Everyday knowledge for you
ท่องเที่ยว
31/07/2024
ช่วงนี้หลายคนอาจจะคิดเรื่องเที่ยวไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัด พบว่าตั๋วเครื่องบิน คือ สิ่งแรกที่หลายคนจะกดพอๆ กับที่พัก ซึ่งระยะเวลาที่ตั๋วเครื่องบินถูกหลายคนอาจจะต้องจองกันเกือบปี แล้วทำไมต้องจองตั๋วล่วงหน้า 8 ข้อดีการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าก่อนเที่ยว ต่อไปนี้จะทำให้นักเที่ยวทั้งหลาย ใส่ใจกับการจองตั๋วเครื่องบินมากขึ้นพร้อมแล้วมาดูกันข้อดีของการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าก่อนเที่ยวประหยัดเงินในกระเป๋าการจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้ามักมาพร้อมกับราคาที่ถูกกว่าการจองในนาทีสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงโลว์ซีซั่นหรือนอกฤดูกาลท่องเที่ยว สายการบินมักเสนอราคาพิเศษสำหรับผู้ที่จองล่วงหน้าหลายเดือน เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายและวางแผนการบินล่วงหน้านอกจากนี้ คุณยังมีโอกาสได้รับส่วนลดพิเศษหรือโปรโมชั่นต่างๆ ที่สายการบินจัดขึ้นเป็นครั้งคราว เช่น โปรโมชั่นต้อนรับฤดูกาลใหม่ หรือแคมเปญส่งเสริมการขายในช่วงเทศกาลสำคัญ การติดตามข่าวสารและจองในช่วงเวลาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้คุณประหยัดได้มากกว่าที่คิดเลือกที่นั่งได้ก่อนใครใครๆ ก็อยากได้ที่นั่งที่สบายและตรงกับความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อชมวิวสวยๆ ที่นั่งติดทางเดินสำหรับคนที่ต้องการลุกบ่อยๆ หรือที่นั่งแถวหน้าที่มีพื้นที่วางขากว้างขวาง การจองล่วงหน้าให้โอกาสคุณในการเลือกที่นั่งที่ต้องการได้ก่อนใครยิ่งไปกว่านั้น หากคุณเดินทางเป็นกลุ่มหรือครอบครัว การจองล่วงหน้าช่วยให้คุณสามารถเลือกที่นั่งติดกันได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องแยกนั่งคนละมุมเครื่องวางแผนทริปได้แน่นอนเมื่อคุณรู้วันเวลาเที่ยวบินที่แน่นอน การวางแผนส่วนอื่นๆ ของทริปก็ง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คุณสามารถจองโรงแรมหรือที่พักให้สอดคล้องกับเวลาเดินทาง วางแผนกิจกรรมท่องเที่ยวได้อย่างละเอียด และกำหนดงบประมาณได้แม่นยำมากขึ้นการมีกำหนดการที่ชัดเจนยังช่วยให้คุณสามารถแจ้งวันลาหยุดกับที่ทำงานได้ล่วงหน้า หรือนัดหมายกับเพื่อนๆ ที่ปลายทางได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกังวลว่าแผนจะเปลี่ยนในนาทีสุดท้ายลดความเครียดก่อนเดินทางการจองตั๋วล่วงหน้าช่วยลดความเครียดและความกังวลที่มักเกิดขึ้นก่อนการเดินทาง คุณไม่ต้องกังวลว่าจะหาตั๋วไม่ได้ในนาทีสุดท้าย หรือราคาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิดแทนที่จะต้องคอยเช็คราคาตั๋วทุกวัน คุณสามารถโฟกัสกับการเตรียมตัวด้านอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการจัดกระเป๋า การหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว หรือการเรียนรู้ภาษาท้องถิ่นเบื้องต้น การเดินทางควรเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนาน ไม่ใช่เรื่องที่น่าเครียดมีเวลาเตรียมเอกสารเพิ่มเติมการเดินทางไปต่างประเทศ บางครั้งอาจต้องใช้เอกสารพิเศษนอกเหนือจากหนังสือเดินทาง เช่น วีซ่า ใบรับรองการฉีดวัคซีน หรือประกันการเดินทาง การจองตั๋วล่วงหน้าให้เวลาคุณในการจัดเตรียมเอกสารเหล่านี้อย่างไม่เร่งรีบนอกจากนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดในการเดินทางของประเทศปลายทาง คุณก็มีเวลาเพียงพอในการปรับตัวและเตรียมการให้พร้อม ไม่ต้องลนลานในนาทีสุดท้ายโอกาสอัพเกรดที่นั่งมากขึ้นสายการบินหลายแห่งมีนโยบายเสนอโอกาสในการอัพเกรดที่นั่งในราคาพิเศษสำหรับผู้โดยสารที่จองล่วงหน้า อาจเป็นการอัพเกรดเป็นชั้นธุรกิจหรือที่นั่งที่มีพื้นที่วางขามากขึ้นการจองล่วงหน้าทำให้คุณมีโอกาสได้รับข้อเสนอเหล่านี้ก่อนใคร และบางครั้งอาจได้ราคาที่ถูกกว่าการอัพเกรดในวันเดินทาง ลองนึกภาพการเดินทางไกลอย่างสบายในที่นั่งกว้างขวาง พร้อมบริการระดับพรีเมียม - นี่คือประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการจองล่วงหน้าเลือกเที่ยวบินที่สะดวกได้ยิ่งจองเร็ว โอกาสที่จะได้เที่ยวบินในเวลาที่เหมาะกับแผนการเดินทางของคุณก็มีมากขึ้น คุณสามารถเลือกเที่ยวบินที่ออกในช่วงเวลาที่สะดวก ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวบินเช้าตรู่เพื่อให้มีเวลาเที่ยวเต็มวัน หรือเที่ยวบินกลางคืนเพื่อประหยัดค่าที่พักคืนแรกนอกจากนี้ การจองล่วงหน้ายังเพิ่มโอกาสในการเลือกเส้นทางการบินที่เหมาะสม เช่น เที่ยวบินตรงแทนที่จะต้องแวะเปลี่ยนเครื่อง ช่วยให้การเดินทางสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้นยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงแม้ว่าการจองล่วงหน้าจะดูเหมือนเป็นการผูกมัด แต่ในความเป็นจริง หลายสายการบินมีนโยบายที่ยืดหยุ่นสำหรับการเปลี่ยนแปลงตั๋วที่จองล่วงหน้า โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์การเดินทางยังไม่แน่นอนแต่อย่างไรก็ตาม การจองล่วงหน้าพร้อมกับการเลือกตั๋วที่มีเงื่อนไขยืดหยุ่น อาจช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนวันเดินทางหรือขอคืนเงินได้ง่ายกว่า หากมีเหตุจำเป็น นี่เป็นการประกันความมั่นใจอีกระดับหนึ่งสำหรับการวางแผนการเดินทางในระยะยาว ได้เช่นกัน ก็ลองพิจารณาในส่วนนี้เพิ่มก็ดีนะครับแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1448319/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
31/07/2024
