Everyday knowledge for you
ห้องแสดงนิทรรศการ
11/12/2024
นิทรรศการ Red mud, Green Shoots จัดแสดงผลงานศิลปะหลากหลายเทคนิคของศิลปิน ‘แม่ญิง’ 28 คน สะท้อนความรู้สึก ความทรงจำ ของเหตุการณ์มหาอุทกภัย ส่งต่อกำลังใจ พลิกฟื้นให้ชีวิตดำเนินต่อไปกันได้ ท่ามกลางความผันผวนไม่แน่นอนของสภาพอากาศและทุกอย่างรอบๆ ตัวในน้ำท่วมเราพบน้ำใจ ท่ามกลางโคลนตมที่กลืนกินพื้นที่ไปทั่วเมือง เราเห็นความหวังที่ยังผลิบาน โลกมีสองด้านให้เราเรียนรู้เสมอพจวรรณ พันธ์จินดา หนึ่งในสมาชิกศิลปินแม่ญิง (Maeying Artists Collective) กล่าวถึงที่มาของนิทรรศการ Red mud, Green Shoots ที่กำลังจัดแสดงอยู่ที่บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ไปจนถึง 21 ธันวาคม ศกนี้ ให้ฟังว่า“ศิลปินแม่ญิง แสดงผลงานร่วมกันในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 2560 แต่ปีนี้เกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของ เชียงราย สมาชิกในกลุ่มเรามีทั้งผู้ประสบภัยและอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงอยากถ่ายทอดมุมมองของแต่ละคนในนิทรรศการ Red mud, Green Shoots ท่ามกลางโคลนสีแดงเต็มเมือง ก็ยังมีหน่อเล็ก ๆสีเขียวงอกขึ้นมาใหม่ แม้จะอยู่ท่ามกลางภัยพิบัติเรายังมีความหวัง”ศิลปินแม่ญิง (Maeying Artists Collective)(ภาพ : บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย)หอยทากบนผนัง ตัวแทนของผู้รอดชีวิต ผลงานดินปั้นโดย พจวรรณ พันธ์จินดาผลงานศิลปะในนิทรรศการครั้งนี้ ได้รับการตีความผ่านความรู้สึกและประสบการณ์ของศิลปินแต่ละคน ทำให้ผู้ชมได้เห็นมุมมองที่หลากหลายพจวรรณ เจ้าของคาแรกเตอร์ PoyPoy เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชอบแฝงตัวอยู่ในท้องฟ้ากว้างๆ ชอบชวนเพื่อนๆออกไปผจญภัย นำเสนอเรื่องราวของหอยทากที่พากันหนีน้ำขึ้นไปอยู่บนกำแพงและผนังของบ้าน ด้วยการปั้นดินเป็นรูปหอยทากระบายสีราวลูกกวาดแล้วนำมาเกาะอยู่ตามผนังกระจายอยู่ภายในห้องจัดแสดงงานศิลปะ“เล่าถึงเรื่องราวของผู้รอดชีวิต” เจ้าของผลงานตอบสั้นๆเพราะอยากให้เราจินตนาการต่อเรือกระดาษ สะท้อนภาพความช่วยเหลือจากเรือกู้ภัยที่แล่นผ่านหน้าบ้านทุกวันผลงานของ ภัทรพร สิทธิศักดิ์ในขณะที่ ภัทรพร สิทธิศักดิ์ หยิบรูปทรงของเรือกระดาษมาบอกเล่าถึงขบวนเรือกู้ภัยที่แล่นผ่านหน้าบ้านซึ่งอยู่บนเส้นทางผ่านระหว่างอำเภอแม่สายและอำภอเมืองเชียงราย แทนความทรงจำที่ได้เห็นความช่วยเหลือที่เกิดขึ้นในทุกวันภาพเขียนสีจากดินโคลนน้ำท่วม ผลงานของ ธนันท์ ใจสว่างธนนันท์ ใจสว่าง นำดินโคลนที่มากับน้ำท่วมในบ้านมาผสมน้ำแล้วใช้แทนสีวาดภาพสะท้อนความโกลาหลที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์น้ำท่วมส่วน กิตติ์สินี ธันวรักษ์กิจ สร้างสรรค์ผลงานศิลปะจัดวางด้วยการนำดินโคลนมาใส่ในถุงดำแล้วปลูกดอกเดซี่ สื่อถึงความหวังและการเริ่มต้นใหม่ และดอกทานตะวัน สะท้อนถึงความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ “ถึงแม้ว่าเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นจะทิ้งร่องรอย สร้างบาดแผลและความเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่ขออย่าสิ้นหวัง หมดพลัง และสิ้นศรัทธา เหมือนดอกไม้ที่เติบโตหลังพายุฝน” โดยต้นไม้ในถุงดำนี้ผู้เข้าชมสามารถซื้อกลับบ้านได้ รายได้จะนำไปสมทบทุนช่วยเหลือ“ซ้อนสู้สู่ความหวัง” โดย จตุพร เทพนิลประกาศยกของขึ้นที่สูงเป็นคำเตือนที่คุ้นหู จตุพร เทพนิล นำดินโคลนน้ำท่วมมาสร้างสรรค์เป็นงานเซรามิคที่ชื่อว่า ซ้อนสู้สู่ความหวัง สะท้อนถึงความพยายามในการปกป้องสิ่งของจากภัยน้ำท่วมด้วยการซ้อนวางสิ่งของอย่างมุ่งมั่นตั้งใจและระมัดระวัง จนเกิดเป็นความสูงจากการสู้เพื่อให้สิ่งของพ้นระดับน้ำ อีกทั้งการซ้อนสู้นี้แฝงด้วยความหวังให้เกิดความปลอดภัย พร้อมชีวิตที่รอวันผลิบานกับการเริ่มต้นใหม่ที่สดใสยิ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ชวนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสำหรับผลงานที่ดูเหมือนว่าจะเก็บรายละเอียดของเหตุการณ์และเรื่องราวของผู้คนได้เอาไว้ได้มากมาย ต้องยกให้ผลงานจิตรกรรมในบรรยากาศเหนือจริง “อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” ของ ชรินรัตน์ สิงห์หันต์ เจ้าของฉายา หลานหวัน หรือหลานของ ‘ถวัลย์ ดัชนี’ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย ที่รุ่นพี่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ตั้งให้เพราะความที่เป็นคนเชียงรายที่มีความบ้าพลังทำงานศิลปะชิ้นเล็ก ๆไม่ค่อยถนัดถึงแม้ว่าผลงานในครั้งนี้จะมีขนาดเล็กอยู่สักหน่อย แต่ถือว่าเป็นงานชิ้นเล็กแบบตะโกนเลยทีเดียว“อยากเขียนภาพที่บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดของปีนี้เอาไว้ ตอนต้นปีเขาบอกว่าเชียงรายจะแล้งแต่ปรากฏว่ามีฝนตกหนัก นอกจากนี้การเผาข้าวโพดทำให้หน้าดินแข็งไม่สามารถอุ้มน้ำได้ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่วมเรามานั่งดูเชียงรายปีนี้ว่าเกิดประสบภัยพิบัติเกือบทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นฝนตก น้ำท่วม หรือฝุ่นละออง เลยอยากจะบันทึกเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปีนี้เอาไว้ถอดบทเรียนสำหรับการไขปัญหาให้ดีขึ้น”“อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต” โดย ชรินรัตน์ สิงห์หันต์หลานหวัน นำเสนอรูปบุคคลที่มีหัวเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยม สื่อความหมายของสภาวะที่หลีกหนีไม่ได้ ร่องรอยบูดเบี้ยวแทนประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในขณะที่สีหน้าบ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายที่ชาชิน งานเก็บกวาดยังคงเป็นงานหนักหลังน้ำลด ท่ามกลางความโกลาหลอาหารและข้าวกล่องลำเลียงส่งมาทางเฮลิคอปเตอร์ ดังที่เห็นเป็นข่าว อาสาสมัครกู้ภัย และน้ำใจที่หลั่งไหลจากทั่วสารทิศ ล้วนเป็นเรื่องราวที่บันทึกไว้ในผลงานชิ้นนี้ข้าวกล่อง คือ ของสำคัญในยามนั้นในดีมีร้าย ในร้ายมีดี ทุกเรื่องราวล้วนมีมุมมองคู่ขนานกันอยู่เสมอ เช่นเดียวกับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเชียงรายเมื่อเดือนสิงหาคม กันยายน ต่อเนื่องมาจนถึงตุลาคมที่ผ่านมา“บนโคลนตมสีแดงที่หลากท่วมไปทั่วเมือง ความหวังยังผลิบาน”ถ้าไม่เป็นผู้ประสบภัยเองก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ ผลงานของ อิ่มบุญ อินยาศรีนิทรรศการ Red mud, Green Shoots จัดแสดง 16 พฤศจิกายน -21 ธันวาคม 2567 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย เปิดให้เข้าชมฟรี เวลา 10.00-16.00 น. (หยุดวันจันทร์) และติดตามกิจกรรมของทางกลุ่มศิลปินได้ที่ เฟซบุ๊ก กลุ่มศิลปินแม่ญิง Maeying Artists Collectiveภาพ : บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย , แม่ญิงแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1156900
