06/09/2024
บทความโดย "สมาคมนักวางแผนการเงินไทย"ปัจจุบันมีกองทุนรวมที่นำเสนอขายให้นักลงทุนมีจำนวนหลายพันกองทุน ที่สำคัญมีนโยบายการลงทุนหลากหลาย ทำให้เกิดคำถามว่า ควรเลือกลงทุนในกองทุนรวมอย่างไรเพื่อให้เหมาะสมกับสไตล์การลงทุนของตัวเองและสร้างความมั่นใจได้มากขึ้นดังนั้น การเลือกลงทุนในกองทุนถือเป็นกระบวนการที่สำคัญ ต้องมีความละเอียด รัดกุม พิจารณาหลาย ๆ ปัจจัย เช่น วัตถุประสงค์ของการลงทุน ระยะเวลาที่ต้องการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เข้าใจในการลงทุน เป็นต้น ในเบื้องต้นก่อนตัดสินใจลงทุนควรพิจารณา 5 เรื่อง ดังนี้1. นโยบายการลงทุน ก่อนตัดสินใจเลือกลงทุนกองทุนรวมสักกอง สิ่งที่ต้องพิจารณาที่ลืมไม่ได้ คือ นโยบายการลงทุนของกองทุนนั้น ๆ เพื่อให้รู้ว่ากองทุนที่สนใจเป็นกองทุนประเภทไหน นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อะไร เช่น หุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก หุ้นปันผล หุ้นเติบโต หุ้นในประเทศ หุ้นต่างประเทศ หรือลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ตราสารหนี้ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น อีกทั้ง นโยบายการลงทุนยังมีข้อมูลอื่น ๆ ให้พิจารณา โดยเฉพาะสัดส่วนการลงทุน ความเสี่ยง นโยบายจ่ายปันผล จำนวนเงินขั้นต่ำในการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไป อายุกองทุน โดยควรศึกษาให้ละเอียด เพื่อให้เลือกกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายและสไตล์การลงทุนของตัวเอง2. เลือกประเภทกองทุนที่เหมาะสม ควรทำความเข้าใจก่อนว่ากองทุนนั้นเป็นกองทุนประเภทไหน ผู้จัดการกองทุนมีแนวทางในการบริหารกองทุนอย่างไร โดยหลัก ๆ แบ่งเป็นการบริหารแบบเชิงรับ (Passive Fund) เน้นการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงให้มากที่สุด ข้อดี คือ มีค่าธรรมเนียมการบริหารกองทุนและความเสี่ยงต่ำถัดมาเป็นกองทุนแบบเชิงรุก (Active Fund) มีเป้าหมายในการลงทุน คือ สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีอ้างอิง (Benchmark) หรือการพยายามเอาชนะตลาด เป็นนโยบายลงทุนแบบเชิงรุก ผู้จัดการกองทุนจะหาจังหวะเหมาะสมในการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ดีกว่าค่าเฉลี่ย จึงมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนแบบ Passive Fund แต่ก็มีโอกาสได้กำไรสูงกว่า3. วิเคราะห์ผลงานของกองทุน ก่อนพิจารณาลงทุนควรดูผลตอบแทนเพราะมีทั้งกองทุนรวมที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลและไม่จ่ายเงินปันผล หากกองทุนที่จ่ายปันผลต้องพิจารณา Total Return ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่รวมเงินปันผลเข้าไปแล้ว ขณะที่กองทุนที่ไม่จ่ายปันผล ให้พิจารณา Price Return ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ไม่รวมการจ่ายเงินปันผลนอกจากนี้ให้พิจาณาผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (Annualized Return) เป็นวิธีการหาแบบค่าเฉลี่ยต่อปี ด้วยการนำผลตอบแทนในแต่ละปีมาบวกกันแล้วก็หารจำนวนปีที่ต้องการดูค่าเฉลี่ย ถัดมาให้พิจารณาผลตอบแทนแบบสะสม (Cumulative Return) ซึ่งเป็นการนำผลตอบแทนปีแรกกับผลตอบแทนที่ต้องการคำนวณปีล่าสุดมาดูเมื่อพิจารณาผลตอบแทนแล้ว ไม่ควรลืมด้านความเสี่ยงของกองทุนนั้น ๆ ด้วยการพิจารณาค่าความผันผวน (Standard Deviation) หากค่าความผันผวนยิ่งต่ำยิ่งดี หมายความว่า ความผันผวนของผลตอบแทนต่ำ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) จะไม่เหวี่ยงมาก แต่หากค่าความผันผวนสูง หมายความว่า ผลตอบแทนจะมีความผันผวนมาก ส่งผลให้ NAV จะเหวี่ยงมากตามไปด้วยถัดมาให้พิจารณาค่าใช้จ่าย โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ค่าใช้จ่ายด้านค่าธรรมเนียมการซื้อ (Front-End Fee) ค่าธรรมเนียมการขาย (Back-End Fee) กับ Total Expense Ratio เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ ค่าสอบบัญชี โดยค่าใช้จ่ายจะมีผลต่อผลตอบแทน หากต้นทุนต่ำ ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสุทธิในระยะยาวสูง ตรงกันข้ามหากค่าใช้จ่ายสูง ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสุทธิในระยะยาวลดลงตามไปด้วย4. วางแผนกลยุทธ์การลงทุน ข้อดีของกองทุนรวม คือ ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภทจึงช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์เพียงตัวเดียว มีผู้เชี่ยวชาญจัดการมืออาชีพคอยคัดเลือกสินทรัพย์และบริหารจัดการเงินลงทุนให้งอกเงย ลงทุนได้ง่ายผ่าน บลจ. ตัวแทน หรือเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่น ดังนั้น กองทุนรวมจึงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว โดยทางเลือกที่ดีในการลงทุนระยะยาว คือ การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA) เป็นการทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันทุกงวด (เช่น รายสัปดาห์ รายเดือน)โดยข้อดีการลงทุนรูปแบบนี้มีหลายประการ เช่น • การลดความเสี่ยงและบริหารเงินทุนได้ง่าย