Everyday knowledge for you
ประกันภัย
31/07/2024
สงครามราคารถ EV จีนสะเทือนธุรกิจประกันวินาศภัยปั่นป่วน สมาคมเผยทุกบริษัทเร่งปรับตัวอุตลุด เผย BYD ทุบราคาลงกว่า 20% ส่งผลกระทบ “ทุนประกัน” สูงกว่าราคารถใหม่ บริษัทประกันต้องมอนิเตอร์ราคา EV แบบรายสัปดาห์ พร้อมแผนปรับ “ลดทุนประกัน-เพิ่มเบี้ย” ให้สอดคล้องกับตลาดและความเสี่ยง คปภ.ออกคำสั่งให้บริษัทประกัน EV ทำแผนบริหารความเสี่ยง “วาสิต ล่ำซำ” ประธานบอร์ดประกันภัยยานยนต์หั่นเป้ายอดขายอีวี เผยลูกค้าชะลอตัดสินใจหวั่นผู้ผลิตลดราคาอีกอีวีดัมพ์ราคากระทบทุนประกันแหล่งข่าววงในธุรกิจประกันวินาศภัยเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากผลพวงสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน ที่มีการปรับลดราคาแบบลดแล้วลดอีกมาตั้งแต่ช่วงต้นปี และล่าสุด เรเว่ ออโตโมทีฟ ผู้จัดจำหน่ายและให้บริการอีวีจีนแบรนด์ BYD ในประเทศไทย ประกาศลดราคาขายรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กรุ่น BYD Dolphin ลงสูงสุดถึง 160,099 บาท และ NETA ประเทศไทย ตัดสินใจปรับลดราคาขายรถอีวีรุ่น NETA V-II ลงไปสูงสุด 50,000 บาท เพื่อแข่งขันกระตุ้นยอดขาย สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องกับธุรกิจประกันรถยนต์อย่างมากเช่นกันประเด็นนี้ส่งผลให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยต้องมีการปรับโปรแกรมราคามาตรฐานกลางรถยนต์ (TGIA BOOK) กันเป็นรายสัปดาห์ และกลายเป็นว่าได้สร้างความปั่นป่วนต่อธุรกิจประกันวินาศภัยเป็นอย่างมาก เพราะปรับลดราคาขายรถใหม่ป้ายแดงลงกว่า 20% ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทุนประกันภัยรถ EVทำให้บริษัทประกันวินาศภัยที่เป็นผู้รับประกันภัยรถ EV ต้องเร่งเตรียมปรับลดทุนประกันภัยใหม่ให้สอดคล้องกับราคาอีวี เพราะกลัวเจ๊ง เนื่องจากราคาค่าซ่อมโดยทั่วไปไม่ได้ลดตาม อย่างไรก็ดี ในแง่ของราคาเบี้ยประกันอีวี บางค่ายก็เริ่มมีการปรับเพิ่มเบี้ย สะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น“เวลานี้แต่ละบริษัทประกันกำลังปรับลดทุนประกันรถ EV ใหม่ และคาดว่าทุนประกันต่อไปในอนาคตจะลดลงถึงปีละ 30% ไม่ใช่แค่ 10% แล้ว เพราะราคารถ EV ค่อนข้างไดนามิก ทุกค่ายต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เพราะหากทุนประกันรถอีวีแพงกว่าราคามือสอง ก็จะมีการฉ้อโกงเกิดขึ้นได้” แหล่งข่าวกล่าวประกันแตะเบรก EVผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันบริษัทประกันมีความระมัดระวังการขายเบี้ยประกันอีวี ไม่แข่งตัดราคา โดยที่ผ่านมา บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด และบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด ก็ได้ประกาศชัดว่าลดเป้าหมายการขยายส่วนแบ่งตลาด โดยไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทำแคมเปญแถมประกันฟรีให้ลูกค้า “บีวายดี”เพราะในกรณีการทำแคมเปญร่วมกับค่ายรถ บริษัทประกันจะถูกกดค่าเบี้ย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตลาดรถยนต์กำลังซึมยาว เนื่องจากต้องรักษากำไรจากการรับประกันภัย มากกว่าการเป็นเจ้าตลาดประกันรถ EV ซึ่งขณะนี้บริษัทประกันวินาศภัยหลาย ๆ ค่ายก็ไปในทิศทางนี้คุ้มภัยโตเกียวปรับแผนยันไม่เลิกนอกจากนี้ รายงานข่าวในวงการประกันภัยรถ EV มีการแชร์ข้อมูลระบุว่า บริษัทคุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย ขอยกเลิกขายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า สำหรับงานใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไปแหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทคุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย ยืนยันกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทไม่ได้เลิกขายประกันรถ EV และยังอยู่ในบัญชีรายชื่อแถมฟรีประกันสำหรับรถป้ายแดงของรถ EV หลายยี่ห้อ เพียงแต่ขณะนี้บริษัทได้ยกเลิกราคาเบี้ยเดิมที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกรณีรถอีวีที่ทำประกันปีที่ 1 กับบริษัทอื่น และต้องการโอนย้ายมาให้บริษัทรับประกันปีที่ 2โดยสาเหตุการปรับในครั้งนี้ สืบเนื่องจากปัจจุบันราคาขาย EV ป้ายแดง และราคารถมือสองมีความผันผวนมาก ทำให้ราคาเบี้ยที่เคยวางไว้ก่อนหน้านี้ต้องนำกลับมาประเมินใหม่ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างศึกษา โดยจะเป็นการปรับราคาทุนประกันภัยในการเสนอขายใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งพิจารณาร่วมกับต้นทุนการชดใช้จ่ายเคลมซึ่งก็ยอมรับว่าอัตราเคลมสินไหม (Loss Ratio) ของประกันรถ EV ค่อนข้างอยู่ในระดับสูง สาเหตุหลักจากค่าซ่อมและค่าแบตเตอรี่ยังแพงอยู่ ทั้งนี้ บริษัทพยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในตลาดรถ EV ของประเทศไทย ซึ่งมีความเสี่ยงที่พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง“ขอย้ำว่าเราไม่ได้หยุดรับประกัน EV เพียงแต่ราคาเบี้ยเดิมที่วางไปเราให้ระงับการใช้ เพราะประเมินความเสี่ยงแล้วต้องปรับทุนประกันและเบี้ยให้เหมาะสม อย่างไรก็ดี สำหรับลูกค้าที่มีความประสงค์จะทำประกันรถ EV กับเรา สามารถสอบถามค่าเบี้ยเข้ามาได้ โดยเราจะคำนวณเบี้ยให้เป็นรายคัน” แหล่งข่าวผู้บริหารกล่าวสมาคมเผยทุกบริษัทเร่งปรับตัวนายวาสิต ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ตลาดรถ EV ช่วงนี้ค่อนข้างไดนามิกมาก โดยทุกบริษัทที่รับประกันรถ EV ต้องมอนิเตอร์อย่างใกล้ชิดโจทย์หลักคือต้องพยายามประเมินราคารถ EV ให้สอดคล้องกับข้อมูลที่เป็นปัจจุบันของตลาด EV ให้มากที่สุด เพื่อกำหนดทุนประกันให้เหมาะสม สำหรับในส่วนความคุ้มครองประกันรถ EV ปีที่ 2 หรือกรณีย้ายบริษัท“เดิมลักษณะงานรับประกันปี 2 หรือเปลี่ยนบริษัทประกัน จะกำหนดเบี้ยเป็น Single Rate ซึ่งจะทำเป็นช่วงราคาทุนประกันภัยเป็นกรอบกว้างไว้ ดังนั้น แต่ละบริษัทต้องไปประเมินว่าทุนประกันภัยที่เคยกำหนดไว้ก่อนหน้านั้นเพียงพอรองรับกับราคารถที่ลงหรือไม่”นายวาสิตกล่าวว่า จริง ๆ การปรับตัวเป็นไปตามหลักการประกันภัย ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ เพราะเวลาที่บริษัทประกันมีการกำหนดทุนประกันภัย จะอ้างอิงมูลค่ารถประมาณ 80% ของราคาซื้อขายรถยนต์ สาเหตุหลักคือไม่ต้องการทำทุนประกันสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Over-Sum Insured)เพราะมีโอกาสที่จะเกิดความไม่สุจริตของผู้เอาประกันภัย (Moral Hazard) เช่น เกิดเคลมลักษณะแปลก ๆ เพราะหวังค่าสินไหมทดแทน ขณะเดียวกัน ถ้ากำหนดทุนประกันต่ำเกินไป ก็ทำให้เกิดความลำบากกับผู้เอาประกันภัย จึงต้องกำหนดทุนประกันภัยให้มีความเหมาะสมส่วนทิศทางการปรับเบี้ยประกันอีวีนั้น ผลกระทบปีนี้ยังไม่มาก เพราะเป็นปีแรกที่เริ่มบังคับการให้ส่วนลดจากการเก็บพฤติกรรมการขับขี่ ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันรถอีวีใหม่ ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2567 เป็นต้นไปโดยจะมีผลในการต่ออายุไตรมาส 2 ของปี 2568 ซึ่งจะยึดตามความเสี่ยงภัยรายบุคคล ท้ายที่สุดก็คาดหวังว่าแนวทางนี้จะทำให้พฤติกรรมการขับขี่ของประชาชนมีความระมัดระวังมากขึ้น เพื่อความปลอดภัยในท้องถนน ซึ่งเป็นเป้าหมายของสำนักงาน คปภ. และสมาคมที่อยากเห็นยอดขายรถดิ่งทุบเบี้ยประกันนายวาสิตกล่าวอีกว่า สำหรับภาพตลาด EV ปัจจุบัน เทียบกับเมื่อต้นปี 2567 ในแง่ของยอดขายรถ ต้องถือว่าปีนี้ค่อนข้างออกมาต่ำกว่าความคาดหมายไปมาก และไม่ใช่เฉพาะรถ EV