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
11/12/2024
เมื่อก้าวไปตามเส้นทางบนสะพานสกายวอล์กที่โอบล้อมความร่มรื่นเขียวขจีของพันธุ์ไม้หลากชนิดรอบตัว คงชวนให้ผู้หลงใหลในพันธุ์พฤกษารู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อย โดยเฉพาะ “ต้นเปือย” หรือต้นตะแบกที่สูงชะลูดจนต้องแหงนคอมองแผ่ใบเขียวครึ้มเป็นร่มเงากระจัดกระจายอยู่เกือบร้อยต้นบรรยากาศชวนรื่นรมย์ชมธรรมชาตินี้ หากไม่บอกกล่าวกันมาก่อน คงไม่รู้ว่าเป็นป่าช้าเก่ามานับร้อยปี แต่ขอให้ตัดจินตนาการความคิดที่รบกวนจิตใจออกไป แล้วสัมผัสสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ที่มีความสวยงามของผืนป่า ย่อมยากที่จะปฏิเสธได้ว่า “ดอนป่าเปือย” เป็นแหล่งท่องเที่ยวชมธรรมชาติที่น่าประทับใจ สมกับฉายาที่ชาวบ้านตั้งให้เป็นแดนมหัศจรรย์ต้นเปือยหลายสิบต้นร่มรื่นไปทั่วบริเวณป่าช้าเก่า สู่แหล่งท่องเที่ยวแดนมหัศจรรย์“ดอนป่าเปือย” หรือบางคนเรียกว่า “ป่าช้าบ้านหม้อ” เป็นป่าช้าเก่าของชาวไทพวนในตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ซึ่งทุกวันนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยม เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง “อันซีนหนองคาย” เป็นจุดหมายไม่ควรพลาดทั้งผู้สนใจเรื่องพืชพันธ์ุต่างๆ ตลอดจนนักเดินทางที่มีความเชื่อสายมู ที่มักไม่พลาดพ่วงมาด้วยความเชื่อเรื่องการเสี่ยงดวง แถมยังสมหวังกันไปอีกหลายรายด้วยศาลตาโฮม-ยายจำลองอาณาเขตราว 36 ไร่ของดอนป่าเปือย เป็นผืนป่าที่มีลักษณะสวนป่าผสมผสานเพื่อการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ระบบนิเวศและศึกษาพืชพรรณในท้องถิ่น ต้นไม้ชูโรงที่เป็นไฮไลต์ ต้องยกให้ “ต้นเปือย” หรือต้นตะแบก จำนวน 92 ต้น ซึ่งว่ากันว่ามีจำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย สูงตระหง่านกระจัดกระจายแผ่ความร่มรื่นไปทั่วบริเวณ โดยมีอายุราว 300-400 ปี และมีต้นที่ใหญ่ที่สุด วัดรอบวงได้ถึง 5.3 เมตรทางเดินไปชมต้นเปือยยักษ์ความสำคัญของต้นไม้ใหญ่ที่สุด ยังมีความเชื่อมโยงกับพระเกจิชื่อดังของภาคอีสาน เพราะเป็นสถานที่ปักกลดของ “หลวงปู่ฝั้น อาจาโร” เมื่อปี พ.ศ. 2475 ซึ่งทางเดินไปยังจุดที่พระเกจิเคยปักกลด ประดับเป็นเส้นทางเสาไม้ไผ่เรียงรายสวยงามได้บรรยากาศคล้ายเสาโทริอิแบบญี่ปุ่นผืนป่าที่นี่นับเป็นป่าโบราณ นอกจากต้นเปือยยักษ์แล้ว ยังมีพืชหลายชนิดที่เติบโตตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น กล้วยป่า ต้นบอน ตาว อ้อยช้าง ต้นบุก ดูกใหญ่ พืชสมุนไพรนานาชนิด ต้นตะเคียนทอง 200 ปี ฯลฯ ที่เบียดเสียดกันเติบโต สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ได้เป็นอย่างดีตกแต่งคล้ายเสาโทริอิสถานที่ถ่ายทำหนังดังของค่าย GTHในด้านวัฒนธรรมร่วมสมัย ดอนป่าเปือย ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดังของค่าย GTH ในสมัยที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ เรื่อง “15 ค่ำเดือน 11” (2545) อันเป็นผลงานแจ้งเกิดเรื่องแรกของ “จิระ มะลิกุล” ด้วยภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเล่าตำนานพื้นบ้านกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นในคืนวันออกพรรษาของทุกปีในพื้นที่จังหวัดหนองคายมูลเจดีย์รูปแบบการท่องเที่ยวดอนป่าเปือยสำหรับการเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้ เป็นรูปแบบเดินชมเอง หรือมีไกด์ท้องถิ่นนำชม ไปตามเส้นทางเดินแบบสะพานยกสูง ผสมกับสกายวอล์ก ความยาวรวมประมาณ 400 เมตร โดยมีไฮไลต์ต่างๆกระจายอยู่หลายจุด ได้แก่ จุดบริเวณที่เคยใช้ถ่ายทำภาพยนตร์, สระอโนดาด พญานาคา, นางพญาตาเปือย, หอฆ้องกลองโบราณ, จุดชมพื้ชพรรณไม้หายาก, มุมถ่ายภาพสวยๆกับป่าอันร่มรื่น ฯลฯส่วนด้านนอกเส้นทางเดิน ก็ยังมีจุดเช็กอินที่ผสมผสานศรัทธากับความเชื่อ เช่น สถูปพระทองคำ, มูลเจดีย์, ศาลตาโฮม-ยายจำลอง, ถ้ำปู่ศรีสุทโธ - ย่าศรีปทุมมา, ตามรอยเส้นทางหลวงปู่ฝั้นที่ต้นเปือยใหญ่ที่สุด เป็นต้นจุดถ่ายภาพตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิจกรรมประจำปีนอกจากการเที่ยวชมธรรมชาติแล้ว ในส่วนของการสัมผัสวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ต้องลองแวะมาช่วงเทศกาลประจำปี ที่มีการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมที่สำคัญเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน ได้แก่ ก่อนวันสงกรานต์ (9 เมษายน ของทุกปี) มีกิจกรรมทำบุญตักบาตรอุทิศให้บรรพบุรุษ การบิณฑบาตบนสะพานในป่า พระสงฆ์เดินออกมาด้านนอก เป็นอันซีนแห่งเดียวในจังหวัดหนองคาย และในช่วงกลางคืน ยังมีกิจกรรมฉายหนังให้ผีดู ส่วนในช่วงวันสงกรานต์ มีการสรงน้ำพระพุทธรูปทองคำ ตลอด 3 วันอีกหนึ่งไฮไลต์คืนวันออกพรรษา (15 ค่ำ เดือน 11) จะมีการจุดเทียน 1,511 เล่ม บนราวสะพาน สวยงามอลังการ เพื่อย้อนรอยภาพยนตร์เรื่องดังที่เคยมาถ่ายทำต้นบอนขนาดใหญ่ดอนป่าเปือย บ้านหม้อต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคายติดต่อ เข้าชมได้ทุกวัน 09-3429-9351, 08-1601-6232เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติข้อมูลต้นเปือย“ต้นเปือย” เป็นชื่อภาษาถิ่น หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ “ตะแบก” ไม้ยืนต้นขนาดกลางและใหญ่ ลำต้นสูงประมาณ15-30 เมตร มีทรงพุ่มใหญ่กว้าง ทรงพุ่มหนา ทำให้เป็นร่มเงาได้ดี และยังมีความเชื่อคนโบราณว่าเป็นต้นไม้มงคล ด้วยชื่อของ “ตะแบก” จะช่วยค้ำจุนครอบครัวให้ร่มเย็นเป็นสุข มั่นคง ช่วยแบกรับไม่ให้ตกต่ำตามชื่อที่เรียกแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000118804
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
06/12/2024
