คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

หากต้องจากไป จะส่งต่อทรัพย์สินอย่างไร ไม่ให้ตกหล่น ?

29/02/2024

บทความโดย "นิราวัลย์ ธรรมศิริเจริญ"  นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 สมมุติว่าวันนี้เราเผลอหลับไป แล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เราสร้างและสะสมมา เช่น เงินสด ที่ดิน ธุรกิจ หุ้น เครื่องประดับ ของสะสม ฯลฯ จะตกไปอยู่กับใคร ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนผ่านจากทรัพย์สินไปเป็นมรดก มักจะมีบางส่วนที่หายไป เช่น ค่าใช้จ่ายในการถ่ายโอนทรัพย์สิน หากทรัพย์มรดกนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี ก็ต้องชำระภาษีก่อนที่จะส่งต่อให้กับผู้รับพินัยกรรมหรือทายาท ทั้งยังอาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัว เกิดความล่าช้า และทรัพย์สินอาจไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังบุคคลที่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของทรัพย์สิน หากไม่มีการวางแผนที่ดี การตกทอดของมรดก การตกทอดของมรดก ไม่ใช่มีเพียงแต่ทรัพย์สิน แต่ยังรวมถึงหนี้สินด้วย หากเจ้ามรดกมีหนี้สิน ก็ต้องนำหนี้สินมาหักออกจากทรัพย์สิน แล้วจึงส่งต่อให้กับผู้รับพินัยกรรม หรือทายาทโดยธรรมตามลำดับ หากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต โดยไม่มีพินัยกรรม หรือไม่ได้มีการเตรียมการใด ๆ ทรัพย์มรดกจะตกทอดไปยังทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดก ซึ่งมี 6 ลำดับดังนี้ (ป.พ.พ. 1629) 1.ผู้สืบสันดาน (บุตร หลาน เหลน) 2.บิดา มารดา 3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4.พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน 5.ปู่ ย่า ตา ยาย 6.ลุง ป้า น้า อา การรับมรดกจะเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง ทายาทที่อยู่ลำดับถัดมาจะมีสิทธิได้รับมรดกต่อเมื่อไม่มีทายาทลำดับก่อนหน้า ตามหลัก “ญาติสนิทตัดญาติห่าง” ยกเว้นทายาทลำดับ 1 จะไม่ตัดทายาทลำดับที่ 2 แต่ถ้าเจ้ามรดกไม่เหลือใคร ทรัพย์มรดกจะตกเป็นของแผ่นดิน กรณีเจ้ามรดกมีคู่สมรส จะมีการแบ่งแยกทรัพย์สินระหว่างคู่สมรส เป็นสินส่วนตัว และสินสมรส โดยคู่สมรสจะได้รับส่วนแบ่ง 50% ของสินสมรสไปก่อน ส่วนแบ่งอีก 50% ของสินสมรส และสินส่วนตัวของเจ้ามรดก จะถือเป็นมรดกที่จะส่งต่อให้ผู้รับพินัยกรรม หรือทายาทตามลำดับ กรณีไม่มีทายาทเหลืออยู่เลย คู่สมรสจะได้รับมรดกทั้งหมด (ป.พ.พ. 1635) โชคดีที่วันนี้เราได้ตื่นมาอีกครั้ง ถ้าเราไม่ต้องการให้ทรัพย์สินตกหล่น หรือตกไปยังคนที่ไม่ต้องการ ไม่อยากให้คนในครอบครัวทะเลาะกัน เรากำหนดได้ว่าจะให้ทรัพย์สินต่าง ๆ ไปอยู่กับใคร โดยการวางแผนการจัดการทรัพย์สิน หรือวางแผนมรดกไว้ล่วงหน้า การจัดการทรัพย์สิน แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต : เจ้าของทรัพย์สินโอนหรือให้สิทธิในการใช้ทรัพย์สินของตนแก่บุคคลอื่น ในขณะที่ยังมีชีวิต 2. การจัดการมรดก : เจ้าของทรัพย์สินทำพินัยกรรมเพื่อจัดการทรัพย์สิน (มรดก) ของตน โดยให้มีผลหลังจากตนเสียชีวิตแล้ว กรณีที่มีพินัยกรรม กฎหมายให้แบ่งทรัพย์ที่กำหนดในพินัยกรรมให้ผู้รับพินัยกรรมก่อน หากมีทรัพย์ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรม จะแบ่งให้ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต สามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้ 1. การกระจายทรัพย์สินให้สมาชิกครอบครัว ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น    •  การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินต่าง ๆ    •  การให้สิทธิในการใช้หรือหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ เช่น สิทธิอาศัย : ให้สิทธิพักอาศัยในโรงเรือน สิทธิเหนือพื้นดิน : ให้สิทธิปลูกสร้างอสังหาริมทรัพย์บนที่ดิน สิทธิเก็บกิน : ให้สิทธิในการใช้ ครอบครอง และถือเอาประโยชน์โดยไม่จำกัด 2. การจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งเพื่อถือครองทรัพย์สิน เช่น บริษัทโฮลดิ้งที่ถือครองเงินทุน (Equity Holding Company) หรือบริษัทโฮลดิ้งที่ถือครองตัวทรัพย์สิน (Asset Holding Company) ซึ่งเป็นการแยกทรัพย์สินของครอบครัวออกจากกิจการของครอบครัว เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้ของบริษัทที่ประกอบกิจการบังคับชำระหนี้เอากับทรัพย์สินของครอบครัว ในขณะเดียวกัน หากสมาชิกครอบครัวก่อหนี้ส่วนตัว เจ้าหนี้ของสมาชิกครอบครัวก็ไม่สามารถเรียกร้องให้บริษัทที่ดำเนินกิจการของครอบครัวชำระหนี้ส่วนตัวของสมาชิกครอบครัวได้เช่นกัน และสามารถสร้างกฎระเบียบการบริหารจัดการทรัพย์สินผ่านข้อบังคับของบริษัทโฮลดิ้งได้ และอาจจะได้ประโยชน์ทางภาษีตามประมวลรัษฎากรด้วย 3. บริหารทรัพย์สินโดยใช้ธรรมนูญครอบครัว ธรรมนูญครอบครัว คือเอกสารที่ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติของสมาชิกครอบครัว ซึ่งกำหนดหลักในการดำเนินชีวิต การประกอบธุรกิจ และการปฏิบัติตนต่อสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ และบุคคลภายนอก ธรรมนูญครอบครัวจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยกำหนดให้สมาชิกในครอบครัวปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับรูปแบบการจัดการทรัพย์สินที่เลือกไว้ได้ ขั้นตอนการวางแผนมรดก 1. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน เช่น เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ ตราสารทุน เงินลงทุนในกองทุนหรือหลักทรัพย์ เอกสารแสดงสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ กรมธรรม์ประกันชีวิต และทรัพย์สินอื่น ๆ พร้อมระบุประเภท ชนิด และจำนวน รวมทั้งหนี้สิน ภาระผูกพันต่าง ๆ 2. รวบรวมข้อมูลส่วนตัว เช่น บัญชีเครือญาติและผู้ที่อยู่ในความดูแล อาชีพ รายละเอียดของกิจการและโครงสร้างการถือหุ้น 3. เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่างการจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิตและการจัดการมรดก โดยคำนึงถึงข้อพิจารณาทางกฎหมาย ข้อพิจารณาทางภาษี และข้อพิจารณาอื่น ๆ    •  ข้อพิจารณาทางกฎหมาย การจัดการทรัพย์สินขณะมีชีวิต จะใช้สัญญาเป็นเครื่องมือจัดการ ที่จะมีผลบังคับทันที ซึ่งหากสัญญาเกิดสมบูรณ์แล้วจะแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ยาก การจัดการมรดก จะใช้พินัยกรรมเป็นเครื่องมือในการจัดการ และเกิดผลบังคับเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต ซึ่งแก้ไขได้ตลอดเวลาในขณะที่เจ้าของทรัพย์สินยังมีชีวิตอยู่ ข้อพิจารณาทางภาษี กรณีมีการให้หรือโอนทรัพย์สินในขณะที่ยังมีชีวิต ให้แก่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี หรือโอนให้บุคคลอื่น เกิน 10 ล้านบาทต่อปี ผู้รับโอนทรัพย์สิน จะต้องเสียภาษีการรับให้ (Gift Tax) 5% กรณีมีการโอนมรดกหลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต หากผู้รับโอนเป็นบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จะต้องเสียภาษีการรับมรดก (Inheritance Tax) 5% หรือหากผู้รับโอนเป็นบุคคลอื่น จะต้องเสียภาษีการรับมรดก 10% ของทรัพย์สินส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท    •  ข้อพิจารณาอื่น ๆ ผลกระทบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสมาชิกครอบครัว หากมีการจัดการขณะมีชีวิต เจ้าของทรัพย์สินสามารถเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยได้ แต่หากมีผลกระทบหลังจากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตไปแล้ว ทายาทจะต้องตกลงกันเอง ผลกระทบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินต่อไปในอนาคต หากผู้รับโอนยังเป็นผู้เยาว์ จะทำให้การจัดการทรัพย์สินยุ่งยาก เพราะการจัดการบางอย่างต้องขออนุญาตจากศาล ณ วันนี้ ในขณะที่เรายังมีชีวิต เราสามารถเลือกได้ว่า ภาพฝันที่อยากให้เกิดขึ้นหลังจากที่เราจากไปเป็นอย่างไร ทรัพย์สินที่สร้างและสะสมมา ทำอย่างไรให้ไม่ตกหล่น และส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นได้ตามความต้องการ หากมีการวางแผนมรดก และส่งต่อทรัพย์สินอย่างเป็นระบบ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1508964