แต่รวมถึงรถสันดาปก็ติดลบด้วย ซึ่งมาจากหลายสาเหตุคือ 1. สภาวะเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้คนไม่ค่อยลงทุนในการซื้อรถใหม่2. การแข่งดัมพ์ราคาของผู้ผลิต EV จีนจากที่มีซัพพลายที่นำเข้ามา จึงทำให้เกิดภาวะลดราคาบ่อยและถี่ขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเกิดความลังเลในการจะซื้อรถ เพราะกังวลว่าราคาจะลดลงอีก จึงชะลอการตัดสินใจซื้อรถออกไปดังนั้น คาดว่าจะกระทบกับเป้าเบี้ยประกัน EV ที่คาดไว้จากเดิมประเมินว่าจะมีรถ EV ใหม่ปีนี้ระดับ 1.2-1.3 แสนคัน น่าจะเหลือใกล้เคียงปีที่แล้ว แค่ระดับ 7-8 หมื่นคัน โดยจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2567 มีรถอีวีที่จดทะเบียนสะสม 1.5 แสนคัน คิดเป็นมูลค่าเบี้ยประกัน EV ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท (เฉลี่ย 20,000 บาทต่อคัน)ทั้งนี้ ยังมีความหวังว่าถ้าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังผงกหัวดีขึ้นมาก และราคาน้ำมันแพงขึ้น จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้คนตัดสินใจซื้อรถ EV มากขึ้น เพราะราคารถในวันนี้ถึงจุดที่น่าสนใจ ประกอบกับคาดหวังว่าสถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นด้วยสำหรับในมุมของบริษัทประกันก็ยังให้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่และกลาง ในส่วนบริษัทเล็ก ๆ ก็เข้ามาทำตลาดอยู่บ้าง แต่ยังไม่เห็นเรื่องการแข่งขันที่สูงมาก ประกอบกับที่สำนักงาน คปภ.ได้ออกคำสั่งให้บริษัทที่รับประกัน EV ต้องจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง ซึ่งทำให้ทุกบริษัทได้ตระหนักเรื่องของการทบทวนทั้งนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องการรับประกันภัยและการชดใช้สินไหมให้ดี“ถ้าเริ่มมีการวางแผนจัดการความเสี่ยงแล้วเดินได้ตามนั้น ก็น่าจะทำให้การรับประกัน EV แต่ละบริษัทสามารถจะไปสู่จุดสมดุลได้ ไม่ได้วิ่งเข้าไปเพื่อตัดราคา” นายวาสิตกล่าวคปภ.ประเมินแผนบริหารเสี่ยง EVนายอาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการด้านกำกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าตอนนี้ คปภ.อยู่ระหว่างรวบรวมและประเมินแผนบริหารความเสี่ยงที่รับประกันภัยรถ EVประกอบด้วย 1. ข้อมูลทั่วไป (ช่องทางการขาย, กลุ่มเป้าหมาย, กำไร) 2. ศักยภาพของบริษัทในการรับประกัน (จำนวนกรมธรรม์สูงสุด, จำนวนเงินเอาประกันสูงสุด, อัตราส่วนรวมค่าสินไหมทดแทน และค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงสุด ที่บริษัทมีศักยภาพในการรับประกัน)และ 3. วิธีการบริหารความเสี่ยง (ความเสี่ยงสำคัญ, แนวทางการใช้เบี้ยประกันภัย และการปรับเปลี่ยนเพื่อพร้อมรับสถานการณ์ อะไหล่ อู่ซ่อม การประกันภัยต่อ การเก็บข้อมูล การติดตามหลังออกสู่ตลาด)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1598803
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
31/07/2024
"พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย" ปรับโฉมใหม่ตระการตา เปิดให้เข้าชมแบบ soft opening แล้วนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย ทั้งด้านข้อมูลการจัดนิทรรศการ เทคนิคและรูปแบบการนำเสนอเพื่อให้มีความน่าสนใจและดึงดูดผู้ชมให้เข้ามาศึกษาเรียนรู้มรดกทางศิลปวัฒนธรรมเพิ่มมากขึ้น ขณะนี้ส่วนจัดแสดงนิทรรศการชั้นล่างแล้วเสร็จ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่การจัดแสดงทับหลังจากปราสาทพิมายและประติมากรรมพระเจ้าชัยวรมันที่ 7พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อบริการผู้เข้าชมตามแนวทางการจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อปี 2536 จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และความเป็นมาของเมืองพิมาย ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน กรมศิลปากรจึงได้พัฒนาและเพิ่มศักยภาพพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี ซึ่งมีการศึกษาทางโบราณคดีและพบหลักฐานโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาและสร้างสรรค์แหล่งเรียนรู้ทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ในฐานะแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญในระดับภูมิภาคอีสานตอนล่าง โดยดำเนินการมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565นิทรรศการถาวรในอาคารจัดแสดงที่ 1 (ชั้นล่าง) ที่ปรับปรุงแล้วเสร็จ และเปิดให้เข้าชมแบบ soft opening ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ประกอบด้วย“ก่อร่างสร้างปราสาท พิมาย” บอกเล่าเรื่องราวปราสาทพิมาย ตั้งแต่ที่มาของชื่อ "พิมาย" และการก่อสร้างปราสาทพิมาย ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ เครื่องมือ วิธีการ รวมถึงความเชื่อและพิธีกรรมในการก่อสร้าง“หลักฐานคนพิมาย” จัดแสดงหลักฐานที่บอกเล่าวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับและเครื่องแต่งกาย ภาชนะดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องไทยธรรม และพาหนะในการเดินทาง“ศาสนาในเมืองพิมาย” เมืองพิมาย เป็นศูนย์กลางสําคัญของศาสนาพุทธลัทธิมหายาน นิกายวัชรยาน ที่สําคัญในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา (ประมาณ 900 ปีมาแล้ว) นอกจากปราสาทพิมาย ยังปรากฏวัตถุเนื่องในพุทธศาสนาที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เมืองพิมายยังพบการเคารพนับถือศาสนาฮินดูควบคู่กันไปด้วย“เมืองพิมาย สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7” พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ผู้ทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์มหิธรปุระ ในรัชสมัยของพระองค์ เมืองพิมายมีนามว่า วิมายปุระ เป็นเมืองสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งและเจริญรุ่งเรืองมากในขณะนั้น มีการสร้างประตูเมืองพิมายขึ้นทั้ง 4 ด้าน และโปรดให้สร้าง สถานพยาบาล (อาโรคยศาลา) ขึ้นที่เมืองพิมาย และสร้างที่พักคนเดินทาง (วหนิคฤหะ - บ้านมีไฟ) ตามถนนสายหลัก ที่ตัดจากเมืองพระนครหลวงมายังพิมายด้วย“เมืองพิมาย หลังพุทธศตวรรษที่ 18” เมื่อสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรเขมรโบราณเริ่มเสื่อมลง เป็นผลให้อาณาจักรอยุธยาขยายอํานาจเข้าสู่บ้านเมืองในบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลตอนบน ดังพบหลักฐานรูปเคารพสมัยอยุธยาที่ถูกนําเข้าไปประดิษฐานภายในปราสาทเขมรโบราณ เช่น ปราสาทพนมวัน ปราสาทพิมาย รวมถึงการพบโบราณสถานสมัยอยุธยาในเมืองพิมาย เช่น อุโบสถวัดเจ้าพิมาย และเมรุพรหมทัต“ลวดลายจําหลัก : ศิลปะแห่งเมืองพิมาย” ห้องจัดแสดงไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงทับหลังจากปราสาทพิมายและประติมากรรมพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และประติมากรรมรูปสตรีที่สันนิษฐานว่าเป็นพระนางศรีชัยราชเทวี มเหสีองค์แรกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7สำหรับอาคารจัดแสดงชั้นบน ปิดให้บริการ เนื่องจากอยู่ในระหว่างการจัดเตรียมพื้นที่เพื่อปรับปรุงนิทรรศการ โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย มีแผนการดำเนินงานปรับปรุงต่อไปในปีงบประมาณ 2568ขอเชิญร่วมชมและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย ตําบลในเมือง อําเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เฉพาะส่วนจัดแสดงชั้นล่างที่ปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว และส่วนอาคารศิลาจำหลัก จัดแสดงโบราณวัตถุซึ่งเป็นส่วนประกอบสถาปัตยกรรมหินทรายที่พบจากโบราณสถานในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมเข้าชม วันพุธ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00 - 16.00 น.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000056591