เปิดเส้นทางที่มาของภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยตั้งแต่เริ่มต้น สู่แผนปฏิรูปภาษีขึ้น VAT มากกว่า 7% ลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% และภาษีบุคคลธรรมดา 15% กลายมาเป็นประเด็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรง ทั้งภาคประชาชน ธุรกิจเอกชน และฝ่ายการเงิน สำหรับการขึ้นภาษี VAT มากกว่า 7% ถูกปลุกขึ้นมาจากการประกาศผ่านงานปฐกถาพิเศษของ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อ 3 ธันวาคมที่ผ่านมาเขาระบุว่า กำลังเร่งพิจารณาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนเรื่องการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และปรับให้สอดคล้องกับหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเก็บอยู่ที่ 7% จากเพดานที่ให้เก็บได้ 10% ซึ่งถือว่าน้อย เมื่อเทียบต่างประเทศทั่วโลกที่มีการเก็บภาษี VAT เฉลี่ยที่ 15-25% จนทำให้ประชาชนต่างมีข้อกังวลสำหรับรายจ่ายของตนที่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ยังเท่าเดิมภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่น้อยคนนักจะรู้ว่ามันมีที่มา เส้นทางและหน้าที่แบบใด ?VAT 10% ตั้งแต่เริ่ม‘ภาษีมูลค่าเพิ่ม’ หรือที่เรารู้จักกันในนาม ‘VAT’ ย่อมาจาก Value Added Tax ซึ่งคำว่า มูลค่าเพิ่ม หมายถึง ค่าเงินที่เพิ่มขึ้นของแต่ละขั้นตอนการผลิตไปจนถึงการจำหน่ายสินค้าและบริการ เปรียบเทียบได้จากราคาสินค้าและบริการที่ผลิต หรือจำหน่าย กับราคาสินค้าและบริการที่ซื้อมาเพื่อใช้ในการผลิตโดย VAT เป็นภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนการผลิตสินค้า หรือบริการ และการจำหน่ายสินค้าหรือบริการชนิดต่าง ๆ โดยผู้ประกอบการมีหน้าที่เก็บจากผู้บริโภค แล้วนำไปชำระให้แก่รัฐบาล ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร หมวด 4 ภาษีมูลค่าเพิ่ม มาตรา 80 ระบุว่า ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 10.0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการดังต่อไปนี้ • การขายสินค้า • การให้บริการ • การนำเข้าทั้งนี้เว้นแต่กรณีที่กำหนดไว้ในมาตรา 80/2อัตราภาษีตามวรรคหนึ่งให้ลดลงได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ต้องกำหนดอัตราภาษีให้เป็นอัตราภาษีเดียวกันสำหรับการขายสินค้า การให้บริการ และการนำเข้าทุกกรณีด้วยข้อความข้างต้นเป็นที่มาของพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 236 พ.ศ. 2534 พ.ร.ฎ. ฉบับแรกที่กำหนดให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มและจัดเก็บในอัตราร้อยละ 6.3 และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแทนราชการส่วนท้องถิ่นในอัตราร้อยละ 0.7 ของอัตราภาษีที่จัดเก็บทำให้กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งสิ้นร้อยละ 7 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 เป็นครั้งแรก ก่อนจะตามมาด้วยพระราชกฤษฎีกาฯ อีกหลายฉบับที่ขยายเวลาในการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อาทิ • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 479 พ.ศ. 2551 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 549 พ.ศ. 2555 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 592 พ.ศ. 2558 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 646 พ.ศ. 2560 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 669 พ.ศ. 2561 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 684 พ.ศ. 2562 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 715 พ.ศ. 2563 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 724 พ.ศ. 2564แม้ว่าจะมีการลดอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยปรับเพิ่มขึ้นเลย ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ‘ต้มยำกุ้ง’ จนต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)ไทยปฏิบัติตามข้อเสนอในการรัดเข็มขัดและรักษาวินัยทางการเงินจาก IMF เพื่อให้สถานะการคลังแข็งแกร่งขึ้น ด้วยการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 กลับมาเป็นร้อยละ 10 เมื่อปี 2540 ก่อนจะปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มกลับมาเป็นร้อยละ 7 ดังเดิมตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2542เพิ่มเปอร์เซ็นต์ VAT เพิ่มรายได้รัฐ ?ข้อมูลจากกระทรวงการคลังระบุว่า ปีงบประมาณ 2567 ภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ถือเป็นแหล่งรายได้อันดับ 2 ของรัฐ รองจากรายได้จากกลุ่มรัฐวิสาหกิจ กลายมาเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐในการดำเนินกิจการต่าง ๆ อาทิ ระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ รวมถึงการเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมความเติบโตทางเศรษฐกิจ และควบคุมการบริโภคของประชาชน รวมถึงการรักษาเสถียรภาพในทางเศรษฐกิจตรงกับจุดประสงค์ของรัฐบาลที่ รมว.พิชัย กล่าวไว้ว่า การปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อสนับสนุนเรื่องการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล เงินกองกลางหรือที่หมายถึงเงินในคลังใหญ่ขึ้น ก็จะเป็นการส่งมอบโอกาสกับคนที่มีรายได้น้อย ผ่านมาตรการต่าง ๆ ของรัฐในการอำนวยความสะดวก และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวยขณะที่ความเห็นจำนวนมากทั้งระดับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและภาคประชาชน ระบุว่า อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงมาเหลือร้อยละ 7 ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา อาจทำให้ประชาชนเคยชิน และรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตที่พิชัยแง้มมานั้น อาจส่งผลกระทบต่อรายจ่ายของตนเองที่จะเพิ่มมากขึ้นโยนหินถามทางรอบ 2แต่สำหรับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มของไทยนั้น ดูเหมือนจะไม่มีวี่แวว เนื่องจากมีการลดอัตราคงไว้ที่ร้อยละ 7 มานานหลายปี แต่เมื่อย้อนกลับไปปี 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ เวลานั้น เคยเปรยการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกัน โดยกล่าวว่า หากเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 จะทำให้รายได้ประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาทสวนทางกับการวิเคราะห์ของ ศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ให้สัมภาษณ์กับทาง BBC ว่า การปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 1 จะเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทยเพียง 70,000-80,000 ล้านบาทเท่านั้นแม้ว่าจบวาระของรัฐบาลประยุทธ์ การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเพียง 1% จะไม่ได้เกิดขึ้น แต่ปัญหารายรับของภาคการคลังที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังเผชิญ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐบาลนี้จะต้องการปรับภาษีมูลค่าเพิ่มให้สอดคล้องกับหลายประเทศทั่วโลก เพื่อให้คลังมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นมา