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

ประกันค่าชดเชยรายวัน รู้อะไรไม่สู้ รู้ว่าสำคัญ

29/02/2024

บทความโดย "ธนภัทร จินดาหลวง" ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทยวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 “ยังไม่รับดีกว่า“ “พี่ทำไปแล้ว ไม่ค่อยได้นอนโรงพยาบาล” “ลืมซื้อเพิ่ม” ประโยคตัวอย่างที่หลาย ๆ คน บอกปัดเมื่อต้องซื้อประกัน แต่เมื่อเกิดเหตุและต้องนอน โรงพยาบาล อาจจะบอกว่า “รู้งี้ ซื้อประกันดีกว่า”การเข้ารักษาที่โรงพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บหรือเกิดจากอุบัติเหตุ ทำให้สูญเสียโอกาสต่าง ๆ ขาดรายได้จากการทำงาน ซึ่งหากเป็นมนุษย์เงินเดือนอาจจะยังไม่กระทบมากนัก แต่สำหรับอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ อาชีพค้าขาย หรือได้รับค่าจ้างรายวัน ถ้าไม่ได้ทำงานก็อาจทำให้รายได้หดหายคำนิยาม สัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายวัน (HB : HOSPITAL BENEFIT) บางบริษัทประกัน ใช้คำว่าสัญญาเพิ่มเติมค่าชดเชยรายได้ สัญญาเพิ่มเติมวงเงินแน่นอน โดยหลักคือ จะคุ้มครองในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย เข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน หรือเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล เกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป โดยสามารถเคลมค่าสินไหมทดแทนตามทุนประกันที่ทำไว้ คูณกับจำนวนวันที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เช่นทำประกันค่าชดเชยรายวัน วันละ 3,000 บาท นอนรักษาตัวเป็นเวลา 5 วันเคลมได้ = 15,000 บาททำประกันค่าชดเชยรายวัน วันละ 5,000 บาท นอนรักษาตัวเป็นเวลา 10 วันเคลมได้ = 50,000 บาทโดยแต่ละบริษัทจะมีเพดานกำหนดจำนวนวันสูงสุด ที่สามารถเคลมได้ต่อครั้งต่อโรค แตกต่างกันไป เช่น 180 วัน หรือ 365 วัน เป็นต้นหลายคนที่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล เช่น สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ อาจคิดว่ามีสิทธิรักษาเพียงพอแล้ว จึงไม่ได้ทำประกันค่าชดเชยรายวัน เพราะเชื่อว่ามีโอกาสน้อยที่จะป่วยจนถึงขั้นนอนโรงพยาบาล หรือหากป่วยก็ไม่น่าจะนอนโรงพยาบาลนาน เกิน 1 หรือ 2 วัน จึงไม่ส่งผลกระทบกับรายได้มากนักอย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์กับตัวเองจนต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หรือหากป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือประสบอุบัติเหตุ ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลนาน ๆ ซึ่งส่งผลกระทบกับฐานะทางการเงินของตัวเองและครอบครัวได้กระนั้นก็ดี ถึงแม้จะไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่จะเกิดขึ้น เพราะมีประกันสุขภาพค่ารักษาพยาบาลที่เพียงพอ แต่อย่าลืมว่าภาระค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่รักษาตัวในโรงพยาบาลเช่น ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าบัตรเครดิต ค่าเดินทางของญาติที่มาเฝ้าไข้ ค่ากิน ค่าเช่าร้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าจ้างคนเฝ้าไข้ เป็นต้น หากต้องรักษาตัวนานขึ้นก็มีความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น อาจต้องหยิบยืม กู้สินเชื่อ หรือขายทรัพย์สินก็เป็นได้การวางแผนทุนประกันค่าชดเชยรายวันที่เหมาะสมคำนวณจากค่าใช้จ่ายจำเป็น เพื่อให้เพียงพอต่อสถานการณ์จริง หากวันใดวันหนึ่งเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา จนต้องนอนโรงพยาบาล เช่นมีค่าใช้จ่าย = 30,000 บาทต่อเดือน เฉลี่ยวันละ 1,000 บาท ก็ควรที่จะทำประกันค่าชดเชยรายวัน ด้วยทุนประกันอย่างน้อยวันละ 1,000 บาทขึ้นไปซึ่งหากเป็นเสาหลักของครอบครัว หรือเสาหลักของกิจการ ทำธุรกิจส่วนตัว มีภาระค่าใช้จ่าย = 100,000 บาทต่อเดือน เฉลี่ยวันละ 3 พันกว่าบาท ก็ควรวางแผนทำทุนประกันค่าชดเชย อย่างน้อยวันละ 3,000 บาทขึ้นไป เป็นต้นตัวอย่าง เบี้ยประกันสัญญาเพิ่มเติม ค่าชดเชยรายวันเพศชาย อายุ 30 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 432 บาทเพศชาย อายุ 40 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 486 บาทเพศชาย อายุ 50 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 567 บาทเพศหญิง อายุ 30 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 432 บาทเพศหญิง อายุ 40 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 486 บาทเพศหญิง อายุ 50 ปี ทุนประกันค่าชดเชยวันละ 3,000 บาท เบี้ยประกัน เดือนละ = 567 บาทเบี้ยประกันข้างต้น สามารถวางแผนทำเป็นโหมดราย 3 เดือน 6 เดือน หรือรายปีได้สาเหตุที่ไม่ได้ซื้อประกันชดเชยรายได้เอาไว้ให้เพียงพอมาจากเหตุผลประกันค่าชดเชยรายวันจะเป็นสัญญาเพิ่มเติมที่ซื้อแนบกับประกันชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาหลัก เมื่อไม่ได้คิดจะทำประกันชีวิตหรือไม่ได้รับการนำเสนอจากตัวแทน จึงไม่ทราบว่ามีประกันแบบนี้ด้วยซึ่งในปัจจุบัน บางบริษัทประกัน มีประกันค่าชดเชยรายวันขายโดยเฉพาะ โดยไม่ต้องซื้อประกันชีวิตก่อน อีกสาเหตุหนึ่งมองว่า เบี้ยประกันที่ชำระจะเป็นเบี้ยสูญเปล่า ยังไม่เห็นความจำเป็น หรือบางคนทำประกันนี้ แต่อาจจะทำทุนประกันที่น้อยกว่าความเหมาะสมที่แท้จริง เพราะเสียดายเบี้ยประกันเงื่อนไขการพิจารณารับประกันของแต่ละบริษัทประกัน ก็จะแตกต่างกันไป เช่น บางบริษัทมีเพดานกำหนดซื้อค่าชดเชยรายวันสูงสุดตามทุนประกันชีวิต (สัญญาหลัก) บางบริษัทดูรายได้ของผู้ขอเอาประกัน หากทำทุนประกันต่อวันที่สูง เช่น ทำแผนค่าชดเชยรายวัน วันละ 10,000 บาท ว่าสอดคล้องกับรายได้หรือไม่ซึ่งในอดีต มีกรณีศึกษาการฉ้อฉลเอาประกัน โดยทำประกันค่าชดเชยรายวันสูง ๆ หรือทำหลายบริษัท มีการเคลมสินไหมครั้งหนึ่งหลายแสนบาท หรือป่วยเล็กน้อยแล้วขอนอนโรงพยาบาล โดยไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์ ทำให้หลายบริษัทประกัน พิจารณารับประกันที่เข้มงวดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพและประวัติการรักษาในอดีต หรือข้อมูลทางการเงินของผู้ขอเอาประกันภัย เป็นต้นมาถึงตรงนี้ หลายคนเห็นความสำคัญและสนใจอยากจะทำประกัน แต่กังวลเรื่องสุขภาพว่าจะทำได้หรือไม่ หรือจะต้องตรวจสุขภาพหรือเปล่า ควรติดต่อสอบถามตัวแทนประกัน หรือที่ปรึกษาทางการเงินมืออาชีพ เพื่อให้คำแนะนำและวางแผนประกันที่เหมาะสม เพราะบางกรณีอาจไม่อยู่ในเกณฑ์ หรืออายุเกินเกณฑ์ที่บริษัทประกันกำหนดเอาไว้ดังนั้น หากตอนนี้สุขภาพแข็งแรง อายุยังอยู่ในเกณฑ์รับพิจารณา จึงไม่ควรรีรอให้สายเกินไปที่จะวางแผนทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง รวมถึงประกันค่าชดเชยรายวัน เพื่อตัวเอง และคนที่เรารักแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1509919

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

สุดปัง! เทศกาลดอกไม้ปาร์คนายเลิศ

29/04/2024

กลับมาสร้างสีสันยิ่งใหญ่ตระการตาอีกครั้ง เมื่อ สมาคมปาร์คนายเลิศ เตรียมจัด “งานดอกไม้ปาร์คนายเลิศ ครั้งที่ 35” งานแสดงศิลปะและดอกไม้สุดยิ่งใหญ่ โดยปีนี้จัดภายใต้คอนเซปต์ “Blossoming Culinary Art” ที่จะโชว์ศิลปะการตกแต่งดอกไม้ เมล็ดธัญพืช และพรรณไม้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสตร์และศิลป์ของการประกอบอาหาร ซึ่งได้มีการจัดงานแถลงข่าว ที่เดอะ กลาสเฮาส์ ปาร์คนายเลิศ เมื่อเร็วๆนี้แม่งานคนสำคัญ ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร อุปนายกสมาคมปาร์คนายเลิศ กล่าวว่า งานนี้ได้จัดเป็นครั้งที่ 35 แล้ว โดยเริ่มตั้งแต่คุณยาย-ท่าน ผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ที่รักต้นไม้รักธรรมชาติ และท่านเห็นว่าคนไทยเก่งมีความสามารถนำธรรมชาติมาเป็นศิลปะได้ เลยสร้างเวทีให้คนไทยได้โชว์ฝีมือให้คนทั่วโลกได้เห็น โดยปีนี้เราจะมีพรมดอกไม้และเมล็ดธัญพืชขนาดใหญ่กว่า 500 ตร.ม. ออกแบบและสร้างสรรค์โดย “ศักดิ์ชัย กาย”นอกจากนี้ ยังมีปราสาทขี้ผึ้งเมืองสกลนคร ที่อยากให้ทุกคนมาชมของจริง และทุกๆพื้นที่ของงานจะปกคลุมไปด้วยดอกไม้ พร้อมทั้งยังเป็นเวทีที่โชว์ความสามารถของคนรุ่นใหม่ อย่างนักศึกษาศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะจัดแสดงนิทรรศการแฟชั่นชุดเสื้อผ้าที่ทำจากวัตถุดิบในการปรุงอาหาร ส่วนโรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จะโชว์ศิลปะการแกะสลักผักผลไม้ที่จะนำมาผสมผสานกับงานทำขนม เป็นต้น โดยรายได้จากการจัดงานหลังจากหักค่าใช้จ่าย จะนำไปบริจาคสมทบทุนให้กับศูนย์โปรตอนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย เพื่อการรักษาโรคมะเร็งสมองในผู้ป่วยเด็กด้วยอนุภาคโปรตอน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูง และเกิดผลข้างเคียงน้อยสำหรับงานดอกไม้ปาร์คนายเลิศ ครั้งที่ 35 จะมีกิจกรรม 5 โซน ได้แก่ Flowers x Art พบงานศิลป์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดอกไม้นานาพันธุ์ผลงานปากะศิลป์ จัดแสดงทั่วพื้นที่ของปาร์คนายเลิศ อาทิ พรมดอกไม้และเมล็ดธัญพืชขนาดใหญ่ ฯลฯ Flowers x Exhibition ชมงานศิลปะสุดสร้างสรรค์ของนักศึกษาและกิจกรรมการประกวดบอนสีหลากหลายพันธุ์ Flowers x Market ช็อปปิ้งสินค้า งานศิลปะและอาหาร Flowers x Taste ชิมอาหารจากดอกไม้ในบรรยากาศงดงาม และ Flowers x Play พบกิจกรรมเวิร์กช็อปสำหรับทุกวัยและกิจกรรมเด็ก โดยงานนี้จะจัดในวันที่ 28-31 มีนาคม เวลา 09.00-21.00 น. ณ ปาร์คนายเลิศ ซอยสมคิด ถนนเพลินจิต ราคาบัตรเข้าชม 150 บาท เด็ก นักศึกษาและผู้พิการ ราคา 100 บาท.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.sanook.com/travel/1446771/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ทำไมหน้าต่างเครื่องบินเป็นทรงกลม และรูเล็กๆ บนหน้าต่างคืออะไร มีไว้ทำไม