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
31/07/2024
เริ่มต้นกับสถานที่แรก เราจะพานักเดินทางทุกคนไปแอ่วกันที่ “ดอยม่อนเงาะ” ไปลัดเลาะชมภูเขา ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกแห่งใหม่ ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง ไฮไลท์ของดอยม่อนเงาะ คือ เป็นจุดชมวิวบนยอดดอย ที่มีความสูงถึง 1,425 เมตร อีกทั้งยังสามารถมองเห็นภูเขาได้แบบ 360 องศา ทำให้ดอยม่อนเงาะแห่งนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตอนเช้าและชมทะเลหมอกที่ทอดยาวไปตามหุบเขาต่าง ๆ ที่สวยมาก ๆ มาที่นี่ก็จะได้ชมทั้งความสวยงามของธรรมชาติและอากาศเย็น ๆ นับเป็นแลนด์มาร์กที่นักเดินทางไม่ควรพลาดเลยล่ะค่ะ และแอบกระซิบว่าสามารถขึ้นไปกางเต็นท์ข้างบนได้ด้วยนะ • ที่อยู่ : ตำบลเมืองกาย อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://goo.gl/maps/UggFvwhn6PJbViTE6ม่อนแจ่มม่อนแจ่มและสถานที่ถัดมา ที่เราจะพานักเดินทางไปนั่นก็คือ “ม่อนแจ่ม” สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเชียงใหม่นั่นเอง ด้วยความที่ม่อนแจ่มมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีหมอกขาวลอยปกคลุมทั่วทั้งเขา ทั้งยังมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนราวกับภาพฝันนั่นจึงทำให้การเดินทางไปยังม่อนแจ่มในช่วงหน้าฝน เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเราจะได้ใกล้ชิดธรรมชาติที่เขียวขจี ซึมซับบรรยากาศแบบชนบท สูดไอดิน กลิ่นหญ้า เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการพักผ่อน และดื่มด่ำกับธรรมชาติในช่วงหน้าฝนอย่างที่สุด! • ที่อยู่ : ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://goo.gl/maps/wDcKgWSq1BnNNKQY6ดอยอินทนนท์ดอยอินทนนท์ยังไม่ลงจากดอยนะ สถานที่ถัดมาที่เราจะพาไปนั่นก็คือ ดอยอินทนนท์ อีกหนึ่งยอดดอยสูงเสียดฟ้าของจังหวัดเชียงใหม่ แต่ถึงแม้ว่าจะสูงขนาดนั้น แต่บรรยากาศข้างทางกลับทำให้เราดื่มด่ำไปกับความสวยงามของธรรมชาติจนทำให้ลืมความเหนื่อยล้าเลยล่ะความสวยงามของดอยอินทนนท์ไม่ได้มีแค่ช่วงหน้าหนาวเท่านั้น แต่ช่วงหน้าฝนก็นเหมาะที่จะออกไปท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน เพราะคุณจะได้พบกับทะเลหมอก น้ำตกสวย นาขั้นบันได ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์บรรยากาศของธรรมชาติที่เขียวชอุ่ม มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้ได้เดินชมป่าไม้สองข้างทาง บอกเลยว่าพลาดไม่ได้ • ที่อยู่ : อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/AK8mvN1WfQx33REQ7แม่กำปองแม่กำปองไปกันต่อที่หมู่บ้านเล็กๆในหุบเขาที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติของผืนป่าและลำธารอย่าง “หมู่บ้านแม่กำปอง” ที่แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างความสโลว์ไลฟ์ ทำให้รู้สึกว่าการใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจดีเหมือนกัน และหากเราเดินตามถนนเส้นหลักของหมู่บ้านไปเรื่อย ๆ สองข้างทางเราจะได้พบเห็นบ้านเรือน ร้านค้าของชาวบ้านและโฮมสเตย์ต่าง ๆ ที่เป็นอาคารไม้ เรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่ดูอบอุ่นมากโดยสถานที่ท่องเที่ยวในแม่กำปองมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น น้ำตกแม่กำปอง จุดชมวิว ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก ผาน้ำลอด วัดกันธาพฤกษา ร้านกาแฟท่ามกลางลำธารและธรรมชาติหลายร้าน บอกเลยว่ามาพักผ่อนที่นี่จะทำให้เวลาชีวิตของคุณเดินช้าลงไปและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข • ที่อยู่ : ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://goo.gl/maps/xN1k5KPNUoSfxKkj8เขื่อนแม่งัดเขื่อนแม่งัดและแล้วเราก็เดินทางมาถึงสถานที่สุดท้าย ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติศรีลานนา นั่นก็คือ เขื่อนแม่งัด หรือชื่อเต็ม ๆ คือ เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่รายล้อมด้วยภูเขาเขียวขจี และสายน้ำที่พริ้วไหว เขื่อนแม่งัดจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแนวธรรมชาติที่เหมาะแก่การพักผ่อนอีกทั้งที่แห่งนี้ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถนอนบนแพ ดูหมอก ชมวิวภูเขา และสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ อย่างการเล่นน้ำ และพายเรือคายัค แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็สามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังสามารถเรียนรู้วิถีของผู้คนในชุมชนได้อย่างเต็มที่อีกด้วย • ที่อยู่ : ตำบลอินทขิล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://goo.gl/maps/pt6mYJFFYT52RbiFAเป็นยังไงกันบ้าง กับพิกัดที่เที่ยวเชียงใหม่ในช่วงหน้าฝนที่เราเลือกมาแนะนำ น่าไปลองใช่มั้ยล่ะ บางทีถ้าได้ลองออกมาเที่ยวช่วงหน้าฝนสักครั้งนึงแล้ว คุณอาจจะติดใจก็ได้นะ! อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในการเดินทางช่วงหน้าฝนคือต้องไม่ประมาท ขับรถอย่างระมัดระวัง เนื่องจากฝนตกทำให้ถนนลื่น และอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ อย่าลืมพกร่ม รวมถึงดูแลสุขภาพตัวเองกันด้วยนะ!แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1448263/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/07/2024
บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด (“บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย)”) ได้รับรางวัล Best Asset Manager ประเภทกองทุนหุ้น[1] หรือ Equity Funds และ ประเภทกองทุนผสม[2] หรือ Balanced Funds จาก Alpha Southeast Asia นิตยสารการเงินชั้นนำด้านการลงทุนสถาบันที่ก่อตั้งมากกว่า 15 ปี ที่มุ่งเน้นการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันได้แก่ ประเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม และนำเสนอข้อมูลการลงทุนให้กับนักลงทุนทั้งในภูมิภาคยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชียแปซิฟิก ซึ่ง บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ได้รับรางวัล Best Asset Manager ประเภทกองทุนหุ้น ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 โดย คุณสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย คุณจินตนา เมฆินทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารตราสารทุน คุณผดุง ทรงอธิกมาศ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ และ Asset Allocation Funds รวมถึง คุณรสริน ธรรมรัตยานนท์ หัวหน้าฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ร่วมงานรับรางวัล ณ โรงแรม Shangri-La Hotel Singapore ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสามารถของทีมผู้จัดการกองทุน ของ บลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) และกลุ่มการลงทุนของเอไอเอ ที่มุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ผ่านช่วงเวลาทั้งที่ดีและไม่ดี ทำให้กองทุนหุ้น อาทิ AIA Enhanced SET50, กองทุน AIA Thai Equity