Everyday knowledge for you
ห้องแสดงนิทรรศการ
02/08/2024
นิทรรศการ “พาใจกลับบ้าน” Homecoming Therapeutic Space By Eyedropper Fill at MMAD – MunMun Art Destination พื้นที่ที่จะชวนทุกคนไปชาร์จแบตและฮีลใจ ภายใต้นิทรรศการศิลปะเชิงประสบการณ์และ Therapeutic Space (พื้นที่เชิงบำบัด) ให้เวลาตัวเอง ได้ชาร์จแบตใจ ผ่านห้องต่างๆ ทั้ง 5 แบบกลับมาอีกครั้ง หลังจากมีกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยม สำหรับงานนิทรรศการศิลปะเชิงประสบการณ์ และพื้นที่เชิงบำบัดที่น่าสนใจอย่าง “พาใจกลับบ้าน” นิทรรศการเชิงประสบการณ์ที่นำเอาศิลปะ และการดูแลสุขภาพจิตมาผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยในปี 2566 นิทรรศการดังกล่าว ได้ติดเทรนด์โซเชียลจนกลายเป็นกระแสไวรัลที่มียอดวิวรวมสูงกว่า 10 ล้านครั้ง และมียอดผู้เข้าชมทะลุกว่า 40,000 คนในปี 2567 การกลับมาของนิทรรศการพาใจกลับบ้านในครั้งนี้ จะมีการเพิ่มเติมลูกเล่น และมิติใหม่ๆ อย่างเต็มรูปแบบ และอบอุ่นกว่าที่เคย โดยในนิทรรศการได้จัดพื้นที่ที่จะทำให้ทุกคนได้ชาร์จแบต และฮีลใจไปพร้อมๆ กันใน Therapeutic Space หรือพื้นที่เชิงบำบัด เพื่อให้เวลาตัวเองได้ชาร์จแบตหัวใจ ผ่าน 5 ห้องต่างๆ ดังต่อไปนี้5 ห้องบำบัดเติมพลังหัวใจในงาน นิทรรศการ “พาใจกลับบ้าน” Homecoming • ห้อง “สำรวจ” : ห้องที่ให้ทุกคนได้มานั่งทบทวนความรู้สึกของตัวเอ • ห้อง “โอบรับ” : ห้องที่เปิดโอกาสให้ทุกคนก้าวอย่างช้าๆ จัดระเบียบตัวเองเพื่อเอื้อมมือเข้าไปหาความรู้สึกในใจ • ห้อง “เฝ้าดู” : ห้องที่ให้เอนกายลงนอนช้าๆ เพื่อซึมซับกับบรรยากาศ แล้วหลับตาลง ทบทวน เฝ้าดู รับรู้ ความคิดที่ไหลผ่านตัวเรา • ห้อง “ข้ามผ่าน” : ห้องที่มีเสียงสะท้อนแผ่วเบาดังอยู่รอบตัว ให้เอนตัวลงบนหมอน ซึ่งห้องนี้เป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างให้ผู้ร่วมงานรับฟังเรื่องราวของคนอื่น ในขณะที่ตั้งใจฟังเสียงในใจของตัวเองไปพร้อมกัน • ห้อง “ตกผลึก” ห้องที่ให้ผู้เข้าชมเขียน 1 คำลงบนหิน ที่เปิดเผยให้เห็นถึงเสียงภายในอันหนักแน่นและเป็นจริงนิทรรศการ “พาใจกลับบ้าน” Homecoming Therapeutic Space by Eyedropper Fill at MunMun Art Destination (MMAD) เปิดตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2567-12 กรกฎาคม 2568 ทุกวันเวลา 11.00 น.-20.00 น. บริเวณชั้น 2 ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/travel/2796047
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
02/08/2024
เส้นทางสุดโรแมนติกของ “ชิงเคว แตร์เร” หมู่บ้านริมทะเลชื่อดังในอิตาลี เตรียมเปิดให้เที่ยวอีกครั้ง หลังปิดมานาน 12 ปีเส้นทางเดินป่าที่โรแมนติกที่สุดของ “ชิงเคว แตร์เร” ซึ่งมีสมญานามว่า “Via dell’Amore" (เส้นทางแห่งความรัก) กำลังจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปได้อีกครั้งในวันที่ 27 กรกฎาคม 2024 นี้ หลังจากปิดมายาวนาน 12 ปี เพราะเหตุดินถล่มในเดือนกันยายน 2012 ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียได้รับบาดเจ็บ 4 รายการเปิดอีกครั้งมีการปรับปรุงพื้นที่ และเพิ่มมาตรการความปลอดภัย ทางเดินยาว 800 เมตรที่อยู่บนหน้าผาสูงชัน มีทัศนียภาพตระการตาของทะเลลิกูเรียน (Ligurian) ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนาน 104 ปี และมีส่วนสำคัญต่อการอนุรักษ์ภูมิทัศน์ชายฝั่งของอิตาลีในอนาคตก่อนที่จะปิดตัวลงเมื่อ 12 ปีก่อน เส้นทางที่สวยงามแห่งนี้เป็นหนึ่งในเส้นทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากเครือข่ายเส้นทางความยาว 130 กิโลเมตร ที่ตัดผ่าน "ดินแดนทั้งห้า" ที่เป็นที่มาของชื่อ “ชิงเคว แตร์เร” ที่เชื่อมระหว่างหมู่บ้าน borghi ในยุคกลาง รวมถึงหมู่บ้านหลากสีสันอย่าง Riomaggiore และ Manarolaสำหรับ Riomaggiore และ Manarola เป็นหมู่บ้านตั้งอยู่บนเนินผาสูงตระหง่าน มีบ้านเรือนเรียงซ้อนกันราวกับไอศกรีมเจลาโต้สีพาสเทล ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายล้านคน เดิมเป็นถิ่นฐานที่เรียบง่ายของชุมชนทำการเดินเรือ (ไม่ใช่ชาวประมง อย่างที่มักเข้าใจกันผิดๆ) มีเส้นทางเชื่อมต่อกันบนยอดเขาสูงชันซึ่งการข้ามนั้นยากลำบากมาก ทำให้การสื่อสารต่อกันมีน้อย จนหมู่บ้านเล็กๆทั้งสองแห่งพูดภาษาถิ่นต่างกันแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000062374
