คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ห้องแสดงนิทรรศการ

สาวก Hello Kitty ห้ามพลาด! “Hello Kitty Exhibition” ฉลองครบรอบ 50 ปีสุดยิ่งใหญ่

13/08/2024

เซ็นทรัล ชวนสาวก Hello Kitty มาสัมผัสกับความน่ารักของ Hello Kitty พร้อมเหล่าเพื่อนซี้จาก Sanrio ที่รอต้อนรับบรรดาแฟนคลับได้มาเก็บภาพความประทับใจ หลงใหลไปกับทุกห้วงของความสุข สนุกสนานกันแบบจุใจ และฟินไม่รู้ลืม กับการร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition” ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา เปิดตัวอีเวนต์ฮอลล์ใหม่ล่าสุด centralwOrld Pulse ชั้น 7 รองรับนิทรรศการระดับนานาชาติใจกลางเมือง จุผู้เข้าชมกว่า 2,000 คน ประเดิมงานแรกชวนร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี เฮลโล คิตตี้ (Hello Kitty) ควงแขนเหล่าเพื่อนซี้จากซานริโอ้ (Sanrio) มอบความน่ารักระดับตำนานครั้งแรกในประเทศไทยร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”โดยงานนี้ทุกคนจะได้มาสัมผัสกับ 2 นิทรรศการที่มาในรูปแบบ Immersive Exhibition มอบประสบการณ์สุดพิเศษที่จะทำให้ผู้เข้าร่วมงานได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลปะ มีส่วนร่วมราวกับหลุดเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการ พร้อมแล้วที่จะเปิดประตูต้อนรับแฟนคลับทุกวัยให้เข้าไปผจญภัยในโลกใหม่ เตรียมตัวให้พร้อม และมาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์สุดพิเศษ กับความน่ารักแบบเกินต้านของ Hello Kitty ที่จะมาในชุดไทยสุดหวาน พร้อมกับผองเพื่อนตัวกระตูนดังจาก Sanrio ที่เรียกได้ว่า ยกขบวนมาแข่งกันน่ารักให้ใจละลาย รอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่โลกแห่งความสุข สนุกสนาน และประทับใจไม่รู้ลืม ผ่านเทคโนโลยีล้ำสมัย อาทิ Immersive, Mapping, Interactive และ Kaleidoscope ช่วยสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนๆ ทุกวัย รับรองได้เลยว่าจะโดนตกด้วยความน่ารักของน้อง ๆ อย่างแน่นอนร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”นอกจากนี้ ไฮไลต์ภายในงาน ประกอบด้วย• Hello Kitty Exhibition: Celebration of Friendship: ร่วมฉลองครบรอบ 50 ปีของ Hello Kitty ผ่านเรื่องราวสุดประทับใจ และโซนกิจกรรมอินเทอร์แอคทีฟมากมาย• Sanrio Characters Funtastic Exhibition: ตะลุยโลกแห่งความสนุกของเหล่าตัวละคร Sanrio สุดฮิต อาทิ Kuromi, My Melody, Hangyodon และอีกมากมายร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”• FUNtastic Exhibition Café: อิ่มอร่อยกับเมนูพิเศษ จากทางร้าน Casa lapin พบเมนูพิเศษที่สร้างสรรค์โดยเฉพาะสำหรับงานครั้งนี้ ทั้งเครื่องดื่มและเบเกอรี่ พร้อมกับมาสะสมปลอก สวมแก้ว (Cup sleeve) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับงานนิทรรศการนี้เท่านั้น• โซนสินค้าลิขสิทธิ์: ช้อปสินค้าสุดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อ Hello Kitty ครบรอบ 50 ปี และเหล่าผองเพื่อน Sanrio ที่มีจำหน่ายเฉพาะในงานนี้ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”สัมผัสความมหัศจรรย์ของ Hello Kitty และผองเพื่อน Sanrio ได้ที่ centralwOrld Pulse ชั้น 7 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ทางเข้าอยู่ระหว่างร้าน MK และ Sushiro งานจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ - 10 พฤศจิกายน 2567 แบ่งเวลาในการเข้าชมออกเป็นรอบ รอบละ 1 ชั่วโมง ได้แก่ รอบ 11.30 น. / 12.30 น. / 13.30 น./ 14.30 น./ 15.30 น./ 16.30 น./ 17.30 น./ 18.30 น./ 19.30 น. ราคาบัตรเข้าชม Hello Kitty Exhibition ราคา 590 บาท และ Sanrio Characters Funtastic Exhibition ราคา 590 บาท หรือซื้อบัตรเข้าชมทั้ง 2 นิทรรศการพร้อมกันในราคาเพียง 1,100 บาท ช่องทางการจำหน่ายบัตรที่ : www.icvticket.com หรือเค้าท์เตอร์จำหน่ายบัตรหน้างานร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ติดตามความเคลื่อนไหวของงาน และการอัพเดทกิจกรรมดีๆตลอดทั้งปี ได้ที่ Facebook, Instagram, X, Tiktok: Central Pattana หรือ https://www.centralpattana.co.th/th/ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”ร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ในงาน “Hello Kitty Exhibition”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000073475

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ภูเขา “โจโมลฮารี” (Mount Chomolhari) เทพธิดาแห่งเทือกเขาหิมาลัย