และกองทุน AIA Thai Equity Discovery รวมถึงกองทุนผสม อาทิ AIA Global Aggressive Allocation Fund, AIA Global Moderate Allocation Fund, AIA Combined Aggressive Allocation Fund, AIA Combined Moderate Allocation Fund, และ AIA Combined Conventional Allocation Fund นับได้ว่าเป็นกองทุนคุณภาพระดับต้น ๆ สำหรับกองทุนหุ้นและกองทุนผสมในประเทศไทย โดย บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ยังคงมุ่งมั่นที่จะบริหารกองทุนรวมให้ได้ผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นในระยะยาว บนความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนและผู้ถือหน่วยลงทุนภายใต้ เอไอเอ ยูนิต ลิงค์ (AIA Unit Linked) ต่อไปหมายเหตุ: [1] ระยะเวลาในการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนโดย Alpha Southeast Asia วัดจากผลดำเนินงานของกองทุนระหว่างเดือนสิงหาคม 2563 ถึงเดือนเมษายน 2567 [2] ระยะเวลาในการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนโดย Alpha Southeast Asia วัดจากผลการดำเนินงานของกองทุน นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2567
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
01/07/2024
บทความโดย "ศุทธวีร์ มงคลสินธุ์" นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยจากข้อมูลของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในช่วงปลายปี 2566 พบว่าหนี้สินครัวเรือนไทยมีมากถึง 16.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90.9% ของ GDP สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาหนี้สินที่รุมเร้าคนในสังคมไทย เมื่อตัดภาพมาในด้านการเงินส่วนบุคคล สำหรับหลายคนแล้ว การเริ่มต้นเป็นหนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความจำเป็นเพียงอย่างเดียวแต่กลับมี “อารมณ์ความรู้สึก” เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียที่กลายเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเห็นไลฟ์สไตล์ของคนอื่นหรือการถูกกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยแคมเปญทางการตลาด ตั้งแต่ “หนึ่งเดือนหนึ่ง” ไปจนถึง “สิบสองเดือนสิบสอง” แม้กระทั่งวาทกรรม “ของมันต้องมี”ที่สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นค่านิยมที่ผลักดันการบริโภคของผู้คนในสังคมให้มากเกินพอดี เกินความจำเป็น อีกทั้งสิ่งของต่าง ๆ ยังสามารถใช้บัตรเครดิตผ่อน 0% 10 เดือน บางครั้งใช้บัตรกดเงินสดผ่อน 0% ได้ถึง 36 เดือน แม้ยอดผ่อนเป็นเงินเล็กน้อยต่อเดือน แต่ถ้าผ่อนสินค้าเพิ่มสูงขึ้น อาจทำให้สถานการณ์ทางการเงินตึงตัว ยังไม่รวมรายจ่ายก้อนใหญ่ เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งท้าทายที่ต้องรับมือให้ได้ และหากต้องการหลุดจากกับดักหนี้ ควรมี 5 กลยุทธ์เด็ด ดังนี้ทำความเข้าใจต้นตอของการเป็นหนี้เริ่มต้นจากการสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของตัวเอง ด้วยการจดบันทึกรายรับรายจ่าย จะทำให้เห็นตัวเลขที่เป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจน เพื่อนำข้อมูลที่สะท้อนพฤติกรรมทางการเงินมาวิเคราะห์ว่ารายจ่ายใดเป็นจุดอ่อนที่ฉุดรั้งไม่ให้พ้นจากกับดักหนี้ หลังจากนั้นก็แบ่งประเภทรายจ่ายออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รายจ่าย “ความจำเป็น” และรายจ่ายที่เป็น “ความต้องการ” เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจก่อนจะซื้ออะไรใหม่ ด้วยการถามตัวเองว่า สิ่งที่จะซื้อ “จำเป็นหรือเพียงแค่อยากได้” “สิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังพอใช้ได้อยู่หรือไม่” คำถามเหล่านี้จะช่วยเตือนสติการใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นตั้งเป้าหมายปลดหนี้ที่ชัดเจนการตั้งเป้าปลดหนี้อาจเลือกใช้วิธีปิดหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงสุดก่อน โดยเฉพาะหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้บัตรเครดิต เพื่อทำให้ประหยัดค่าดอกเบี้ย หรือเล็งเป้าหมายปลดหนี้ก้อนที่มีเงินต้นคงค้างเหลือน้อยที่สุด เปรียบเหมือนการ “ปลดล็อกกระแสเงินสด” เพื่อทำให้มีกระแสเงินสดในแต่ละเดือนมากขึ้นวางแผนจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพเลือกวิธีจัดการหนี้ที่เหมาะสม เช่น “วางแผนรีไฟแนนซ์” โดยหลักสำคัญ คือ การได้สินเชื่อใหม่มาแทนสินเชื่อเก่า โดยสินเชื่อใหม่นั้นต้องมีดอกเบี้ยต่ำกว่า ซึ่งมักจะใช้วิธีนี้กับสินเชื่อที่อยู่อาศัยเมื่อครบกำหนด 3 ปี หรือใช้วิธีนี้กับการใช้สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่ามาปิดยอดหนี้บัตรเครดิต โดยอาจต้องใช้เวลาหาข้อมูลเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย พิจารณาค่าธรรมเนียม คำนวณความคุ้มค่า เพื่อหาตัวเลือกที่ดีที่สุดหรือในกรณีที่ภาวะการเงินตึงตัวอาจเลือกวิธี “เจรจาลดหย่อนหนี้สิน” โดยเป็นการเข้าไปพูดคุยกับเจ้าหนี้ถึงความจำเป็น ภาระ และสถานะทางการเงิน เพื่อเป็นการประนีประนอมกันระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ ช่วยลูกหนี้ให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ ซึ่งลูกหนี้อาจได้ปรับลดจำนวนเงินต้น ลดอัตราดอกเบี้ย หรือการขยายเวลาการผ่อนชำระออกไปเคล็ดไม่ลับสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินเพื่อไม่ให้กลับมาเป็นหนี้เรื้อรัง ควรเติมวินัยการเงินในช่วงเป็นหนี้ด้วย 3 เทคนิค • ซื้อของด้วยเงินสด หรือถ้าใช้บัตรเครดิตก็ให้จ่ายหนี้เต็มจำนวน ซึ่งเป็นการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ภายใต้เงินที่มีอยู่ ไม่ใช้เงินในอนาคต เป็นการฝึกความอดทน ปรับเปลี่ยนนิสัยทางการเงินไม่ให้ใช้เงินแบบวู่วาม • ออมก่อนใช้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีรายได้เข้ามาในแต่ละเดือนให้ออมอย่างน้อย 5-10% ของรายได้ ถือว่าเป็นการสร้างเงินก้อนสำรองเผื่อฉุกเฉิน ควรมีเงินไว้ในรูปเงินฝากออมทรัพย์อย่างน้อย 3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา จะได้มีเงินไว้ใช้ไม่ต้องก่อหนี้เพิ่ม • ใช้ชีวิตแบบพอเพียง ดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่าย ไม่ก่อหนี้ ไม่ฟุ้งเฟ้อ วิถีชีวิตแบบนี้เป็นทางที่ยั่งยืนในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเอง และครอบครัวรู้เท่าทันภัยคุกคามทางการเงินในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยภัยคุกคามทางการเงินมีรูปแบบและวิธีการหลากหลาย การรู้เท่าทันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยปกป้อง หลีกเลี่ยงความสูญเสียทางการเงิน เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์ หลอกลวงออนไลน์ตามช่องทางโซเชียลมีเดีย การโจรกรรมข้อมูลโดยแฝงเข้ามาในแอปพลิเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือ หรือการลงทุนที่ผิดกฎหมาย แชร์ลูกโซ่ต่าง ๆ ที่มาหลอกล่อด้วยผลตอบแทนที่สูงในระยะเวลาสั้นดังนั้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเหล่ามิจฉาชีพ ควรติดตามข่าวสารทางการเงิน อย่าหลงเชื่อ อย่ากด Link แปลก ๆ และมีสติทุกครั้งที่จะใช้เครื่องมืออุปกรณ์สื่อสาร รอบคอบในการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงต้องระมัดระวังไม่ไปค้ำประกันให้ใครง่าย ๆ เพราะนอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังอาจเสียความสัมพันธ์ ทำให้ต้องมารับผิดชอบหนี้ที่ไม่ได้ก่อขึ้นมาแทนผู้อื่นอีกด้วยปัญหาเรื่องหนี้เป็นปัญหาที่ต้องบริหารจัดการทั้งภายนอกและภายในไปพร้อมกัน การจัดการภายนอก คือ การแก้ปัญหาด้านข้อเท็จจริงที่ต้องทำตัวเลขออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ตัดสินใจ วางแผนดำเนินการอย่างเป็นระบบ ส่วนการจัดการภายใน คือ ต้องมีวิธีคิดที่เหมาะสม จัดการอารมณ์ที่ต้องไม่เครียด เนื่องจากความเครียดส่งผลอย่างยิ่งต่อการใช้จ่ายเงิน ซึ่งจะทำให้เป็นปัญหาเรื้อรังไม่มีที่สิ้นสุด พัฒนาทักษะการจัดการอารมณ์ ไม่หมกมุ่น ไม่คิดวน คิดแบบมองไปข้างหน้า คิดตัดสินใจเพื่อวางแผน แล้วลงมือทำตามแผนที่วางไว้ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ถ้าทำได้ ความสำเร็จในการปลดหนี้จะอยู่ไม่ไกลแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1597048#google_vignette