29/02/2024

การมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินขณะเดินทางนั้นช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ยิ่งถ้าคุณไม่ใช่นักบินหรือพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน คงไม่ได้เห็นภาพมุมสูงของก้อนเมฆ ภูเขา หรือเมืองต่างๆ ทุกวันอย่างแน่นอน เคยคิดถึงแรงดันที่กระทำกับบานหน้าต่างบานบางนั้น ที่คั่นระหว่างคุณกับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นั่นหรือไม่?โชคดีที่วิศวกรผู้ออกแบบเครื่องบินคำนึงถึงคำถามเกี่ยวกับฟิสิกส์เหล่านั้นทั้งหมด เพื่อให้เครื่องบินเป็นรูปแบบการขนส่งที่ปลอดภัยมาก นั่นคือเหตุผลที่คุณอาจสังเกตเห็นรูเล็กๆ บนหน้าต่างเครื่องบินทุกบาน รูนี้เรียกว่า "รูระบายแรงดัน" (bleed hole) เป็นองค์ประกอบสำคัญในโครงสร้างหน้าต่าง เพราะช่วยควบคุมแรงดันอากาศความดันอากาศและปริมาณออกซิเจนในอากาศที่ลดลงตามระดับความสูงเมื่อเราเดินทางขึ้นไปบนที่สูง ความดันอากาศและปริมาณออกซิเจนในอากาศจะลดลงตามไปด้วย สภาพแวดล้อมที่มีความดันอากาศต่ำและออกซิเจนจำกัดนั้นไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเครื่องบินจึงต้องมีระบบปรับความดันอากาศ เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมภายในห้องโดยสารให้เหมาะสมต่อการหายใจและความสะดวกสบายของผู้โดยสารหน้าต่างของเครื่องบินจึงได้รับการออกแบบเป็นทรงกลมเพราะแรงดันจะกระจายตัวได้สม่ำเสมอมากกว่ารูปทรงอื่น นอกจากนี้ยังมีรูระบายอากาศเป็นรูเล็กๆ เพื่อให้ช่วยลดแรงดันที่กระทำต่อหน้าต่าง ช่วยทำให้อากาศไหลเวียนระหว่างภายในและภายนอกเครื่องบินทำได้ดี รูระบายอากาศ นอกจากช่วยปรับสมดุลความดันอากาศ ยังช่วยระบายความชื้นระหว่างชั้นหน้าต่าง ป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าหรือเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ดังนั้น ครั้งต่อไปที่คุณถ่ายรูปบนเครื่องบิน อย่าลืมขอบคุณรูระบายอากาศเล็กๆ นี้ ที่ช่วยให้หน้าต่างใสแจ่มและมั่นใจในความปลอดภัยของคุณแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1446771/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ทำไมคนรุ่นใหม่อยู่ยากขึ้นเรื่อยๆๆ

28/02/2024

อย่าประมาทนะครับ มันลามมาใกล้ตัวเราขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ  ตอนนี้คนที่ทำอาชีพ Maketing หลักทรัพย์ หรือผู้แนะนำการลงทุนตาม broker ต่างๆ บางคนโดนให้ออก บางคนโดนลดเงินเดือน เหตุเพราะ มี Robot trade / internet trade เข้ามา คือโบรคที่ใช้คอมพิวเตอร์ซื้อขายเข้ามาเเทนที่คนทำงาน ยอดปริมาณซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ ตอนนี้มีปริมาณมากกว่า50% เเละจะมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ทำงานก็ค่อยๆโดนปลด โดนลดเงินเดือนกันไป โบรคที่ใช้คอมพิวเตอร์ก็จะโต ก้าวหน้าขึ้น ทุกโบรคต้องเปลี่ยนไปใช้คอมซื้อขาย พนักงานจะอยู่ยากมาก เขาจะค่อยๆบีบ ลดคน ให้ไปขายกองทุน ขายประกัน ทุกคนต้องหาทางเลือกไว้ด้วยนะครับ "มันมาเเน่" หลากหลายอาชีพที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้ามาทดแทนแรงงานคนได้ ให้ค่อยๆหาอาชีพเสริมไว้ สำรองไว้ครับ พวกอายุสัก 30-45 ยังต้องสู้ต่อ เพราะยังมี “อนาคต” รออยู่ ค่อยๆศึกษาเพิ่ม หาอาชีพสำรอง ต้องเป็นอาชีพที่ คอมพิวเตอร์มาเเทนที่ไม่ได้ ที่เห็นชัดๆและง่าย คือ “ทำของกินขาย” มันเป็น "อมต" เพราะทุกคนต้องกิน  อย่างที่บ้านอยุธยา เเต่เดิม คนรวยสุดคือ 1. โรงน้ำแข็ง ตอนนี้เลิกหมด เพราะทุกคนมีตู้เย็น 2. โรงเลื่อย ตอนนี้เลิกหมด เพราะป่าหมด 3. เอเย่น เหล้า บุหรี่ เครื่องดื่มชูกำลัง ตอนนี้ยังดีอยู่ เพราะเป็นของกิน 4. ร้านขายของชำ อยู่ได้ เพราะเป็นของกินของใช้ 5. โรงงานที่ทำของกิน อยู่ได้ ไม่กระทบ ทุกๆห้างตอนนี้ ปรับพื้นที่เปลี่ยนเป็นโซนอาหารเยอะมาก โซนอื่นๆแทบจะไม่มีคนเดิน ถ้าเป็นป๊าที่เรียนหนังสือปานกลาง กีฬาก็เล่นได้ปานกลาง ทุกอย่างปานกลาง “มีดีที่มีลูกอึด ขยัน อดทน” - ขายป่อเปี๊ยะ เเบบร้านแถวประตูน้ำ ร้านรถเข็นเล็กๆแต่มีคนเข้าคิวรอเยอะตลอดเวลา - ที่สีลม มีร้านขายข้าวพองเคลือบน้ำตาล ขายได้วันละหลายหมื่นบาท - เเถวสะพานเหลืองมีร้านขายขนม น้ำเต้าหู้ มีคนเข้าคิวรอเยอะ - คนตกงานมาขายหมูปิ้งก็อาจจะรวยได้ เอาสักอย่าง อะไรก็ได้ แต่ต้องทำให้ดี ให้อร่อยกว่าเขา ทำส่ง online ได้ ถือไปกินที่บ้านได้และสามารถขยายใหญ่ต่อได้ มันใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อยๆครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ stock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5884