13/08/2024

โจโมลฮารี (Jomolhari หรือ Chomolhari) บางครั้งเรียกว่า "เจ้าสาวของ Kangchenjunga" หรือภูเขาเทพธิดา เป็นภูเขาในเทือกเขาหิมาลัย คร่อมพรมแดนระหว่างเขต Yadong ของทิเบต ประเทศจีน และเขต Thimphu ของประเทศภูฏาน ทางด้านทิศเหนือมีความสูงกว่า 2,700 เมตร ลักษณะแบบที่ราบแห้งแล้ง โดยภูเขาแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำปาโรชู (แม่น้ำปาโร) ซึ่งไหลมาจากทิศใต้ และแม่น้ำอาโมชูซึ่งไหลมาจากทางด้านเหนือภูเขานี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวพุทธในทิเบตที่เชื่อว่าเป็นที่พำนักของหนึ่งในห้าพี่น้องเชอริงมา (jo mo tshe ring mched lnga) เทพีผู้พิทักษ์หญิง (โจโม) แห่งทิเบตและภูฏาน ผู้ถูกผูกมัดภายใต้คำสาบานโดย ปัทมสัมภวะ เพื่อปกป้องแผ่นดิน พุทธศาสนิกชน และผู้คนในท้องถิ่นทางฝั่งภูฏานมีวัดโจโมลฮารี ไปทางทิศใต้ของภูเขา ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งวันจากด่านชายแดน ผู้ประกอบศาสนกิจและผู้แสวงบุญที่มาเยือนจะพักที่วัดแห่งนี้ โดยมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีกหลายแห่งใกล้กับวัดโจโมลฮารี รวมถึงถ้ำนั่งสมาธิมิลาเรปา และกยัลวา โลเรปา นอกจากนี้ที่ระดับความสูงประมาณ 4,450 เมตร มี Tseringma Lhatsoหรือ "ทะเลสาบแห่งจิตวิญญาณ"ส่วนในทิเบต มีการแสวงบุญประจำปีจากปากรีไปยังทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตั้งอยู่ที่ประมาณระดับความสูง 5,100 เมตรทางเหนือของภูเขาสำหรับฤดูร้อนในเดือนสิงหาคม บริเวณแนวเขาแห่งนี้จะงดงามละลานตาไปด้วยทุ่งดอกไม้หลากสี กับผืนน้ำใสที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าสีครามภาพ: สำนักข่าวซินหัว - ภูเขา “โจโมลฮารี” ถ่ายจากเขตปกครองตนเองทิเบต (ซีจ้าง) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000072668

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าสนับสนุนทีมสโมสรชลบุรี เอฟซี พร้อมร่วมงานเปิดฤดูกาลใหม่ 2024-2025

13/08/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวญดา วงศ์ทองคำ รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสิทธิพิเศษและกิจกรรมลูกค้า ร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวสโมสรชลบุรี เอฟซี  สู้ศึกฤดูกาล 2024-2025 ภายใต้แคมเปญ “11 States One Stand : ต่างที่มาศรัทธาเดียวกัน” ฉลองครบรอบ 24 ปี ช้าง-ฉลามชล อย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะที่เอไอเอประเทศไทย เป็นผู้สนับสนุนหลักของสโมสรชลบุรี เอฟซี ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 13 ปี เพื่อเป้าหมายในการมุ่งส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนไทยได้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ผ่านกีฬาฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมของคนไทย ซึ่งนอกเหนือจากงานแถลงข่าวดังกล่าว ทางสโมสรฯ ยังได้จัดงานเลี้ยง เพื่อขอบคุณแฟนบอล ในงาน ”ฉลามชล คนกันเอง” ท่ามกลางแฟนบอล และพี่น้องประชาชนชาว จ.ชลบุรี ที่ให้ความสนใจ เดินทางเข้ามาร่วมงานอย่างล้นหลาม ภายในงาน ได้รับเกียรติ จาก “บิ๊กป๊อก” คุณวิทยา คุณปลื้ม ประธานสโมสร, คุณอรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสร, สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ผู้จัดการทีม, “โค้ชกบ” พิภพ อ่อนโม้ หัวหน้าผู้ฝึกสอน พร้อมด้วย ผู้บริหารจากองค์กรธุรกิจ และสินค้าชั้นนำของเมืองไทยที่ให้การสนับสนุน โดยงานจัดขึ้น ณ ศรีราชา ฮอลล์ ชั้น 4 ศูนย์การค้า เซ็นทรัล ศรีราชา จังหวัดชลบุรี  เมื่อวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