ช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน โดยการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นรายงวด ตามช่วงเวลาที่กำหนด เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด • การลงทุนต่อเนื่อง ช่วยสร้างนิสัยการลงทุนต่อเนื่อง ทำให้ง่ายต่อการลงทุนเป็นระยะ ๆ เป็นการตัดปัจจัยทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกออกไป • การลงทุนในช่วงราคาต่ำ เมื่อตลาดตกต่ำ ช่วยให้ซื้อหน่วยลงทุนในราคาต่ำ ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนในระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น • การเพิ่มมูลค่าในระยะยาว ช่วยให้มีโอกาสในการสะสมทรัพย์สินในระยะยาว โดยส่งผลให้มีโอกาสในการเพิ่มมูลค่าของการลงทุนในระยะยาว5. ติดตามสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ เมื่อลงทุนกองทุนไปแล้วก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ปรับตัวได้ทันหากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ • การตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุน ควรตรวจสอบผลการดำเนินงานของกองทุนรวมเป็นประจำ เช่น นโยบายการลงทุน ผลตอบแทนการลงทุนเมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) รวมถึงเทียบกับกองทุนกองอื่น ๆ ในกลุ่มเดียวกัน • การปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนกองทุน หากพบว่าผลการดำเนินงานของกองทุนไม่ได้ตรงตามคาดหวัง เช่น ผลตอบแทนปรับลดลงเรื่อย ๆ หรือขาดทุนต่อเนื่อง ควรพิจารณาขายเพื่อนำเงินไปลงทุนในกองทุนกองอื่น ๆ ที่ดีกว่า • ติดตามความเคลื่อนไหวในตลาด ติดตามและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดโดยรวม และเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อกองทุนรวมที่ลงทุนแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1641752
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
06/09/2024
บริษัทประกันภัยทั่วโลก ในครึ่งปีแรก 2567 จ่ายเคลมภัยพิบัติทางธรรมชาติ 2 ล้านล้านบาท “สหรัฐ” เพียงประเทศเดียว ประสบกับพายุรุนแรง 12 ลูก ความสูญเสียต่อครั้งมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 ความสูญเสียที่บริษัทประกันภัยทั่วโลก ต้องจ่ายเคลมสินไหมจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ มีมูลค่าสูงถึง 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2 ล้านล้านบาท) ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับแรงกดดันจากเหตุการณ์ขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีความถี่สูง ตามการประมาณการของ Swiss Re InstituteBalz Grollimund หัวหน้าฝ่ายภัยพิบัติของ Swiss Re กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการสูญเสียที่เอาประกันภัยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ซึ่งเป็นเพราะประชากรที่เพิ่มขึ้นและมูลค่าทรัพย์สินที่สูงขึ้นในเขตเมือง ควบคู่ไปกับทรัพย์สินที่เอาประกันภัยมีความเสี่ยงต่อความเสียหายจากลูกเห็บมากขึ้นโดยผลกระทบจากพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงในสหรัฐอเมริกา คิดเป็น 70% ของการสูญเสียทั่วโลก หรือคิดเป็นมูลค่าราว 42,000 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากสหรัฐเพียงประเทศเดียวประสบกับพายุรุนแรง 12 ลูก ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งแต่ละครั้งทําให้เกิดความสูญเสียมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ทั้งนี้ตามรายงานของ Swiss Re Institute ความสูญเสียที่เอาประกันภัยจากพายุรุนแรงในสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นในอัตราปีละประมาณ 8% นับตั้งแต่ปี 2008ขณะที่ภัยน้ำท่วมยังส่งผลให้เกิดความสูญเสียที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรก 2567 หรือคิดเป็น 14% ของการสูญเสียที่เอาประกันภัยทั่วโลก โดยเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งสําคัญในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยอรมนี และบราซิล มีค่าใช้จ่ายสูงเป็นพิเศษโดยในเดือน เม.ย. พายุฝนฟ้าคะนองรุนแรง นําไปสู่น้ำท่วมฉับพลันในคาบสมุทรอาหรับ ทําให้เกิดความสูญเสียที่ประกันไว้ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่แพงที่สุดของประเทศเป็นประวัติการณ์ซึ่งมาปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน ระบบระบายน้ำที่ไม่เพียงพอ และดินแห้งทําให้ความรุนแรงของการสูญเสียเหล่านี้รุนแรงขึ้น“ความสูญเสียที่เอาประกันภัยจากพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการก่อสร้างสูงขึ้น ความเสี่ยงโดยรวมจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นเหตุผลที่การลงทุนในมาตรการป้องกัน เช่น การปกป้องชุมชนที่เปราะบางจากน้ำท่วม หรือการปรับปรุงอาคารเพื่อปกป้องบ้านเรือนจากพายุลูกเห็บรุนแรง จึงมีความสําคัญ” Jérôme Jean Haegeli หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มของ Swiss Re กล่าวเสริมแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1644037
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