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เบี้ยประกันชีวิต “พลิกบวก” พ้นบ่วง “ซึมยาว” ย้อนหลัง 5 ปี

29/04/2024

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาพติดลบ แต่ปี 2566 ที่ผ่านมาพลิกกลับมาเติบโตได้แล้วปี’66 เบี้ยประกันชีวิตพลิกบวกโดย “สาระ ล่ำซำ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต (MTL) ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย (TLAA) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ภาพรวมเบี้ยประกันชีวิตพลิกกลับมาเติบโตได้ 3.61% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) หรือมีเบี้ยรับรวม 633,445 ล้านบาท ซึ่งเติบโตสูงกว่า GDP จากที่นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาพติดลบ (ปี 2562 เบี้ยรับรวม -2.63% ปี 2563 อยู่ที่ -1.75% และปี 2565 อยู่ที่ -0.45%) เนื่องจากมีผลกระทบในหลายมิติ โดยเฉพาะเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มีผลกระทบต่อเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve) ปรับตัวลงมาตลอด ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจประกันชีวิตเน้นขายประกันสะสมทรัพย์เป็นหลัก ซึ่งมีความละเอียดอ่อนกับ Yield Curve เป็นอย่างมาก“การจะบังคับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS17) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ทำให้บริษัทประกันชีวิตต้องมีการเตรียมตัวบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอให้มีความเหมาะสม โดยการออกกรมธรรม์แต่ละครั้ง จะต้องแมตชิ่งกับการลงทุนได้ หมายความว่าต้องมองถึงผลรวมของกำไรที่คาดว่าจะได้รับตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันสิ้นสุดสัญญาของกรมธรรม์ (VoNB) เป็นสำคัญ ไม่ใช่เฉพาะการมองแค่เรื่องยอดขายเท่านั้น”นอกจากนี้ ความต้องการของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่ก่อนโควิดเป็นต้นมา โดยหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนความคุ้มครองสุขภาพเพิ่มมากขึ้น บริษัทประกันเองจึงพยายามหันมาพัฒนาแบบประกันคุ้มครองชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง มากขึ้นด้วยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่อ่อนไหวกับภาวะดอกเบี้ย แต่ขนาดเบี้ยจะเล็กกว่าประกันสะสมทรัพย์ 8-10 เท่า ทำให้เบี้ยติดลบประกอบกับตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทประกันชีวิตขายกรมธรรม์สัญญาระยะสั้น เช่น ชำระเบี้ย 1-3 ปี และสัญญาระยะกลาง เช่น ชำระเบี้ย 7 ปี, 10 ปี ค่อนข้างมาก ทำให้มีกรมธรรม์ครบกำหนดสัญญาสิ้นสุด (Maturity) และกรมธรรม์ที่ชำระเบี้ยครบแล้วแต่ยังมีความคุ้มครองอยู่ (Paid-up) อยู่ค่อนข้างมาก ทำให้พอร์ตเบี้ยประกันปีต่ออายุปรับตัวลดลง ซึ่งอาจทำให้ถูกมองว่าคนยกเลิกต่ออายุสัญญา แต่จริง ๆ แล้วมาจากเรื่อง Paid-up เป็นหลักเบี้ยสุขภาพทะลุแสนล้านทั้งนี้ บริษัทประกันชีวิต 10 อันดับแรก มีมาร์เก็ตแชร์รวมกัน 92.47% แยกเป็นเบี้ยปีต่ออายุ 454,975 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.06% และเบี้ยรับรายใหม่ 178,470 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.06% ซึ่งเบี้ยส่วนนี้มาจากเบี้ยรับปีแรก 112,377 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.83% และเบี้ยซิงเกิลพรีเมี่ยม 66,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18%โดยพอร์ตประกันสะสมทรัพย์ เติบโต 2.93% ยังเป็นพอร์ตที่มีมาร์เก็ตแชร์ใหญ่ที่สุด 44.23% ซึ่งหันมาขายแบบชนิดแบ่งผลกำไรให้แก่ผู้เอาประกัน (Participating Policy) เพื่อความยั่งยืน ตามมาด้วยสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและโรคร้ายแรง ที่มีเบี้ยรับรวม 109,786 ล้านบาท เติบโต 5.93% มีมาร์เก็ตแชร์ 17.33%ซึ่งพอร์ตนี้ค่อนข้างมีความท้าทายในการรับมืออัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาล และการเคลมป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ที่มีอัตราส่วนการเคลมค่อนข้างสูงอยู่พอสมควร แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าปี 2567 จะยังคงเติบโตในระดับดับเบิลดิจิตส่วนประกันสินเชื่อ (Mortgage) ติดลบ 0.95% ล้อตามธุรกรรมของภาคธนาคารที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิตลิงก์-ยูนิเวอร์แซลไลฟ์) ติดลบ 7.69% ตามภาวะตลาดทุนที่มีความผันผวนปี 2567 คาดเบี้ยโต 2-4%สำหรับปี 2567 “นายกสมาคมประกันชีวิตไทย” กล่าวว่า ประมาณการเบี้ยรับรวมเติบโต 2-4% หรือเบี้ย 6.46-6.58 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้น และโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง มีเรื่องเทรนด์สุขภาพ สังคมผู้สูงวัย และการใช้เทคโนโลยีทั้งกระบวนขายประกันที่ง่ายและสะดวก“แต่อาจจะมีความท้าทายอยู่บ้างทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่อาจจะชะลอตัว การเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ มีความผันผวนของตลาดทุนไทยที่มีความต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลงซึ่งอาจกระทบต่อรายได้จากการลงทุนของบริษัทประกันชีวิต รวมถึงอาจมีความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์”MTL ตั้งเป้าเบี้ยใหม่โต 20%“สาระ” กล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายของเมืองไทยประกันชีวิต คาดปีนี้จะมีเบี้ยรับรายใหม่เติบโต 20% โดยมีแผนขยายพอร์ตประกันชีวิตรวมกับพอร์ตประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 70% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 60% ของพอร์ตโฟลิโอรวมส่วนการบริหารพอร์ตลงทุน 6 แสนล้านบาท ปีนี้จะรักษาผลตอบแทนให้ใกล้เคียงปีที่แล้ว 3.5-4% ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนผ่านตราสารหนี้เป็นหลัก อาจจะลงทุนเพิ่มในกรีนบอนด์ และ ESG Bond รวมถึงจะมีความชัดเจนการลงทุนคลินิกเฉพาะทาง และร่วมลงทุนในสถานดูแลผู้สูงอายุ (Nursing Home)BLA ชู 3 ปี เบี้ยปีแรกหมื่นล้านฟาก “โชน โสภณพนิช” กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) กล่าวว่า บริษัทวางเป้าอย่างท้าทายใน 3 ปีจากนี้ (ปี 2567-2569) จะมีเบี้ยรับปีแรกแตะ 10,000 ล้านบาท โดยช่องทางตัวแทนตั้งเป้าเติบโตปีละ 15% ต่อเนื่อง 5 ปี พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับช่องทางโมบายแบงกิ้งของธนาคารกรุงเทพ (BBL) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยยังเน้นขายสินค้าประกันสะสมทรัพย์เป็นหลัก เน้นเจาะลูกค้า 2 เซ็กเมนต์คือ เริ่มซื้อประกันฉบับแรก และซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษีหรือสะสมความมั่งคั่ง“ปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,548 ล้านบาท มีมูลค่าปัจจุบันของกรมธรรม์ที่ขายไปแล้วทั้งหมด (Embedded Value) อยู่ที่ 67,871 ล้านบาท มีมูลค่ากรมธรรม์ใหม่ที่เพิ่งขายออกไป (VNB) 2,759 ล้านบาท และมีผลตอบแทนจากการลงทุน 3.75% จากพอร์ตสินทรัพย์ 3.2 แสนล้านบาท โดยบอร์ดได้อนุมัติจ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น จากกำไรสะสม ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 7 พ.ค. 2567”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1509016