อยากเก่งต้องอยู่ใกล้คนเก่ง เราจะเหมือนคน 5 คนที่เราใช้เวลาด้วยมากที่สุด

09/08/2024

  •  หนึ่งในคำแนะนำสู่การประสบความสำเร็จ ที่มักจะได้ยินอยู่บ่อยครั้งก็คือ “ให้พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนเก่งๆ” แล้วทำไมมันถึงช่วยได้?  •  หนึ่งในคำตอบก็คือ เราจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขา รับข้อมูลเชิงลึกบางอย่าง ที่หากเราจะเรียนรู้ด้วยตัวเอง อาจต้องใช้เวลาหลายปี  •  อีกทั้ง การได้อยู่กับคนเก่งๆ ยังทำให้คุณคิดบวก มีกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) มองหาวิธีปรับปรุงตนเองเสมอ ไม่กลัวเสี่ยง กล้าลองสิ่งใหม่ๆ ดังนั้นจึงทำให้คุณมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากขึ้นหากอยากทำงานเก่งขึ้นหรืออยากเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากขึ้น หนึ่งในคำแนะนำที่เรามักจะได้ยินอยู่บ่อยครั้งก็คือ “ให้พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนเก่งๆ” ..แล้วทำไมการทำแบบนั้นถึงช่วยให้วัยทำงานพัฒนาตนเองจนเก่งขึ้นได้? เรื่องนี้มีคำตอบจาก สก็อตต์ โจเซฟ (Scott Joseph) โค้ชด้านการเสริมศักยภาพความเป็นเลิศของผู้ประกอบการ และผู้ก่อตั้งบริษัท มีพลัส อัลตร้า ผู้ให้บริการที่ปรึกษาด้านการพัฒนาองค์กร ได้อธิบายแนวคิดนี้ไว้ว่า เมื่อคนเราทำงานมาได้สักระยะหนึ่ง เราจะเติบโตขึ้นทั้งในชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน โดยสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดตัวตน ทัศนคติ ความเชื่อ และการกระทำของเราในระหว่างการเติบโตนั้นก็คือ “ผู้คนที่อยู่รอบตัวเรา” นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมการถูกรายล้อมไปด้วยคนที่เก่งกว่าหรือดีกว่าเราจึงเป็นเรื่องสำคัญ“คนเก่ง” ในที่นี้คือ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าเรา มีประสบการณ์ในสาขาของตนมากกว่าเรา การนำพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางบุคคลเหล่านี้ เราจะสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขา รับข้อมูลเชิงลึก และได้รับความรู้บางอย่างที่หากเราจะเรียนรู้ด้วยตัวเอง อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะรู้แจ้งเห็นจริงได้แบบคนเหล่านั้นยกตัวอย่างเช่น การเป็นผู้ประกอบการที่มีความมุ่งมั่นอย่างเดียวอาจยังไม่พอ แต่การพาตัวเองไปอยู่รายล้อมไปด้วยผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ (โดยเฉพาะผู้ที่สร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น) จะเป็นประโยชน์ต่อคุณอย่างเหลือเชื่อ ผู้ประกอบการเหล่านั้นสามารถให้คำแนะนำอันมีค่าเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการเริ่มต้นธุรกิจ พวกเขายังสามารถแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองและช่วยคุณหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดบางจุดได้เหมือนดั่งสุภาษิตโบราณวลีหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า “ตัวตนของคุณได้รับอิทธิพลมาจากคน 5 คนที่คุณใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุด”สุภาษิตดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงคำพูดที่ติดหูเท่านั้น แต่ยังได้รับการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า คนรอบตัวคุณมีผลกระทบสำคัญต่อความสำเร็จและความสุขของคุณ คุณสามารถยกระดับชีวิตของคุณเองและบรรลุความสำเร็จในระดับสูงขึ้น ได้โดยการอยู่ท่ามกลางบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากกว่าคุณได้จริง ซึ่งสก็อตต์ โจเซฟ ได้อธิบายให้เห็นภาพละเอียดและชัดเจนมากขึ้น ดังนี้  •  คนเก่งๆ หรือคนที่ประสบความสำเร็จ เป็นแบบอย่างที่ดีได้พวกเขาสามารถทำหน้าที่เป็นแบบอย่างได้ เมื่อคุณเห็นใครสักคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือชีวิตส่วนตัว สิ่งนั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจและให้ความรู้สึกถึงสิ่งที่เป็นไปได้ สิ่งนี้สามารถส่งผลกระทบได้อย่างไม่น่าเชื่อ หากคุณอยู่ในสาขาที่คล้ายคลึงกันหรือมีเป้าหมายที่คล้ายกัน เนื่องจากพวกเขาสามารถเป็นแนวทางสำหรับสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อไปยังจุดที่คุณต้องการได้ ด้วยการอยู่ท่ามกลางคนที่ประสบความสำเร็จ คุณสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขา ขอคำแนะนำ และรับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำเพื่อประสบความสำเร็จ  •  คนเก่งจะช่วยให้คุณมีเครือข่ายและให้การสนับสนุนคุณได้พวกเขาสามารถช่วยคุณสร้างเครือข่ายได้ ผู้คนที่อยู่รอบตัวคุณสามารถแนะนำโอกาสใหม่ๆ ให้กับคุณ สร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า และช่วยคุณสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่สามารถช่วยเหลือคุณในด้านอาชีพการงานหรือชีวิตส่วนตัวได้ เมื่อคุณอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ จะเป็นการเพิ่มโอกาสให้คุณได้รับโอกาสใหม่ๆ และสร้างความสัมพันธ์อันมีค่า นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายได้  •  คนที่ประสบความสำเร็จจะดึงให้คุณคิดบวกไปด้วยกันพวกเขามีแนวโน้มที่จะคิดบวกและมีกรอบความคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ตามธรรมชาติของคนที่มีกรอบความคิดแบบนี้ พวกเขามักจะมองหาวิธีปรับปรุงตนเองในทุกๆ สถานการณ์อยู่เสมอ ไม่กลัวที่จะเสี่ยง และกล้าลองสิ่งใหม่ๆ ดังนั้น การถูกรายล้อมไปด้วยคนประเภทนี้จะทำให้คุณมีทัศนคติที่คล้ายคลึงกัน และมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากขึ้น คุณจะสามารถเรียนรู้วิธีการมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และวิธีฟื้นตัวจากความล้มเหลว ซึ่งจำเป็นสำหรับความสำเร็จในอาชีพการงานทุกสาขา  •  คนที่ประสบความสำเร็จ ทำให้คุณมีแรงบันดาลใจ มีความมุ่งมั่นกับเป้าหมายชัดเจนการอยู่ร่วมกับคนที่ประสบความสำเร็จช่วยให้คุณมีแรงบันดาลใจ เมื่อคุณเห็นผู้อื่นก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ อาจเป็นเรื่องง่ายที่จะท้อแท้ เพราะอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับตนเอง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ก้าวหน้าในการแสวงหาความรู้ มันสามารถช่วยให้คุณมีแรงบันดาลใจ และมุ่งความสนใจไปที่เป้าหมายของคุณได้ คุณสามารถดูเป็นแบบอย่างได้โดยตรงว่าอะไรเป็นไปได้ และอะไรคือสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น  •  แล้วเราจะสามารถนำพาตัวเองเข้าไปหาคนเก่งๆ หรือคนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไร?ขั้นตอนแรกคือ ให้ระบุคนที่คุณรู้สึกประทับใจหรือชื่นชอบในความสามารถ แนวคิด และการทำงานของพวกเขา จนทำให้คุณอยากที่จะพาตัวเองเข้าไปสู่วงโคจรของบุคคลเหล่านั้น โดยอาจเป็นคนที่คุณรู้จักเป็นการส่วนตัว เป็นคนที่คุณชื่นชมจากระยะไกล หรือแม้แต่คนที่คุณยังไม่เคยพบมาก่อน เมื่อคุณระบุคนที่คุณชื่นชอบได้แล้ว จากนั้นคุณต้องเริ่มสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา เช่น การติดต่อและขอคำแนะนำผ่านทางอีเมล การเข้าร่วมหรือเข้าร่วมกิจกรรมที่พวกเขาจะไป หรือเพียงแค่ติดตามพวกเขาและมีส่วนร่วมกับพวกเขาบนโซเชียลมีเดีย ฯลฯ การสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านี้อาจต้องใช้เวลา แต่ก็คุ้มค่ากับความพยายาม อีกวิธีหนึ่งในการอยู่ท่ามกลางคนที่ประสบความสำเร็จก็คือ การเข้าร่วมองค์กรหรือกลุ่มงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายและความสนใจของคุณ นี่อาจเป็นองค์กรวิชาชีพ กลุ่มเครือข่าย หรือแม้แต่ชุมชนออนไลน์ ด้วยการเข้าร่วมกลุ่มประเภทนี้ คุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้คนที่เก่งกว่าคุณ รวมถึงผู้ที่มีความสนใจและเป้าหมายคล้ายกันสุดท้ายนี้สิ่งสำคัญคือ ให้จำไว้ว่าการอยู่รายล้อมตัวเองกับคนที่ทำได้ดีกว่าคุณนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่เป็นการเรียนรู้จากพวกเขาและเติบโตในฐานะบุคคล ดังนั้น จงใช้เวลาไตร่ตรองว่าทำไมคุณถึงอยากอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้ และสิ่งที่คุณหวังว่าจะได้รับจากสภาพแวดล้อมนี้ จากนั้นพยายามเข้าหาคนที่คุณชื่นชมและสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขาเพื่อเรียนรู้ให้ได้มากที่สุด แล้วคุณจะได้รับประโยชน์จากประสบการณ์ของพวกเขา นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายทางอาชีพการงานของคุณได้ในที่สุดแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1130272