ประกอบกับเหตุผลที่พิชัยกล่าวว่า การเก็บสูงขึ้นถือเป็นความเหมาะสม และทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนจะลดลงจากการที่คนรวยและคนฐานะปานกลางจ่ายเพิ่มขึ้น เงินกองกลางเพิ่มขึ้น ส่งผลให้คนรายได้น้อยได้รับโอกาสในการดำรงชีวิตที่สูงขึ้นผ่านมาตรการรัฐ อาทิ สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล สถานศึกษา นอกจากนี้ยังสามารถนำเงินกองกลาง ที่หมายถึงรายได้รัฐไปเพิ่มความสามารถให้กับนักธุรกิจภายในประเทศ ทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจต่ำลง เป็นผลดีต่อการส่งออกจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามพิชัยเองก็ทราบดีว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่อนไหว และภายหลังไม่นานกระแสจากทุกภาคส่วนก็มุ่งเป้ามาที่ทุกฝั่งของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหตุให้แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต้องออกมาชี้แจงเพื่อลดความกังวลใจของประชาชนผ่านโซเชียลมีเดีย ว่า“จากข้อกังวลใจของพี่น้องประชาชน ต่อเรื่อง VAT 15% วันนี้ได้พูดคุยหารือในประเด็นดังกล่าว กับท่านรองนายกรัฐมนตรี พิชัย ร่วมกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อความชัดเจน ดังนั้นขอสรุปเพื่อชี้แจงต่อพี่น้องประชาชน1. ไม่มีการปรับ VAT เป็น 15%2. กระทรวงการคลัง กำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ3. การปรับโครงสร้างภาษีของประเทศอื่น ๆ ใช้เวลาศึกษาและปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ปี4. นโยบายหลักของรัฐบาล คือการลดรายจ่ายของประชาชน ลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการหาโอกาสจากการสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน ทั้งหมดนี้ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนคนไทยพร้อมยืนยันขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า การทำงานของรัฐบาล เราดำเนินการด้วยความรัดกุม รับฟังทุกภาคส่วน และยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยของเราทุกคน”ข้อมูลจาก กรมสรรพากร, สำนักนโยบายภาษีและ ธนาคารแห่งประเทศไทยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1709906
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันควบการลงทุน
06/12/2024
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงินผู้เขียน : Actuarial Business Solutions [ABS]ช่วงนี้มีคนพูดถึงเรื่องประกันพ่วงการลงทุน หรือยูนิตลิงค์ บ่อยมาก รวมถึงกระแสของธุรกิจประกันชีวิตก็มาทางด้านนี้กันมาก ทางผมจึงอยากหยิบยกเรื่องราวนี้มาวิเคราะห์ให้ผู้อ่านดูบ้างครับยูนิตลิงค์เป็นประกันชีวิตที่ถูกออกแบบเพื่อเป็นเครื่องมือวางแผนการเงินระยะยาวที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามจังหวะและสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดช่วงชีวิต และมีส่วนของการลงทุนเพิ่มเข้ามาในตัวกรมธรรม์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่อยากให้ความคุ้มครอง หรือผลประโยชน์ของกรมธรรม์โตตามผลการดำเนินงานของตลาดผู้ถือกรมธรรม์สามารถเลือกเน้นที่ความคุ้มครองระยะยาว (เช่น ตลอดชีวิต หรืออย่างน้อย 20-30 ปี เป็นต้นไป) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญเสียทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยหรือการสูญเสียชีวิตก็ได้ หรือเลือกเน้นที่การสะสมทรัพย์ระยะยาว เพื่อวางแผนเงินที่คาดว่าจะจำเป็นในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการวางแผนหลังเกษียณ การวางแผนการศึกษาบุตร หรือการวางแผนมรดกให้คนที่เรารัก โดยยูนิตลิงค์เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาจากประกันชีวิตแบบดั้งเดิม โดยมุ่งเน้นที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการ1. ความยืดหยุ่นในการนำเบี้ยประกันไปลงทุน โดยสามารถเลือกรูปแบบการลงทุนตามความต้องการของผู้ถือกรมธรรม์ในแต่ละช่วงจังหวะชีวิต และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยการนำเบี้ยประกันที่ได้รับส่วนใหญ่ไปลงทุนในกองทุนซึ่งมีระดับความเสี่ยง และความคาดหวังต่อผลตอบแทนที่หลากหลายกว่า2. ความยืดหยุ่นในด้านความคุ้มครอง สะสมทรัพย์ และการเข้าถึงเงินของผู้ถือกรมธรรม์ โดยสามารถปรับเพิ่มหรือลดทุนประกัน ปรับเพิ่มหรือลดเบี้ยประกัน ถอนเงินบางส่วน หรือหยุดจ่ายเบี้ยบางช่วงเวลา เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการตามแต่ละช่วงชีวิตในระยะยาว ที่อาจมีความไม่แน่นอนดังที่วางแผนทางการเงินไว้ในตอนต้น3. ความโปร่งใสในกลไกการทำงานของผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยเฉพาะเรื่องการจัดสรรเบี้ยประกัน มูลค่ากรมธรรม์ และผลประโยชน์ ณ ช่วงต่าง ๆ เพื่อที่ผู้ถือกรมธรรม์สามารถตัดสินใจต่อเหตุการณ์ที่อาจส่งผลต่อสถานะทางการเงิน หรือความคุ้มครองได้ง่ายดายและเป็นเหตุเป็นผล รวมถึงรับรู้ว่าเงินที่ตนจ่ายนั้นถูกนำไปใช้จ่าย และส่งผลต่อผลประโยชน์ของตนอย่างไรเพราะยูนิตลิงค์มีการแบ่งมูลค่าทางบัญชีออกเป็นส่วนของการประกันชีวิตและส่วนของการลงทุนที่นำเบี้ยไปจัดสรรลงในกองทุนรวม จึงทำให้ผู้บริโภคบางส่วนนำยูนิตลิงค์ไปเปรียบเทียบกับกองทุนรวม หรือมีความต้องการที่จะซื้อยูนิตลิงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวม ซึ่งจริง ๆ แล้ววัตถุประสงค์ของยูนิตลิงค์และกองทุนรวมนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงโดยยูนิตลิงค์จะถูกออกแบบให้มีความคุ้มครองขั้นต่ำกำหนดไว้เพื่อสนองตอบต่อผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มครอง และการวางแผนการเงินระยะยาว ซึ่งไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องมือการลงทุน หรือการเก็งกำไรอย่างกองทุนรวม หากพิจารณาด้วยหลักการแล้วยูนิตลิงค์และกองทุนรวมจึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและวัตถุประสงค์ทางการเงินที่แตกต่างกันเนื่องจากยูนิตลิงค์เป็นผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่มีความยืดหยุ่นสูงและมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค เช่น ในกรณีที่เบี้ยประกันที่ถูกนำไปลงทุนนั้นงอกเงยได้เร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ ผู้ถือกรมธรรม์สามารถจ่ายเบี้ยประกันน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยยังคงความคุ้มครองไว้เท่าเดิมที่ตั้งไว้ หรือสามารถจ่ายเบี้ยเท่าที่ตั้งเป้าไว้แต่ได้รับความคุ้มครองที่สูงขึ้น ความเข้าใจของผู้บริโภคก็เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะลูกค้าควรจะเข้าใจลักษณะและคุณสมบัติต่าง