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
สุขภาพ
01/07/2024
ถือเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ของการที่ร่างกายพยายามส่งสัญญาณเตือนเพื่อบ่งบอกถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่เรากลับไม่สนใจหรือละเลยเพียงเพราะคิดว่าไม่เป็นอันตราย อย่างเช่นกรณีของสาวชาวไต้หวัน วัย 30 ปี ที่มาตรวจเจอมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ในเวลาที่เกือบจะสายเกินไปสื่อต่างประเทศรายงานข่าวอุทาหรณ์สาววัย 30 ปี ตรวจเจอมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ร่างกายพยายามส่งสัญญาณเตือน แต่เธอกลับละเลย เรื่องราวดังกล่าวถูกเปิดเผยโดย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ Tran Chung Nhac หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ระบบทางเดินหายใจและทรวงอก ที่เปิดเผยเรื่องราวของคนไข้หญิงวัย 30 ปี ที่เขาเคยทำการรักษาโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้ายคนไข้หญิงรายนี้เธอเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายด้วยการวิ่ง จนเมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้ว เธอเริ่มมีอาการหายใจถี่มากขึ้นขณะวิ่ง โดยช่วงเวลาดังกล่าวนั้นเธอคิดว่าเกิดจากความอ่อนแอทางร่างกายของเธอ เธอจึงยังไม่ได้ไปพบแพทย์ แต่ทว่าอาการหายใจถี่ยังคงอยู่แม้ไม่ได้ออกกำลังกาย สามีของเธอจึงตัดสินใจพาเธอมาพบแพทย์ในที่สุดหลังแพทย์ทำการตรวจร่างกายของเธออย่างละเอียดนั้นก็พบว่าเธอกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดในระยะลุกลาม ซึ่งนั่นทำให้สาวคนดังกล่าวและสามีรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และแพทย์ได้ทำการส่งเธอเข้ารับการรักษาในทันที และถือเป็นเรื่องโชคดีที่ร่างกายของเธอตอบสนองได้ดีกับยาที่ใช้รักษา ก่อนที่เวลาต่อมาเชื้อมะเร็งของเธอกลับมาอยู่ในจุดที่แพทย์สามารถควบคุมได้ จนหายดีเป็นปกติ แต่อย่างไรก็ตามคนไข้รายนี้ยังคงต้องมาพบแพทย์เป็นประจำเพื่อติดตามอาการของโรคที่อาจกำเริบขึ้นมาได้อีกนายแพทย์ Tran Chung Nhac ยังกล่าวอีกว่า คนไข้รายนี้ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอดแม้แต่น้อย เช่น ประวัติครอบครัว การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ไฟฟ้า หรือ การสัมผัสกับสารพิษ เช่น สารหนู นิกเกิล โครเมียม และ แร่ใยหิน แต่ความเสี่ยงของโรคนี้ยังเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแปลงของ DNA ในร่างกายที่อาจมีการกลายพันธุ์และเปลี่ยนเป็นเซลล์มะเร็งได้โดยนักวิทยาศาสตร์จาก Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาและเผยให้เห็นว่า DNA ที่มีความผิดปกติอาจส่งผลให้เซลล์กลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้แม้คนคนนั้นจะมีสุขภาพดีและไม่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งนักวิทยาศาสตร์กล่าวเสริมอีกว่า มะเร็งจำ 32 ชนิดที่ได้ทำการศึกษาพบว่า 66% เซลล์มะเร็งมีการกลายพันธุ์มากจากการทำ งานที่ผิดพลาดของ DNA 29% มาจากปัจจัยแวดล้อม และอีก 5% มาจากพันธุกรรม หรือกรรมพันธุ์ส่วนสัญญาณของโรตมะเร็งปอดนั้น นายแพทย์ Tran Chung Nhac มะเร็งปอดระยะเริ่มต้นแทบไม่มีอาการ ซึ่งกว่าที่จะมีการแสดงอาการนั้นก็เข้าสู่ระยะที่ 3 หรือ 4 ตรงจุดนี้อาจทำให้กระบวนการรักษานั้นมีประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้หากร่างกายมีอาการผิดปกติ เช่น ไอเป็นเลือด ไอเรื้อรังนานกว่า 2 สัปดาห์โดยไม่ทุเลา หายใจถี่ อ่อนเพลีย และน้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด หากเป็นมะเร็งจริงการตรวจพบได้เร็วก็มีโอกาสหายจากโรคได้ง่าย รวมถึงโรคอื่น ๆ เช่นเดียวกันขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : docnhanh.vnแหล่งที่มาข่าว อีจันhttps://www.ejan.co/world/1d3dba1doksc
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
01/07/2024
สะท้อนความงามภายใต้ความแข็งแกร่งของสิ่งก่อสร้าง ที่มี “ปูนซีเมนต์และคอนกรีต” ผ่านงานศิลปะ สมาคมผู้ผลิตซีเมนต์และคอนกรีตโลก หรือ GCCA (Global Cement and Concrete Asso ciation) จัดโครงการ ‘Concrete in Life’ ประกวดภาพถ่ายประจำปี ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในปีนี้ภาพถ่ายที่ผ่านการคัดเลือก ได้ถูกนำมาจัดแสดงนิทรรศการระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีต “GCCA CEO Gathering and Leader Conference 2024” ที่จัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย โดยเป็นผลงานภาพถ่ายจากช่างภาพมืออาชีพ และผู้สนใจจากทั่วทุกมุมโลก ในหลากหลายมุมมอง ทั้งคอนกรีตกับเมือง (Urban Concrete) คอนกรีตกับโครงสร้างพื้นฐาน (Concrete Infrastructure) คอนกรีตกับชีวิตประจำวัน (Concrete in Daily Life) คอนกรีตกับความงามและการออกแบบ (Beauty and Design) ครอบคลุมไปถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ซึ่งงานนี้จัดขึ้นที่โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯดร.ชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูน ซีเมนต์ไทย (TCMA) และหนึ่งในคณะผู้บริหารสมาคมผู้ผลิตซีเมนต์และคอนกรีตโลก (GCCA) กล่าวว่า ปูนซีเมนต์เป็นส่วนผสมหลักของการผลิตคอนกรีต ปัจจุบันการพัฒนาด้านวัสดุศาสตร์ เทคโนโลยีการก่อสร้าง และการออกแบบใช้งานโครงสร้างจากคอนกรีต พัฒนาไปไกลมาก สามารถตอบสนองทั้งประโยชน์การใช้งาน ความสวยงาม และที่สำคัญช่วยลดคาร์บอน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของอุตสาหกรรม ปูนซีเมนต์และคอนกรีตที่มุ่งสู่ Net Zero ในปี ค.ศ.2050 (2593) โครงการประกวดภาพถ่ายประจำปี ‘Concrete in Life’ โดย GCCA นับเป็นเรื่องที่ดีมาก ที่สะท้อนมุมมองจากผู้ใช้งานจริง การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคอนกรีตได้เป็นอย่างดี ร่วมเปิดมุมมองใหม่ต่อคอนกรีตที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน รวมถึงความแข็งแกร่ง ความทนทาน และความงาม จากการประกวดภาพถ่ายประจำปี ‘Concrete in Life’ด้าน พอล อะเดเลเก้ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ การสื่อสารและนโยบาย กล่าวว่า GCCA จัดการแข่งขัน ‘Concrete in Life’ มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2562 และนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก จากที่ปีแรกมีภาพถ่ายส่งเข้าประกวดประมาณ 5,000 ผลงาน และปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 21,000 ผลงาน ทั้งคอนกรีตกับเมือง คอนกรีตกับโครงสร้างพื้นฐาน คอนกรีตกับชีวิตประจำวัน คอนกรีตกับความงามและการออกแบบ ครอบคลุมไปถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ทำให้ได้เห็นอรรถประโยชน์ของคอนกรีตที่มีความหลากหลาย ผ่านภาพถ่ายในมุมมองต่างๆ ที่สะท้อนถึงความจำเป็นของคอนกรีต ที่มีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก นอกจากนี้ ‘Concrete in Life’ จะเป็นตัวแทนการสื่อสารของอุตสาหกรรมซีเมนต์และคอนกรีต ตามโรดแม็ป GCCA Con crete Future ในการมุ่งสู่ความยั่งยืนและการปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ.2050 สามารถรับชมผลงานภาพถ่ายในโครงการ ‘Concrete in Life’ ได้ที่ https://gccassociation.org/concreteinlife2023/แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2796283