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

เคลมประกันสุขภาพพุ่ง ธุรกิจดิ้นแก้ปมค่ารักษาแพง

09/08/2024

ที่ผ่านมา ธุรกิจประกันภัยค่อนข้างจะประสบปัญหาเกี่ยวกับการเคลม “ประกันสุขภาพ” ที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก จากค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น จนภาคธุรกิจหนักใจ และพยายามหาทางแก้ปัญหามาตลอด3 ปมสำคัญดันเคลมพุ่งนางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต ในฐานะนายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า สมาคมให้ความสำคัญกับเบี้ยประกันสุขภาพและเคลมที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาล ซึ่งขณะนี้มีความท้าทายอยู่มากโดยช่วงที่ผ่านมาสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกันทำงานเพื่อหาทางควบคุมไม่ให้ค่ารักษาพยาบาลปรับตัวขึ้นเร็ว เพราะมีผลต่ออัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) จากการประกันสุขภาพที่สูง แต่ในที่สุดก็ดูเหมือนทำได้ยาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาล (Medical Inflation) ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี แต่ไม่สามารถควบคุมได้“ต้องยอมรับว่าอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นทุกปีระดับ 7-17% บางประเทศอาเซียนวิ่งขึ้นไปสูงถึง 25% ซึ่งถือเป็นปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นในหลายประเทศและควบคุมได้ยากมาก ประกอบกับภาคธุรกิจประกันชีวิตเจอปัญหาการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนด้วยโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ที่สูงจนน่ากังวล รวมทั้งยังมีปัญหาการฉ้อฉลประกันภัย หรือ Moral Hazard เพราะฉะนั้น ถ้าธุรกิจจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนต้องบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ ในที่สุดคงจะไม่ต่างจากประเทศสิงคโปร์ ที่อาจจะต้องมีการบังคับใช้กรมธรรม์ประกันสุขภาพแบบมีส่วนร่วมจ่าย (Copayment)”นางนุสรากล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สมาคมพยายามพูดคุยกับทาง คปภ. ในการกำหนดหลักเกณฑ์แต่ละระดับของอัตราค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio) ของการประกันสุขภาพที่เกิดขึ้นว่าควรจะมีการปรับเบี้ยประกันสุขภาพได้เป็นรายบุคคล เพื่อลดผลกระทบต่อการปรับเบี้ยประกันสุขภาพโดยรวมเร่งหาข้อสรุป “Copayment”นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต ในฐานะอุปนายกฝ่ายการตลาด สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า เบื้องต้นแนวทางที่สมาคมพยายามดำเนินการอยู่ในขณะนี้คือการให้องค์ความรู้กับประชาชนว่าการเบิกเคลมประกันสุขภาพต้องไม่ใช้มากเกินไป (Overused) ควรยึดความจำเป็นทางการแพทย์และมาตรฐานทางการแพทย์ซึ่งสิ่งที่เคลมกันหนักสุดช่วงที่ผ่านมาคือ โรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป เช่น ไอ, เป็นหวัด, ไข้, ท้องเสีย, ปวดท้อง ซึ่งอาจจะดูลักษณะเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) คือไม่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ส่วนใหญ่ใช้สิทธิในลักษณะเป็นผู้ป่วยใน (IPD) คือนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งเป็นอัตราการเบิกเคลมประกันสุขภาพที่สูงมากนอกจากนี้ สมาคมกำลังหารือ คปภ. ว่าเป็นไปได้หรือไม่ภายใต้กฎหมายมาตรฐานประกันสุขภาพแบบใหม่ (New Health Standard) ที่กำหนดไว้ว่า หากผู้เอาประกันมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนด้วยโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป เกินระดับ 200% ขึ้นไป และเบิกเคลม 3 ครั้งติดต่อกันในปีกรมธรรม์ จะให้มีการบังคับใช้ให้ผู้เอาประกันมีส่วนร่วมจ่าย กับตัวบุคคลนั้น ๆ ได้สูงถึงระดับ 30%ซึ่งเป็นทางออกที่ดี เพราะไม่เช่นนั้นทั้งพอร์ตประกันสุขภาพจะโดนผลกระทบในการถูกปรับเบี้ย หรือนอกจากมาตรการ Copayment เป็นไปได้หรือไม่ในการเพิ่มเบี้ยเป็นรายบุคคลที่เบิกเคลมประกันด้วยโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไปมากเกินไป (Overclaim)“ปัจจุบันสมาคมโดยอนุคณะที่ปรึกษาทางการแพทย์มีการศึกษาเรื่องนี้อยู่ว่าอะไรคือหลักการที่เหมาะสมที่สุด ขณะเดียวกันได้ตั้งคณะทำงานร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสำนักงาน คปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ซึ่งขอเน้นย้ำว่าต้องหาความสมดุลให้กับผู้เอาประกันด้วย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นปีนี้”นายสาระกล่าวว่า กรณีของมาตรการ Copayment ในปัจจุบัน หากบริษัทประกันชีวิตรายใดมีความประสงค์จะดำเนินการก็สามารถยื่นขอ คปภ.ได้เลย แต่ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบยังไม่มีบริษัทรายใดขอใช้ และมาตรการ Copayment ที่นำมาใช้จะไม่ใช่บังคับใช้ได้ตลอดไป หากผู้เอาประกันรายนั้นมีอัตราส่วนของการเคลมดีขึ้น ก็จะค่อย ๆ ยกเลิกบังคับใช้ออกไปต้องจัดการปัญหา “ฉ้อฉล”นายบัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรูเด็นเชียลประกันชีวิต ในฐานะอุปนายกฝ่ายบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เคลมประกันสุขภาพสูง คือการฉ้อฉลประกันภัยที่ทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งไม่ใช่แค่ต่อตัวบริษัทประกัน แต่ส่งผลต่อผู้เอาประกันทุกคนต้องจ่ายเบี้ยแพงขึ้นด้วย โดยตอนนี้สมาคมกำลังยกระดับตรวจสอบในระดับลูกค้าจนถึงตัวกลางในการนำเสนอขายประกันสุขภาพในทุกช่องทาง ทั้งแบบรายบุคคลและประกันกลุ่ม ทั้งนี้ หากจัดการปัญหาได้ก็จะลดความกังวลเรื่องการขึ้นเบี้ยไปได้“ขณะนี้สมาคมและบริษัทประกันชีวิตยังไม่สามารถแชร์ข้อมูลให้กันได้ ตามกฎหมาย PDPA จึงไม่สามารถทราบได้ว่าลูกค้าแต่ละคนมีประกันเท่าไหร่ แม้ในแบบฟอร์มมีระบุให้ลูกค้าต้องกรอกข้อมูล แต่ลูกค้าจำนวนหนึ่งอาจจะปกปิดได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้พยายามพูดคุยกับ คปภ. ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลในระบบฐานข้อมูลกลางประกันภัย (Insurance Bureau) หาก คปภ.มีการแชร์ข้อมูลเบื้องต้น อาทิ นาย ก. ที่จะทำประกันกับบริษัท มีทุนประกันโดยรวมเท่าไร ทางบริษัทประกันก็อาจจะดูในแง่ของความเหมาะสมกับเรื่องของรายได้ เพื่อลดการเกิด Moral Hazard”ตั้งไข่ “Insurance Bureau”นายพิชา สิริโยธิน ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2567 บริษัทประกันชีวิตได้มีการเริ่มนำส่งข้อมูลลูกค้ารายใหม่ให้กับ คปภ. เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในระบบฐานข้อมูลกลางประกันภัย (Insurance Bureau) ไปแล้วและทาง คปภ.ตั้งเป้าว่า ประมาณช่วงกลางปี 2568 ควรจะต้องส่งข้อมูลลูกค้ารายเก่าหรือลูกค้าที่มีการต่ออายุกรมธรรม์เข้าไปด้วย เพื่อรวบรวมข้อมูลและแชร์ข้อมูลบางประเภทกลับมาให้ภาคธุรกิจเพื่อเห็นภาพเทรนด์ต่าง ๆ แต่คงจะต้องประเมินกรอบภายใต้กฎหมาย PDPA ต่อไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1624136