06/09/2024
ไปดำดิ่งสู่ ‘หลุมดำ’ ของ Aldo Tambellini ศิลปินต้นแบบดิจิทัลอาร์ตอิมเมอร์ซีฟยุคนี้ และ ‘ขุมนรก’ ของ คามิน เลิศชัยประเสริฐ ผ่านงานดิจิทัลอาร์ตฝีมือ Topos Studio สตูดิโออิมเมอร์ซีฟจากเกาหลีใต้ชุด The Abyss Beyond ที่ทรู ดิจิทัล พาร์คต่อยอดความสำเร็จจากนิทรรศการศิลปะ “The Gate Immersive Theater” ในปีที่ผ่านมา ทรู ดิจิทัล พาร์ค ร่วมกับ Topos Studio ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการจัดแสดงจากประเทศเกาหลีใต้ กลับมาจัดงานแสดงงานอีกครั้งในปีนี้นิทรรศการ The Abyss Beyondกับนิทรรศการงานดิจิทัลอาร์ตสุดล้ำภายใต้ชื่อ The Abyss Beyond ที่จะพาทุกคนร่วมผจญภัยทางประสาทสัมผัสผสานกับผลงานสุดล้ำสมัย ผ่านเทคโนโลยีจอแสดงผลมีเดีย 250 องศา มาพร้อมระบบเสียงแอมบิโซนิก เพื่อประสบการณ์ภาพและเสียง Immersive อย่างเต็มที่ กับ 2 ผลงานศิลปะดิจิทัลสุดล้ำ ได้แก่ • "Abyss of Black and Light: We are the Primitives of a New Era" โดย Aldo Tambellini • “Abyss of the Unconscious: After Death Before the Birth” โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐนิทรรศการศิลปะดิจิทัล อิมเมอร์ซีฟ ทั้ง 2 เรื่อง พาผู้ชมก้าวเข้าสู่ห้วงของจิตใต้สำนึก ค้นหาความฝัน และจักรวาลที่กว้างใหญ่ ผ่านผลงานศิลปะของ 2 ศิลปิน ซึ่งต่างก็มีแนวคิดและวิธีสร้างสรรค์ผลงานต่างกัน • Abyss of Black and Light: We are the Primitives of a New Era By Aldo Tambelliniอัลโด แทมเบลลินีAldo Tambellini (อัลโด แทมเบลลินี) เป็นศิลปินชายชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี ผู้บุกเบิกสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ผสมผสานการวาดภาพ ประติมากรรม วิดีโออาร์ต และคำประพันธ์ ตลอดการเป็นศิลปินอาชีพของเขาแทมเบลลินีเป็นผู้นำด้าน avant-garde โดยร่วมก่อตั้ง Gate Theatre ในมหานครนิวยอร์กตั้งแต่ปี 1967 และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาวิดีโออาร์ต ในช่วงเวลานั้นเขาใช้เครื่องโปรเจคเตอร์ 16 เครื่อง เพื่อสร้างงานศิลปะประเภทวิดีโออาร์ต ซึ่งเป็นต้นแบบดิจิทัลอาร์ตอิมเมอร์ซีฟในยุคนี้ดิจิทัลอาร์ต อิมเมอร์ซีฟ 'หลุมดำ' ของ Aldo Tambelliniผลงานศิลปะของแทมเบลลินีได้รับการจัดแสดงในระดับนานาชาติมากมาย เช่น Venice Biennale เทศกาลศิลปะยิ่งใหญ่และเก่าแก่ของโลก, Tate Modern พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษAbyss of Black and Light: We are the Primitives of a New Era By Aldo Tambellini เป็นผลงานศิลปะประเภทดิจิทัลอาร์ต สร้างสรรค์โดย Mr.Daegyeom Heo (แดคยูน ฮุ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Topos Studio ซึ่งเคยมีโอกาสพบและร่วมงานกับแทมเบลลินีที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ก่อนที่ศิลปินจะเสียชีวิต“บางส่วนของดิจิทัลอาร์ตชุดนี้ ผมสร้างภาพเคลื่อนไหวจากต้นฉบับภาพวาดของแทมเบลลินี โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือการสื่อสารความหมายที่แท้จริงในภาพที่อัลโตต้องการสื่อในการสร้างงานศิลปะของเขา” มร.แดคยูน กล่าวดิจิทัลอาร์ต อิมเมอร์ซีฟ 'หลุมดำ' ของ Aldo Tambelliniเสียงที่ได้ยินในอิมเมอร์ซีฟชุดนี้บางช่วงเป็นเสียงของ มร.แทมเบลลินี ที่ออกเสียงอ่านบทกวีที่เขาประพันธ์ขึ้นด้วยตนเองใครที่รู้จัก อัลโด แทมเบลลินี และชื่นชอบผลงานของเขา การเข้าชม Abyss of Black and Light: We are the Primitives of a New Era จะได้รับสัมผัสและประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกรูปแบบ เป็นจักรวาลแห่งโลกสีขาว/ดำที่สร้างจากภาพนิ่งสู่ภาพเคลื่อนไหวด้วยเทคโนโลยีร่วมสมัยดิจิทัลอาร์ต อิมเมอร์ซีฟ 'หลุมดำ' ของ Aldo Tambelliniมร.แดคยูน สร้าง Abyss of Black and Light: We are the Primitives of a New Era จากผลงานชิ้นสุดท้ายของ Aldo Tambellini ผู้บุกเบิกศิลปะ Media Arts และนักสํารวจพื้นที่มืดตลอดชีวิต งานนี้ใช้ภาพ สื่อที่สมจริง ที่มาพร้อมเสียง Ambisonics เพื่อสร้าง ‘มิติ’ ของพื้นที่ • Abyss of the Unconscious: After Death Before the Birth โดย คามิน เลิศชัยประเสริฐThe Abyss Beyond ของ คามิน เลิศชัยประเสริฐดิจิทัลอาร์ต อิมเมอร์ซีฟ เรื่องนี้ เป็นผลงานของ คามิน เลิศชัยประเสริฐ ศิลปินไทยผู้มีชื่อเสียงในการผสมผสานศิลปะเข้ากับจิตวิญญาณ มักสะท้อนถึงปรัชญาพุทธศาสนา ด้วยประสบการณ์การทำงานที่ยาวนานกว่าสามทศวรรษ เขาได้ร่วมก่อตั้ง 'มูลนิธิที่นา' ซึ่งเป็นพื้นที่ศิลปะทางเลือกในประเทศไทย สร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลายมีเนื้อหาที่เน้นเรื่องความไม่เที่ยง การมีสติ และความเชื่อมโยงระหว่างกันของชีวิตสำหรับผลงานชุด Abyss of the Unconscious: After Death Before the Birth คามินจะพาทุกท่านสํารวจเข้าสู่ส่วนลึกอันมืดมิดของจิตใจมนุษย์ ดำดิ่งลงไปสู่สภาวะระหว่างของช่วงชีวิต ท้าทายการรับรู้ความเป็นจริงของทุกคนผลงานนี้แสดงออกถึงภูมิทัศน์ของนรกผ่านโลกทัศน์ของศิลปิน และแสดงถึงสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ในฐานะสถานที่พํานักชั่วขณะหลังความตาย