ๆ ของยูนิตลิงค์ รวมถึงผลกระทบของการเลือกใช้คุณสมบัติเหล่านั้นต่อกรมธรรม์ เพื่อให้แน่ใจว่าความยืดหยุ่นที่ตนแลกมานั้นมีความเสี่ยงและส่งผลกระทบต่อแผนการเงินของตนอย่างไร ซึ่งสามารถเห็นได้ในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ที่ผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันพยายามส่งเสริมความเข้าใจของลูกค้าไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนนั้น ยูนิตลิงค์จะถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใหม่สำหรับประเทศไทยและยังอยู่ในระยะเริ่มต้น โดยความเข้าใจของตัวผลิตภัณฑ์ยังไม่สูงนักและยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมของผู้บริโภค การส่งเสริมความเข้าใจต่อยูนิตลิงค์ให้แก่ประชาชนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อที่ประชาชนจะได้เข้าใจวัตถุประสงค์ของยูนิตลิงค์ที่ถูกออกแบบเพื่อการวางแผนการเงินระยะยาว ไม่ใช่การลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทน ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์ของยูนิตลิงค์อย่างแท้จริง และยังเป็นการวางรากฐานต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตใหม่ ๆ ในวันข้างหน้าที่จะช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้นอีกด้วยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1707859
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
06/12/2024
ครั้งแรกกับการเปิดตัว Access Bangkok Art Fair งานแสดงศิลปะจัดโดยแพลตฟอร์มดิจิทัลล้ำสมัยจากเกาหลี ผสานศิลปะ เทคโนโลยี และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ที่ไอคอนสยามงานแสดงศิลปะนานาชาติงานใหม่ล่าสุดของประเทศไทยมีชื่อว่า Access Bangkok Art Fair ความใหม่ที่แตกต่างคือเป็นงานแสดงศิลปะแห่งแรกในประเทศไทยที่ผสานประสบการณ์ออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน โดยเปิดโอกาสให้นักสะสมสามารถมีส่วนร่วมได้จากทุกมุมโลกสถานที่จัดงาน ACCESS BANGKOK ART FAIRAccess Bangkok Art Fair จัดโดย ARTMEETSLIFE (AML) กับ ARTUE แพลตฟอร์มดิจิทัลล้ำสมัยจากประเทศเกาหลี นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากกองทุนวัฒนธรรมของรัฐบาลเกาหลีอีกด้วยด้วยการตระหนักถึงศักยภาพของ กรุงเทพฯ ในฐานะเมืองหลวงทางวัฒนธรรมที่กำลังเติบโต, AML และ ARTUE จึงได้เลือกกรุงเทพฯ โดยมี ไอคอนสยาม เดสติเนชั่นระดับโลกเป็นสถานที่จัดงานแสดงศิลปะครั้งแรก เพื่อสร้างเครือข่ายทางศิลปะใหม่ๆและยกระดับการมีตัวตนของไทยบนเวทีศิลปะระดับโลกAccess Bangkok Art Fair ถือเป็นเกิดขึ้นในจังหวะแห่งการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมของไทยในอดีต ภาษีศุลกากรที่สูงและขั้นตอนพิธีการศุลกากรที่ซับซ้อน เป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับแกลเลอรีระดับนานาชาติอย่างไรก็ตาม พัฒนาการล่าสุดถือเป็นจุดเปลี่ยน เนื่องจากคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ของไทย ร่วมกับคณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติแผนส่งเสริมการจัดแสดงงานศิลปะทั่วประเทศ โดยกำลังพิจารณาการลดและยกเว้นภาษี Access Bangkok Art Fair สอดคล้องกับแผนริเริ่มเหล่านี้ ส่งสัญญาณการก้าวสู่ยุคใหม่ของการมีส่วนร่วมด้านศิลปะระดับโลกของไทยA+ Works of Art : ศิลปิน Joshua Kane Gomes, Parasocial XI , 2023, Steel, ropes, emulsion coated foam, fabric & polyester fiber fill, 109(h) x 143 x 57 cm • ความร่วมมือผ่านช่องทางดิจิทัลครั้งสำคัญAccess Bangkok Art Fair โดดเด่นด้วยการผสานอย่างลงตัวระหว่างดิจิทัลทวิน (Digital Twin) และเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ ARTUE สร้างห้องชมผลงาน (Online Viewing Room - OVR) แบบอิมเมอร์ซีฟที่ให้นักสะสมและผู้ชื่นชอบศิลปะทั่วโลกสามารถเลือกชมและซื้อผลงานศิลปะได้ทางออนไลน์ แพลตฟอร์มดิจิทัลนี้เข้าถึงได้แม้หลังจบงานไปแล้ว จึงเป็นงานที่ช่วยเชื่อมต่อผู้จัดแสดงกับผู้ชมทั่วโลกJohyun Gallery : Lee Bae, Brushstroke-N7, 2024, Charcoal Ink on Paper, 162 X 130 cm • รายชื่อผู้จัดแสดงผลงานและจุดเน้นทางศิลปะAccess Bangkok Art Fair นำเสนอผลงานจากแกลเลอรีที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน 30 แห่ง โดยมี 12 แห่งมาจากเกาหลีใต้ 9 แห่งจากกรุงเทพฯ และอีก 9 แห่งจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่นๆการคัดเลือกนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจในระดับนานาชาติที่มีต่อตลาดศิลปะในกรุงเทพฯ และนำเสนอการผสมผสานอันมีชีวิตชีวาของศิลปินร่วมสมัยในครั้งนี้ แกลเลอรีจากเกาหลีมีความโดดเด่นมาก โดยมีแกลเลอรีชั้นนำอย่าง Johyun Gallery และ Gallery2 ผู้มีประสบการณ์จาก Art Basel และ Frieze ตลอดจนแกลเลอรีที่ทรงอิทธิพลในวงการอย่าง ThisWeekendRoom, A-Lounge Contemporary, Baik Art และ Gallery Soso ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลักดันศิลปินรุ่นใหม่ของเกาหลีสู่เวทีโลกFFF Hanna Lee, Resonance, 2024, Oil on Canvas, 15.8 x 22 cmObscura, Duck Yong Kim, Borrowed Scenery-Gwanhaeeum, 2024, Mother of Pearl and mixed media on wood, 72x100cmส่วนแกลเลอรีรุ่นใหม่อย่าง CDA, Objecthood และ FFF ก็มาร่วมนำเสนอความแปลกใหม่ให้กับงาน ผู้ชมชาวไทยที่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมเกาหลีอยู่แล้ว จะได้มีโอกาสสัมผัสกับสุดยอดศิลปะร่วมสมัยของเกาหลี ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศผลงานศิลปะสื่อผสมของ ชนิดา วรพิทักษ์ ศิลปะตั้งแต่ไฟล์วิดีโอและที่นั่งชมการแสดงผลงานศิลปะโดย River City Bangkokงานลายเส้นดินสอยุคแรกของ Alex Face โดย Bangkok CityCity Galleryผลงานของ กิตติ นารอด โดย Tang Contemporary Artจาก ประเทศไทย มีแกลเลอรีชั้นนำ 9 แห่ง ได้แก่ Nova Contemporary, SAC Gallery, Gallery VER และ Warin Lab Contemporary ที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางศิลปะของประเทศ Bangkok CityCity Gallery จะเพิ่มความพิเศษให้กับงานด้วยมุมหนังสือศิลปะ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากบทบาทของแกลเลอรีแห่งนี้ในฐานะผู้จัดงานหนังสือศิลปะที่ได้รับความนิยมในกรุงเทพฯ ส่วน Tang Contemporary Art มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ พร้อมด้วยผู้นำในภูมิภาคอย่าง A+ WORKS of ART (กัวลาลัมเปอร์), The Drawing Room (มะนิลา) และ Richard Koh Projects (สิงคโปร์) ช่วยยกระดับการเป็นตัวแทนของภูมิภาคและเพิ่มมิติระดับโลกให้กับงานที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยมาริษา เจียรวนนท์ • การสนับสนุนจากหน่วยงานและการมีส่วนร่วมของชุมชนAccess Bangkok Art Fair ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานด้านวัฒนธรรมชั้นนำของไทย แต่ละแห่งช่วยเพิ่มบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาให้กับงาน แกลเลอรี Kunsthalle Bangkok ของ มาริษา เจียรวนนท์ รับเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ VVIP สำหรับนักสะสมรายใหญ่ในขณะที่ A+ WORKS of ART ต้อนรับผู้จัดแสดงและชุมชนศิลปะท้องถิ่นในค่ำคืนที่คึกคักที่ deCentral Bangkok pop-up ในวันที่ 5 ธันวาคม 2567MOCA Bangkok จะยกระดับประสบการณ์ด้วยงานปาร์ตี้ VIP ในวันที่ 6 ธันวาคม 2567 เป็นงานที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ ผู้ชื่นชอบศิลปะ และผู้เข้าร่วมงานแฟร์ได้พบปะกัน"พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัยยินดีที่ได้สนับสนุนงานแสดงศิลปะนานาชาติครั้งแรกของกรุงเทพฯ ที่รวบรวมและคัดสรรแกลเลอรีไทยและเกาหลีที่มีผลงานโดดเด่นมาไว้ในที่เดียว" คิด - คณชัย เบญจรงคกุล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA Bangkok) กล่าว "เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้จัดสองนิทรรศการใหม่เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ข้ามวัฒนธรรมครั้งนี้ และหวังว่าจะได้เห็นยุคใหม่ของระบบนิเวศทางศิลปะที่เสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประเทศผ่านพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของศิลปะร่วมสมัย"กิจกรรมเหล่านี้เน้นย้ำถึงจิตวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ของ Access Bangkok Art Fair ที่ส่งเสริมบรรยากาศแห่งความร่วมมือที่มีชีวิตชีวาสำหรับแกลเลอรี ศิลปิน และสถาบันต่างๆ ในการเชื่อมต่อและส่งเสริมซึ่งกันและกันผู้ร่วมจัดงาน Access Bangkok Art Fair • การจัดกิจกรรมที่มีสีสันการจัดกิจกรรมของ Access Bangkok Art Fair ประกอบด้วยงานที่น่าสนใจหลายงาน ในวันที่ 6 ธันวาคม ไอคอนสยามจะจัดเสวนาระหว่างนักออกแบบภายในที่มีชื่อเสียงอย่าง Teo Yang และ CEO ของ ARTUE คือ Bo Young Song เพื่อหาจุดตัดระหว่างศิลปะ การออกแบบ และนวัตกรรมดิจิทัล นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมเกาหลี โดยสถาปนิกและนักเขียนหนังสือขายดี Hyunjoon Yoo บรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(3 ธันวาคม) กิจกรรมนี้จัดโดยศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เข้าชมให้มากขึ้น จะมีการนำชมเป็นภาษาอังกฤษทุกวัน นำโดยผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะเกาหลี โดยเน้นนิทรรศการสำคัญจากแกลเลอรีเกาหลีที่เข้าร่วม เพื่อเปิดโอกาสให้นักสะสมและผู้รักศิลปะได้ชมศิลปะร่วมสมัยของเกาหลีอย่างใกล้ชิดAccess Bangkok Art Fair ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของวงการศิลปะในกรุงเทพฯ ที่รวมแกลเลอรี ศิลปิน และนักสะสมทั้งในประเทศและต่างประเทศมาอยู่ในงานที่มีความสำคัญอย่างมากครั้งนี้ ด้วยการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไทยและแกลเลอรีชั้นนำ Access Bangkok Art Fair พร้อมที่จะยกระดับสถานะของกรุงเทพฯ ให้เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญในตลาดศิลปะระดับโลก"งานแสดงศิลปะนานาชาติในกรุงเทพฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย" จงสุวัฒน์ อังคสุวรรณศิริ ผู้ร่วมก่อตั้ง SAC Gallery กล่าว "งานนี้เปิดตลาดและให้โอกาสผู้ชมในท้องถิ่นได้เข้าถึงศิลปินนานาชาติที่พวกเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็น ช่วยอุดช่องว่างที่เคยเกิดขึ้นในระบบนิเวศทางศิลปะของเรา"ด้าน Bo Young Song ซีอีโอของ ARTUE กล่าวว่า "ประเทศไทยมีศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติมากมายและเป็นเจ้าภาพจัดเบียนนาเล่ที่มีชื่อเสียง เรารู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติที่ได้มีส่วนร่วมในการนำกรุงเทพฯ เข้าสู่ตลาดศิลปะระดับโลก ฉันหวังว่าโอกาสนี้จะจุดประกายการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมที่มีความหมายระหว่างสองประเทศของเรา กรุงเทพฯ มีศักยภาพไม่จำกัด และเช่นเดียวกับที่ Frieze Seoul ได้ช่วยสถาปนาเกาหลีให้เป็นศูนย์กลางศิลปะแห่งเอเชีย เราหวังที่จะได้เห็นงานที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมายเกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในอนาคต"นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า “ด้วยศักยภาพของไอคอนสยามในการเป็น Global Destination ที่พร้อมยกระดับประสบการณ์ศิลปะผ่านแนวคิด ICONSIAM ART & CULTURE ไอคอนสยามจึงพร้อมเดินหน้าสร้างจุดหมายปลายทางแห่งศิลปะและวัฒนธรรมที่ผสมผสานความเป็นไทยและสากล ผ่านการนำเสนอศิลปะร่วมสมัยที่หลากหลาย งาน ACCESS BANGKOK นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไอคอนสยามในการเป็น World Hub of Art & Culture ผ่านการส่งเสริมคอมมูนิตี้ศิลปะครบทุกมิติอย่างแท้จริง”นิทรรศการ ACCESS BANGKOK ART FAIRนิทรรศการศิลปะ Access Bangkok Art Fair เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมฟรีตั้งแต่วันที่ 5-7 ธันวาคม 2567 ที่ The Pinnacle Hall ชั้น 8 ไอคอนสยามขอเชิญชวนทุกท่านไปสัมผัสการผสานกันของศิลปะและวัฒนธรรมครั้งพิเศษนี้ ท่านจะได้ชมผลงานศิลปะชิ้นเยี่ยมของศิลปินจากหลากหลายประเทศที่ได้รับการคัดสรรจากแกลเลอรีชั้นนำแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1156694
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
06/12/2024
บรรยากาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร คืนนี้ (3 ธ.ค.67) เต็มไปด้วยความงดงาม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ “พระเขี้ยวแก้ว” จากวัดหลิงกวง ประเทศจีน มาประดิษฐานที่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนโดยจะเปิดให้ประชาชนได้กราบสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2567- 14 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 07.00 - 20.00 น.แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000116507
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
04/12/2024