คุณวางแผนเกษียณไว้แบบไหนครับ...จะเลิกทำงานตอนอายุเท่าไหร่ และอยากใช้ชีวิตหลังจากนั้นยังไงบ้าง ไม่ว่าแผนของคุณจะเป็นยังไง ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้ก็คือเงินใช่มั้ยครับวันนี้ผมเลยอยากมาบอกวิธีเบื้องต้นที่จะทำให้คุณมี Passive Income หรือมีรายได้เข้ามาแบบที่ไม่ต้องทำงานแล้ว ก็ยังเพียงพอที่จะรองรับชีวิตหลังเกษียณได้ ที่สำคัญ คุณสามารถเริ่มลงมือทำได้ตั้งแต่วันนี้ครับวิธีนั้นคืออะไร หากพร้อมแล้ว ไปเริ่มกันเลยดีกว่าครับแต่ก่อนจะไปถึงสิ่งที่ต้องทำ เรามาตั้งเป้าหมายกันก่อนครับสิ่งแรกก่อนจะเริ่มต้นกำหนดเป้าหมาย เราต้องรู้ก่อนว่าเรามีระยะเวลาอีกกี่ปีกว่าจะไปถึงวัยเกษียณที่ต้องการ และเมื่อเกษียณแล้วคุณคิดว่าเงินที่จะเข้ามาในแต่ละเดือนควรอยู่ที่เท่าไร โดยสรุปแล้วสิ่งที่คุณต้องรู้ก็คือ • ปัจจุบันคุณอายุเท่าไร • เป้าหมายของคุณ ต้องการเกษียณชีวิตการทำงานเมื่ออายุเท่าไร • เป้าหมายของคุณอยากมีเงินใช้เดือนละกี่บาท • คุณลองประเมินสักนิดว่าตัวเองจะมีอายุยืนยาวไปถึงปีที่เท่าไรของชีวิตเหล่านี้คุณต้องหาคำตอบให้ตัวเองก่อนนะครับแต่วันนี้ผมจะลองคิดตัวเลขคร่าวๆ เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดเป้าหมายของแผนวันนี้ โดยสมมติว่าปัจจุบันคุณมีอายุ 30 ปี ผมว่าเป็นจังหวะชีวิตที่กำลังดี สำหรับใครหลายคนที่ยังไม่เคยคิดเรื่องเกษียณ ก็ควรวางแผนและตั้งเป้าได้แล้วครับ อย่าลืมว่าเรื่องลงทุน ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดีนะครับเพราะความเป็นจริงเราไม่มีทางรู้อนาคตได้เลยครับ แต่การเตรียมตัวไว้ตั้งแต่ตอนนี้ก็ทำให้อนาคตตอนเกษียณของคุณมีทางเลือกในการใช้ชีวิตมากขึ้น ในแผนนี้ผมสมมติให้ว่าคุณจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี แล้วกันครับ ยึดตามมาตรฐานสากล ณ ปัจจุบัน และมีอายุยืนยาวไปถึง 80 ปีสำหรัรบเป้าหมายตัวเลข Passive Income ที่คุณอยากให้เข้ามหลังเกษียณอยู่ที่เท่าไร ผมไม่รู้ แต่สำหรับแผนนี้ ผมวางไว้ที่ 30,000 บาทต่อเดือนน่าจะพอไหวนะครับ สรุปแล้ว แผนนี้จะคำนวณจากอายุปัจจุบันที่ 30 ปี จะเกษียณตอนอายุ 60 ปี และหลังจากเกษียณแล้วอยากมีเงินใช้เดือนละ 30,000 บาท ไปอีก 20 ปีเอาล่ะครับ เริ่มคำนวนตามผมมาได้เลยครับ30,000 บาท x 12 เดือน x 20 ปี x อัตราเงินเฟ้อ 3% (1.03 ยกกำลังด้วยอายุเกษียณลบอายุปัจจุบัน)เท่ากับว่าคุณต้องเตรียมเงินไว้ 17,476,290 บาท*ครับ โดยมีเวลา 30 ปี (อายุเกษียณลบอายุปัจจุบัน)อย่าเพิ่งขนลุกแบบนั้นสิครับ...จำนวนเงิน 17 ล้านกว่า อาจจะดูเป็นไปได้ยากใช่ไหมครับ แต่เชื่อผมว่ามันเป็นไปได้ครับ เพราะวิธีที่จะทำให้คุณมีเงินไว้ใช้หลังเกษียณคือ…การลงทุนนั่นเอง และที่สำคัญกว่าการลงทุนให้ถึงเป้าหมาย คือการ DCA (Dollar Cost Averaging) แค่เพิ่มวินัย DCA เติมพลังให้พอร์ตสักหน่อย เป้าหมาย 17 ล้านก็ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ เรียกได้ว่า DCA คือคีย์เวิร์ดสำคัญของความสำเร็จทั้ง 3 แผนก็ว่าได้ เพราะวินัยในการ DCA ไม่ใช่แค่ทำให้การลงทุนของคุณดีขึ้น แต่เป็นบันไดสู่เป้าหมายอย่างแท้จริง ที่สำคัญคือการ DCA จะช่วยให้เงินงอกเงยได้โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องโลดโผนไปกับสินทรัพย์ที่เสี่ยงเกินจำเป็น นั่นเองอย่าลืมนะครับเรากำลังพูดถึงเงินที่จะใช้ในชีวิตหลังเกษียณ วัยที่เราไม่สามารถรับความเสี่ยงได้มากนักแล้วทีนี้คุณอาจจะค้านว่า คุณรับความเสี่ยงได้มาก ไม่ต้องกังวลไม่เป็นไรเลยครับ ผมจะจำลองแผนการลงทุน 3 แบบ เพื่อการเกษียณด้วยความเสี่ยงที่ไล่ระดับจากต่ำไปสูงเพื่อเป็นทางเลือกแล้วกันครับ สมมติคุณเริ่มต้นการลงทุนทั้ง 3 แผนนี้ด้วยเงินเก็บ 10,000 บาทแผนที่ 1การลงทุนในตลาดเงิน (Money Market) เรียกว่าความเสี่ยงต่ำที่สุด ผลตอบแทนก็ต่ำที่สุดเช่นกัน ผมยกตัวอย่างผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน Jitta Money ที่ระดับ 5.16% ต่อปี ด้วยผลตอบแทนระดับนี้ คุณต้อง DCA เดือนละ 23,180 บาท เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายใน 30 ปีข้างหน้าแผนที่ 2ลงทุนใน ETF ที่มีส่วนผสมของหุ้นและตราสารหนี้ ความเสี่ยงสูงขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเทียบกับตลาดเงิน แต่หากคุณจัดสัดส่วนของพอร์ตให้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ผมว่า ความเสี่ยงก็ยังอยู่ในระดับที่รับได้นะครับ ผมยกตัวอย่างกองทุน Global ETF (เติบโต) ที่มผลตอบแทนที่คาดหวังระดับ 8% ต่อปี ด้วยระดับผลตอบแทนเช่นนี้ คุณต้อง DCA เดือนละ 14,015 บาทแผนที่ 3ลงทุนธีมเมกะเทรนด์โลก หุ้นแห่งอนาคตที่มีความเสี่ยงในระดับสูงสุดจากทั้ง 3 แผนนี้ แต่ผลตอบแทนสูงสุด ผมขอยกตัวอย่างผลตอบแทนย้อนหลัง ของกองทุน Thematic Optimize ที่ระดับ 12.40% ต่อปี ด้วยผลตอบแทนที่สูงเช่นนี้ คุณสามารถใช้เงินในการ DCA ที่ต่ำลงมาเหลือเดือนละ 6,050 บาททั้ง 3 แผนนี้จะทำให้คุณมี Passive Incom เข้ามาได้ที่เดือนละ 30,000 บาทต่อเดือนหลังเกษียณแต่ถ้าหากในวัยที่คุณมีอายุ 60 แล้วยังไม่จำเป็นต้องใช้เงิน เงินก้อนนี้ก็จะเติบโตเพิ่มไปเรื่อยๆ ครับ…ด้วยมหัศจรรย์ของผลตอบแทนทบต้นคุณเห็นอะไรไหมครับ หากลงทุนด้วยสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่สูงกว่า คุณจะใช้เงิน DCA ที่น้อยกว่า เพราะผลตอบแทนช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าถ้าปัจจุบันคุณอายุมากกว่า 30 ปีแล้ว หรืออยากได้เงินเก็บไว้ใช้หลังเกษียณมากขึ้น ก็สามารถ DCA เพิ่มขึ้นได้ครับหรือถ้าคุณอายุน้อยกว่า 30 ปี คุณก็จะมีเวลาให้ DCA มากขึ้น จำนวนเงิน DCA ก็อาจลดลงกว่านี้ได้ มีเวลาให้พลังแห่งผลตอบแทนทบต้นทำงานได้มากขึ้น เหมือนที่หลายๆ คนพูดครับว่า ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งได้เปรียบไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นตอนอายุเท่าไหร่ การ DCA จะช่วยให้คุณได้สะสมเงินต้น เสริมพลังผลตอบแทนทบต้นให้พอร์ตโตไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นครับ นาฬิกาไม่เคยหยุดเดิน เวลาที่มีก็น้อยลงเรื่อยๆ ครับ ดังนั้น เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ดีที่สุดครับเกษียณอย่างมีความสุขไปด้วยกันนะครับแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ amarintvhttps://www.amarintv.com/spotlight/personal-finance/detail/66181
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
31/07/2024