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นิทรรศการงานศิลป์นักสารคดีคนดัง

29/04/2024

West Eden ภูมิใจนำเสนอนิทรรศการ “Apopheniac” จัดแสดงผลงานชุดใหม่ของ เซดริก อาร์โนลด์ ศิลปินชาวอังกฤษ-ฝรั่งเศส ที่ได้เริ่มต้นอาชีพในฐานะนักสารคดีครั้งแรกในเมืองเบลฟาสต์และกรุงลอนดอน ก่อนที่เขาจะย้ายไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี พ.ศ.2544 โดยเขาได้ทำงานร่วมกับนิตยสารอย่าง Time Magazine, Sunday Times, HBO, Washington Post และอื่นๆอีกมากมายนิทรรศการ “Apopheniac” ถูกปรับแต่งจากคำว่า “Apopheniac” ที่อธิบายถึงแนวโน้มของการเชื่อมโยงรูปแบบจากสิ่งที่ไม่มีความเกี่ยวพันกันหรือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไร้แบบแผน ไม่ว่าจะเป็นจากวัตถุหรือความคิด ในขณะที่มนุษย์ต้องการอธิบายความหมายและบอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต เรากลับหลอมรวมช่วงเวลาที่ไม่สัมพันธ์กันขึ้นมา โดยความต้องการเหล่านี้ได้ส่งผลต่อเส้นแบ่งระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและโลกของจินตนาการให้ดูพร่ามัวภายในนิทรรศการแสดงผลงานชิ้นเด่นทั้งหมด 2 ชิ้น ได้แก่ ผลงานชื่อ Inadvertent Icon (2020) และ Apopheniac V (2023) ที่ถูกนับว่าเป็นผลงานที่แสดงความเคารพต่อปรมาจารย์จิตรกรในอดีต นิทรรศการนี้ได้เดินตามรอยการแสดงที่น่ายกย่องจากที่ได้ปรากฏในงาน Avignon (Maison Jean Vilar) ในปี พ.ศ.2565, งาน Paris (Biennale de l’image Tangible) ในปี พ.ศ.2566 และงาน Río de Janeiro Museu de Arte Moderna (Dobra film festival) ในปี พ.ศ.2566 นิทรรศการนี้จัดแสดงที่ West Eden Gallery สุขุมวิท 31 วันนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2765925