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
01/07/2024
นอกจากสภาพแวดล้อมของเมืองที่สวยงามแล้ว การจะเป็นเมืองน่าอยู่ได้นั้นต้องมีอีกหลายปัจจัยร่วมด้วย และสำหรับในปี 2024 นี้ มีการจัดอันดับเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก โดยอันดับแรกได้แก่ เวียนนา ประเทศออสเตรีย ตามมาด้วย โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก และ ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์รายการประจำปีจาก Economist Intelligence Unit (EIU) ได้รายงานผลการจัดอันดับ “เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก” จากจำนวนเมือง173 แห่งทั่วโลก ใช้ 30 ตัวชี้วัดใน 5 หมวดด้วยกัน ได้แก่ ความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต ระบบสาธารณสุข วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐานโคเปนเฮเกน (ภาพ : C1superstar from Pixabay)เมืองอันดับแรกที่ได้รับการจัดอันดับในครั้งนี้คือ “เวียนนา” เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย เมืองนี้อยู่ในอันดับต้นๆ มาเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้รับคะแนนยอดเยี่ยมเกือบทุกด้าน ยกเว้นด้านวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากไม่มีการจัดมหกรรมกีฬาขนาดใหญ่ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ “โคเปนเฮเกน” ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งอยุ่ในตำแหน่งเดิมเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และอันดับ 3 คือ “ซูริค” ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขยับขึ้นจากอันดับที่ 6 -ของปีที่แล้วมาอยู่ที่อันดับที่ 3 ของปีนี้สำหรับรายชื่อ 10 อันดับแรกเมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก ประจำปี 2024 มีดังนี้อันดับ 1 เวียนนา ประเทศออสเตรียอันดับ 2 โคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์กอันดับ 3 ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อันดับ 4 เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียอันดับ 5 (ร่วม) คัลการี ประเทศแคนาดาอันดับ 6 (ร่วม) เจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์อันดับ 7 (ร่วม) ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลียอันดับ 8 (ร่วม) แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาอันดับ 9 (ร่วม) โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นอันดับ 10 (ร่วม) โอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ซูริค (ภาพ : zuerich.com)ทางด้านภูมิภาคที่ได้คะแนนโดยรวมดีที่สุดคือ ยุโรป จากจำนวน 30 เมืองในยุโรปที่ได้คะแนนเฉลี่ย 92 จาก 100 คะแนน แต่ในรายงานได้ระบุว่าคะแนนดังกล่าวลดลงจากปีที่แล้ว เนื่องจากมีการประท้วงและมีอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อคะแนนในด้านความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต ส่วนอันดับที่ 2 คือภูมิภาคอเมริกาเหนือ ได้คะแนนเฉลี่ย 90.5 จากคะแนนเต็ม 100 โดยมีคะแนนสูงสุดในด้านการศึกษา แต่วิกฤตเรื่องที่อยู่อาศัยในแคนาดา ได้ฉุดคะแนนด้านโครงสร้างพื้นฐานให้ตกลงมาโดยวิกฤตด้านที่อยู่อาศัยนี้ รายงานจาก EIU ระบุว่าส่งผลกระทบต่อหลายภูมิภาค แต่มีความน่ากังวลเป็นพิเศษในออสเตรเลียและแคนาดา ซึ่งความพร้อมของอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าอยู่ในระดับต่ำตลอดเวลา และราคาซื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นก็ตามเมลเบิร์น (ภาพ : Wikipedia)นอกจากนี้ ดัชนีความน่าอยู่ของ EIU เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพยังคงมีอยู่ อัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงควบคู่กับอัตราดอกเบี้ยที่สูงและภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนอื่นๆ ส่งผลให้เกิดการประท้วงบ่อยครั้งทั่วโลกอีกปีหนึ่ง รวมถึงเหตุการณ์ความไม่สงบและการชุมนุมประท้วงมากขึ้นทั่วโลก เช่น การประท้วงในมหาวิทยาลัยทั่วสหรัฐอเมริกา บ่งชี้ว่าปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่น่าจะบรรเทาลงในเร็วๆ นี้และอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ทิศทางที่สวนกันของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้ว โดยประเทศกำลังพัฒนา มีการปรับตัวที่ดีขึ้นในหลายเมือง จากการพัฒนาในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขและการศึกษา ส่วนประเทศพัฒนาแล้วกลับได้คะแนนลดลง โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิต และด้านโครงสร้างพื้นฐานโอซาก้า (ภาพ : Son Nguyen D?nh from Pixabay)เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในเอเชียสำหรับในเอเชีย เมืองต่างๆ ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้านคะแนนความน่าอยู่ โดยเฉพาะ "ฮ่องกง" มีอัตราการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในด้านการศึกษา รวมถึงด้านความมั่นคง และสาธารณะสุขส่วนในกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิกนั้น "สิงคโปร์" เป็นเพียงเมืองเดียวจากกลุ่มประเทศอาเซียนที่ติดอันดับท็อป 10 เมืองน่าอยู่ที่สุดในเอเชีย โดยได้คะแนนเต็ม 100 ในด้านสาธารณสุขรายชื่อ 10 อันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในเอเชียเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย (อันดับ 4 ของโลก)ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 7 ของโลก)โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น (อันดับ 9 (ร่วม) ของโลก)โอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ (อันดับ 9 (ร่วม) ของโลก)แอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 11 ของโลก)โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (อันดับที่ 14 ของโลก)เพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 15 ของโลก)บริสเบน ประเทศออสเตรเลีย (อันดับที่ 16 ของโลก)เวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ (อันดับที่ 20 ของโลก)สิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ (อันดับที่ 26 ของโลก)สิงคโปร์เมืองที่น่าอยู่อาศัยน้อยที่สุดในโลกเมืองที่อยู่อันดับต่ำสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ เมืองในแอฟริกาใต้ซาฮารา ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ โดยดามัสกัส ประเทศซีเรีย และตริโปลี ประเทศลิเบีย เป็น 2 เมืองที่น่าอยู่อาศัยน้อยที่สุด หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เมืองเคียฟในยูเครนได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าอยู่น้อยเป็นอันดับ 9 ของโลก จากการที่ยังอยู่ระหว่างการสู้รบที่ดุเดือดกับรัสเซียส่วน เทลอาวีฟ เมืองหลวงของอิสราเอล เป็นเมืองที่ตกอันดับอย่างรุนแรงที่สุด โดยตกลงมา 20 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 112 ของโลก เนื่องจากสงครามกับกลุ่มฮามาสยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000055771