กรุงเทพฯ 4 กรกฎาคม 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ (ที่ 6 จากซ้าย แถวหลัง) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก นำทีมพลังตัวแทนเอไอเอกว่า 100 ท่าน ร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิต เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 23 โดยได้รับเกียรติจาก นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ (ที่ 7 จากซ้าย แถวหลัง) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ณ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ ซึ่งนอกเหนือจากพลังตัวแทนที่มาร่วมบริจาคโลหิต ณ สภากาชาดไทยแล้ว เพื่อนพนักงานเอไอเอยังได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าว โดยได้มีการรับบริจาคโลหิต ณ อาคารเอไอเอ ทาวเวอร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้สำหรับกิจกรรมบริจาคโลหิตถือเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ในการเป็นผู้นำด้าน ESG ซึ่งพร้อมมีส่วนร่วมในการแบ่งปันน้ำใจให้แก่ผู้คนในสังคมไทย อีกทั้งช่วยต่อชีวิตให้แก่เพื่อนมนุษย์ เพื่อสนับสนุนให้ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ และเดินหน้าพันธกิจ AIA One Billion ซึ่งเป็นพันธกิจหลักสำคัญของกลุ่มบริษัทเอไอเอ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
31/07/2024
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จเป็นประธานเปิดงาน “Journey through the Lens” นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ครั้งแรกในระดับนานาชาติ ณ Leica Gallery Frankfurt (เลขที่ 15 ถนนเฮียร์ชกราเบิน) ประเทศเยอรมนี โดยนิทรรศการจะจัดแสดงตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 17 สิงหาคม 2567นิทรรศการครั้งนี้รวบรวมผลงานภาพถ่ายฝีพระหัตถ์มากกว่า 60 ภาพ อันถ่ายทอดถึงความชื่นชอบและพระปรีชาสามารถในด้านการถ่ายภาพ ซึ่งต่อยอดมาจนถึงปัจจุบัน ที่กล้องไลก้าได้กลายเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ท่านภาพถ่ายจึงเปรียบเสมือนไดอารี่ที่บันทึกความทรงจำ และชวนให้ผู้ชมได้จินตนาการถึงสิ่งที่ช่างภาพต้องการแบ่งปันผ่านศิลปะการถ่ายภาพในงาน “Journey through the Lens” ครั้งนี้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9670000055810
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
31/07/2024
พาไปสัมผัสกับอันซีนเชียงใหม่ “ป่าเมฆสูงสุดในสยาม” บนยอดดอยอินทนนท์ บริเวณจุดที่สูงที่สุดในเมืองไทย ในวันที่ชุ่มฟ้าฉ่ำฝนเกิดเป็นบรรยากาศ “ป่าเมฆสูงสุดในสยาม” ท่ามกลางม่านหมอกปกคลุมขาวโพลน ที่ดูสวยงามแปลกตาและน่าทึ่งกระไรปานนั้น“ดอยอินทนนท์” ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นขุนเขาที่มียอดสูงที่สุดในเมืองไทย คือ ยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “จุดสูงสุดแดนสยาม” ตั้งอยู่บนระดับความสูง 2,565.3341 เมตร จากระดับน้ำทะเลป้ายจุดสูงสุดแดนสยาม บนยอดดอยอินทนนท์บนนี้นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปถ่ายรูปคู่กับป้าย “สูงสุดแดนสยาม” แล้ว ยังมีอันซีนเชียงใหม่ที่หลาย ๆ คนมองข้ามไป นั่นก็คือ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอย” (Yod Doi Nature Trail) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทรลเดินป่าที่สูงที่สุดในเมืองไทยเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอย มีระยะทางสั้น ๆ เพียง 150 เมตร แต่ระหว่างทางมีความพิเศษทั้งด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และนิเวศวิทยา ที่ดูน่าตื่นตาตื่นใจทางเดินช้างคู่จุดเริ่มต้นสู่เทรลยอดดอยเทรลเดินป่าเส้นนี้สามารถเข้า-ออก ได้ 2 ทาง ทั้งจากจุดเริ่มต้นช้างคู่บริเวณลานจอดรถทางไปชมป้ายสูงสุดแดนสยาม แล้วเดินไปออกยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หรือจะใช้เส้นทางย้อนศรจากจุด “ต้นทางจิตสำนึก” (จุดสิ้นสุดของเทรล) ข้าง ๆ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแล้วเดินสวนทางขึ้นมายังป้ายจุดสูงสุดแดนสยามก็ได้ต้นไม้ใส่เสื้อผ้าในเทรลยอดดอยเส้นทางศึกษาธรรมชาติสายนี้ ทำเป็นสะพานไม้เดินสบาย ระหว่างทางจะพบกับลักษณะเฉพาะตัวของระบบนิเวศแบบ “ป่าเมฆ” ที่สูงที่สุดในเมืองไทย บนระดับความสูงกว่า 2,500 เมตรจากระดับน้ำทะเลที่นี่เราจะได้พบมวลหมู่ต้นไม้ที่มีกลไกการปรับตัวในอากาศหนาวเย็น จนเกิดเป็นลักษณะของ “ต้นไม้ใส่เสื้อผ้า” ที่มี มอส เฟิน ฝอยลม ขึ้นอิงอาศัยปกคลุมหนาแน่นตามลำต้น กิ่งก้าน รวมถึงพบกับต้น “ทะโล้” ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ปรับตัวดีที่สุดในเอเชียสถูปพระเจ้าอินทรวิชยานนท์ ด้านหน้าในเส้นทางสายนี้ยังเป็นที่ตั้งของ “สถูปพระเจ้าอินทรวิชยานนท์” เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระองค์เป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับป่าไม้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับผืนป่า “ดอยหลวง” หรือ "ดอยอ่างกา" อันเป็นชื่อเดิมของดอยอินทนนท์ ซึ่งมีความรักเป็นพิเศษถึงขนาดรับสั่งว่าหากสิ้นพระชนม์ไป ขอให้นำอัฐิส่วนหนึ่งไปบรรจุไว้บนยอดดอยแห่งนี้ครั้นเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลงจึงได้มีการนำอัฐิส่วนหนึ่งไปบรรจุไว้ในสถูปดังกล่าวบริเวณยอดดอย ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อจาก “ดอยหลวง หรือ “ดอยอ่างกา” มาเป็น “ดอยอินทนนท์”สถูปพระเจ้าอินทรวิชยานนท์ ด้านหน้า ด้านหลังสำหรับผู้ที่มากราบสักการะสถูปพระเจ้าอินทรวิชยานนท์โปรดงดจุดธูปเทียน เพื่อลดมลภาวะทางอากาศและไม่รบกวนธรรมชาตินอกจากนี้จากบริเวณหน้าสถูปยังมีทางเดินไปด้านหลังสถูปเพื่อนำชม “หมุดหลักฐานจุดสูงสุดแดนสยาม” ซึ่งย้อนไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ในสมัยรัชกาลที่ 5 หมุดแห่งนี้วัดด้วยการใช้กล้องส่องรังวัด ใช้โซ่เหล็กวัดระยะ และตะเกียงโคมไฟในการรังวัด โดยใช้แสงตะเกียงเขายอดหนึ่งไปยังอีกยอดหนึ่ง เชื่อมต่อกันเป็นรูปสามเหลี่ยมตามแนวที่ต้องการ หากมองไม่เห็นดวงไฟก็สร้างหอคอย หรือตัดโค่นต้นไม้บนสันเขาที่บดบังออกหมุดหลักฐานจุดสูงสุดแดนสยามหลังจากนั้นนายเจมส์เอฟ แมคคาร์ธี เจ้ากรมแผนที่ทหารในสมัยนั้น ซึ่งเป็นเจ้ากรมแผนที่ทหารคนแรกของเมืองไทย ได้สรุปผลออกมาว่ายอดสูงสุดของดอยอินทนนท์มีความสูง 8,450 ฟุต หรือ 2,575.60 เมตร จากระดับน้ำทะเลต่อมาเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นกรมแผนที่ทหารทำการวัดใหม่ด้วยดาวเทียม ได้ระดับความสูง2,565.3341 