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
02/08/2024
ในโลกปัจจุบันอยู่ยากจริงๆ หลังจากการปั่นจักรยานทุกวันอังคารและวัพฤหัสบดี มีการทานข้าวกันกับน้องๆ โม้กันไปมา เกิดหัวข้อหนึ่งขึ้นมา บอกว่า "แม่บ้านบ้านผมเป็นพม่า อายุ18 จะไปดูคอนเสิร์ตนักร้องเกาหลี บัตรราคา4,000 บาท พร้อมไปกับเพื่อนพม่าด้วยกัน ทั้งๆที่เงินเดือนแค่ 13,000 บาท" (เห็นว่าตั๋วยืน ข้างหน้า 6,000 บาท ถูกสุดด้านหลัง 1,200 บาท แต่เขาเลือกตั๋วราคาตั้ง4,000บาท)ป๊าเลยถาม ทำไมถึงออกมาแบบนี้ได้อย่างไร "ป๊าเลยโดนน้องๆ ว่าพวกเขาแหละปกดิดี ป๊าซิที่ผิดปกติ" และป๊าบอกจะเอามาเขียนในเพจ "พ่อสอนลูกลงทุน" น้องๆบอกกับป๊าว่าเด๋วโดนแอนตี้นะครับ 555555 ป๊าเชื่อว่าหลายท่านคงเข้าใจนะครับปัญหาของคนรุ่นใหม่ในยุคสมัย social network เป็นใหญ่คือ เรายอมเป็นหนี้หรือใช้จ่ายเกินควรเพื่ออวดรวย ได้ใช้ของหรู ซื้อรถหรือคอนโด แต่บัญชีไร้ซึ่งเงินสดและเผลอๆ การเงินอาจจะถึงกับติดลบไปจนวัยบั้นปลายของชีวิต ป๊าบอกกับตัวเองมาตลอดว่า "หากวันที่ป๊าจะฟุ่มเฟือยได้ ต้องเป็นวันที่ป๊าชนะแล้ว มีรายได้มากเกินกว่าจะใช้ทัน" สมัยป๊ายังเป็นเด็ก คนรวยกับคนจนมีความเป็นอยู่ต่างกันไม่มากเท่าไร คนจนสามารถหากุ้ง หาปลาจากแม่น้ำได้ง่ายมาก เช่น ตอนหน้าร้อน น้ำในคลองแห้งขอด กุ้งก้ามกรามจะลอยคอมาอยู่ริมตลิ่ง เราแค่เอาไฟฉายเดินริมคลอง ก็สามารถจับกุ้งได้ด้วยมือเปล่าแล้ว คนจนก็มีกุ้งก้ามกรามกินได้สบายๆครับแต่มายุคสมัยปัจจุบัน ยุคที่คนอยู่ยากขึ้นมากครับช่องว่างระหว่างคนที่มีเงินกับคนไม่มีเริ่มกว้างขึ้นเรื่อยๆ สื่อสังคมต่างๆ มันยั่วกิเลส เห็นคนอื่นเขามีเราก็อยากมีบ้างบางคนคิดว่าหามาได้ ก็ต้องใช้ ต้องให้ความสุขกับตัวเอง คิดแบบนี้ก็ไม่ผิดครับถ้าเรามีมากเกินจะใช้ทันแม่บ้านพม่าเอาเงิน 4,000 บาท ไปซื้อตั๋วคอนเสิร์ต คุณเอาเงิน 30% ของการทำงานทั้งเดือนไปใช้เลยนะครับพนักงานเงินเดือน 20,000 บาท ตกค่าจ้างวันละ 666.66 บาท กินกาแฟแก้วละเป็น100 บาท มันคือ 1/6 ของค่าแรงเราเลยนะครับพนักงานเงินเดือน 40,000 บาท ใช้กระเป๋าใบละ 30,000 บาท มันเกือบเท่ากับค่าแรงของเรา 1 เดือนเลยนะครับผู้จัดการธนาคารเงินเดือน 50,000 บาท เลิกกับสามีมีลูกติด 1 คนค่าใช้จ่ายทั้งเดือนก็ตก 50,000 บาทแล้ว ซ้ำบางเดือนยังคงค้างหนี้บัตรเครดิตไปเดือนหน้าอีก และยังมีหนี้เดือนก่อนๆที่สะสมมาจากบัตรเครดิตป๊าได้เอาเรื่องแบบนี้ไปถามหลานชายที่เป็นหมอจิตแพทย์ ว่าพวกเขาเหล่านั้นคิดอย่างนี้ได้อย่างไร ?หมอแกตอบผมว่า"คนปกติเขาคิดกันแบบนั้น เราซิที่ผิดปกติ"เมื่อก่อนภาครัฐส่งเสริมให้เราทำงานเก็บเงินประหยัด ตอนนี้เดิมจากวันหยุด 3วั น รัฐเพิ่มเป็น 4 วันเพื่อกระตุ้นเศรฐกิจ ให้เราใช้จ่ายเยอะๆเงินจะได้หมุน ถ้าเรามีเหลือเยอะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนที่ยังไม่แข็งแรง ไม่รู้เท่าทันก็ลำบาก ต้นทุนของความเป็นอยู่ ค่าครองชีพมันสูงขึ้น"เราต้องอย่าหลอกตัวเองว่ารวย...ด้วยการอวดรวยนะครับ"แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ stock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5953
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสุขภาพ
02/08/2024
บทความโดย "วิวัฒน์ นวกานนท์" ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทยในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ก้าวกระโดดไปอย่างมาก ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพเองก็ต้องมีการพัฒนารูปแบบใหม่ให้ทันสมัยและรองรับต่อรูปแบบการรักษาที่ปรับเปลี่ยนไปเช่นกัน ทั้งในด้านวงเงินความคุ้มครองที่ขยายเพิ่มขึ้นและความคุ้มครองเรื่องการรักษาให้ครอบคลุมในนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวสัญญาให้เป็น “มาตรฐานประกันสุขภาพใหม่” ทำให้ผู้เอาประกันได้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้น“มาตรฐานประกันสุขภาพแบบใหม่” (New Health Standard) เป็นประกาศจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทางการแพทย์ ลดความซับซ้อนของสัญญาประกันสุขภาพที่แต่ละบริษัทประกันตั้งหัวข้อผลประโยชน์ไม่เหมือนกัน ทำให้เปรียบเทียบกันได้ยากรวมถึงเนื้อหาข้อกำหนดบางอย่างยังมีช่องโหว่ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันโดนเอาเปรียบจากการไม่สามารถเบิกเคลมได้ หากหัวข้อการรักษาไม่ตรงกับข้อกำหนดที่ระบุความคุ้มครองในกรมธรรม์ คปภ. จึงทำมาตรฐานประกันสุขภาพใหม่นี้ขึ้นมา เพื่อให้เนื้อหาในกรมธรรม์ของสัญญาประกันสุขภาพมีความทันสมัย คุ้มครองได้ครอบคลุมมากขึ้น อยู่บนมาตรฐานเดียวกัน เปรียบเทียบกันได้ และไม่เกิดการเอาเปรียบผู้ทำประกันเมื่อเข้าใจใน “มาตรฐานประกันสุขภาพแบบใหม่” แล้ว สิ่งที่เราควรสำรวจเพิ่มเติมว่าถึงเวลาที่จะอัพเดตประกันสุขภาพฉบับใหม่หรือยัง มี 7 ข้อดังนี้1. ค่ารักษาพยาบาลและวงเงินความคุ้มครองที่มีอยู่ : ตรวจสอบว่าแผนประกันสุขภาพที่มีอยู่นั้นมีค่ารักษาพยาบาลเป็นแบบไหน เป็นแบบ “แยกค่าใช้จ่าย” หรือ ”เหมาจ่าย” วงเงินคุ้มครองเพียงพอต่อการใช้งานจริงในปัจจุบันหรือไม่ เช่น เคยทำไว้ 15 ปีที่แล้วแบบประกันค่าห้องที่ 1,000 ต่อคืน มีวงเงินค่ารักษาหนึ่งแสนบาท ซึ่งถ้าคิดว่าไม่เพียงพอในปัจจุบันแล้วก็ควรพิจารณาทำเพิ่มหรือเปลี่ยนแผนประกัน2. ผลประโยชน์ความคุ้มครองที่เพิ่มขึ้น หรือลดลง : แผนประกันสุขภาพใหม่มีความคุ้มครองหมวดอื่น ๆ เพิ่มเติมดีกว่าเดิมหรือไม่ เช่น มีความคุ้มครองค่าใช้จ่ายการตรวจสุขภาพ ค่ารักษาทางทันตกรรม ค่ารักษาแบบผู้ป่วยนอก เป็นต้น ทั้งนี้ควรต้องตรวจสอบด้วยว่ามีความคุ้มครองอะไรที่หายไปหรือไม่ เพราะบางครั้งแบบประกันเดิมก็มีความคุ้มครองบางรายการ ที่ครอบคลุมมากกว่าแบบประกันใหม่เช่นกัน3. เบี้ยประกัน : การเปลี่ยนแผนประกันใหม่ที่ดีขึ้น วงเงินคุ้มครองมากขึ้นอาจจะชำระเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นอีกไม่มาก ซึ่งอาจจะคุ้มค่ามากกว่า และ หากต้องชำระเบี้ยเพิ่มขึ้น ก็ควรพิจารณาความสามารถในการชำระเบี้ยและแผนการเงินในระยะยาวของเราด้วย4. สิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ : ตรวจสอบว่าแผนประกันใหม่นั้นมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่เราสนใจหรือไม่ เช่น บริการพบแพทย์ผ่านช่องทางออนไลน์ (Telemedicine), ส่วนลดเบี้ยประกันสำหรับผู้ที่สุขภาพดี เป็นต้น5. ความเหมาะสมกับสไตล์การใช้ชีวิต : ต้องดูว่าแผนประกันใหม่ที่เราสนใจนั้นเหมาะสมกับสไตล์การใช้ชีวิตและความต้องการของเราหรือไม่ ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแน่นอน แต่แผนประกันที่มีอยู่ดูแล้วไม่เพียงพอแน่นอน เราก็ต้องดูแผนประกันใหม่ที่เหมาะสมกับโรงพยาบาลที่เราคาดว่าจะใช้บริการ ซึ่งหากต้องชำระเบี้ยเพิ่มเติม เราต้องพิจารณาความสามารถในการชำระเบี้ยของเราด้วย6. สุขภาพร่างกายของเรา : ถ้าเราอยู่ในช่วงที่อายุยังไม่เยอะ ข้อนี้อาจจะไม่ได้มีปัญหาอะไรต้องกังวลมากนัก สามารถปรับแผนประกันสุขภาพ โดยการสมัครใหม่แทนเล่มเก่าได้อย่างสบาย การทำประกันสุขภาพฉบับใหม่ ควรทำในช่วงที่สุขภาพร่างกายเรายังสมบูรณ์และแข็งแรงดีที่สุด เพื่อจะได้รับผลประโยชน์ในเรื่องความคุ้มครองอย่างเต็มที่ และไม่ต้องเสี่ยงกับการโดนพิจารณาเพิ่มเบี้ยประกัน7. ความคุ้มครองที่ยกเว้น หรืออาการป่วยที่เรื้อรัง : เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องสำคัญ ถ้าประกันฉบับที่มีอยู่นั้นให้ความคุ้มครองครบถ้วน และเกิดมีโรคประจำตัวเกิดขึ้นในระหว่างทางที่ถือประกันฉบับเดิมนั้น เราควรพิจารณาเป็นการทำฉบับใหม่เพิ่มเติมเลยจะดีกว่า เพราะถ้ายกเลิกเล่มเดิมไปจะทำให้เราเสียประโยชน์ในความคุ้มครองโรคนั้น ๆ ที่คาดว่าประกันฉบับใหม่จะยกเว้นความคุ้มครองไปเมื่อสำรวจครบ 7 ข้อแล้ว สรุปได้ว่าควรมีการอัพเดตแผนประกันสุขภาพใหม่ ก็ควรพิจารณาในเรื่องระยะเวลาของการทำประกันสุขภาพฉบับใหม่โดยทำประกันสุขภาพฉบับใหม่ ก่อนที่เล่มเดิมจะหมดความคุ้มครอง 30-120 วัน เพราะว่า • ประกันสุขภาพโดยทั่วไป จะมีระยะเวลารอคอยในการคุ้มครอง 30 วัน หลังประกันอนุมัติ • บางโรค จะมีระยะเวลารอคอยในการคุ้มครอง 60-120 วัน แล้วแต่แบบประกันและสัญญาเพิ่มเติม • บางครั้งเราอาจตรวจเจออาการหรือโรค ขณะสมัครทำประกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดการยกเว้นความคุ้มครอง, เพิ่มเบี้ยประกัน หรืออาจทำประกันสุขภาพใหม่ไม่ได้เลย ถ้าเรารู้ตัวก่อนก็จะยังสามารถเก็บประกันสุขภาพเล่มเดิมไว้ได้การอัพเดตประกันสุขภาพนั้นถือเป็นกระบวนการในการวางแผนทางการเงินที่สำคัญ เป็นการตรวจสอบแผนทางการเงินของเราในด้านการจัดการความเสี่ยง ช่วยปรับปรุงความคุ้มครองให้ตรงตามความจำเป็นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และดูแลสุขภาพที่ดีขึ้นโดยสามารถเข้าถึงนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ ๆ อีกด้วยการอัพเดตนั้นจะทำให้มีแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสมที่สุด โดยสามารถตรวจสอบตามขั้นตอนนี้ได้ด้วยตัวเอง หากยังมีความสงสัยในเรื่องเงื่อนไขความคุ้มครอง หรือเงื่อนไขสัญญาต่าง ๆ ก็สามารถสอบถามได้ที่ตัวแทนประกัน เจ้าหน้าที่บริษัท หรือนักวางแผนการเงินมืออาชีพ ก็จะได้คำแนะนำที่ชัดเจนและตรงประเด็นที่สุดแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1597051
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
02/08/2024
Madskills แกลเลอรี startup ที่สร้างศิลปินสู่ระดับโลก และ ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ได้ร่วมมือกันเปิด นิทรรศการ "ไม่กระจอก" หรือ "Not Krachok" นิทรรศการเดี่ยวครั้งแรกของ นายพงศกร ตันตินิกุลชัย ที่จะพาทุกท่านสำรวจการเดินทางของคนธรรมดาทั่วไป เปรียบดั่ง นกกระจอก ที่พยายามผลักดันตัวเองไปสู่ความสำเร็จนิทรรศการศิลปะ ไม่กระจอกที่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค นายพงศกร ตันตินิกุลชัย เล่าว่า "ผลงานศิลปะแต่ละชิ้นในงานนี้สะท้อนถึงเหตุการณ์และความท้าทายต่างๆ ที่คนเราจะพบเจอในชีวิต - บางครั้งน่ากลัว บางครั้งดูเหมือนไม่มีความสำคัญ สุข ทุกข์ สลับปะปนกันไป แต่เพราะผ่านความท้าทายใหญ่เล็กเหล่านี้ เราจึงค้นพบพลังและความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวเราการเชื่อมั่นในคุณค่าของตนเองทำให้เราสามารถเอาชนะอุปสรรคใดๆ ได้ การจัดแสดงครั้งนี้มีเป้าหมายที่จะสร้างแรงบันดาลใจและย้ำเตือนผู้ชมว่าเราทุกคนล้วนมีความแข็งแกร่งและสามารถฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิตได้"นายพิชย วิวัฒน์รุจิราพงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท Madskills กล่าวว่า "นิทรรศการ ไม่กระจอก เริ่มต้นมาจาก concept ของการตีโจทย์ของชื่อ "ไม่กระจอก" ซึ่งมีที่มาคือ concept ของ Hero’s Journey ที่มักใช้ในวรรณกรรมและภาพยนตร์ ที่เน้นการผจญภัยของตัวละครหลักซึ่งต้องผ่านความท้าทายและปัญหาต่างๆ เพื่อค้นพบและเติบโตตัวละครมักจะเริ่มจากสถานการณ์ปกติ ออกเดินทาง พบเจออุปสรรค ผ่านการเปลี่ยนแปลง และกลับมาพร้อมกับความรู้หรือความสามารถใหม่ ซึ่งเปรียบได้กับคนอย่างเราทุกๆ คน ส่วนใหญ่เรื่องจะจบทีเดียว แต่ในชีวิตจริงมันคือการวน Loop ไปเรื่อยๆ เสมือน Journey ที่ไม่มีวันจบ งานนี้อยากให้คนที่เข้ามาชมงานศิลปะได้ reflect ถึง Hero’s Journey ของตัวเองและสนุกไปกับงานศิลปะที่ Krachok สร้าสรรค์มาอย่างดี"ความร่วมมือกับ ทรู ดิจิทัล พาร์คดร. ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทรู ดิจิทัล พาร์ค จำกัด (True Digital Park) หรือ TDPK เปิดเผยว่า "ในฐานะศูนย์กลางเทคและสตาร์ทอัพที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เรายังเดินหน้าเน้นสร้างสรรค์พื้นที่ในการจัดแสดงความสามารถและผลงานของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปินไทย โดยได้ทำงานร่วมกับ gallery ที่เป็น startup อย่าง Madskills อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้มาเยี่ยมชม นักสะสม นิสิตนักศึกษา""สำหรับงาน Not Krachok หรือ ไม่กระจอก ซึ่งถูกตั้งชื่อมาให้คล้องกับชื่อศิลปินไทยเจ้าของผลงาน คุณ Krachok นั้น เราตั้งใจจะนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับความธรรมดาของคนทั่วไป ที่ปกติมักถูกตีความว่าน่าเบื่อ ต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ดีเด่นเหมือนผู้คนอื่นในยุคที่มีการเปรียบเทียบในสังคมสูง แต่ความธรรมดานี้ก็คือชีวิตที่ทุกคนจะต้องพบกับเรื่องที่ทำให้รู้สึกร้ายดีปะปนกันไป สุดท้ายถ้าเรารู้ตัวเอง และยืนหยัดสู้ในสิ่งที่เชื่อน่าจะทำให้ดำเนินไปถึงฝันที่ตั้งใจได้เราเชื่อว่าใน campus ของทรู ดิจิทัล พาร์ค ซึ่งประกอบไปด้วยคนที่มีความคิดความสามารถหลายหลาย ทุกคนคงประสบกับช่วงเวลาที่มี self-doubt หรือรู้สึกว่าล้มเหลว เราหวังว่างานนี้จะ resonate กับผู้เข้าชม และเสริมสร้างกำลังใจและ inspiration ที่ดีให้" ดร. ธาริตกล่าวนิทรรศการ "ไม่กระจอก" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 มิถุนายน - 4 สิงหาคม 2567 ณ TDPK Studio 2 ชั้น 2 ทรู ดิจิทัล พาร์ค ฝั่งเวสต์ (BTS ปุณณวิถี)เปิดให้เข้าชมนิทรรศการทุกวัน เวลา 11.00-19.00 น. ที่สำคัญเข้าฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงกดติดตาม Page Facebook ของ True Digital Parkสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.truedigitalpark.comแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ travel.trueidhttps://travel.trueid.net/detail/kqVk6d5obYZM