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
28/06/2024
กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“เอไอเอ” หรือ “กรุ๊ป”) ประกาศเปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด “Rethink Healthy” ที่มีเป้าหมายเพื่อปรับทัศนคติแบบเหมารวมของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อด้านสุขภาพ รวมไปถึงการเปลี่ยนนิยามของคำว่า “สุขภาพดี” สำหรับผู้คนในเอเชีย โดยเอไอเอต้องการสร้างนิยามใหม่ของคำว่า “สุขภาพดี” พร้อมชวนให้ทุกคนมาลอง “ปรับความคิด เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” เพื่อกระตุ้นและสนับสนุนผู้คนจำนวนมากให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน“Rethink Healthy” เป็นแคมเปญที่ส่งเสริมแนวทางความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวมและยั่งยืนยิ่งขึ้น ซึ่งครอบคลุม เกี่ยวข้อง และบรรลุผลได้สำหรับคนเอเชีย อีกทั้งยังนับเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ AIA One Billion ที่เอไอเอมีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ขึ้น ภายในปี 2573แคมเปญ “Rethink Healthy” ริเริ่มขึ้นจากรายงานผลสำรวจด้านสุขภาพที่ได้รับในระดับภูมิภาคซึ่งจัดทำโดย เอไอเอ[1] พบว่าผู้บริโภคจำนวนมากในเอเชียเชื่อว่าการมีสุขภาพที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินไปและไม่สามารถทำได้ โดยผลสำรวจจากรายงานวิจัยครั้งนี้พบว่า • ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ต้องการมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ร้อยละ 80 ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่เชื่อว่าตนเองมีสุขภาพดีในปัจจุบัน • ร้อยละ 57 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ยังไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับเปลี่ยนสุขภาพของตนเอง • ผู้คนในเอเชียยังถูกครอบงำด้วยการมีสุขภาพและตารางการออกกำลังกายที่สมบูรณ์แบบ • ร้อยละ 63 ของผู้ตอบแบบสอบถาม เชื่อว่าการออกกำลังกายจะต้องทำอย่างเคร่งครัดและติดต่อกันเป็นระยะยาวนานเพื่อสุขภาพที่ดี ซึ่งทำให้หลายคนท้อแท้จากการออกกำลังกาย • ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เชื่อว่าการเคลื่อนไหวร่างกายเพียงเล็กน้อยไม่สามารถทำให้สุขภาพกายดีขึ้นได้ แม้ว่าการวิจัย[2] จะแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของก้าวเล็ก ๆ ที่ทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อสร้างนิสัยที่ดีต่อสุขภาพก็ตามนายสจ๊วต เอ สเปนเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กลุ่มบริษัทเอไอเอ เผยว่า “สถานการณ์ปัจจุบันของผู้คนในเอเชียคือ มั่งคั่งขึ้นแต่ไม่ได้มีสุขภาพที่ดีขึ้น โรคที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าผู้คนเหล่านั้นจะต้องการเปลี่ยนแปลงสุขภาพของตนเองก็ตาม ผลวิจัยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้บริโภคต้องการการสนับสนุนในด้านสุขภาพ แคมเปญ 'Rethink Healthy' ของเอไอเอจึงสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เร่งด่วนนี้ได้ ด้วยการปรับเส้นทางสู่สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้มีความครอบคลุมมากขึ้น“เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีนำเสนอแนวทางการใช้ชีวิตเพื่อการมีสุขภาพที่ดี และแสดงให้ทุกคนเห็นว่า วิธีการมีสุขภาพที่ดีของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน พร้อมช่วยให้ทุกคนเดินหน้าสู่การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในแบบฉบับของตนเอง แต่ละตลาดในเอเชียมีความหลากหลาย แต่ประเด็นปัญหาด้านสุขภาพล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน“เรามุ่งเดินหน้าภารกิจที่จะปรับทัศนคติ ความคิด พฤติกรรม และแสดงให้เห็นว่ามีสุขภาพดีเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล แคมเปญนี้จะทำให้ผู้คนในเอเชียรู้สึกเข้าถึงและมีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมเร่งเดินหน้าเพื่อพิชิตเป้าหมาย AIA One Billion ของเรา”เอไอเอ ประเทศไทย เป็นประเทศแรกในกลุ่มบริษัทเอไอเอ ที่ได้จัดงานเปิดตัวแคมเปญ “Rethink Healthy” ณ อาคารเอไอเอ ทาวเวอร์ สำนักงานใหญ่ โดยมี นายสจ๊วต เอ สเปนเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กลุ่มบริษัทเอไอเอ นายตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับภูมิภาค พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด นางศรัณยา เทียนถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล และนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ ร่วมบอกเล่าถึงที่มาของแคมเปญ รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางเอไอเอ ประเทศไทย จะจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนด้านสุขภาพให้แก่ลูกค้า รวมถึงพนักงาน โดยในปีนี้มีแผนมุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพใจเป็นหลัก เพราะเอไอเอ เชื่อมั่นว่าการมีสุขภาพที่ดีแบบองค์รวมได้นั้น จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการมีสุขภาพใจที่แข็งแรงนอกจากนี้ ยังได้เปิดตัววิดีโอ “Rethink Healthy” ซึ่งเป็นการตั้งคำถามถึงเรื่องสุขภาพ โดยมีเนื้อหาหลักที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายของแคมเปญนี้ได้ดีขึ้น อย่างเช่น • ขยายมุมมองให้กว้างขึ้นเพื่อมองว่าสุขภาพเป็นความสมดุลระหว่างความเป็นอยู่ที่ดีทางร่างกาย จิตใจ การเงิน และสิ่งแวดล้อม แทนที่จะให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียว ที่คนส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นเครื่องหมายของการมีสุขภาพดี • เปลี่ยนวิธีพูดคุยและให้คำจำกัดความถึงวิถีชีวิตเพื่อการมีสุขภาพดี และทำให้มั่นใจได้ว่าทุกคนสามารถเดินไปถึงเป้าหมายของการมีสุขภาพดีและความเป็นอยู่ที่ดีในแบบของตนเอง • ขยายคำจำกัดความของกิจกรรม แนวทาง และทางเลือกต่าง ๆ ที่สามารถนำไปสู่สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวม • กำหนดนิยามใหม่ให้ทุกคนเข้าใจว่า เพียงการเคลื่อนไหวร่างกายและการรับประทานอาหารที่ดีขึ้นสามารถส่งผลดีต่อสุขภาพได้อย่างไรบ้าง • แสดงให้เห็นว่าทุกก้าวเล็ก ๆ มีความหมาย และความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นจะแปรเปลี่ยนเป็นการกระทำและการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ยิ่งขึ้นได้ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลกิจกรรม และรับชมวิดีโอ “Rethink Healthy” ได้ทางสื่อออนไลน์ของเอไอเอ ประเทศไทย ทั้ง AIA Official Facebook Page และ AIA Thailand YouTube Channel ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และสามารถคลิกลิงก์ Rethink Healthy - เอไอเอชวนทุกคนมา #ปรับความคิดเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น (youtube.com) เพื่อรับชมวิดีโอหมายเหตุ:[1] AIA & Kantar, Wellness Study – Regional Report [2] https://www.frontiersin.org/journals/psychology/articles/10.3389/fpsyg.2020.00560/full
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