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งใช้กันมาจนถึงปัจจุบันป้ายสูงสุดแดนสยาม จุดเช็กอินยอดฮิตของนักท่องเที่ยวบนดอยอินทนน์จากหมุดหลักฐานจุดสูงสุดแดนสยาม ใกล้ ๆ กันจะเป็น “ป้ายสูงสุดแดนสยาม” บอกข้อมูลจุดที่สูงที่สุดในประเทศไทยบนยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดเช็กอินยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาเที่ยวบนดอยอินทนนท์ทางเดินเส้นทางเทรลยอดดอยและนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของเส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดดอย เส้นทางเดินป่าที่สูงที่สุดในเมืองไทย ซึ่งสามารถเดินเที่ยวเชื่อมโยงกับ “เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา” ที่อยู่ใกล้ ๆ กันได้อย่างสบาย เพียงข้ามถนนจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไปอีกฝั่งก็จะพบกับผืนป่าอ่างกา ที่เป็นป่าพรุสูงที่สุดในเมืองไทยต้นไม้ใส่เสื้อผ้าในดงข้าวตอกฤาษีที่อ่างกาเส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกามีบรรยากาศดูคล้าย “ป่าโบราณ” หรือ “ป่าดึกดำบรรพ์” ที่ดูสวยงามแปลกตาด้วย “ต้นไม้ใส่เสื้อผ้า” ซึ่งมีมอส เฟิน ฝอยลม ปกคลุมลำต้นกิ่งก้านอย่างหนาแน่น รวมถึงมี “ข้าวตอกฤาษี” มอสที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองไทยให้ชมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งนี่ถือเป็นเส้นทางเดินป่าอันสวยงามและน่าทึ่งแห่งหนึ่งของเมืองไทยแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000057104
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
31/07/2024
ก่อนฟ้าสางวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 นายแบงก์ทุกแห่ง ได้รับสายโทรศัพท์จากธนาคารแห่งประเทศไทย ปลุกให้ตื่นขึ้น นัดหมายให้ไปรวมตัวกัน เพื่อฟังข่าวลือ ที่กลายเป็นข่าวสำคัญ เป็นวาระที่พลิกโฉมหน้าระบบการเงินไทยไปตลอดกาล2 กรกฎาคม 2567 ครบรอบ 27 ปีเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจไทยที่ถูกเรียกว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เป็นวาระที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ ปรับเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบระบบตะกร้าเงิน (Basket of Currencies) ที่ผูกค่าเงินบาทกับเงินดอลลาร์ มาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float Exchange Rate Regim)2 เดือนก่อนการเปลี่ยนแปลง พฤษภาคม 2540 หลังผ่านการปกป้องค่าเงินบาท ครั้งใหญ่ที่สุด ตัวแทนทางการไทยถึงกับประกาศชัยชนะ เป็นการภายในและเปิดแชมเปญฉลองอดีตนายแบงก์รายหนึ่งเล่าว่า มีการจัดงานเลี้ยงมื้อค่ำ จัดโดย ดร.อำนวย วีรวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น และนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการ ธปท. และบรรดานายแบงก์มาจากทุกธนาคาร เข้าร่วมที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค“ดร.อำนวยแจ้งพวกเราว่า ตอนนี้เราป้องกันค่าเงินได้สำเร็จแล้ว สามารถเอาชนะการโจมตีค่าเงินบาทจากต่างชาติได้แล้ว” ดร.ทนง พิทยะ ซึ่งขณะนั้นอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารธนาคารทหารไทย แต่ไม่ได้อยู่ในดินเนอร์เล่าไว้ในหนังสือ หนังสือ 50 Years: The Making of the Modern Thai Economyดร.ทนงยังได้เล่าว่า ทางการได้ตักเตือนบรรดานายธนาคาร อย่าสนับสนุนการเก็งกำไรค่าเงิน ส่วนทาง ธปท.จะพยายามออกระเบียบกำกับดูแล เพื่อป้องกันไม่ให้ต่างชาติกลับมาโจมตีค่าเงินไทยอีก5 เดือนก่อนหน้านั้น ธันวาคม 2539 มีบรรดาบุคคล “วงใน” รับทราบว่า นายเริงชัย ผู้ว่าการ ธปท. ได้พยุงค่าเงินบาทไม่ให้ลดลง ด้วยการเข้าแทรกแซง โดยใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศเข้าซื้อเงินบาทจากตลาดเงินโดยตรง และเพื่อเป็นการรักษาระดับของทุนสำรองระหว่างประเทศ จึงมีการทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า หรือ Swap ทำให้ ธปท.มีภาระผูกพันที่ต้องส่งมอบเงินตราต่างประเทศคืนให้แก่นักลงทุนในอนาคตข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดเรื่อง “การลดค่าเงินบาท”ต้นปี 2540 การโจมตีค่าเงินบาท หนักหน่วงต่อเนื่องตั้งแต่มกราคม กุมภาพันธ์ และในช่วงพฤษภาคม เกิดการโจมตีอย่างรุนแรงที่สุด โดยเฉพาะในวันที่ 14 พฤษภาคม 2540 ทางการไทยต้องใช้เงินถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อปกป้องค่าเงินบาท อาจกล่าวได้ว่าเป็นการปกป้องค่าเงินที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินไทย1 เดือนก่อนมรสุมใหญ่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โทรศัพท์ถึง ดร.ทนง พิทยะ ให้เข้ารับใช้ชาติในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แทน ดร.อำนวย วีรวรรณ ที่ประกาศลาออกในวันที่ 21 มิถุนายน 2540จากนั้นไม่กี่วัน เกิดปรากฏการณ์เงินทุนไหลออกเป็นเงินบาท ของนักลงทุนไทยเอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สั่งการต่อ ธปท. 2 ทางเลือก ทางหนึ่งคือ “ลอยตัวค่าเงินบาท” ทางสองคือ ลอยตัวค่าเงินแบบมีเพดานร้อยละ 5-10 ต่อครั้งก่อนฟ้าสว่างวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ข่าวที่เคยลือเรื่องลดค่าเงินบาท ถึงวันระทึก เวลาที่นายแบงก์หลายคนบันทึกตรงกันคือ ราว 05.00 น. เสียงโทรศัพท์ของนายแบงก์ทุกแห่งดังขึ้นเกือบพร้อม ๆ กัน ปลายสายคือ เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย08.30 น. นายธนาคารทุกแห่ง ถูกเชิญให้ไปรวมตัวกันที่อาคารไม้ ชื่อเรือนแพ ริมแม่น้ำ ในวังบางขุนพรหม ที่ทำการธนาคารแห่งประเทศไทย และวาระที่ทุกคนคาดหมายไว้ก็มาถึง เมื่อเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ธปท. แจ้งว่า “นับจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย จะใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวค่าเงิน”“นายแบงก์ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพช็อก… เพราะไม่มีใครเข้าใจว่าการลอยตัวค่าเงินแปลว่าอะไร จะส่งผลดี ผลร้าย หรืออย่างไรต่อไป” บัณฑูร ล่ำซำ แห่งธนาคารกสิกรไทย เล่าย้อนเหตุในวันนั้นการลด-ลอยตัวค่าเงินบาท ในตอนนั้น ไม่เพียงปลุกนายธนาคารไทยให้ตื่นจากความช็อก ด้วยฐานะการเงินของบริษัทใหญ่-ธนาคารหลายแห่งพบว่าอาจอยู่ในภาวะกำลังจะ “ล้มละลาย”ปรากฏการณ์อาฟเตอร์ช็อก ในวิกฤตต้มยำกุ้ง เมื่อสินเชื่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยุคฟองสบู่ เกิดภาวะลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้คืน บริษัทเงินทุนไทยครึ่งร้อยแห่ง กำลังจะล้มละลายจากปัญหาหนี้เสียเดือนสิงหาคม 2540 ดร.ทนง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สั่งระงับกิจการสถาบันการเงินทั้งหมด 58 แห่งตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยเผชิญหน้าปัญหาการเงิน-การคลัง ระลอกแล้วระลอกเล่า ในปีที่ 27 นี้ ไทยกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาฐานะการคลัง…อีกครั้งแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1598468#google_vignette