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
02/08/2024
ครั้งนี้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเที่ยว ภาคใต้ สุราษฎร์ธานี กันสักหน่อยดีกว่า ที่นี่เป็นพิกัดที่มีธรรมชาติสวยๆ มากมาย ทั้ง ทะเล ภูเขา ไปจนถึง ถ้ำสวยๆ เราเลยพามาเยือน ถ้ำขมิ้น หนึ่งในถ้ำที่มีชื่อเสียงของที่นี่กัน ที่เที่ยวสุราษฎร์ธานี ชม ถ้ำขมิ้น หินงอกหินย้อย สุดอลังไฮไลท์ ของ ถ้ำขมิ้นถ้ำขมิ้น เป็นถ้ำหินปูน ตั้งอยู่ใน ตำบลนาสาร อำเภอนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ถ้ำเหม็น ด้านในถ้ำจะมีขนาดกว้างใหญ่มาก เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยที่สวยงาม และยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของค้างคาวอีกมากด้วย สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจมาเที่ยว ภายในถ้ำก็มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้ได้เดินกัน เป็นระยะทาง 1,250 เมตรเมื่อก่อนนั้น ที่ ถ้ำขมิ้น เคยเป็นถ้ำสัมปทานในการเก็บมูลค้างคาว เราจะเห็นได้จากร่องรอยและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ยังคงมีหลงเหลือให้เห็นอยู่นั่นเองค่ะ ซึ่งในปัจจุบันถ้ำแห่งนี้ ก็ได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของ สุราษฎร์ธานีตำนาน ถ้ำขมิ้นอีกทั้งยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ถ้ำขมิ้น อีกว่าเป็นถ้ำที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยในสมัยพระบาทสมเด็จพระนารายมหาราชนั้น ท่านมีพระราชดำริให้ท่านขุนวรรณวงศ์ษา เดินทางมาบูรณปฏิสังขรณ์พระธาตุนครศรีธรรมราช ขณะเดินทางมาถึงอำเภอบ้านนาสารช่วงนั้นเป็นฤดูน้ำหลากพอดี จึงได้ต่อเรือข้ามคลองฉวางแต่เนื่องจากน้ำไหลเชี่ยวกรากทำให้เรือชนกับตอไม้จนเรือแตกทำให้กระแสน้ำพัดพาคณะของท่านขุนวรรณวงศ์ษา มาขึ้นฝั่งได้ที่บริเวณ ถ้ำขมิ้น คณะของท่านเลยได้ออกสำรวจพื้นที่รอบๆ จนพบถ้ำขมิ้น และอาศัยอยู่ที่ถ้ำขมิ้นจนเสียชีวิตนั่นเอง ต่อมาชาวบ้านที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงเชื่อกันว่า เมื่อมีผู้มีบุญเข้าไปในถ้ำขมิ้นจะได้พบกับไก้แก้ว ซึ่งจะนำทางไปพบกับขุมสมบัติหนึ่งในความสวยงามจากธรรมชาติ พิกัดเที่ยวสวยๆ ของ สุราษฎร์ธานี ใครมาเที่ยว นาสาร ก็อย่าลืมมาชมความสวยอลังการของ ถ้ำขมิ้น นี้กัน เรียกได้ว่าอุดมสมบูรณ์ และงดงามมากจริงๆ ถ้าชอบธรรมชาติแล้วล่ะก็ อย่าลืมแวะมาเที่ยวกันนะข้อมูล ถ้ำขมิ้น สุราษฎร์ธานี • ที่อยู่ : ตำบลนาสาร อำเภอนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/zHBKv4ztveoME48C6 • เปิดให้เข้าชม : 06.00-15.30 น. • เว็บไซต์ : -แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ trueidhttps://travel.trueid.net/detail/kayrdxXdRAJM
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
02/08/2024
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในฐานะประธานกรรมการจัดงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 (พ.ศ.2567) นำทีมผู้บริหาร พนักงาน และครอบครัวพนักงานที่มีจิตอาสากว่า 160 คน ร่วมปลูกป่าชายเลน ใน “กิจกรรมการปลูกป่าชายเลน เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ประจำปี 2567” โดยได้รับเกียรติจาก นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน โดยในปีนี้งานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 23 จึงถือโอกาสนี้เป็นวาระพิเศษให้มีการจัดกิจกรรมการปลูกป่าชายเลนขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่บุคลากรในธุรกิจประกันชีวิตได้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมของระบบนิเวศทั้งทางบกและทางน้ำ ทั้งนี้ กิจกรรมปลูกป่าชายเลนยังสอดคล้องกับนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG) ของเอไอเอ และความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ผ่านกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ โดยกิจกรรมปลูกป่าชายเลนจัดขึ้น ณ กองสถานพักผ่อน กรมพลาธิการทหารบก สถานตากอากาศบางปู จ.สมุทรปราการ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