“การเงิน การลงทุน” 5 วิชาต้องรู้ ทักษะการเงินที่ควรมีติดตัว ช่วยสร้างความมั่นคงในชีวิต และกู้เศรษฐกิจไทย เป็นหนี้อย่างไร? ให้มี “เงินเก็บ” เกษียณแบบมีรายได้ และ โตไป ไม่ตกเป็นเหยื่อ มิจฉาชีพ“หนี้เสียพุ่ง! 1.2 ล้านล้าน คนไทย 30 ล้านคน ติดกับดักหนี้ รวมกันทะลุ 16.3 ล้านล้านบาท”นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งเรื่องสะท้อนว่าทำไมทักษะเรื่อง “การเงิน” จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนไทย ไม่นับรวมข้อมูลที่พบว่าคนไทยติด TOP 4 ของโลกที่ตกเป็นเหยื่อภัยการเงิน หรือแม้กระทั่งคดีแชร์ลูกโซ่ดัง “ดิไอคอนกรุ๊ป” เสียหายนับพันล้าน ก็ล้วนมาจากความรู้ความเข้าใจเรื่องการลงทุนแบบผิดๆขณะที่ต้องยอมรับว่า ในยุคที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน การยกระดับทักษะการเงินในหมู่คนไทยจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก เพราะเรากำลังเผชิญกับภาวะหนี้ครัวเรือนท่วมท้น เศรษฐกิจเติบโตแบบไม่แน่ไม่นอน และยังมีความเสี่ยงอื่นๆ รออยู่ในระยะข้างหน้าอ้างอิงข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุ ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวกับการเงินในทุกมิติจะก่อให้เกิดประโยชน์ สร้างความมั่นคงให้กับชีวิตเรา 8 ข้อ ดังนี้1. ช่วยสร้างนิสัยการใช้เงินที่ถูกต้องและมีเหตุผล2. จัดทำงบประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพ3. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหรือไม่ก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น4. ทำให้ตัดสินใจในการทำธุรกรรมทางการเงินดีขึ้น5. ช่วยบริหารเงินและบริหารหนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น6. ช่วยให้รู้จักลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อย่างเหมาะสมและรู้เท่าทัน7. เป็นเครื่องมือนำไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ8. มีเงินใช้เมื่อเกษียณและลดปัญหาความเครียดด้านการเงิน5 วิชาการเงิน ทักษะที่ควรมีติดตัวหากแต่ความรู้การเงิน ทักษะทางเงินที่ดีของคนไทย ไม่ได้ช่วยเพียงแค่เป็นหลักประกันมั่นคงให้กับชีวิตเราและครอบครัวเท่านั้น แต่อีกนัย หากคนในชาติถูกปลูกฝังความรู้เรื่องการเงิน มีวินัยการเงิน และมีวัฒนธรรมการใช้เงินที่แข็งแกร่ง ยังจะช่วยกู้ชาติ สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกด้วยเทียบกรณีสิงคโปร์ ประเทศที่มีความรู้ทางการเงินมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยชาวสิงคโปร์ 59% ลงทุนเงินของตนเอง เทียบกับค่าเฉลี่ย 46% ทั่วทั้งภูมิภาค ที่มีหุ้น แผนเงินฝากประจำ และกองทุน ทำให้กลายเป็นประเทศหนึ่งที่มีระบบนิเวศทางการเงินที่แข็งแกร่ง เศรษฐกิจเติบโต ทรัพยากรมนุษย์มีคุณภาพ นำมาซึ่งโอกาสต่างๆ ของประเทศในระดับโลกข้อมูลจากนิตยสาร OKMD สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ฉบับล่าสุด ระบุความน่าเสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่กลับมองไม่เห็นความสำคัญของความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) มากนัก เกิดปัญหาการใช้เงินแบบเดือนชนเดือน การใช้บัตรเครดิตเต็มวงเงิน การกู้หนี้ยืมสินเรื้อรัง และอีกหลายปัญหาเกี่ยวกับการเงินซึ่ง 5 วิชาทางการเงินหลักๆ ที่ทุกคนควรรู้ หรือเร่งปลูกฝังให้กับเยาวชนไทยตั้งแต่เด็ก มีดังนี้1. วิชาออมไวเป็นวิชาปลูกฝังเรื่องการออมและวินัยการออม ซึ่งควรเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก หรือช่วงแรกของการทำงาน ด้วยเป็นช่วงที่เหมาะที่สุด เพราะภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ยังน้อย โดยการรู้จักออมก่อนค่อยใช้จ่าย อาจเริ่มง่ายๆ ด้วยการออมเล็กๆ น้อยๆ จากเงินค่าขนม เงินเดือนประจำ หรือรายได้เสริม แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามเวลาหรือความเหมาะสม2. วิชาลงทุนให้เงินทำงานเนื่องจากการออมอย่างเดียวไม่เพียงพอ ยิ่งค่าเงินผันแปรไปตามภาวะเงินเฟ้อ อันส่งผลให้อำนาจการซื้อลดลง ยิ่งจำเป็นต้องมีวิชาการเงินด้านนี้ โดยการเรียนรู้เรื่องการลงทุนให้เข้าใจถ่องแท้ แล้วลงทุนอย่างรอบคอบ ในสัดส่วนเหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อให้มีเงินงอกเงยมากขึ้น โดยยิ่งเริ่มต้นไวก็ยิ่งได้เปรียบ เช่น การลงทุนในหุ้น กองทุน ตราสารหนี้ต่างๆ3. วิชาเป็นหนี้แบบมีเงินเก็บเป็นวิชาว่าด้วยทัศนคติเกี่ยวกับการเป็นหนี้ ว่าหนี้ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป หากรู้จักบริหารหนี้ไม่ให้เกินตัว เพราะสิ่งจำเป็นบางอย่างอาจรอให้มีเงินสะสมเพียงพอค่อยซื้อไม่ได้ เพียงแต่ไม่ควรเป็นหนี้นอกระบบ และไม่ควรมีหนี้เกิน 50% ของรายได้แบบคงที่ทุกเดือน ไม่นับรวมเงินโอที หรือเงินจากส่วนอื่นๆ โดยสามารถผ่อนชำระได้ตามกำหนดเวลา ขณะเดียวกัน ก็มีเงินแบ่งเก็บออมในจำนวนที่ทำได้อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปด้วย ก็จะทำให้หนี้ไม่กลายเป็นภาระหากเกิดเหตุฉุกเฉิน4. วิชาวางแผนภาษีในเมื่อทุกคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงควรต้องรู้จักวิชาการวางแผนภาษีอย่างถูกต้อง และใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้ เป็นเงินลดหย่อนได้อย่างครบถ้วน เพื่อให้เสียภาษีน้อยที่สุด รวมถึงไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มเติม หรือเสียเบี้ยปรับโดยใช่เหตุ ซึ่งวิชานี้ควรเริ่มต้นเรียนรู้ตั้งแต่วัยทำงานใน 5 เรื่อง คือ รู้ประเภทของรายได้, รู้ค่าใช้จ่ายที่หักภาษีได้, รู้ค่าลดหย่อนเพื่อลดภาษี, รู้วิธีการคำนวณภาษี และรู้ช่องทางการยื่นภาษี เพื่อจะได้ดำเนินการเสียภาษีให้เป็นไปตามแผน5. วิชาเกษียณแบบมีรายได้เป็นวิชาที่หลายคนมองข้าม ทั้งที่ความจริงจะถึงวัยเกษียณหรือหยุดทำงานแล้ว แต่ทุกคนก็ยังมีโอกาสสร้างรายได้จากช่องทางต่างๆ ได้ หากมีการเตรียมพร้อมมาอย่างดีตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เช่น การวางแผนหารายได้เสริมหลังเกษียณอายุ โดยพิจารณาจากความรู้ความสามารถที่มีและลักษณะงานที่เหมาะสมกับเงื่อนไขด้านสุขภาพ หรือการสร้างรายได้จากทรัพย์สินที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ การแปลงที่ดินทำธุรกิจ หรือการนำเงินออมไปลงทุนในพอร์ตต่างๆ อย่างเหมาะสมที่มา : เครดิตบูโร ,ธปท.,OKMD แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐhttps://www.thairath.co.th/money/investment/fund/2826974
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
04/12/2024