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
31/07/2024
สงครามราคารถ EV จีนสะเทือนธุรกิจประกันวินาศภัยปั่นป่วน สมาคมเผยทุกบริษัทเร่งปรับตัวอุตลุด เผย BYD ทุบราคาลงกว่า 20% ส่งผลกระทบ “ทุนประกัน” สูงกว่าราคารถใหม่ บริษัทประกันต้องมอนิเตอร์ราคา EV แบบรายสัปดาห์ พร้อมแผนปรับ “ลดทุนประกัน-เพิ่มเบี้ย” ให้สอดคล้องกับตลาดและความเสี่ยง คปภ.ออกคำสั่งให้บริษัทประกัน EV ทำแผนบริหารความเสี่ยง “วาสิต ล่ำซำ” ประธานบอร์ดประกันภัยยานยนต์หั่นเป้ายอดขายอีวี เผยลูกค้าชะลอตัดสินใจหวั่นผู้ผลิตลดราคาอีกอีวีดัมพ์ราคากระทบทุนประกันแหล่งข่าววงในธุรกิจประกันวินาศภัยเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากผลพวงสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน ที่มีการปรับลดราคาแบบลดแล้วลดอีกมาตั้งแต่ช่วงต้นปี และล่าสุด เรเว่ ออโตโมทีฟ ผู้จัดจำหน่ายและให้บริการอีวีจีนแบรนด์ BYD ในประเทศไทย ประกาศลดราคาขายรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กรุ่น BYD Dolphin ลงสูงสุดถึง 160,099 บาท และ NETA ประเทศไทย ตัดสินใจปรับลดราคาขายรถอีวีรุ่น NETA V-II ลงไปสูงสุด 50,000 บาท เพื่อแข่งขันกระตุ้นยอดขาย สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องกับธุรกิจประกันรถยนต์อย่างมากเช่นกันประเด็นนี้ส่งผลให้สมาคมประกันวินาศภัยไทยต้องมีการปรับโปรแกรมราคามาตรฐานกลางรถยนต์ (TGIA BOOK) กันเป็นรายสัปดาห์ และกลายเป็นว่าได้สร้างความปั่นป่วนต่อธุรกิจประกันวินาศภัยเป็นอย่างมาก เพราะปรับลดราคาขายรถใหม่ป้ายแดงลงกว่า 20% ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทุนประกันภัยรถ EVทำให้บริษัทประกันวินาศภัยที่เป็นผู้รับประกันภัยรถ EV ต้องเร่งเตรียมปรับลดทุนประกันภัยใหม่ให้สอดคล้องกับราคาอีวี เพราะกลัวเจ๊ง เนื่องจากราคาค่าซ่อมโดยทั่วไปไม่ได้ลดตาม อย่างไรก็ดี ในแง่ของราคาเบี้ยประกันอีวี บางค่ายก็เริ่มมีการปรับเพิ่มเบี้ย สะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น“เวลานี้แต่ละบริษัทประกันกำลังปรับลดทุนประกันรถ EV ใหม่ และคาดว่าทุนประกันต่อไปในอนาคตจะลดลงถึงปีละ 30% ไม่ใช่แค่ 10% แล้ว เพราะราคารถ EV ค่อนข้างไดนามิก ทุกค่ายต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เพราะหากทุนประกันรถอีวีแพงกว่าราคามือสอง ก็จะมีการฉ้อโกงเกิดขึ้นได้” แหล่งข่าวกล่าวประกันแตะเบรก EVผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันบริษัทประกันมีความระมัดระวังการขายเบี้ยประกันอีวี ไม่แข่งตัดราคา โดยที่ผ่านมา บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด และบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด ก็ได้ประกาศชัดว่าลดเป้าหมายการขยายส่วนแบ่งตลาด โดยไม่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทำแคมเปญแถมประกันฟรีให้ลูกค้า “บีวายดี”เพราะในกรณีการทำแคมเปญร่วมกับค่ายรถ บริษัทประกันจะถูกกดค่าเบี้ย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตลาดรถยนต์กำลังซึมยาว เนื่องจากต้องรักษากำไรจากการรับประกันภัย มากกว่าการเป็นเจ้าตลาดประกันรถ EV ซึ่งขณะนี้บริษัทประกันวินาศภัยหลาย ๆ ค่ายก็ไปในทิศทางนี้คุ้มภัยโตเกียวปรับแผนยันไม่เลิกนอกจากนี้ รายงานข่าวในวงการประกันภัยรถ EV มีการแชร์ข้อมูลระบุว่า บริษัทคุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย ขอยกเลิกขายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า สำหรับงานใหม่มีผลตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไปแหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทคุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย ยืนยันกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทไม่ได้เลิกขายประกันรถ EV และยังอยู่ในบัญชีรายชื่อแถมฟรีประกันสำหรับรถป้ายแดงของรถ EV หลายยี่ห้อ เพียงแต่ขณะนี้บริษัทได้ยกเลิกราคาเบี้ยเดิมที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะกรณีรถอีวีที่ทำประกันปีที่ 1 กับบริษัทอื่น และต้องการโอนย้ายมาให้บริษัทรับประกันปีที่ 2โดยสาเหตุการปรับในครั้งนี้ สืบเนื่องจากปัจจุบันราคาขาย EV ป้ายแดง และราคารถมือสองมีความผันผวนมาก ทำให้ราคาเบี้ยที่เคยวางไว้ก่อนหน้านี้ต้องนำกลับมาประเมินใหม่ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างศึกษา โดยจะเป็นการปรับราคาทุนประกันภัยในการเสนอขายใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งพิจารณาร่วมกับต้นทุนการชดใช้จ่ายเคลมซึ่งก็ยอมรับว่าอัตราเคลมสินไหม (Loss Ratio) ของประกันรถ EV ค่อนข้างอยู่ในระดับสูง สาเหตุหลักจากค่าซ่อมและค่าแบตเตอรี่ยังแพงอยู่ ทั้งนี้ บริษัทพยายามปรับตัวให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในตลาดรถ EV ของประเทศไทย ซึ่งมีความเสี่ยงที่พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง“ขอย้ำว่าเราไม่ได้หยุดรับประกัน EV เพียงแต่ราคาเบี้ยเดิมที่วางไปเราให้ระงับการใช้ เพราะประเมินความเสี่ยงแล้วต้องปรับทุนประกันและเบี้ยให้เหมาะสม อย่างไรก็ดี สำหรับลูกค้าที่มีความประสงค์จะทำประกันรถ EV กับเรา สามารถสอบถามค่าเบี้ยเข้ามาได้ โดยเราจะคำนวณเบี้ยให้เป็นรายคัน” แหล่งข่าวผู้บริหารกล่าวสมาคมเผยทุกบริษัทเร่งปรับตัวนายวาสิต ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ตลาดรถ EV ช่วงนี้ค่อนข้างไดนามิกมาก โดยทุกบริษัทที่รับประกันรถ EV ต้องมอนิเตอร์อย่างใกล้ชิดโจทย์หลักคือต้องพยายามประเมินราคารถ EV ให้สอดคล้องกับข้อมูลที่เป็นปัจจุบันของตลาด EV ให้มากที่สุด เพื่อกำหนดทุนประกันให้เหมาะสม สำหรับในส่วนความคุ้มครองประกันรถ EV ปีที่ 2 หรือกรณีย้ายบริษัท“เดิมลักษณะงานรับประกันปี 2 หรือเปลี่ยนบริษัทประกัน จะกำหนดเบี้ยเป็น Single Rate ซึ่งจะทำเป็นช่วงราคาทุนประกันภัยเป็นกรอบกว้างไว้ ดังนั้น แต่ละบริษัทต้องไปประเมินว่าทุนประกันภัยที่เคยกำหนดไว้ก่อนหน้านั้นเพียงพอรองรับกับราคารถที่ลงหรือไม่”นายวาสิตกล่าวว่า จริง ๆ การปรับตัวเป็นไปตามหลักการประกันภัย ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ เพราะเวลาที่บริษัทประกันมีการกำหนดทุนประกันภัย จะอ้างอิงมูลค่ารถประมาณ 80% ของราคาซื้อขายรถยนต์ สาเหตุหลักคือไม่ต้องการทำทุนประกันสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Over-Sum Insured)เพราะมีโอกาสที่จะเกิดความไม่สุจริตของผู้เอาประกันภัย (Moral Hazard) เช่น เกิดเคลมลักษณะแปลก ๆ เพราะหวังค่าสินไหมทดแทน ขณะเดียวกัน ถ้ากำหนดทุนประกันต่ำเกินไป ก็ทำให้เกิดความลำบากกับผู้เอาประกันภัย จึงต้องกำหนดทุนประกันภัยให้มีความเหมาะสมส่วนทิศทางการปรับเบี้ยประกันอีวีนั้น ผลกระทบปีนี้ยังไม่มาก เพราะเป็นปีแรกที่เริ่มบังคับการให้ส่วนลดจากการเก็บพฤติกรรมการขับขี่ ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันรถอีวีใหม่ ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2567 เป็นต้นไปโดยจะมีผลในการต่ออายุไตรมาส 2 ของปี 2568 ซึ่งจะยึดตามความเสี่ยงภัยรายบุคคล ท้ายที่สุดก็คาดหวังว่าแนวทางนี้จะทำให้พฤติกรรมการขับขี่ของประชาชนมีความระมัดระวังมากขึ้น เพื่อความปลอดภัยในท้องถนน ซึ่งเป็นเป้าหมายของสำนักงาน คปภ. และสมาคมที่อยากเห็นยอดขายรถดิ่งทุบเบี้ยประกันนายวาสิตกล่าวอีกว่า สำหรับภาพตลาด EV ปัจจุบัน เทียบกับเมื่อต้นปี 2567 ในแง่ของยอดขายรถ ต้องถือว่าปีนี้ค่อนข้างออกมาต่ำกว่าความคาดหมายไปมาก และไม่ใช่เฉพาะรถ EV แต่รวมถึงรถสันดาปก็ติดลบด้วย ซึ่งมาจากหลายสาเหตุคือ 1. สภาวะเศรษฐกิจ ที่ส่งผลให้คนไม่ค่อยลงทุนในการซื้อรถใหม่2. การแข่งดัมพ์ราคาของผู้ผลิต EV จีนจากที่มีซัพพลายที่นำเข้ามา จึงทำให้เกิดภาวะลดราคาบ่อยและถี่ขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเกิดความลังเลในการจะซื้อรถ เพราะกังวลว่าราคาจะลดลงอีก จึงชะลอการตัดสินใจซื้อรถออกไปดังนั้น คาดว่าจะกระทบกับเป้าเบี้ยประกัน EV ที่คาดไว้จากเดิมประเมินว่าจะมีรถ EV ใหม่ปีนี้ระดับ 1.2-1.3 แสนคัน น่าจะเหลือใกล้เคียงปีที่แล้ว แค่ระดับ 7-8 หมื่นคัน โดยจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2567 มีรถอีวีที่จดทะเบียนสะสม 1.5 แสนคัน คิดเป็นมูลค่าเบี้ยประกัน EV ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท (เฉลี่ย 20,000 บาทต่อคัน)ทั้งนี้ ยังมีความหวังว่าถ้าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังผงกหัวดีขึ้นมาก และราคาน้ำมันแพงขึ้น จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้คนตัดสินใจซื้อรถ EV มากขึ้น เพราะราคารถในวันนี้ถึงจุดที่น่าสนใจ ประกอบกับคาดหวังว่าสถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นด้วยสำหรับในมุมของบริษัทประกันก็ยังให้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่และกลาง ในส่วนบริษัทเล็ก ๆ ก็เข้ามาทำตลาดอยู่บ้าง แต่ยังไม่เห็นเรื่องการแข่งขันที่สูงมาก ประกอบกับที่สำนักงาน คปภ.ได้ออกคำสั่งให้บริษัทที่รับประกัน EV ต้องจัดทำแผนบริหารความเสี่ยง ซึ่งทำให้ทุกบริษัทได้ตระหนักเรื่องของการทบทวนทั้งนโยบายและแผนการบริหารจัดการ ทั้งเรื่องการรับประกันภัยและการชดใช้สินไหมให้ดี“ถ้าเริ่มมีการวางแผนจัดการความเสี่ยงแล้วเดินได้ตามนั้น ก็น่าจะทำให้การรับประกัน EV แต่ละบริษัทสามารถจะไปสู่จุดสมดุลได้ ไม่ได้วิ่งเข้าไปเพื่อตัดราคา” นายวาสิตกล่าวคปภ.ประเมินแผนบริหารเสี่ยง EVนายอาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการด้านกำกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าตอนนี้ คปภ.อยู่ระหว่างรวบรวมและประเมินแผนบริหารความเสี่ยงที่รับประกันภัยรถ EVประกอบด้วย 1. ข้อมูลทั่วไป (ช่องทางการขาย, กลุ่มเป้าหมาย, กำไร) 2. ศักยภาพของบริษัทในการรับประกัน (จำนวนกรมธรรม์สูงสุด, จำนวนเงินเอาประกันสูงสุด, อัตราส่วนรวมค่าสินไหมทดแทน และค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงสุด ที่บริษัทมีศักยภาพในการรับประกัน)และ 3. วิธีการบริหารความเสี่ยง (ความเสี่ยงสำคัญ, แนวทางการใช้เบี้ยประกันภัย และการปรับเปลี่ยนเพื่อพร้อมรับสถานการณ์ อะไหล่ อู่ซ่อม การประกันภัยต่อ การเก็บข้อมูล การติดตามหลังออกสู่ตลาด)แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1598803
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
31/07/2024
"พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย" ปรับโฉมใหม่ตระการตา เปิดให้เข้าชมแบบ soft opening แล้วนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากร โดยสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย ทั้งด้านข้อมูลการจัดนิทรรศการ เทคนิคและรูปแบบการนำเสนอเพื่อให้มีความน่าสนใจและดึงดูดผู้ชมให้เข้ามาศึกษาเรียนรู้มรดกทางศิลปวัฒนธรรมเพิ่มมากขึ้น ขณะนี้ส่วนจัดแสดงนิทรรศการชั้นล่างแล้วเสร็จ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่การจัดแสดงทับหลังจากปราสาทพิมายและประติมากรรมพระเจ้าชัยวรมันที่ 7พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อบริการผู้เข้าชมตามแนวทางการจัดแสดงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อปี 2536 จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และความเป็นมาของเมืองพิมาย ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน กรมศิลปากรจึงได้พัฒนาและเพิ่มศักยภาพพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี ซึ่งมีการศึกษาทางโบราณคดีและพบหลักฐานโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาและสร้างสรรค์แหล่งเรียนรู้ทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ในฐานะแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญในระดับภูมิภาคอีสานตอนล่าง โดยดำเนินการมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565นิทรรศการถาวรในอาคารจัดแสดงที่ 1 (ชั้นล่าง) ที่ปรับปรุงแล้วเสร็จ และเปิดให้เข้าชมแบบ soft opening ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ประกอบด้วย“ก่อร่างสร้างปราสาท พิมาย” บอกเล่าเรื่องราวปราสาทพิมาย ตั้งแต่ที่มาของชื่อ "พิมาย" และการก่อสร้างปราสาทพิมาย ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ เครื่องมือ วิธีการ รวมถึงความเชื่อและพิธีกรรมในการก่อสร้าง“หลักฐานคนพิมาย” จัดแสดงหลักฐานที่บอกเล่าวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับและเครื่องแต่งกาย ภาชนะดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องไทยธรรม และพาหนะในการเดินทาง“ศาสนาในเมืองพิมาย” เมืองพิมาย เป็นศูนย์กลางสําคัญของศาสนาพุทธลัทธิมหายาน นิกายวัชรยาน ที่สําคัญในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา (ประมาณ 900 ปีมาแล้ว) นอกจากปราสาทพิมาย ยังปรากฏวัตถุเนื่องในพุทธศาสนาที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เมืองพิมายยังพบการเคารพนับถือศาสนาฮินดูควบคู่กันไปด้วย“เมืองพิมาย สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7” พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์ผู้ทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์มหิธรปุระ ในรัชสมัยของพระองค์ เมืองพิมายมีนามว่า วิมายปุระ เป็นเมืองสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งและเจริญรุ่งเรืองมากในขณะนั้น มีการสร้างประตูเมืองพิมายขึ้นทั้ง 4 ด้าน และโปรดให้สร้าง สถานพยาบาล (อาโรคยศาลา) ขึ้นที่เมืองพิมาย และสร้างที่พักคนเดินทาง (วหนิคฤหะ - บ้านมีไฟ) ตามถนนสายหลัก ที่ตัดจากเมืองพระนครหลวงมายังพิมายด้วย“เมืองพิมาย หลังพุทธศตวรรษที่ 18” เมื่อสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อิทธิพลทางการเมืองของอาณาจักรเขมรโบราณเริ่มเสื่อมลง เป็นผลให้อาณาจักรอยุธยาขยายอํานาจเข้าสู่บ้านเมืองในบริเวณลุ่มแม่น้ำมูลตอนบน ดังพบหลักฐานรูปเคารพสมัยอยุธยาที่ถูกนําเข้าไปประดิษฐานภายในปราสาทเขมรโบราณ เช่น ปราสาทพนมวัน ปราสาทพิมาย รวมถึงการพบโบราณสถานสมัยอยุธยาในเมืองพิมาย เช่น อุโบสถวัดเจ้าพิมาย และเมรุพรหมทัต“ลวดลายจําหลัก : ศิลปะแห่งเมืองพิมาย” ห้องจัดแสดงไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงทับหลังจากปราสาทพิมายและประติมากรรมพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และประติมากรรมรูปสตรีที่สันนิษฐานว่าเป็นพระนางศรีชัยราชเทวี มเหสีองค์แรกของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7สำหรับอาคารจัดแสดงชั้นบน ปิดให้บริการ เนื่องจากอยู่ในระหว่างการจัดเตรียมพื้นที่เพื่อปรับปรุงนิทรรศการ โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย มีแผนการดำเนินงานปรับปรุงต่อไปในปีงบประมาณ 2568ขอเชิญร่วมชมและสัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พิมาย ตําบลในเมือง อําเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เฉพาะส่วนจัดแสดงชั้นล่างที่ปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว และส่วนอาคารศิลาจำหลัก จัดแสดงโบราณวัตถุซึ่งเป็นส่วนประกอบสถาปัตยกรรมหินทรายที่พบจากโบราณสถานในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมเข้าชม วันพุธ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00 - 16.00 น.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000056591
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
31/07/2024
เริ่มต้นกับสถานที่แรก เราจะพานักเดินทางทุกคนไปแอ่วกันที่ “ดอยม่อนเงาะ” ไปลัดเลาะชมภูเขา ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกแห่งใหม่ ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง ไฮไลท์ของดอยม่อนเงาะ คือ เป็นจุดชมวิวบนยอดดอย ที่มีความสูงถึง 1,425 เมตร อีกทั้งยังสามารถมองเห็นภูเขาได้แบบ 360 องศา ทำให้ดอยม่อนเงาะแห่งนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตอนเช้าและชมทะเลหมอกที่ทอดยาวไปตามหุบเขาต่าง ๆ ที่สวยมาก ๆ มาที่นี่ก็จะได้ชมทั้งความสวยงามของธรรมชาติและอากาศเย็น ๆ นับเป็นแลนด์มาร์กที่นักเดินทางไม่ควรพลาดเลยล่ะค่ะ และแอบกระซิบว่าสามารถขึ้นไปกางเต็นท์ข้างบนได้ด้วยนะ • ที่อยู่ : ตำบลเมืองกาย อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://goo.gl/maps/UggFvwhn6PJbViTE6ม่อนแจ่มม่อนแจ่มและสถานที่ถัดมา ที่เราจะพานักเดินทางไปนั่นก็คือ “ม่อนแจ่ม” สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเชียงใหม่นั่นเอง ด้วยความที่ม่อนแจ่มมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีหมอกขาวลอยปกคลุมทั่วทั้งเขา ทั้งยังมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนราวกับภาพฝันนั่นจึงทำให้การเดินทางไปยังม่อนแจ่มในช่วงหน้าฝน เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะเราจะได้ใกล้ชิดธรรมชาติที่เขียวขจี ซึมซับบรรยากาศแบบชนบท สูดไอดิน กลิ่นหญ้า เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการพักผ่อน และดื่มด่ำกับธรรมชาติในช่วงหน้าฝนอย่างที่สุด! • ที่อยู่ : ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://goo.gl/maps/wDcKgWSq1BnNNKQY6ดอยอินทนนท์ดอยอินทนนท์ยังไม่ลงจากดอยนะ สถานที่ถัดมาที่เราจะพาไปนั่นก็คือ ดอยอินทนนท์ อีกหนึ่งยอดดอยสูงเสียดฟ้าของจังหวัดเชียงใหม่ แต่ถึงแม้ว่าจะสูงขนาดนั้น แต่บรรยากาศข้างทางกลับทำให้เราดื่มด่ำไปกับความสวยงามของธรรมชาติจนทำให้ลืมความเหนื่อยล้าเลยล่ะความสวยงามของดอยอินทนนท์ไม่ได้มีแค่ช่วงหน้าหนาวเท่านั้น แต่ช่วงหน้าฝนก็นเหมาะที่จะออกไปท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน เพราะคุณจะได้พบกับทะเลหมอก