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

อันซีนหนองคาย “พันโขด แสนไคร้” สัมผัส “หัวใจ” กลางลำน้ำโขง

29/04/2024

ททท.ชวนสัมผัสเสน่ห์ทิวทัศน์งามแปลกตาของแม่น้ำโขงยามลดระดับต่ำมากที่ “พันโขดแสนไคร้” พร้อมชวนตามหาหัวใจกลางลำน้ำโขงที่ “หินบ่อง” อันซีนหนองคาย ที่เกิดจากการกระทำของธรรมชาติจนเป็นจุดถ่ายรูปที่มีรูปร่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชวนสัมผัสมนต์เสน่ห์ทิวทัศน์งามแปลกตาน่ายลของแม่น้ำโขงยามลดระดับต่ำมากที่ “พันโขดแสนไคร้” อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นของ อำเภอสังคม จ.หนองคายทิวทัศน์พันโขดแสนไคร้เมื่อมองลงมาจากภูหนองยามน้ำลดระดับต่ำมากพันโขดแสนไคร้ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการที่แม่น้ำโขงลดระดับลงต่ำมากในช่วงฤดูแล้ง จึงปรากฏโขดหิน เกาะแก่ง และแนวหาดทราย-หาดหิน ขนาดใหญ่โผล่กลางลำน้ำโขงพรหมแดนไทย-ลาว (หนองคาย-แขวงเวียงจันทน์) กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างประมาณ 300 เมตร ยาวกว่า 5 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ บ้านหนอง, บ้านภูเขาทอง, บ้านม่วง และบ้านห้วยค้อ ต.บ้านม่วง อ.สังคม จ.หนองคายนอกจากนี้บริเวณหาดหิน หาดทราย กลางลำน้ำโขงยังมี “ต้นไคร้” ที่ในอดีตมีอยู่เป็นจำนวนมากจึงเป็นที่มาของชื่อ “พันโขดแสนไคร้” ที่หมายถึงโขดหินกลางลำน้ำโขงจำนวนมากนับพัน ๆ โขด และต้นไคร้จำนวนมหาศาลนับแสนต้นหินบ่อง หินรูปหัวใจกลางลำน้ำโขงปัจจุบันที่ อ.สังคม มีกิจกรรมล่องเรือชมพันโขดแสนไคร้ ยามน้ำลด ซึ่งหากล่องเรือจากท่าเรือ "บ้านห้วยค้อ" จะใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที (ตามสภาพน้ำ) ไปยังแนวหาดขนาดใหญ่กลางลำน้ำโขง ที่มีภูมิทัศน์ดูสวยงามแปลกตา มีหาดทราย หาดหิน ก้อนหิน โขดหิน แก่ง และแอ่งน้ำ รวมถึงภาพวิถีชีวิตคนหาปลา ชาวลาวที่มาร่อนทองในบริเวณนี้เป็นต้น เป็นต้นนอกจากนี้บริเวณพันโขดแสนไคร้ยังมีเป็นหินรูปหัวใจให้ตามหา คือ “หินบ่อง” ที่เป็นแนวก้อนหินใหญ่ถูกน้ำ ลม ฝน กัดเซาะ จนเป็น “บ่อง” หรือช่องทะลุที่มองดูคล้ายรูปหัวใจ ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปถ่ายรูปคู่กับหินบ่องรูปหัวใจได้อย่างใกล้ชิด หรือวันไหนฟ้าเป็นใจจะรอชมพระอาทิตย์ยามเย็นตกลอดช่องหินรูปหัวใจนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงโขดหินมากมายที่พันโขดแสนไคร้อย่างไรก็ดีเนื่องจากปัจจุบันมีการสร้างเขื่อนในลำน้ำโขงในประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลกระทบต่อกระทบต่อระบบนิเวศของคนปลายน้ำโขง น้ำหลากน้ำแล้งผิดฤดูกาล (ตามการปล่อยน้ำของเขื่อน) สัตว์น้ำบางชนิดเสี่ยงสูญพันธุ์ หลายชนิดปริมาณลดลง ตลิ่งธรรมชาติหลายช่วงถูกน้ำกัดเซาะ วิถีชาวประมง-เกษตรกรริมน้ำโขงล้วนต่างได้รับผลกระทบจากเขื่อนกันทั่วหน้า รวมไปถึงต้นไคร้ในบริเวณพันโขดแสนไคร้ ที่เคยมีจำนวนมหาศาล ได้ลดจำนวนลงไปเป็นจำนวนมากนี่ถือเป็นชะตากรรมของคนท้ายน้ำที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนในแม่น้ำโขงที่ต้องต่อสู้ ฟันฝ่า แก้ปัญหา และหาวิธีรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและระบบนิเวศกันต่อไปนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปถ่ายรูปกับหินบ่องได้อย่างใกล้ชิดผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ททท.สำนักงานอุดรธานี (รับผิดชอบพื้นที่ : อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ) โทร. 0 4232 5406-7 เฟซบุ๊กแฟนเพจ : ททท.สำนักงานอุดรธานี-TatUdon หรือที่ ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคาย โทร. 042 421 326 เฟซบุ๊กแฟนเพจ : ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคายพันโขดแสนไคร้ อันซีนหนองคายยามน้ำโขงลดระดับลงต่ำมากพันโขดแสนไคร้ อันซีนหนองคายยามน้ำโขงลดระดับลงต่ำมากพันโขดแสนไคร้ อันซีนหนองคายยามน้ำโขงลดระดับลงต่ำมากท่าเรือบ้านห้วยค้อต้นไคร้เดียวดาย (เพราะเพื่อน ๆ ตายไปมาก จากผลกระทบของการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำโขง)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000015975

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

Gen Z เกินครึ่ง คิดว่า ‘เช่า’ ดีกว่า ‘ซื้อ’ บ้าน เพราะมีอิสระ ภาระน้อยกว่า

27/02/2024

การมีบ้านสักหนึ่งหลังคงเป็นความฝันของใครหลายคน แต่ในยุคข้าวยากหมากแพง ราคาบ้านก็ยิ่งแพงแสนแพง แถมยังมีเรื่องของดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นมาจนสูงปรี๊ด ทำให้ไม่ว่าจะซื้อบ้านด้วยเงินสดหรือซื้อผ่อนก็เป็นเรื่องที่ทำให้ต้องคิดหนัก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างกลุ่ม Gen Z อายุ 12-27 ปี กลุ่มนี้เรียกว่าอยู่ในวัยที่กำลังเติบโตและสร้างตัว เพราะมีช่วงอายุตั้งแต่วัยเรียนไปจนถึงช่วงที่เริ่มต้นทำงานแล้ว [ Gen Z เกินครึ่ง พอใจที่จะเช่าบ้านอยู่ ] ซึ่ง Gen Z ประมาณ 51% คิดว่าการเช่าบ้านเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด โดยผลสำรวจจาก RealPage พบว่าเกือบ 2 ใน 3 ของผู้เช่า Gen Z มีความพอใจกับการเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยในปัจจุบันมากกว่าการซื้อ เนื่องจากมองว่าทำให้มีอิสระในการย้ายบ้านและมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น และเกือบ 3 ใน 4 บอกว่าการเช่าบ้านช่วยให้สามารถอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับชุมชนหรือหมู่บ้านราคาแพงที่อาจจะยังไม่สามารถจ่ายไหว เมื่อเปรียบเทียบตามรุ่นจะเห็นถึงความแตกต่างทางความคิดได้อย่างชัดเจน โดยจะเห็นว่าคนรุ่นเก่ามีแนวโน้มที่จะเป็นเจ้าของบ้านมากกว่า โดยกลุ่ม Baby Boomers 3 ใน 4 คนกำลังเป็นเจ้าของบ้าน เทียบกับ Gen Z ที่มีสัดส่วนเพียง 2 ใน 5 คนเท่านั้น นอกจากนี้ กลุ่ม Gen Z และ Gen Y ยังมีแนวโน้มที่จะย้ายงานใหม่มากกว่ากลุ่มอื่นๆ ทำให้การเช่าบ้านเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์มากกว่าการซื้อบ้านที่ต้องลงหลักปักฐานแบบถาวร [ ดอกเบี้ยสูง ทำให้ราคาบ้านแพงขึ้น ] การซื้อบ้านในปัจจุบันยังได้รับผลกระทบจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนสูงและยังไร้วี่แววในการปรับลดดอกเบี้ยลงในเร็วๆ นี้ รวมถึงภาวะขาดแคลนบ้านยังคงหนุนให้ราคายิ่งแพงสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากมีความคิดที่จะกลับเข้าสู่ตลาดการเช่าบ้านอีกครั้งอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาของการเช่าบ้านก็อาจจะสูงไม่แพ้กันเลย แต่ก็มีความยืดหยุ่นมากกว่า ข้อมูลจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ Zillow พบว่า ค่าเช่าบ้านปรับเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งส่งผลทำให้การชำระค่าเช่าบ้านรายเดือนโดยทั่วไปอยู่ที่ 2,062 ดอลลาร์ หรือประมาณ 73,945 บาทในสหรัฐฯ [ ซื้อหรือเช่า แบบไหนดีกว่ากันนะ? ] ระหว่างการซื้อบ้านกับการเช่าบ้าน รูปแบบไหนดีกว่ากัน ยังเป็นข้อถกเถียงในปัจจุบัน แต่ไม่ว่าจะซื้อหรือจะเช่าก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป สำหรับการเช่าบ้าน ข้อดีคือมีอิสระ ไม่ต้องกังวลค่าบำรุงรักษาเฟอร์นิเจอร์หรือข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน และที่สำคัญหากต้องการย้ายบ้านก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่ายกว่าการปล่อยขายบ้านค่อนข้างมาก แต่ข้อเสียคือ อาจจะมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจำนวนมากที่ต้องจ่ายเมื่อย้ายบ้าน เช่น เงินมัดจำและค่าเช่าเดือนแรก และความเสี่ยงในการถูกฉีกสัญญาเช่าหากผู้ปล่อยเช่าตัดสินใจจะขายบ้าน รวมถึงการโดนทวงค่าเช่าทุกเดือนก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ ส่วนการซื้อบ้าน ข้อดีคือสามารถอาศัยอยู่ได้ในระยะยาวโดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาไล่ สามารถซ่อมแซม เปลี่ยนแปลงบ้านได้ตามใจและที่สำคัญบ้านคืออสังหาริมทรัพย์อย่างหนึ่ง ในอนาคตสามารถขายได้ในราคาที่พึ่งพอใจ ข้อเสียก็มีเช่นกัน เช่นการจะซื้อบ้านสักหนึ่งหลังเป็นเรื่องที่คิดแล้วก็เหนื่อยไม่น้อยเลย เพราะการออมเงินเป็นงานหนักและใช้เวลานาน โดยเฉพาะเมื่อราคาบ้านสูงขึ้นก็ทำให้มีราคาบ้านแพงขึ้นด้วย ยังไม่รวมภาระในการจ่ายค่าจำนอง ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซ่มบ้าน และในกรณีนี้ที่กู้ผ่อนบ้าน อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ส่งผลให้ค่าผ่อนบ้านเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อดีและข้อเสียเท่านั้น หากกำลังมีความคิดที่จะซื้อหรือเช่าบ้าน การวางแผนระยะยาวเป็นสิ่งที่จำเป็น และไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ควรที่จะมีเงินเก็บสำรองที่เพียงพอสำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะตามมาในอนาคตด้วย ที่มา : www.thehill.com , www.kantar.com แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับเวิร์คพอยท์ทูเดย์https://workpointtoday.com/gen-z-home/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