27/06/2024
Finnomena แนะ 10 เรื่อง “การเงิน“ น่ารู้ก่อนอายุ 30 เพื่อโอกาสในการลงทุนที่เร็วขึ้น มีอะไรบ้าง เช็กเลยผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงอายุ 20-30 ปี ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงที่สำคัญของชีวิต เป็นช่วงที่จะได้พบเจอและลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็น การเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัวและเริ่มมีรายได้เป็นของตัวเอง การได้เจอสังคมใหม่ ๆ สัมผัสแรงกดดันและความท้าทายจากการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ฯลฯทั้งนี้จากบทความ Finnomena ได้รวบรวม 10 เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ควรทำก่อนอายุ 30 ปี เพื่อให้ได้ลองเช็กกันว่า มีอะไรบ้าง1. มีเงินเก็บสำรองฉุกเฉินเงินสำรองฉุกเฉินคือเงินที่เราสามารถหยิบมาใช้ได้ทันทีเมื่อมีเหตุจำเป็น อย่างที่ทราบกันดีว่าชีวิตของคนเราไม่แน่นอน วันหนึ่งเราอาจตกงาน เกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดคิดมาก่อน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เราไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เราไม่สามารถรู้อนาคตได้ ดังนั้นควรเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินไว้ประมาณ 6-12 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพื่อไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉิน เช่น หากเรามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่เดือนละ 20,000 บาท เราควรเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินไว้ 120,000-240,000 บาท2. ทำประกันประกันมีหลายประเภท ทั้งประกันออมทรัพย์ ประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ ลองพิจารณาดูว่าประกันแบบใดเหมาะกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของเรา หรือหากใครยังไม่มีประกันสุขภาพก็ลองเลือกซื้อแผนที่ตอบโจทย์เรามากที่สุด เพราะไม่มีใครสามารถทราบได้ว่าในอนาคตเราจะเจ็บป่วยเมื่อใด การซื้อประกันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในอนาคตได้อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทราบไว้ก่อนการซื้อประกันคือ “ยิ่งอายุเยอะ เบี้ยประกันยิ่งสูง” ดังนั้นควรทำประกันไว้ตั้งแต่อายุยังไม่มากจะดีที่สุด โดยควรศึกษารายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขการรับประกันทุกครั้งก่อนซื้อประกันเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของเราด้วย3. วางแผนค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนการวางแผนค่าใช้จ่ายนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ทำได้ยากอยู่เหมือนกัน เพราะในแต่ละเดือนอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมา แนะนำว่าให้ลองเริ่มวางแผนกำหนดงบประมาณรายจ่ายในแต่ละหมวดเท่าที่สามารถทำได้ เช่น ค่าเช่าบ้าน/คอนโดฯ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร ค่าของใช้ส่วนตัว ฯลฯ จะช่วยให้เราประเมินและวางแผนควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ดียิ่งขึ้น4. มีเงินออมสำหรับเป้าหมายต่าง ๆบางคนอาจจะมีความฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง มีรถสปอร์ตคันหรูขับ มีเงินล้านแรกในชีวิต หรือได้ออกไปเที่ยวรอบโลก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกความฝันนั้นต้องใช้เงิน ดังนั้นลองเอาความฝันของเรามาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเป้าหมายและวินัยในการออมเงิน โดยอาจจะเริ่มออมจากจำนวนไม่มาก แล้วค่อย ๆ เพิ่มไปเรื่อย ๆ ทีละ 10% หรือ 20% ก็จะช่วยทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น5. ศึกษาและเริ่มลงทุนเพื่อต่อยอดเงินอย่างที่ทราบกันดีว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในยุคนี้ค่อนข้างต่ำ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแค่การฝากเงินอาจจะไม่เพียงพอ เราจึงต้องหาวิธีอื่นเพื่อต่อยอดเงินและทำให้เงินของเรางอกเงยได้ “การลงทุน” จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถต่อยอดเงินของเราได้ ทั้งนี้ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายของเรา เพื่อให้เงินของเรางอกเงยไปได้เรื่อย ๆ โดยสิ่งที่สำคัญคือเราต้องศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ เสมอ6. วางแผนภาษีการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่มีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป การวางแผนภาษีจะช่วยให้เราสามารถกำหนดแนวทางการเสียภาษีได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา นอกจากนี้ยังทำให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ ได้อย่างคุ้มค่า เพื่อช่วยในการประหยัดภาษี และมีเงินเหลือไปทำอย่างอื่นได้อีกด้วย โดยการวางแผนเพื่อประหยัดภาษีสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการบริจาค การลงทุนในกองทุน SSF-RMF การซื้อประกัน ฯลฯ7. ซื้อ SSF-RMFสืบเนื่องจากข้อที่ 6 กองทุน SSF และ RMF เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการวางแผนภาษี ซึ่งนอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีแล้ว ยังเป็นการสร้างวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาอีกด้วย ทั้งนี้ก่อนเลือกซื้อ SSF หรือ RMF แนะนำศึกษาเงื่อนไขและนโยบายของแต่ละกองทุนให้ดีก่อน ว่าแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุด เพื่อผลประโยชน์ทางภาษีของเราในอนาคต8. จัดการหนี้ใครที่ยังมีภาระหนี้บ้าน หรือกู้ซื้อคอนโดฯ ซื้อรถไว้ แนะนำให้เริ่มบริหารจัดการหนี้ด้วยการรวบรวมหนี้ทั้งหมดที่เรามี โดยอาจจะบันทึกไว้ในสมุดสักเล่ม หรือบันทึกไว้ในโปรแกรม Excel/Google Sheet ก็จะทำให้เรารู้ว่าหนี้ทั้งหมดที่เรามีอยู่ตอนนี้มีเท่าไร และช่วยให้สามารถวางแผนชำระหนี้ได้ดีขึ้น และหากได้เงินก้อนมา เช่น ได้โบนัสจากการทำงาน เราอาจนำเงินแบ่งมาส่วนหนึ่งเพื่อมาโปะหนี้เพิ่ม ก็จะช่วยลดเงินต้นและดอกเบี้ยไปได้เช่นกัน แถมเป็นการสร้างวินัยทางการเงินอีกอย่างด้วย9. เริ่มวางแผนเกษียณหลังจากที่เราทำงานมาอย่างขยันขันแข็ง แน่นอนว่าในวัยเกษียณเราก็ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะที่จะสร้างความสุขให้กับวัยเกษียณของเรา ดังนั้นเราควรเริ่มวางแผนเกษียณตั้งแต่เนิ่น ๆ อย่าชะล่าใจคิดว่าการวางแผนเกษียณเป็นเรื่องของคนสูงอายุ เพราะอย่างที่บอกไปในช่วงต้นบทความว่า ยิ่งเราเริ่มวางแผนเร็ว เราก็จะยิ่งได้เปรียบเพิ่มขึ้น10. ซื้อประสบการณ์ชีวิตประสบการณ์ชีวิตจะทำให้เรามองเห็นโลกได้กว้างขึ้น ได้เห็นโลกในมุมมองที่แตกต่างไปจากจุดที่ยืนอยู่ปัจจุบัน ซึ่งสิ่งที่จะได้รับกลับมานั้นล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่ากับชีวิตและไม่มีสอนในห้องเรียนแน่นอน ดังนั้นลองออกไปใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่ยังไม่เคยทำดูบ้าง โดยอาจจะเริ่มจากประสบการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากก่อน เช่น การออกไปท่องเที่ยวในประเทศจังหวัดใกล้ ๆ การปีนเขา ล่องเรือ หรือการทำกิจกรรม Workshop ที่ใช้เวลาไม่นาน เช่น การวาดรูป จัดดอกไม้ ทำอาหาร ทำขนม เป็นต้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1576240
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
29/04/2024
30/04/2024
30/04/2024
29/04/2024
07/06/2024