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

นิทรรศการจิตรกรรมแห่งดอกไม้บนผืนผ้าใบ สัญลักษณ์แห่งการประทานพรและความปีติยินดี

09/08/2024

เซ็นทรัล : ดิ ออริ จินัล สโตร์ (Central: The Original Store) ศูนย์รวมวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เป็นต้นกำเนิดร้านค้าปลีกแห่งแรกของกลุ่มเซ็นทรัล จัดนิทรรศการจิตรกรรมภาพสีน้ำมัน “เทวี ลีลา มาลี” งานแสดงผลงานเดี่ยวของ รศ.(พิเศษ) ระพี ลีละสิริ หรือที่รู้จักในนาม “ระพี ลีลา” ศิลปินมากฝีมือ ผู้นำความงามตามธรรมชาติของดอกไม้นานาพรรณมาเนรมิตให้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทานพรและความปีติยินดี ที่จะพาคุณท่องโลกแห่งดอกไม้ สัมผัสความงามอันบริสุทธิ์และนิรันดร์ไฮไลต์ของนิทรรศการพบกับผลงานชิ้นเอก “เทวีเจ็ดพระองค์” ที่ทรงโปรยดอกไม้มงคลนานาชนิดเพื่อประทานพรแก่ผู้ชม อาทิ ดอกโบตั๋น ดอกทานตะวัน ดอกบัวหลวง ดอกบัวจงกลนี ดอกปีบ ดอกผักตบชวา ดอกทับทิม ดอกมณฑา ดอกพวงคราม ดอกพวงชมพู ดอกจำปา ดอกกุหลาบ ดอกเบญจมาศ ดอกกล้วยไม้แคทลียา ดอกกล้วยไม้รองเท้านารี ดอกกล้วยไม้กระโปรงแหม่ม ดอกซากุระ ดอกค้างคาว ดอกหน้าวัว ดอกเสาวรส ดอกเข็ม ดอกป๊อปปี้ และดอกไม้อื่นๆอีกมากมาย ซึ่งศิลปิน ระพี ลีลา ใช้เทคนิคการใช้เกรียงวาดภาพสีน้ำมันอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่สะท้อนถึงความบริสุทธิ์ ความสง่างาม และพรจากสรวงสวรรค์ ด้วยสีสันสดใสและรายละเอียดที่ประณีต รูปหมู่มวลดอกไม้ในผลงานแต่ละชิ้นแสดงถึงการผสมผสานจินตนาการและการแสดงออกทางศิลปะอย่างลงตัวสัมผัสความงามของภาพวาดดอกไม้นานาพรรณ กว่า 45 ชิ้น ที่ศิลปินได้บรรจงเก็บรายละเอียดอันซับซ้อนไว้ครบถ้วน ทั้งส่วนดอกและใบ ผลงานบางชิ้นนำเสนอภาพดอกไม้หายากและแปลกตา ในนิทรรศการแสดงผลงานเดี่ยว “เทวี ลีลา มาลี” ตั้งแต่วันนี้ถึง 1 ก.ย. 67 นี้ ณ เซ็นทรัล สเปซ ชั้น 3 ที่เซ็นทรัล ดิ ออริจินัล สโตร์ วันอังคารถึงอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/2802969