01/08/2024
บทความโดย "สิทธิชัย สิงห์ทอง ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทยวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 “แม่ช้ำใจ ยกที่ดินให้ลูก แต่ถูกลูกแจ้งจับในวันเกิดตัวเอง ฐานบุกรุก เหตุเกิด ปี 2566 แม่น้ำตาตก ยกสมบัติทั้งชีวิตให้ลูก สุดท้ายถูกไล่ไปอยู่กระต๊อบ เหตุเกิดปี 2564 พ่อเฒ่า 106 ปี ฟ้องศาล ขอที่ดินคืนจากลูก หลังไม่ดูแลตนตามรับปาก เหตุเกิดปี 2560”ปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้เริ่มมีจำนวนมากขึ้นในทุก ๆ ปี สาเหตุเกิดจากความรักของพ่อแม่ ที่คิดว่าการที่ตนให้ทรัพย์สินของตนโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ (บ้าน/ที่ดิน) แก่ลูก ขณะที่ตนยังมีชีวิตอยู่นั้น ลูกจะได้นำทรัพย์สินที่ได้รับดังกล่าวไปใช้ประโยชน์เช่น ไปเปิดเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของชำ หรือถ้าเป็นที่ดินเปล่าก็นำไปทำไร่ ทำนา ให้มีดอกผลเพื่อหาประโยชน์จากทรัพย์สินที่ให้ไป โดยหวังว่าลูกจะนึกถึงบุญคุณและมาเลี้ยงดูยามป่วยไข้ ยามแก่ชราในตอนที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่เป็นไปตามที่คิด ในช่วงแรก ๆ ที่ลูกได้ทรัพย์สินไปก็ยังคงดูแลพ่อแม่ดีเหมือนเดิม แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปทรัพย์สินที่ได้รับเริ่มมีค่ามีราคามากขึ้น หรือลูกมีความจำเป็นทางการเงิน จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินดังกล่าวไปจำนองหรือขาย หรืออาจเกิดจากบุคคลที่สามที่ต้องการทรัพย์สินเป็นของตัวเองเหตุผลดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดส่งผลให้ความสัมพันธ์ของลูกที่มีต่อพ่อแม่เริ่มจืดจางลง ลูกไม่เลี้ยงดู ไม่นำพาเอาใจใส่เหมือนเดิม พ่อแม่รู้สึกว่าการอยู่กับลูกกับหลานตนเหมือนเป็นส่วนเกินของครอบครัว กระทบต่อจิตใจ และลูกไม่เกรงใจอีกต่อไป ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากทรัพย์สินที่มีอยู่ก็ได้โอนไปให้ลูกไปเรียบร้อยแล้วทางออกของปัญหาดังกล่าวก็สามารถแก้ไขได้โดยใช้ขั้นตอนของกฎหมาย ในเรื่องของการที่ผู้รับ(ลูก) ประพฤติเนรคุณผู้ให้(พ่อ/แม่) จะต้องเป็นคดีความและฟ้องร้องต่อศาล ยิ่งทำให้สถานการณ์และความสัมพันธ์ในครอบครัวเลวร้ายลง โดยส่วนใหญ่แล้วผู้เป็นพ่อแม่มักจะไม่ฟ้องลูก ด้วยความรักที่ตนเองมีและไม่อยากให้ลูกเสียชื่อเสียงทางสังคมส่วนใหญ่ผลจึงจะออกมาในรูปแบบที่พ่อแม่ต้องไปอาศัยอยู่กับญาติ หรือบางกรณีก็ไปอาศัยอยู่วัดหรือสถานสงเคราะห์ เป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายก่อนจะลาจากโลกไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นดีกว่าไหม ถ้าวันนี้มีวิธีการหรือแนวทางช่วยให้พ่อแม่ที่ตั้งใจจะยกทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ที่ตนเองมีอยู่ให้กับลูกตามความตั้งใจของตน โดยที่ลูกก็ยังคงเลี้ยงดูพ่อแม่ต่อไปจนกว่าท่านลาจากโลกนี้ไปด้วยความสุขและไม่เกิดปัญหาในอนาคตซึ่งนักวางแผนการเงินสามารถให้แนวทางหรือคำแนะนำผู้รับคำปรึกษาจัดการทรัพย์สินอสังหาฯ ที่ตนเองมีอยู่ โดยที่สามารถดำเนินการได้ทั้งที่ขณะมีชีวิต และภายหลังจากเสียชีวิต ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้โดยกรณีแรก หากต้องการยกทรัพย์สินที่เป็นอสังหาฯ ให้กับลูกสามารถใช้วิธีการ “จดทะเบียนสิทธิเก็บกินบนที่ดินแปลงที่จะโอนให้ลูก” และในกรณีที่สองเป็นวิธีการจัดการทรัพย์สินหลังจากที่เสียชีวิต สามารถใช้การจัดทำพินัยกรรม แบ่งทรัพย์สินให้กับทายาทได้ตามที่เจ้าพินัยกรรมต้องการได้ทุกประการ โดยไม่มีปัญหาในเรื่องการแย่งมรดกภายหลังบทความนี้จะอธิบายเฉพาะเรื่องการจัดการทรัพย์สินในขณะที่มีชีวิตที่ต้องการยกทรัพย์สินที่เป็นอสังหาฯ ให้กับลูกโดยใช้วิธีการจดทะเบียนสิทธิเก็บกินบนที่ดินเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่พ่อแม่ต้องการ คือ การยกที่ดินให้กับลูกและต้องการให้ลูกเลี้ยงดู ไม่เกิดปัญหาการทอดทิ้งในเรื่องของสิทธิเก็บกินตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1417 วางหลักไว้ว่า “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในบังคับสิทธิเก็บกินอันเป็นเหตุให้ผู้ทรงสิทธินั้นมีสิทธิครอบครอง ใช้ และถือเอาซึ่งประโยชน์แห่งทรัพย์สินนั้น