Moxy Hotels เปิดตัว Fun Hunters of Bangkok งานอาร์ตอินเตอร์แอคทีฟ เตรียมจุดประกายความสนุกร่วมกับ 3 ศิลปินสตรีทอาร์ตอย่าง HAI HAI TOON, BONUS TMC และ TOON KAEWKERD เนรมิตโรงแรมสร้างปรากฏการณ์แห่งสีสันตลอดเดือนธันวาคมส่งท้ายปีด้วยการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยจินตนาการ สีสัน และความคิดสร้างสรรค์กับงาน “Fun Hunters of Bangkok” งานที่เปลี่ยนโฉมจากโรงแรม ม็อกซี่ แบงคอก ราชประสงค์ ให้เป็นพื้นที่ศิลปะที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และน่าค้นหา ภายในงานนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับผลงานสตรีทอาร์ตสุดพิเศษจากศิลปินชื่อดังอย่าง HAI HAI TOON, BONUS TMC และ TOON KAEWKERD พร้อมทั้งนักสร้างสรรค์ชาวไทยมากความสามารถที่มารวมตัวกันเพื่อยกระดับศักยภาพแห่งศิลปะMoxy Hotels ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงแรมแบรนด์ในเครือ Marriott Bonvoy ที่โดดเด่นไปในด้านบรรยากาศผ่อนคลาย มีความสนุกสนาน และทันสมัย ซึ่งเหมาะแก่การจัดงานที่ตอบโจทย์ทั้งคนรุ่นใหม่ และผู้ที่มีหัวใจอ่อนเยาว์ ด้วยแนวคิด ‘Fun Hunters’ ในการสร้างพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความสนุก และการเปิดรับมุมมองใหม่ๆ ด้วยการนำเสน่ห์ของศิลปะท้องถิ่นมาเติมเต็มผ่านการเปิดรับความร่วมมือจากเหล่าครีเอทีฟรุ่นใหม่ของไทยอย่างเต็มที่ ไฮไลต์ภายในงาน Fun Hunters of Bangkokโดยงานจะเปิดให้เข้าชมฟรี ในวันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม 2567 นี้ เริ่มเวลา 12.00 น. ที่ทุกคนสามารถร่วมกิจกรรม สัมผัสประสบการณ์เพ้นท์ติ้งสด พูดคุยกับศิลปิน และชมนิทรรศการผลงานจากศิลปินท้องถิ่นกว่า 15 ท่านพร้อมด้วยอาหาร เครื่องดื่ม เสียงเพลงจากดีเจ และสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ออกแบบโดยศิลปิน อาทิ เสื้อยืด กระเป๋า สติกเกอร์ พวงกุญแจ ซึ่งมีจำหน่ายตลอดเดือนธันวาคมนอกจากนี้ผู้ร่วมงานยังจะได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากศิลปะแบบอินเตอร์แอคทีฟตลอดทั้งเดือน ที่ทางโรงแรมได้เนรมิตพื้นที่ให้กลายเป็นแกลเลอรีศิลปะแบบอินเตอร์แอคทีฟ ให้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ และสนุกไปกับผลงานศิลปะได้อย่างอิสระมุมถ่ายรูปสุดชิคตามจุดต่างๆ เพื่อเก็บภาพประทับใจที่ตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังสีสันสดใส ท่ามกลางผลงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ ที่ให้ได้สัมผัสมากกว่าแค่การมองเห็น พร้อมอัปเดตรูปใหม่ๆ ในปีใหม่ที่จะถึงนี้สมาชิก Marriott Bonvoy ยังได้สิทธิพิเศษในการเวิร์กช็อป สัมผัสประสบการณ์จากศิลปินชื่อดัง อาทิ การเพ้นท์ลวดลายบนสเก็ตบอร์ด รองเท้า และกระเป๋าผ้า ด้วยเทคนิคสเปรย์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 7, 14 และ 21 ธันวาคม นี้งาน Fun Hunters of Bangkok จะจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เข้าชมฟรี และเชิญชวนทุกคนมาสัมผัสความคิดสร้างสรรค์ และความสนุกสนานที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ตลอดทั้งเดือนแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2829242
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
04/12/2024
ภาพความงดงามน่าประทับใจใน “สวนโชวะ คิเนน” (Showa Kinen) สวนสาธารณะชานเมืองโตเกียว ที่กำลังเป็นช่วงเวลาของใบไม้เปลี่ยนสีสัปดาห์นี้ ภายใน “สวนโชวะ คิเนน” (Showa Kinen) หรือสวนอนุสรณ์โชวะ (Showa Memorial Park) สวนสาธารณะบริเวณชานเมืองโตเกียว กำลังเป็นอีกจุดหมายปลายทางของชาวโตเกียวรวมทั้งนักท่องเที่ยว ที่ต้องการออกไปสัมผัสบรรยากาศความงดงามของปลายฤดูใบไม้ร่วง หรือช่วงใบไม้เปลี่ยนสีสวนโชวะ คิเนน สร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปี แห่งการครองราชย์ของสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ ในปี ค.ศ.1983 เป็นสวนขนาดใหญ่พื้นที่ประมาณพันไร่ แบ่งเป็นโซนต่างๆทั้งป่าธรรมชาติ สวนพฤกษศาสตร์ บึงน้ำ ทางเดินและเส้นทางปั่นจักรยานออกกำลังกาย พื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ ฯลฯไฮไลต์ของสวนในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม คือ ความสวยงามในสีสันของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาล โดยเฉพาะแนวต้นแปะก๊วยภายในสวน ที่มีความยาวประมาณ 300 เมตร มีต้นแปะก๊วยจำนวนกว่า 100 ต้นที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองทองสะพรั่งไปทั่ว นอกจากนี้ในบางพื้นที่ของสวนยังงดงามไปด้วยต้นเมเปิลที่ใบเปลี่ยนเป็นสีแดงสดการเดินทางจากใจกลางเมืองโตเกียวด้วยรถไฟ Chuo Line ไปลงที่สถานี Tachikawa แล้วเดินต่อไปอีกประมาณ 10 นาที มีค่าเข้าชมสวน 450 เยนแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000114704
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
04/12/2024
เอไอเอ ประเทศไทย โดย นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก ร่วมงานประกาศความสำเร็จโครงการ “เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” ตามหัวข้อโครงการฯ ปีนี้ คนไทยสมองดี (Healthy Thais, Healthy Brains) พร้อมทั้งร่วมรับโล่เกียรติคุณแทนคำขอบคุณในฐานะผู้ให้การสนับสนุนมอบความคุ้มครองและสนับสนุนกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุกลุ่มฟรีแก่ประชาชนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ฯ จำนวน 1,651,597 กรมธรรม์ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนร่วมให้การสนับสนุนจัดโครงการจนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในการนี้ ศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ศ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช และ รศ.นพ.ยงชัย นิละนนท์ ประธานศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช ให้เกียรติเป็นประธานมอบมอบโล่เกียรติยศ ณ หอประชุมราชแพทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เมื่อเร็ว ๆ นี้โครงการดังกล่าวตอกย้ำความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทย พบผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองประมาณ 1,880 คน ต่อประชากรจำนวนหนึ่งแสนคน หรือร้อยละ 2 ซึ่งถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในเพศหญิงและอันดับ 3 ในเพศชาย รองจากอุบัติเหตุและโรคมะเร็ง ทั้งนี้การสนับสนุนครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายด้านความยั่งยืน (ESG) ของเอไอเอ และพันธกิจในการสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ผ่านกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
29/04/2024
20/08/2024
02/08/2024
29/04/2024
14/05/2024