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

อุทยานแห่งชาติแลงคอยส์ มารานฮานส์ (Lencois Maranhenses National Park) มรดกโลกแห่งใหม่ของบราซิล

09/08/2024

ดินแดนทะเลทรายขาวเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตาทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ครอบคลุมกว่า 1,500 ตารางกิโลเมตร บนชายฝั่งตะวันออกของ Maranhão ในเขตเปลี่ยนผ่านระหว่างชีวนิเวศบราซิล 3 แห่ง ได้แก่ Cerrado, Caatinga และ Amazon ซึ่งเป็นพื้นที่มากกว่าครึ่งหนึ่งประกอบด้วยเนินทรายชายฝั่งสีขาวที่มีทะเลสาบสีครามอันงดงามPhoto: Adri Felden / Argosfotoนอกเหนือจากบทบาทสำคัญของการเป็นพื้นที่อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว อุทยานแห่งนี้ยังมีคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์และธรณีวิทยาที่มีความสำคัญระดับโลก ตามแนวชายฝั่งยาว 80 กิโลเมตร โดยมีชายหาดตามมาด้วยที่ราบ สายลมที่พัดผ่านทำให้เกิดเนินทรายเป็นแนวยาวซึ่งเต็มไปด้วยในฤดูฝนเพื่อสร้างทะเลสาบหลากหลายสีสัน รูปร่าง ขนาด และความลึก ที่แตกต่างกันไปPhoto: Adri Felden / Argosfotoทัศนียภาพที่ดีที่สุดจะปรากฏขึ้น เมื่อทะเลสาบมีปริมาณน้ำสูงทำให้เกิดความงามที่หาชมได้ยาก เนินทรายทั้งที่มั่นคงและเนินทรายที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ถือเป็นเนินทรายขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ นำเสนอหลักฐานอันน่าทึ่งเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเนินทรายชายฝั่งตลอดยุคควอเทอร์นารีPhoto: Adri Felden / Argosfotoอุทยานฯ แลงคอยส์ มารานฮานส์ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากกว่าแสนคนต่อปี และเพิ่งได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโก ในเดือนกรกฎาคม 2024Photo: Adri Felden / ArgosfotoPhoto: Marcos Issa/Argosfotoแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000064282

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัวหนังโฆษณาใหม่ล่าสุด ชวนวัย Gen Z วางแผนชีวิตเพื่อความสุขและความมั่นคงในอนาคต

08/08/2024

กรุงเทพฯ 8 สิงหาคม 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัวหนังโฆษณาใหม่ล่าสุด ในชื่อชุด “อาตี๋จอมห่วย ปะทะวันรวมญาติ” มุ่งเจาะกลุ่มวัย Generation Z (Gen Z) ซึ่งเกิดระหว่างปี พ.ศ. 2541 - 2565 โดยวัยรุ่นกลุ่มนี้ถือได้ว่าเป็น “อนาคตของชาติ” ที่กำลังเติบโตมากับบริบทสังคมยุคใหม่ที่เปลี่ยนผันเข้าสู่ยุคดิจิทัลแบบเต็มตัว และยังเป็นกลุ่มคนที่มีแนวโน้มที่จะมีอายุขัยยืนยาวขึ้นอีกด้วย ซึ่งจากสถิติตลอด 6 ทศวรรษที่ผ่านมา คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 4.4 เดือนต่อปี และคาดการณ์ว่าคนไทยที่เกิดในปี พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา มีโอกาสที่จะมีอายุเฉลี่ยถึง 90 ปี หรือบางคนอาจมีอายุยืนยาวไปถึง 100 ปี ดังนั้น เอไอเอ ประเทศไทย ในฐานะผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพ จึงต้องการมีส่วนสนับสนุนให้วัยรุ่น Gen Z มีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ พร้อมกับมีความสุขทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives”นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “กลุ่มคน Gen Z เป็นกลุ่มที่รักอิสรภาพในตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มีความมั่นใจ กล้าแสดงออก และต้องการประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่สามารถทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งจากผลวิจัย กลุ่มวัย Gen Z จะมองภาพอนาคตในระยะสั้น ๆ หรือโฟกัสแต่ปัจจุบัน ทำให้ขาดการวางแผนเพื่ออนาคตในระยะยาว ซึ่งเอไอเอ เข้าใจ และเดินตามพันธกิจที่ตั้งไว้ โดยมุ่งสนับสนุนให้คนไทยและคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกว่าหนึ่งพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านหนังโฆษณาที่จะชวนให้เหล่า Gen Z มาวางแผนชีวิตและการเงินเพื่อความสุขและอนาคตที่มั่นคง “สำหรับการออกหนังโฆษณาชุดนี้ ยังมีส่วนสำคัญในการเปิดให้กลุ่มวัย Gen Z ได้เข้าถึงการประกันชีวิตและสุขภาพมากยิ่งขึ้น เพราะประกันชีวิตและสุขภาพถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความมั่นคงได้ในระยะยาว อีกทั้งยังช่วยป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด เพื่อให้วัย Gen Z ได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยมีประกันชีวิตและสุขภาพคอยดูแล” นายเอกรัตน์ กล่าวเสริมนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า “หนังโฆษณาชุดนี้ถือได้ว่าฉีกแนวจากที่เอไอเอเคยทำมาก่อน เพราะเราใช้ Insights และ Creative idea จากคนวัย Gen Z จริง ๆ มาสร้างสรรค์เป็นโฆษณาชุดนี้ออกมา โดยเนื้อหาของหนังโฆษณาเป็นการเล่าถึง “อาตี๋” วัยใกล้ 30 ปีที่ยังใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน ไม่ได้คิดถึงอนาคต แต่เมื่อต้องมางานรวมญาติ ซึ่งเหมือนเป็นฝันร้ายของอาตี๋ เพราะจะต้องถูกอาม่าและญาติ ๆ ตั้งคำถามถึงความสำเร็จในชีวิต หนังโฆษณาชุดนี้จึงจะสะท้อนให้เห็นว่า การที่อาตี๋ยังไม่ประสบความสำเร็จในวันนี้ แต่ก็ไม่ช้าเกินไปที่อาตี๋จะเริ่มต้นวางแผนเพื่ออนาคต ซึ่งเอไอเอ อยากมีส่วนช่วยดูแลและสนับสนุนให้วัย Gen Z ที่เป็นอนาคตของชาติ ได้เริ่มวางแผนชีวิต สุขภาพ และการเงินอย่างชาญฉลาด เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตที่เหลืออย่างไร้ความกังวลได้อีกยาวนาน”  ติดตามชมหนังโฆษณาชุด “อาตี๋จอมห่วย ปะทะวันรวมญาติ” ได้แล้ววันนี้ผ่านสื่อออนไลน์ของเอไอเอ ประเทศไทย ทั้ง AIA Official Facebook Page, AIA Thailand YouTube Channel และ Line Official Account ซึ่งสามารถคลิกลิงก์ https://youtu.be/tL4WrW_FNco?si=J2sRG_tzSwfEMtrP หรือสแกน QR Code เพื่อรับชมหนังโฆษณานอกจากนี้ เอไอเอ ยังอยากเชิญชวนทุกคนมาร่วมสนุกกับกิจกรรม Interactive Game บนเว็บไซต์ https://www.livingto100.io ที่จะให้ทุกคนได้ลองคิดดูสิว่า “ความสุขของคุณคือการใช้ชีวิตที่เหลืออีกยาวนานไปกับอะไร?” พร้อมกิจกรรมเพื่อลุ้นรับรางวัลอีกมายมาย ติดตามรายละเอียดได้ทาง AIA Official Facebook Pageหมายเหตุ:*ข้อมูลจากงานวิจัยทัศนคติของกลุ่มเจนเนอเรชัน Z ต่อการประสบความสำเร็จ โดยวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์**ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาทำความเข้าใจรายละเอียดข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครอง รวมทั้งข้อยกเว้นไม่คุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเงื่อนไขที่เอไอเอประกาศ ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าแคมเปญ “AIA+ Go Green” ปักหมุดภารกิจ ESG ครั้งสำคัญ ตั้งเป้าเปลี่ยน 100,000 กรมธรรม์ ให้เป็นต้นไม้ 10,000 ต้น ภายในปี 2567