น้ำตกสวย นาขั้นบันได ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์บรรยากาศของธรรมชาติที่เขียวชอุ่ม มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้ได้เดินชมป่าไม้สองข้างทาง บอกเลยว่าพลาดไม่ได้ • ที่อยู่ : อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/AK8mvN1WfQx33REQ7แม่กำปองแม่กำปองไปกันต่อที่หมู่บ้านเล็กๆในหุบเขาที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติของผืนป่าและลำธารอย่าง “หมู่บ้านแม่กำปอง” ที่แม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างความสโลว์ไลฟ์ ทำให้รู้สึกว่าการใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจดีเหมือนกัน และหากเราเดินตามถนนเส้นหลักของหมู่บ้านไปเรื่อย ๆ สองข้างทางเราจะได้พบเห็นบ้านเรือน ร้านค้าของชาวบ้านและโฮมสเตย์ต่าง ๆ ที่เป็นอาคารไม้ เรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่ดูอบอุ่นมากโดยสถานที่ท่องเที่ยวในแม่กำปองมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น น้ำตกแม่กำปอง จุดชมวิว ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตก ผาน้ำลอด วัดกันธาพฤกษา ร้านกาแฟท่ามกลางลำธารและธรรมชาติหลายร้าน บอกเลยว่ามาพักผ่อนที่นี่จะทำให้เวลาชีวิตของคุณเดินช้าลงไปและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข • ที่อยู่ : ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://goo.gl/maps/xN1k5KPNUoSfxKkj8เขื่อนแม่งัดเขื่อนแม่งัดและแล้วเราก็เดินทางมาถึงสถานที่สุดท้าย ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติศรีลานนา นั่นก็คือ เขื่อนแม่งัด หรือชื่อเต็ม ๆ คือ เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่รายล้อมด้วยภูเขาเขียวขจี และสายน้ำที่พริ้วไหว เขื่อนแม่งัดจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแนวธรรมชาติที่เหมาะแก่การพักผ่อนอีกทั้งที่แห่งนี้ ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถนอนบนแพ ดูหมอก ชมวิวภูเขา และสามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ อย่างการเล่นน้ำ และพายเรือคายัค แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็สามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังสามารถเรียนรู้วิถีของผู้คนในชุมชนได้อย่างเต็มที่อีกด้วย • ที่อยู่ : ตำบลอินทขิล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ • พิกัด : https://goo.gl/maps/pt6mYJFFYT52RbiFAเป็นยังไงกันบ้าง กับพิกัดที่เที่ยวเชียงใหม่ในช่วงหน้าฝนที่เราเลือกมาแนะนำ น่าไปลองใช่มั้ยล่ะ บางทีถ้าได้ลองออกมาเที่ยวช่วงหน้าฝนสักครั้งนึงแล้ว คุณอาจจะติดใจก็ได้นะ! อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในการเดินทางช่วงหน้าฝนคือต้องไม่ประมาท ขับรถอย่างระมัดระวัง เนื่องจากฝนตกทำให้ถนนลื่น และอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ อย่าลืมพกร่ม รวมถึงดูแลสุขภาพตัวเองกันด้วยนะ!แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1448263/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
30/07/2024
บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เอไอเอ (ประเทศไทย) จำกัด (“บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย)”) ได้รับรางวัล Best Asset Manager ประเภทกองทุนหุ้น[1] หรือ Equity Funds และ ประเภทกองทุนผสม[2] หรือ Balanced Funds จาก Alpha Southeast Asia นิตยสารการเงินชั้นนำด้านการลงทุนสถาบันที่ก่อตั้งมากกว่า 15 ปี ที่มุ่งเน้นการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันได้แก่ ประเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม และนำเสนอข้อมูลการลงทุนให้กับนักลงทุนทั้งในภูมิภาคยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชียแปซิฟิก ซึ่ง บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ได้รับรางวัล Best Asset Manager ประเภทกองทุนหุ้น ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 โดย คุณสุขวัฒน์ ประเสริฐยิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย คุณจินตนา เมฆินทรางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารตราสารทุน คุณผดุง ทรงอธิกมาศ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ และ Asset Allocation Funds รวมถึง คุณรสริน ธรรมรัตยานนท์ หัวหน้าฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ร่วมงานรับรางวัล ณ โรงแรม Shangri-La Hotel Singapore ประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสามารถของทีมผู้จัดการกองทุน ของ บลจ.เอไอเอ (ประเทศไทย) และกลุ่มการลงทุนของเอไอเอ ที่มุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม ผ่านช่วงเวลาทั้งที่ดีและไม่ดี ทำให้กองทุนหุ้น อาทิ AIA Enhanced SET50, กองทุน AIA Thai Equity และกองทุน AIA Thai Equity Discovery รวมถึงกองทุนผสม อาทิ AIA Global Aggressive Allocation Fund, AIA Global Moderate Allocation Fund, AIA Combined Aggressive Allocation Fund, AIA Combined Moderate Allocation Fund, และ AIA Combined Conventional Allocation Fund นับได้ว่าเป็นกองทุนคุณภาพระดับต้น ๆ สำหรับกองทุนหุ้นและกองทุนผสมในประเทศไทย โดย บลจ. เอไอเอ (ประเทศไทย) ยังคงมุ่งมั่นที่จะบริหารกองทุนรวมให้ได้ผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นในระยะยาว บนความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนและผู้ถือหน่วยลงทุนภายใต้ เอไอเอ ยูนิต ลิงค์ (AIA Unit Linked) ต่อไปหมายเหตุ: [1] ระยะเวลาในการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนโดย Alpha Southeast Asia วัดจากผลดำเนินงานของกองทุนระหว่างเดือนสิงหาคม 2563 ถึงเดือนเมษายน 2567 [2] ระยะเวลาในการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนโดย Alpha Southeast Asia วัดจากผลการดำเนินงานของกองทุน นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2567
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
30/04/2024
07/03/2024
29/04/2024
17/09/2024
30/04/2024