ผู้ทรงสิทธิเก็บกินมีอำนาจจัดการทรัพย์สิน…” หมายความว่า ผู้ที่ทรงสิทธิเก็บกิน (พ่อแม่) จะสามารถใช้ และถือเอาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่น (ลูกที่ได้รับโอนที่จากพ่อแม่) ได้ตามที่กฎหมายได้ระบุไว้จากหลักดังกล่าวข้างต้นสามารถนำมาประยุกต์และปรับให้เข้ากับเงื่อนไขเพื่อช่วยแก้ปัญหาการที่ยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นอสังหาฯ ให้กับลูกแล้วไม่ใส่ใจดูแลหรือเลี้ยงดูหลังจากได้ทรัพย์สินไปแล้ว โดยใช้วิธีการจดทะเบียนสิทธิเก็บกินบนที่ดิน ตามขั้นตอนดังนี้ :1. พ่อแม่ที่ตั้งใจยกทรัพย์สินที่เป็นอสังหาฯ ให้กับลูก ในวันที่ไปทำเรื่องโอนให้กับลูก ให้พ่อแม่แจ้งกับทางเจ้าพนักงานที่ดินว่า ทางผู้โอนและผู้รับโอนตกลงที่จะจดทะเบียนสิทธิเก็บกินบนที่ดินดังกล่าว2. ต้องจัดทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ระบุให้ผู้โอน(พ่อ-แม่) เป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินในที่ดินแปลงนั้น3. ให้กำหนดระยะเวลาของสิทธิเก็บกินเป็นตลอดชีวิตของผู้ทรงสิทธิก็สามารถทำได้ หรือหากต้องการกำหนดเป็นช่วงเวลาจะต้องไม่เกิน 30 ปี และต่ออายุได้อีกครั้งไม่เกิน 30 ปีผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ทางพ่อแม่ กลายเป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินในที่ดินแปลงดังกล่าว จะได้รับสิทธิต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากที่ดิน อาทิ สิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน สิทธิในการใช้สอยทรัพย์สิน สิทธิในการจัดการทรัพย์สิน หรือการถือเอาประโยชน์จากทรัพย์สิน เช่น ค่าเช่า เป็นต้น โดยสิทธิที่ได้รับแทบจะไม่แตกต่างจากเดิมที่เป็นเคยเจ้าของที่ดินยกเว้นในเรื่องเดียว คือ สิทธิในการขายที่ดินเป็นสิทธิของเจ้าของ (ลูก) ที่เป็นเจ้าของที่ดินในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามสิทธิดังกล่าวก็ยังเป็นสิทธิที่ติดอยู่กับที่ดินไปตลอดชีวิตของผู้ทรงสิทธิ หรือจนกว่าจะพ้นช่วงเวลาที่กำหนดดังนั้น จะเห็นได้ว่าวิธีการจดทะเบียนสิทธิเก็บกินบนที่ดิน จะช่วยแก้ปัญหาการที่ลูกไม่ดูแลหลังจากที่ยกที่ดินให้ลูกได้ ซึ่งการที่พ่อแม่ยกที่ดินให้ลูกหลานย่อมทำให้ผู้รับมีความรู้สึกภูมิใจ ดีใจและรู้สึกรักที่พ่อแม่เพิ่มมากขึ้น ที่ได้ไว้วางใจยกที่ดินในขณะที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้อยากดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุดในขณะที่ท่านในขณะที่ยังมีชีวิตในขณะเดียวกันเมื่อพ่อแม่ได้ดำเนินการจดสิทธิเก็บกินบนที่ดินแปลงที่ยกให้ลูกย่อมทำให้รู้สึกสบายใจว่าในอนาคตลูกยังคงเกรงใจและจะช่วยเหลือในยามที่พ่อแม่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เป็นหลักประกันว่าลูกจะยังคงเลี้ยงดูให้มีความสุขในบั้นปลายชีวิตแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1607927
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
01/08/2024
เอไอเอ ประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นบริษัทประกันชีวิตและสุขภาพอันดับหนึ่งของประเทศไทย[1] จัดทัพผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันโรคร้ายแรง ร่วมงาน วันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Empowering Future Life+ พลัสความสบายใจให้ประกันชีวิตดูแล ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 21 กรกฎาคม 2567 ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต โดยในงานเอไอเอได้เตรียมนำผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพ ตลอดจนประกันโรคร้ายแรง และประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์) ที่มีความน่าสนใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย “AIA Health Happy” และ “AIA Health Saver” รวมถึงประกันสุขภาพสำหรับเด็กตัวใหม่ล่าสุด “AIA Health Happy Kids” ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุดถึง 25 ล้านบาทต่อปีกรมธรรม์[2] และผลิตภัณฑ์ประกันโรคร้ายแรง “AIA CI ProCare” ที่จะเป็นตัวช่วยในการวางแผนชีวิตได้อย่างมือโปรด้วยเบี้ยประกันแบบคงที่ คุ้มครองยาวนาน 99 ปี[2] ครอบคลุมโรคร้ายแรงทุกระดับการเจ็บป่วย และไม่ต้องจ่ายเบี้ยฯ ทิ้ง ซึ่งผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพของเอไอเอทุกตัวจะมาพร้อมกับบริการด้านสุขภาพที่ลูกค้าจะได้รับแบบครบวงจร