07/08/2024

เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าแคมเปญ “AIA+ Go Green” ปักหมุดภารกิจ ESG ครั้งสำคัญ ตั้งเป้าเปลี่ยน 100,000 กรมธรรม์ ให้เป็นต้นไม้ 10,000 ต้น ภายในปี 2567พร้อมต่อยอดแคมเปญ ภายใต้สโลแกน “ลดการพรินต์ เพิ่มการปลูก สู่หมื่นต้นกับ AIA+” ชวนลูกค้าลดใช้กระดาษ หันมาใช้ e-Document และ e-Receipt บนแอปพลิเคชัน AIA+AIA+ (เอไอเอ พลัส)​ แอปพลิเคชันที่​รวมทุกบริการจาก เอไอเอ เพื่อความสะดวกในการจัดการกรมธรรม์แบบครบวงจรตามสโลแกน "แอปเดียวจบ ครบทุกบริการ" เปิดตัวแคมเปญ ESG ครั้งใหญ่ "AIA+ Go Green" ภายใต้สโลแกน "ลดการพรินต์ เพิ่มการปลูก สู่หมื่นต้นกับ AIA+" เชิญชวนผู้ถือกรมธรรม์หันมาดำเนินธุรกรรมไร้กระดาษบนแอปพลิเคชัน  AIA+ กับบริการ e-Document และ e-Receipt โดยตั้งเป้าหมาย 100,000 กรมธรรม์ ภายในสิ้นปี 2567 โดยทุกๆ 10 กรมธรรม์ เอไอเอ จะช่วยปลูกต้นไม้ 1 ต้น เพื่อนำไปสู่การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย ด้วยการปลูกต้นไม้รวม10,000 ต้นแคมเปญ AIA+ Go Green เป็นการเดินหน้าตามนโยบาย ESG ของ เอไอเอ ประเทศไทย ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนมากมายในสังคมไทยตลอดระยะเวลากว่า 86 ปี โดยเอไอเอตระหนักถึงความสำคัญของการยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจโดยควบคู่กับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social, and Governance - ESG) ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพและยกระดับชีวิตของทุกคนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งยังตระหนักถึงผลกระทบของภาวะโลกเดือด (Global Boiling) ที่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรับมือและแก้ไขAIA+ จึงริเริ่มแคมเปญ “AIA+ Go Green” ขึ้นเพื่อเชิญชวนให้ผู้ถือกรมธรรม์เอไอเอทุกราย ได้มีส่วนร่วมในการลดการใช้ทรัพยากรและหันมาดำเนินธุรกรรมไร้กระดาษ (Paperless Transactions) ผ่านแอปพลิเคชัน AIA+ และใช้บริการ e-Document (เอกสารอิเล็กทรอนิกส์) และ e-Receipt (ใบเสร็จรับเงินชำระเบี้ยฯ รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) ที่สะดวก ใช้งานง่าย และสามารถช่วยจัดเก็บทุกเอกสารสำคัญได้อย่างปลอดภัยพร้อมใช้งานตลอดเวลา ดร. คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า “อีกหนึ่งการขับเคลื่อนสำคัญของแนวปฏิบัติ ESG ของ เอไอเอ คือการนำเทคโนโลยียุคดิจิทัลเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย และลดการใช้ทรัพยากรในทุกกระบวนการดำเนินงานของบริษัท นอกจากแคมเปญ AIA+ Go Green จะทำให้ลูกค้าได้ร่วมลดการใช้กระดาษกับเราได้ง่าย ๆ แล้ว เรายังอยากให้ลูกค้าได้รับความสะดวกจากการใช้แอป AIA+ ซึ่งมีระบบความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าเอกสารสำคัญทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์ ใบแจ้งยอดชำระเงิน ใบเสร็จรับเงิน ไปจนถึงเอกสารเกี่ยวกับสินไหม จะอยู่ในแอปอย่างปลอดภัยและพร้อมใช้งานตลอดเวลา ช่วยตัดปัญหาการค้นหาเอกสารสำคัญไม่เจอ เรามั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับความสะดวกสบายทุกครั้งที่ใช้แอป AIA+”สำหรับแคมเปญ AIA+ Go Green เริ่มขึ้นตั้งแต่ 1 สิงหาคม- 31 ธันวาคม 2567 ซึ่ง เอไอเอ ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าแคมเปญนี้จะช่วยสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถเชิญชวนให้ลูกค้ามีส่วนร่วมได้เป็นอย่างดี พร้อมตั้งเป้าเปลี่ยน 100,000 กรมธรรม์ สู่การปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและร่วมต่อสู้กับภาวะโลกเดือด (Global Boiling) โดยจะขยายความสำเร็จของโครงการ นำทีมโดย คุณพลับ จุฑาภัทร เหล่าธรรมทัศน์ และทีมผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย พร้อมด้วยพนักงานอาสาสมัครที่จะมาร่วมปลูกต้นไม้ 10,000 ต้น ในต้นปี 2568คุณอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เอไอเอ ประเทศไทย เสริมว่า “แคมเปญ AIA+ Go Green เป็นการตอกย้ำว่าพวกเราทุกคนต่างมีบทบาทในการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนร่วมกัน ปัจจุบันที่ เอไอเอ ประเทศไทย เราใช้กระดาษมากกว่า 60,000,000 แผ่นต่อปี เพื่อส่งเอกสารถึงผู้ถือกรมธรรม์ทุกท่าน หากผู้ถือกรมธรรม์เปลี่ยนมารับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง e-Document และ e-Receipt ผ่านแอป AIA+ และบรรลุเป้าหมายของแคมเปญ 100,000 กรมธรรม์ภายในสิ้นปี เราจะประหยัดกระดาษได้ถึง 400,000 แผ่น“เรามั่นใจว่าผู้ถือกรมธรรม์ เอไอเอ จะดาวน์โหลดแอป AIA+ และรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยแคมเปญ AIA+ Go Green เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่สนับสนุนพันธกิจ AIA One Billion ที่ต้องการให้ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้มีส่วนร่วมเพื่อการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นภายในปี 2573”ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ AIA+ Go Green เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ลดภาระให้สิ่งแวดล้อม เปลี่ยนสู่ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความสะดวกและปลอดภัย ด้วยการดาวน์โหลดแอป AIA+ พร้อมสมัครรับบริการ e-Document และ e-Receipt เพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยรักษ์โลกไปกับ เอไอเอ ประเทศไทย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