และก่อนการกลับชาติมาเกิดผู้ชมสามารถสัมผัสกับปรัชญาของศิลปินเกี่ยวกับชีวิตและจักรวาลผ่าน ‘Golden Skull’ ซึ่งเป็นภาพสัญลักษณ์ ของศิลปินคามิน เลิศชัยประเสริฐดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ทรู ดิจิทัล พาร์ค จัดสรรพื้นที่สำหรับแสดงงานนิทรรศการดิจิทัลอาร์ตและงานแนวอิมเมอร์ซีฟเป็นสัดส่วน รวมทั้งนำนิทรรศการมาจัดแสดงหลายครั้งแล้ว ต่อไปมีนโยบายจะพัฒนาธุรกิจตนเองสู่การเป็นผู้ผลิตงานแนวนี้ด้วยหรือไม่ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้สัมภาษณ์กับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ว่า “ผมว่ายังเป็นคนละส่วนกับพื้นที่ตรงนี้ ทรูดิจิทัลพาร์คเป็นการโชว์พอสซิบิลิตี้ว่าเป็นแคมปัสที่คนเข้ามาใช้ชีวิตเข้ามาทำงาน และมามากกว่าทำงาน ดูว่าเขาสนใจอะไรบ้างการมีนิทรรศการลักษณะนี้ดึงความสนใจและพิสูจน์ได้ว่าลูกค้าสนใจด้านนี้จริงๆ ทรูเองหรือแม้แต่บริษัทในเครือมีการทำคอนเทนต์บิสซิเนสมากมาย เรามีทั้งทรูไอดี ทรูวิชั่น มีทั้งเรื่องสปอร์ต เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ผมเชื่อว่าจะมีการพยายามพัฒนาธุรกิจเหล่านี้ไปในทิศทางตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการเปลี่ยนไป เห็นโลกกว้างขึ้น เห็นประเทศอื่นมีอะไร ประเทศไทยมีอะไรถ้าจะมีการพัฒนาก้าวกระโดดหรือเปลี่ยนแปลงประเภทธุรกิจให้มีเรื่องนี้มากขึ้นก็น่าจะอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทเรามากกว่า แต่ ณ ขณะนี้ผมไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะมีแผนในการทำเรื่องนี้หรือไม่มี”ทรู ดิจิทัล พาร์ค ฝั่งเวสต์ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวด้วยว่า “สำหรับ ทรู ดิจิทัล พาร์ค เราตั้งใจให้พื้นที่ของเราเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีสุดล้ำ ที่เปิดกว้างพร้อมสนับสนุนงานอาร์ต และศิลปินรุ่นใหม่ เรานำศิลปะในรูปแบบของภาพและเสียง ที่ถ่ายทอดผ่านเทคโนโลยีมาแสดงในคอมมูนิตี้ของทรู ดิจิทัล พาร์ค เรามีแนวทางในการใช้พื้นที่ของเราเป็นเวทีให้กับสตูดิโอครีเอทีฟที่มีความสามารถ รวมทั้งสตาร์ทอัปต่างๆในการแสดงผลงาน ซึ่ง Topos Studio เป็นสตูดิโอที่สร้างสรรค์ผลงานได้อย่างน่าสนใจ และเราหวังว่าทุกท่านที่ได้มาร่วมชมนิทรรศการงานดิจิทัลอาร์ต The Abyss Beyond จะชื่นชอบ และเข้าใจในพลังของเทคโนโลยี”แดคยูน ฮุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Topos Studioขณะที่ Mr. Daegyeom Heo กล่าวว่า "Topos Studio เราเป็นสตูดิโอจากประเทศเกาหลีใต้ที่เชี่ยวชาญเรื่องการสร้างสรรค์เทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัย สำหรับนิทรรศการ The Abyss Beyond เราใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการนำเสนองานศิลปะพร้อมจะนำทุกท่านเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการของมนุษย์ที่ไร้ขอบเขต เป็นอีกข้อพิสูจน์ถึงพลังของสื่อ ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ความท้าทาย และขยายความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโลก และตัวตนของเราเอง”พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ The Abyss Beyondนิทรรศการ The Abyss Beyond ทั้ง 2 เรื่อง จัดแสดงระหว่างวันนี้ - 30 กันยายน 2567 ที่ Studio 1 ชั้น 2 ทรู ดิจิทัล พาร์ค ฝั่งเวสต์ กรุงเทพฯ (สถานีรถไฟฟ้า BTS ปุณณวิถี ทางออก 6) ตั้งแต่เวลา 11.30 - 19.00 น. ระยะเวลาการแสดง 30 นาที บัตรราคา 149 บาทแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1142534
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
06/09/2024
ถ้าพูดถึงการเที่ยวทะเล แน่นอนว่าหลายคนต้องนึกถึงหาดทรายสีขาวนวล แต่เคยเห็นหาดทรายสีดำกันบ้างไหมคะ จริงๆ แล้วที่เมืองไทยของเรานี่แหละ มี หาดทรายสีดำ อยู่ที่ จังหวัดตราด ค่ะ มหัศจรรย์จากธรรมชาติ ที่ต้องไปสัมผัสดูสักครั้ง ว่าจะถ้าหาดทรายสีขาวที่เราเห็นมาตลอดนั้นกลายเป็นสีดำล่ะ จะเป็นอย่างไร Unseen หาดทรายดำ มหัศจรรย์ธรรมชาติ ที่เที่ยวตราดหาดทรายดำ นี้ อยู่ที่บริเวณ บ้านกลาง ตำบลแหลมงอบ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด อยู่ในพื้นที่ของป่ามะขามที่เป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยหาดทรายดำจะอยู่ปะปนไปกับต้นไม้ของป่าชายเลนและสัตว์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ทั้ง นก ปูแสม หอยต่างๆ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ มีความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพค่ะSuriya Desatit / Shutterstock.comลักษณะของหาดนั้นจะเป็นสันทรายยาวราวๆ 1 กิโลเมตร ตลอดแนวเต็มไปด้วยเม็ดทรายสีดำละเอียด นับว่าเป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และพบได้เพียง 5 แห่งทั่วโลกเท่านั้น คือ ไต้หวัน มาเลเซีย ฮาวาย ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย และประเทศไทยที่จังหวัดตราด นี่เองค่ะ หาดทรายที่นี่แม้จะไม่ใหญ่มากนัก แต่นักท่องเที่ยวสามารถลงไปเดินสัมผัสผืนทรายได้ หรือจะเดินบนสันดอนทรายเพื่อจะสัมผัสเม็ดทรายละเอียดก็ได้เช่นกันค่ะความเชื่อ เกี่ยวกับ หาดทรายดำมีความเชื่อกันว่า หาดทรายดำ นี้ สามารถรักษาโรคได้ เพียงแค่ไปนอนหมกตัวอยู่ในทราย ด้วยความเชื่อนี้ทำให้ลือกันไปต่างๆ จนทำให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวแห่กันมาที่นี่กันมากขึ้น ซึ่งความเชื่อนี้ เกิดจากเรื่องเล่าที่ว่าเดิมที่นี่ถูกเรียกกันว่า หัวสวน เป็นพื้นที่ของชาวมุสลิม ต่อมาเมื่อเกิดการโยกย้ายของชาวมุสลิม สถานที่แห่งนี้ก็ถูกปล่อยให้ร้างไปหลังจากนั้นมีเรื่องเล่าว่าชาวบ้านยายม่อม เห็นหาดทรายที่มีสีแปลกประหลาดอยู่ที่นี่ จึงเดินทางมาดูและได้ลองทำการหมกตัวในทราย ต่อมาคนป่วยเป็นโรคอัมพาตก็ลองมาหมกตัว อาการกลับดีขึ้นและหายเป็นปลิดทิ้ง ทำให้เกิดความเชื่อว่าทรายที่นี่สามารถรักษาโรคได้ แต่จริงๆ แล้ว ทรายดำที่หาดแห่งนี้มีชื่อทางการว่า ไลโมไนต์ (Limonite) เป็นแร่ที่เกิดจากการยุบตัวของเศษเหมืองและเปลือกหอยผสมด้วยควอตซ์ หรือเป็นแร่ที่เกิด จากการผุกร่อนของเหล็กนั่นเองค่ะ ส่วนในทางการแพทย์นั้น ไม่มีผลทางการรักษาโรคค่ะแต่ก็ยังมีคนเชื่อกันว่าทรายที่นี่มีแร่ธาตุอื่นๆ อยู่อีก และสามารถทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดดีขึ้น ถ้าได้นำเท้าไปหมกทรายสัก 10 ถึง 20 นาที หรือถ้าได้ไปเดินบนชายหาดสีดำก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพเท้า นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียง ยังมีเส้นทางธรรมชาติป่าชายเลนให้ได้เรียนรู้กันอีกด้วยค่ะโดยป่าชายเลนที่ หาดทรายดำ นั้น ถือว่าเป็นป่าชายเลนที่ธรรมชาติยังคงอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง ในภาคตะวันออก มีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น จุดชมหอยขี้ค้อน จุดชมปลาตีนตัวใหญ่ รูปทรงแหลมเป็นกรวยคล้ายเจดีย์ จุดชมปูแสมที่มีทั้งพันธุ์สีดำกับพันธุ์สีก้ามแดง จุดชมปูก้ามดาบ จุดชมหิ่งห้อยในตอนกลางคืน จุดดูนกป่าชายเลนและนกประจำถิ่น ที่มีทั้ง เหยี่ยว นกยางกรอก และ นกพญาปากกว้างท้องแบนหากใครอยากมาสัมผัส หาดทรายดำ แห่งนี้ แนะนำว่าต้องสอบถามเวลาน้ำขึ้น น้ำลง เพื่อให้ได้มาสัมผัสผืนทรายจริงๆ จะได้มาแบบไม่เสียเที่ยวค่ะ สอบถามได้ที่ ศูนย์การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติหาดทรายดำ ได้เลยค่ะ มาสัมผัสทรายในแบบใหม่ๆ ไม่เหมือนใครกันดีกว่าค่ะ รับรองว่าจะต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะการเดินทาง ไป หาดทรายดำสามารถเดินทางไปโดยใช้ถนนทางหลวงหมายเลข 3156 จากนั้นพอเลยทางแยกแหลมงอบ-บ้านแสนตุ้ง ไปประมาณ 8 กิโลเมตร ก็จะเจอทางแยกซ้ายมือ แล้วก็ให้ตรงเข้าไปอีก 4 กิโลเมตร ก็จะถึง หาดทรายดำ แล้วค่ะข้อมูล หาดทรายดำ ตราด • ที่อยู่ : หมู่ 5 ตำบลแหลมงอบ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด • พิกัด : https://goo.gl/maps/J6BiD3iKUX8KF7d86 • เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น • โทร : - • เว็บไซต์ : -แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ travel.trueidhttps://travel.trueid.net/detail/X47kzWo2aRv4
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
05/09/2024
บทความโดย “มัณทิวา จันทร์แต่งผล”ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทยการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุโดยทั่วไป เป็นการวางแผนที่มักจะต้องใช้เวลาจัดทำล่วงหน้าก่อนถึงวันเกษียณเป็นระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน อย่างน้อย 10-20 ปี และติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ หากเปรียบเทียบแผนเกษียณกับเกมกีฬา ก็คงเปรียบได้กับการวิ่งมาราธอน แต่บางครั้งการวิ่งมาราธอนก็อาจกลายเป็นการวิ่ง 400 เมตร ที่ต้องเร่งฝีเท้าเข้าเส้นชัยในโค้งสุดท้ายได้ ถ้ามีสถานการณ์ไม่ปกติบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อสังเกตดูในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา หากวางแผนเกษียณอยู่อาจต้องการปรับแผนเกษียณให้เร็วขึ้น อาจเป็นการปรับโดยลดค่าใช้จ่ายด้านเบี้ยประกันภัยลง ลดเงินลงทุน หรือวางแผนประหยัดภาษีเนื่องจากมีเงินก้อนที่ได้มาด้วยการออกจากงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ทั้งในด้านการลงทุนและในภาคเศรษฐกิจ หลายบริษัทต้องปิดกิจการลง แม้ว่าบางบริษัทจะยังคงอยู่รอดแต่ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมกล่าวคือ COVID-19 เป็นตัวเร่งให้บริษัทหลายแห่งต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน หรือแม้กระทั่งต้องสร้าง Business Model ใหม่ ๆ การใช้นวัตกรรมที่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทดแทนคน ทำให้ตำแหน่งงานบางอย่างมีความจำเป็นน้อยลง ส่งผลให้คนจำนวนมากว่างงานสำนักงานประกันสังคมได้รวบรวมข้อมูลจำนวนผู้ว่างงานของไทย ตั้งแต่ปี 2563 ถึงเดือนมิถุนายน 2566 โดยเดือนมิถุนายน 2566 มีผู้ว่างงานจำนวน 250,010 คน อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม อยู่ที่ร้อยละ 2.09 มีผู้ประกันตนที่ขอรับประโยชน์ ทดแทนกรณีว่างงานจากสาเหตุเลิกจ้างจากสำนักงานประกันสังคมจำนวน 35,020 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.18 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมาสถานการณ์การว่างงาน อาจเกิดขึ้นได้กับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูง สมาชิกในครอบครัว หรือแม้แต่ตัวเราเองก็อาจเป็นคนหนึ่งที่ถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหัน ดังนั้น จะทำอย่างไรหากต้องกลายเป็นผู้เกษียณโดยไม่ทันตั้งตัว ในขณะที่ยังมีความจำเป็นต้องหารายได้จากการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ อีกทั้งยังไม่เคยมีการวางแผนเกษียณไว้ก่อนล่วงหน้า บทความนี้จึงได้รวบรวมข้อแนะนำมาให้ลองนำไปพิจารณาดูว่าควรทำอย่างไร และจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้บรรลุแผนการเกษียณได้อย่างราบรื่นเริ่มต้นที่การตั้งสติ พยายามคิดว่าทุกปัญหามีทางออก แล้วตรวจสอบสถานะทางการเงินปัจจุบันว่ามีแหล่งเงินสดสำรองอยู่ที่ใดบ้าง และเพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและรองรับภาระค่าใช้จ่ายคงที่ไปได้อีกนานเท่าใด เช่น กรณีผู้ออกจากงานเป็นลูกจ้างประจำบริษัทเอกชน มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว หากไม่ได้มีการออมเงินไว้เพื่อเป็นเงินสำรองฉุกเฉินขั้นต่ำที่ 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน แหล่งเงินสำรองที่ควรนึกถึงเป็นอันดับแรกคือ1. ประกันสังคม ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ที่ลูกจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เดือนละ 750 บาท (5% ของเงินเดือน ซึ่งปัจจุบันใช้ฐานเงินเดือนที่ 15,000 บาท) มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการว่างงานในอัตราตามที่กำหนดในแต่ละกรณีดังนี้ 1.1 กรณีถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินทดแทนการว่างงานร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ครั้งละไม่เกิน 180 วัน โดยคำนวณจากฐานเงินสมทบเฉลี่ยและฐานเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท (เป็นเงินไม่เกิน 7,500 บาท)1.2 กรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างจะได้รับเงินทดแทนการว่างงานร้อยละ 30 ของค่าจ้างเฉลี่ย ครั้งละไม่เกิน 90 วัน โดยคำนวณจากฐานเงินสมทบเฉลี่ยและฐานเงินสมทบสูงสุด 15,000 บาททั้งนี้ มีเงื่อนไขว่าผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 เดือนภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนว่างงานจึงจะได้รับสิทธิดังกล่าว วิธีการในการขอรับเงินทดแทนจากประกันสังคม ท่านสามารถศึกษารายละเอียดได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม (2)2. เงินชดเชยกรณีให้ออกจากงาน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ฉบับที่ 7 พ.ศ. 25622.1 สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า (ค่าตกใจ) หากลูกจ้างถูกนายจ้างเลิกจ้างกรณีเลิกจ้างทั่วไป นายจ้างจะต้องแจ้งการเลิกจ้างล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างน้อย 30 วัน หากไม่แจ้งต้องจ่ายค่าบอกกล่าวล่วงหน้า 1 งวดของการจ่ายค่าจ้างถ้าได้จ่ายเป็นราย 30 วัน (หรือจ่ายเงินให้เท่ากับเงินเดือน 1 เดือน)2.2 เงินชดเชยที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง โดยพิจารณาอัตราค่าชดเชยตามอายุงานของลูกจ้าง ซึ่งได้ทำงานครบ 120 วันเป็นอย่างน้อย ลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชย หากนายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิด ดังนี้ลำดับต่อมา ควรตรวจสอบหนี้สินและภาระผูกพันทางการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายคงที่ อาทิ เงินผ่อนชำระหนี้บ้าน รถ หรือทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ต้องชำระในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า หากไม่เคยจดบันทึกค่าใช้จ่ายหรือทำสรุปรายรับ-รายจ่ายมาก่อน แนะนำให้ท่านทดลองทำ โดยแยกหมวดหมู่ของค่าใช้จ่ายคงที่และค่าใช้จ่ายผันแปรให้ชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการหลังจากสำรวจเงินสำรองฉุกเฉิน ตรวจสอบภาระทางการเงินแล้วขั้นตอนต่อมาคือรวบรวมแหล่งรายได้หลังเกษียณ สำหรับกรณีลูกจ้างบริษัทเอกชน แหล่งรายได้เพื่อใช้ในยามเกษียณที่สำคัญ ได้แก่1. บำนาญชราภาพ/บำเหน็จชราภาพ ประกันสังคม – กรณีที่ได้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 180 เดือน และอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้ว มีสิทธิได้รับบำนาญชราภาพตามอัตราที่กำหนด กล่าวคือ ส่งครบ 180 เดือน จะได้รับบำนาญร้อยละ 20 ของฐานเงินสมทบ 15,000 บาท หากส่งมากกว่า 180 เดือน จะได้รับเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อปี– กรณีจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเป็นเวลาไม่ถึง 180 เดือน แต่เกิน 12 เดือน มีสิทธิได้รับบำเหน็จ2. เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) หากได้เข้าเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่นายจ้างได้จัดตั้ง