สกู๊ปพืช

7 ต้นไม้สำหรับปลูกในบ้าน ช่วยคลายร้อน ปรับลดอุณหภูมิพร้อมขจัดมลพิษ

29/04/2024

มีใครเคยทราบบ้างไหมคะว่าพืชประดับบ้านบางชนิด นอกจากจะปลูกเพิ่มความสวยงามและสร้าบรรยากาศสดชื่นภายในบ้านแล้ว มันยังมีคุณสมบัติช่วยคลายร้อนและลดมลพิษในบ้านได้ด้วยสำหรับผู้ที่ชื่นชอบต้นไม้ประดับหรือพืชพันธุ์สำหรับปลูกไว้ในห้องต่างๆ วันนี้ ในบ้านมีพืช 7 ชนิดที่เหมาะสำหรับปลูกภายในบ้านมาฝากค่ะ รวบรวมไว้ด้วยพืชหาง่ายอย่างเฟิน ว่านหางจระเข้ หรือไทรย้อยใบแหลม มีคุณสมบัติมากมายทั้งเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ แถมยังช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ด้วย จะมีชนิดไหนน่าสนใจบ้าง ลองไปชมกันเลยค่ะต้นไม้ 7 ชนิดเหมาะปลูกในบ้านช่วยคลายร้อน1. ลิ้นมังกร (Snake plant)ลิ้นมังกรเป็นพืชที่เหมาะสำหรับปลูกไว้ในห้องนอน เพราะในช่วงเวลากลางคืนมันจะปล่อยออกซิเจนออกมาในขณะที่เรานอนหลับ ซึ่งออกซิเจนที่ได้จากลิ้นมังกรจะคอยช่วยให้ขับความเย็นและความสดชื่นไหลเวียนอยู่รอบกายเราตลอดคืน ทำให้เราสามารถนอนหลับพักผ่อนได้อย่างเต็มที่2. ว่านหางจระเข้ (Aloe vera)ว่านห่างจระเข้ หนึ่งในพืชที่เป็นยาดีสำหรับร่างกาย อีกทั้งยังช่วยลดอุณภูมิความร้อนภายในห้อง และยังมีประสิทธิภาพในการเพิ่มคุณภาพของอากาศที่อยู่บริเวณนอกอาคาร โดยการปรับเปลี่ยนสารพิษและสารฟอร์มาลดีไฮด์ให้กลายเป็นอากาศบริสุทธิ์ เหมาะกับสภาพการอยู่อาศัย3. หมากเหลือง (Areca palm tree)หมากเหลือง เป็นพืชที่คนส่วนใหญ่นิยมนำไปประดับไว้ในห้องนั่งเล่น ซึ่งนอกจากมันจะช่วยเพิ่มสุนทรีย์ระหว่างการพักผ่อนแล้ว มันยังช่วยลดอุณหภูมิภายในห้องและยังมีคุณสมบัติที่สามารถปรับเปลี่ยนอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ4. เฟินงาม (Boston fern)เฟินงาม พืชสำหรับปลูกในบ้านช่วยเพิ่มความชื้นและปรับให้ห้องอบอวลไปด้วยอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติ พร้อมประดับเพิ่มความสวยงามและสร้างพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน5. เปปเปอโรเมีย (Baby rubber plant หรือ Peperomia obtusifolia)เปปเปอโรเมีย พืชฤทธิ์เย็นที่ช่วยปรับอุณหภูมิความเย็นภายในห้องได้อย่างเป็นธรรมชาติ นอกเหนือจากการใช้เครื่องปรับอากาศ เป็นพืชที่ไม่ต้องลดน้ำมาก แต่หมั่นใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อให้มันเจริญเติบโตได้ดี6. ไทรย้อยใบแหลม (Ficus tree หรือ weeping fig)เพิ่มบรรยากาศสดชื่นภายในบ้านด้วยต้นไทยย้อยใบแหลม ที่นอกจากจะเป็นตัวช่วยปรับอุณหภูมิความเย็นแล้ว ยังช่วยกำจัดมลพิษทางอากาศ ลดกลิ่นรบกวนและเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ในห้องมากขึ้นอีกด้วย7. พลูด่าง (Golden Pothos)พลูด่างเป็นพืชที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่มากเท่าพืชชนิดอื่น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาทำสวนหรือรดน้ำต้นไม้บ่อยๆ และมันยังมีข้อดีในเรื่องของการปรับให้อากาศบริสุทธิ์มากขึ้น และยังช่วยขจัดสารพิษทางอากาศ เช่น ไซลีน เบนซีน คาร์บอนมอนอกไซด์ ตลอดจนสารฟอร์มาลดีไฮด์ขอขอบคุณข้อมูล :istockแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/women/210513/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X