เพื่อช่วยเติมเต็มความคุ้มครองและสร้างความมั่นคงให้กับคนไทยทุกครอบครัว รวมถึงผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชีย ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’นอกจากนี้ เอไอเอยังได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษสุดให้สำหรับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ภายในงาน และพบกับ AIA Vitality Ambassador คุณหมาก ปริญ สุภารัตน์ ซึ่งจะมามอบความบันเทิงและสร้างรอยยิ้มให้กับแฟน ๆ ในวันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม เวลา 13.50 – 14.50 น. ผู้ที่สนใจสามารถมารับคำแนะนำจากที่ปรึกษาด้านการประกันชีวิตและการเงินมืออาชีพจากเอไอเอ พร้อมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพที่หลากหลายได้ที่บูธเอไอเอ ในงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ในวันเสาร์ที่ 20 และวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม นี้หมายเหตุ:[1] ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย ณ เดือนพฤษภาคม 2567[2] ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
01/08/2024
เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 6 รอบ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2567 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยแห่งแรกที่ก่อตั้งโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ร่วมกับภาควิชาจิตรกรรม คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และศูนย์ศิลป์สิรินธร จัดนิทรรศการศิลปกรรมเฉลิมพระเกียรติ “๗๒ พรรษา เทิดไท้องค์ราชัน มหาวชิราลงกรณ” โดยมี นายกฤษณ์ จันทโนทก กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ผศ.ดร.วิชญ มุกดามณี คณบดีคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ ดร.สังคม ทองมี ผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร ร่วมเปิดงาน พร้อมด้วยศิลปินแห่งชาติ อาทิ ศาสตราจารย์ เกียรติคุณ ปรีชา เถาทอง มาร่วมในพิธีเปิดนิทรรศการ ที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ (รัชโยธิน)นิทรรศการศิลปกรรมเฉลิมพระเกียรติ “๗๒ พรรษา เทิดไท้องค์ราชัน มหาวชิราลงกรณ” ได้จัดแสดงผลงานศิลปกรรมจากการน้อมรวมดวงใจของศิลปินแห่งชาติ คณาจารย์ และศิลปิน รับเชิญ จำนวน 38 คน รวม 39 ผลงาน ประกอบด้วย ผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ ล้วนเป็นผลงานศิลปกรรมที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดี สะท้อนถึงพระราชจริยวัตรอันงดงาม พระราชประวัติ และพระราช กรณียกิจสำคัญ ต่างๆของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชนชาวไทย โดยเป็นผลงานที่สร้าง สรรค์ขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน และนำมาจัดแสดงในครั้งนี้ทั้งนี้ ศิลปินจะนำรายได้ 15% จากการจำหน่ายผลงานสมทบโครงการ “ราษฎรสุขใจ พลานามัยสมบูรณ์ แพทย์พระราชทาน” ภายใต้กิจกรรม “ผ่าตัดรักษา ๑ ดวงตา จาก ๑ น้ำใจ” เพื่อนำไปสนับสนุนการปฏิบัติงานแพทย์อาสาในการออกหน่วยเคลื่อนที่รักษาผู้ป่วยโรคต้อกระจก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง และอีก 15% นำไปสนับสนุนเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษาในสายศิลปะที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ของคณะจิตรกรรมประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากรและศูนย์ศิลป์สิรินธรชมผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าของศิลปินไทยในนิทรรศการศิลปกรรมเฉลิมพระเกียรติ ครั้งนี้ ได้วันนี้ถึง 31 ต.ค.67 ณ พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทยธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ (รัชโยธิน) เวลา 09.30-16.30 น. (เว้นวันหยุดธนาคาร)กฤษณ์ จันทโนทก และอารยา ภู่พานิช ร่วมกับศิลปินระดับครู อาทิ ผศ.ดร.วิชญ มุกดามณี, ดร.สังคม ทองมี, ศ.เกียรติคุณ ปรีชา เถาทอง จัดนิทรรศการศิลปกรรม เฉลิมพระเกียรติ “๗๒ พรรษา เทิดไท้องค์ราชัน มหาวชิราลงกรณ”.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/news/royal/2801413
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
29/04/2024
29/04/2024
30/04/2024
29/10/2024
29/04/2024