แก้หนี้ยังไงดี ?

02/08/2024

คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติผู้เขียน : อำนาจ ประชาชาติปัญหาหนี้ครัวเรือน นี่ต้องบอกว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่ และเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมากโดยตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่สูงถึงระดับแถว ๆ 90% ในจำนวนนี้มีกลายเป็นหนี้เสียแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท ขณะที่หนี้ที่เริ่มค้างชำระและอาจจะกลายเป็นหนี้เสียในระยะต่อไปก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้กันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ความเข้มข้นเป็นระดับไหน อันนี้ไม่แน่ใจ เพราะบางคนปรับแล้วก็รอด บางคนก็ยังไม่รอดฟังจากบริษัทบริหารหนี้ ก็บอกว่าปีนี้แค่ครึ่งปีแบงก์มีการเปิดประมูลหนี้เสียเกือบเท่ากับปีที่แล้วทั้งปีแล้ว คาดว่าปีนี้ทั้งปีจะสูงกว่าปีที่แล้วแบบ “ดับเบิล”แต่ถึงแม้จะเปิดประมูลเยอะ แต่ก็ใช่ว่าจะขายได้หมดนะ เพราะแบงก์ก็ต้องการขายได้ในราคาสูง ส่วนบริษัทบริหารหนี้ก็ต้องการซื้อในราคาไม่แพง เพื่อจะไปทำกำไรต่อได้ อันนี้เป็นเรื่องมุมทางธุรกิจ เข้าใจได้ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวจากฝั่งลานประมูลรถ บอกว่าปีนี้ยอดรถยึดเข้าสู่ลานประมูลมากเป็นประวัติการณ์ แถมการระบายรถมือสองออกก็ทำได้ยากเหล่านี้คือปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ผูกโยงกันไปหมด สะท้อนว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนน่าเป็นห่วงอย่างมาก ในขณะที่เศรษฐกิจก็โตแบบเอื่อย ๆ เรื่อย ๆ ไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดรายได้เข้าใจดีว่าทุกฝ่ายเห็นปัญหา และพยายามหาวิธีแก้ในแบบของตัวเองล่าสุดรัฐบาลก็บอกว่ากำลังหาทางแก้ไขหนี้รถกระบะและหนี้รถจักรยานยนต์ เพราะถือว่ากลุ่มนี้ใช้รถเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ตรงนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะแก้อย่างไรโดยในเชิงนโยบาย ใครมีเครื่องมืออะไรก็หยิบมาใช้ อย่างเช่น คนที่มีหน้าที่คุมการก่อหนี้ ก็เพิ่มความเข้มข้นในการคุม หรือหน่วยงานไหนที่สามารถผ่อนปรนเงื่อนไขอะไรได้ ก็พยายามผ่อนปรนให้ได้มากที่สุดแต่สิ่งที่อยากฝากให้คิดก็คือ จะบาลานซ์ระหว่างการคุมกำเนิดหนี้ครัวเรือน กับการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างไรถ้าจะคุม คุมแค่ไหนที่จะพอดี ไม่ให้มีเอฟเฟ็กต์ที่ทำให้เศรษฐกิจไม่โตไปด้วย หรือถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นระดับใดจะพอเหมาะพอควร และช่วยให้หนี้ลดลงได้ด้วยเป็นโจทย์ที่ยากนะ คงต้องฝากให้ผู้เกี่ยวข้องไปคิดหาวิธีกันต่อไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1617022

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X