มีอายุงานไม่น้อยกว่า 5 ปี เป็นสมาชิกกองทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปี และอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ เมื่อออกจากการเป็นสมาชิกกองทุนด้วยเหตุเกษียณจากงาน เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ แต่หากไม่ครบเงื่อนไข บางข้ออาจจะมีผลให้ไม่ได้รับยกเว้นภาษี ดังนั้นผู้ที่ถูกเลิกจ้างควรศึกษาเรื่องเงินกองทุน PVD ส่วนของนายจ้างที่จะได้รับ และศึกษาข้อบังคับกองทุนของแต่ละบริษัทเพิ่มเติมด้วย3. แหล่งเงินออมภาคสมัครใจอื่น ๆ อาทิ กองทุน RMF, SSF, กองทุน LTF ที่ใกล้ครบกำหนดขายคืน เงินฝากธนาคาร ประกันออมทรัพย์ ประกันแบบบำนาญ และสินทรัพย์ลงทุนอื่น ๆขั้นตอนสุดท้ายหลังจากรวบรวมข้อมูลเรียบร้อยแล้ว คือการคำนวณเงินกองทุนเกษียณที่ต้องการ เปรียบเทียบกับแหล่งเงินเพื่อการเกษียณที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ทราบว่าท่านสามารถบรรลุเป้าหมายการเกษียณได้หรือไม่ตัวอย่างคุณบี เพศหญิง อายุ 52 ปี ทำงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมา 23 ปี ก่อนจะถูกเลิกจ้างมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นสมาชิกกองทุนมา 5 ปี1. เนื่องจากคุณบีมีภาระเงินกู้ที่อยู่อาศัยคงค้างอยู่จำนวนไม่มาก เพื่อขจัดความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ในระหว่างที่ยังว่างงาน และไม่มีรายได้ประจำ ให้นำเงินค่าชดเชยกรณีให้ออกจากงานไปปิดหนี้เงินกู้ที่อยู่อาศัย โดยใช้เงินชดเชยตามกฎหมายกรณีออกจากงาน หลังจากชำระหนี้เสร็จสิ้นจะเหลือเงินอีกก้อนหนึ่ง เพื่อนำไปใช้วางแผนเกษียณต่อได้ และสามารถตัดค่าใช้จ่ายคงที่จากค่าผ่อนชำระหนี้บ้านที่หมดภาระไป2. ขอรับเงินทดแทนกรณีว่างงาน จากประกันสังคม ซึ่งจะได้รับเงินทดแทนเดือนละ 7,500 บาท เป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน ตามรายละเอียดในข้อ 1.1.1) สำหรับวิธีการและขั้นตอนอ่านรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานประกันสังคม และในระหว่างที่รอหางานใหม่ ให้ใช้เงินทดแทนเป็นเงินหมุนเวียนใช้จ่าย นอกจากเงินทดแทนจากประกันสังคม คุณบีคาดว่าสามารถรับงานอิสระได้ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนที่ขาดไป หากไม่เพียงพอส่วนที่ขาดสามารถถอนจากเงินส่วนที่เหลือจากก้อนแรกได้ไม่เกินเดือนละ 13,000 บาท 3. ให้คุณบีโอนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปเข้า RMF for PVD จนถึงอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ เพื่อไม่ให้เงินส่วนนี้ต้องนำมาเสียภาษี และได้ลงทุนต่อเนื่องใน RMF for PVD ซึ่งมีนโยบายการลงทุนให้เลือกหลากหลายมากกว่า กองทุน PVD หรือคงเงินไว้ที่กองทุนเดิมจนครบกำหนดขายได้ จึงขายออกมาและนำเงินไปลงทุนต่อ4. สำหรับประกันสังคม คุณบีส่งเงินสมทบเข้ากองทุนมานานเกิน 180 เดือนแล้ว จึงมีสิทธิรับบำนาญชราภาพเมื่ออายุ 55 ปีบริบูรณ์ กรณีไม่สามารถหางานประจำใหม่ได้ ไม่ควรไปเปลี่ยนจากผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นมาตรา 39 เนื่องจากจะทำให้ฐานเงินเดือน 5 ปีสุดท้ายที่ใช้คำนวณบำนาญลดลง จึงควรหยุดส่งเงินสมทบและรอรับบำนาญเมื่ออายุ 55 ปีบริบูรณ์จากการคำนวณเงินกองทุนเกษียณที่ต้องมี เปรียบเทียบกับแหล่งเงินเพื่อเกษียณที่มีอยู่ พบว่าคุณบีไม่สามารถเกษียณได้ในขณะนี้ แนะนำว่าควรขยายเวลาเกษียณและทำงานต่อไปอีก 10 ปี และอาจขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากนักวางแผนการเงินเพื่อจัดทำการวางแผนออมเงินและลงทุนอย่างละเอียดจนบรรลุเป้าหมายการเกษียณได้ในที่สุดต่อไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1577730
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
05/09/2024
สกลนคร - สาวสกลนครร้องสื่อถูกบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งแจ้งยกเลิก ทั้งที่ทำประกันสุขภาพเหมาจ่าย 10 ล้านต่อปี พอเข้าปีที่ 4 ส่งเบี้ยไปแล้ว 46,000 บาทกลับถูกบริษัทเทและโอนเบี้ยคืน อ้างผู้เอาประกันมีความเสี่ยงสูง เจ็บป่วยบ่อย จึงอยากขอความเป็นธรรมและให้สังคมรับทราบว่าใครที่ซื้อประกันก่อนกฎหมายใหม่ปี 2564 เตรียมถูกเทได้ทุกเมื่อน.ส.เจ (นามสมมติ) ชาว จ.สกลนคร อายุ 40 ปี เข้าร้องทุกข์ต่อผู้สื่อข่าวว่าถูกบริษัทประกันแห่งหนึ่งเท โดยแจ้งยกเลิกอ้างว่าผู้เอาประกันมีความเสี่ยงสูง ตนคิดว่าถูกเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงได้มาร้องเรียนเพื่อให้สังคมรับทราบ โดยเมื่อปี 2563 ตนได้ทำประกันชีวิตกับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งได้ตรวจสอบแล้วมีความน่าเชื่อถือ ประเภทประกันสุขภาพ ก่อนทำแถลงประวัติการรักษาทั้งหมด และยื่นสเตทเมนต์ 6 เดือน ถึง 1 ปีน.ส.เจกล่าวต่อว่า ทั้งครอบครัวมี 5 คน พ่อแม่ ลูก 3 คน ก่อนนี้ไม่ได้สนใจจะซื้อประกัน แต่ไปโรงพยาบาลเอกชนบ่อย จนรู้จักพยาบาล พยาบาลแนะนำประกัน เลยซื้อช่วยไม่คิดว่าการมีประกันสุขภาพจะใช้ได้จริง หลายเดือนต่อมาลูกไม่สบาย ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชน ค่ารักษาทั้งหมด 6 หมื่น ประกันอนุมัติ จ่ายเพิ่มเองไม่กี่พัน หลังจากนั้นจึงเห็นคุณค่าของการมีประกัน ต่อมาจึงซื้อประกันให้ทั้งบ้าน หลายบริษัท แต่ละคนทำไม่เหมือนกันวันที่ 8 มิถุนายน 2563 ตอนนั้นร่างกายแข็งแรงดี จึงมั่นใจ เลือกที่จะทำประกันสุขภาพเหมาจ่าย 10 ล้านกับบริษัทประกันแห่งหนึ่ง พอปี 2564 ได้คลอดลูกคนที่ 3 ทำให้ภูมิของร่างกายตก บวกกับให้นมบุตรมาตลอด พอปี 2565 ติดโควิดทั้งบ้าน ไปแอดมิตที่โรงพยาบาล ค่ารักษาทั้งหมด 5 คนรวมกัน 8 แสนบาท บริษัทประกันก็จ่ายให้ (แต่ละคนใช้บริษัทประกันไม่เหมือนกัน) ปี 2566 เหตุที่เพิ่งคลอดลูก และให้นมบุตรจึงทำให้มีฮอร์โมนแปรปรวน เป็นรอบเดือนนานถึง 8 เดือน พอหายจากโควิด ก็เป็นลองโควิด ทำให้ทั้งบ้านป่วยบ่อย บวกกับโรงเรียนเปิดเรียนปกติหลังโควิด บุตรคนที่ 1 ไปโรงเรียน กลับมาติดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์หนึ่งมา คนเป็นแม่และคนในบ้านก็ติดด้วยทั้งๆ ที่ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปีแล้วและเด็กทุกคนในบ้านฉีดวัคซีนหลักและวัคซีนเสริมทุกตัว พอหายได้ไม่กี่เดือน ลูกคนที่ 2 ไปโรงเรียนก็ติดไข้หวัดคนละสายพันธุ์แล้วก็ยังมาติดทั้งบ้าน จึงทำให้เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมากและเข้าแต่ละครั้งจะแอดมิต 2-3 คนปี 2567 เนื่องจากเป็นหวัดบ่อยทำให้เป็นไซนัส จึงจะทำการผ่าตัดไซนัสและจมูกคด แต่พอเลิกให้นมบุตร คุณหมอเปลี่ยนยาที่แรงขึ้น จึงเปลี่ยนวิธีเป็นการจี้จมูกลดบวมแทน ขณะรอห้องพักฟื้น ร่างกายเกิดชาครึ่งซีก อ่อนแรง มีอาการเหมือนคนสโตรก โชคดีที่อยู่โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำถึงได้เข้ารับการรักษาได้ทันที สุดท้ายได้แอดมิต ประกันก็จ่ายค่ารักษาให้ทั้งหมด 180,000 บาท จึงภูมิใจมากที่คิดถูก เลือกถูกบริษัทที่มั่นคงทางการเงินและการทำงานอย่างมีความเที่ยงตรง บอกญาติพี่น้องให้ซื้อตามหลายคนแต่แล้วเมื่อเดือน มิ.ย. 2567 ครบอายุกรมธรรม์ บริษัทไม่ให้ต่ออายุกรมธรรม์ ทั้งๆ ได้โอนเงินค่าเบี้ยประจำปีไปแล้ว 46,000 บาท แต่แล้วบริษัทก็โอนคืน แล้วอ้างสาเหตุว่า 1. ลูกค้ามีความเสี่ยงภัยสูง เคลมเยอะ หากลูกค้าคนไหนนอนโรงพยาบาลมากกว่า 3 ครั้งต่อปี บริษัทนับว่ามีความเสี่ยงภัยสูง บริษัทประกันไม่สามารถรับความเสี่ยงภัยนี้ได้ 2. ในวัย 35-40 ปี ไม่ควรป่วยกว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกัน 3. มีครั้งหนึ่งไปนอนโรงพยาบาลด้วยอาการปวดศีรษะ บริษัทมองว่าไม่มีความจำเป็น แต่ความเป็นจริงคือ ปวดศีรษะรุนแรง ตาลืมไม่ขึ้น ปากพูดไม่ได้ และบริษัทก็อนุมัติเคลมค่ารักษาตั้งแต่วันนั้นแล้วสุดท้ายบริษัทบอกว่า บริษัทสามารถยกเลิกได้ ต่อให้เราก่อนทำแถลงประวัติทั้งหมด ไม่เคยปกปิด และมีความจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล เพราะมีคำว่า “แต่ ขึ้นกับการพิจารณาของบริษัท”คุณเจโอดครวญด้วยว่า ทำไมในเมื่อเราบริสุทธิ์ใจก่อนทำ เลือกบริษัทประกันชีวิตแล้วด้วย ก่อนทำแข็งแรงดี พอเราป่วยเยอะแล้วจึงมายกเลิก อ้างว่ามีความเสี่ยงสูง ทั้งๆ ที่บริษัทบอกขายความเสี่ยงในอนาคต ให้เอาความเสี่ยงมาให้บริษัท ปีที่แล้วทั้งบ้านป่วยเยอะ เคลมคนละหลายแสน บริษัทที่ลูกๆ ทำเป็นบริษัทประกันภัย ปีนี้ก็สามารถต่ออายุกรมธรรม์ได้ปกติ เว้นตัวเอง ที่ใช้อีกบริษัทที่เป็นประกันชีวิตวงเงิน 10 ล้าน แต่กลับถูกยกเลิกสามีตนก็ทำหลายบริษัท ไม่ได้แอดมิต 2 ปี มาต้นปีนี้ป่วย นอนโรงพยาบาลไป 2 คืน ตอนกลับส่งแฟลกเคลมบริษัทประกันแรกเหมาจ่าย 10 ล้าน ผลคือบริษัทแจ้งว่า ไม่พบข้อบ่งชี้จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล บริษัทไม่จ่าย โชคดีที่เธอซื้ออีกบริษัทที่เป็นบริษัทประกันภัยให้สามีที่เหมาจ่ายแค่ 700,000 บาท จึงให้โรงพยาบาลแฟลกเคลมบริษัทที่ 2 ในวันเดียวกัน ผลคือบริษัทประกันที่ 2 ชำระให้ครบทุกบาท ไม่ต้องสำรองจ่ายเลยวันนี้จึงออกมาร้องสื่อ อยากให้ประชาชนชาวไทยหลายคนที่เห็นคุณค่าของประกัน กลับไปดูกรมธรรม์ที่ถือมาหลายปีก่อนวันที่ 8 พ.ย. 2564 (กฎหมายเพิ่งออกมาคุ้มครอง คนที่ทำประกันหลัง 8 พ.ย. 2564) ว่าบริษัทสามารถยกเลิกได้ หากเราถือมา 3 ปี 5 ปี หรือมากกว่า 10 ปี ถ้าปีที่ 11 เราป่วยเยอะ เคลมเยอะ บริษัทสามารถยกเลิกได้ แล้วคนที่ป่วยมาเยอะแล้ว จะไปทำต่อที่ไหนก็ยาก เหมือนติดเครดิตบูโรของการซื้อประกันสุขภาพ รวมถึงโรคร้ายแรงได้อีกด้วยอยากให้มีหน่วยงานมาช่วยคนกลุ่มนี้ กลุ่มที่ทำประกันสุขภาพมาก่อน 2 ปีที่ผ่านมานี้ด้วย (ก่อนวันที่ 8 พ.ย. 2564) ไม่ใช่แค่เพิ่งจะคุ้มครองคนที่ทำหลังจาก คปภ.คุ้มครอง เพราะประชาชนชาวไทยหลายคนไม่ทราบว่าประกันสามารถยกเลิกได้ ถ้าคนไหนยังแข็งแรงดี แนะนำรีบไปเปลี่ยนเป็นแผนใหม่ ร่างกายที่ป่วยอยู่แล้ว กลับมาโดนประกันที่มั่นคงยกเลิก สุขภาพจิตใจก็ย่ำแย่ตาม ไม่อยากให้ใครต้องเจอแบบตนเอง ยืนยันตนป่วยจริงมีประวัติการรักษาทุกอย่างจากสถานพยาบาล ไม่ได้ป่วยทิพย์หวังเงินประกัน ส่วนการฟ้องร้องตนเองอยู่ระหว่างปรึกษาทนายเพื่อดำเนินการแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/local/detail/9670000081305
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
29/04/2024
09/05/2025
24/09/2025
04/12/2024
29/04/2024