คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ห้องแสดงนิทรรศการ

“ภาพถ่ายไม่โกหก” นิทรรศการว่าด้วยรูปภาพ พร้อมตั้งคำถามการมาถึงของ AI

11/06/2024

คนในวงการภาพถ่ายอาจคุ้นกับข่าวปีก่อน (2566) ภาพที่ชนะเลิศการประกวด Sony World Photography Awards งานประกวดภาพถ่ายระดับโลก ถูกเฉลยโดยศิลปินเจ้าของผลงานว่า เขาคงเข้ารับรางวัลชนะเลิศไม่ได้ เพราะมันเป็นภาพที่สร้างด้วย AIและตอนนี้ ภาพถ่ายดังกล่าว “The Electrician” ผลงานของ บอริส เอลดากเซน (Boris Eldagsen) นำมาจัดแสดงแล้วที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ในนิทรรศการแสดงภาพถ่าย Photography Never Lies - ภาพถ่ายไม่โกหก นิทรรศการนี้รวมผลงานของศิลปินหลากเชื้อชาติรวม 13 คน เปิดมุมมองและตั้งคำถามต่อความหมายและความรู้สึกที่เรามีต่อ “ภาพถ่าย” ซึ่งเป็นคำถามที่มักเกิดขึ้นต่อเนื่องมาตลอดประวัติศาสตร์ของการถ่ายภาพ ว่าภาพถ่ายสามารถสะท้อนข้อเท็จจริงได้จริงหรือไม่ แล้วยิ่งเมื่องานนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดด กว่าครึ่งของชิ้นงานจึงเล่นกับภาพที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AIบอริส เอลดักเซน ศิลปินจากเบอร์ลิน เยอรมนี ก็เป็นหนึ่งในศิลปินที่นำเซตภาพที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ภายใต้ซีรีส์ผลงานที่ชื่อ Pseudomnesia ซึ่งเป็นภาพประดิษฐ์ให้ดูคล้ายภาพย้อนยุคปี 1940s มาจัดแสดงที่นี่ด้วย เขาเรียกชิ้นงานเหล่านี้ตามที่ชุมชนชาวไอทีประดิษฐ์คำใหม่ออกมาว่า “promptography” (ภาพที่ออกมาจากการใช้คีย์เวิร์ดที่ prompt เข้าไป)ภาพชุด PSEUDOMNESIA (2022) โดย บอริส เอลดากเซน (เยอรมนี)ภาพ The Electrician ที่คว้ารางวัลชนะเลิศการประกวด Sony World Photography Awards เป็นภาพของหญิงสองคน จุดเด่นที่สุดคือแววตาของหญิงสูงวัยที่กำลังยืนกุมไหล่หญิงอีกคน เป็นแววตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ เขาร่วมกับ DALL-E 2 ปัญญาประดิษฐ์ของ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPTภาพชุด PSEUDOMNESIA (2022) โดย บอริส เอลดากเซน (เยอรมนี)เอลดักเซน ให้สัมภาษณ์กับ Scientificamerican เอาไว้ว่า ที่ส่งงานไปประกวดเพราะอยากลองดูว่าคณะกรรมการจะแยกแยะออกหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการแยกไม่ออกจนคัดเลือกให้ภาพนี้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ ผลยังปรากฏว่า กระบวนการนี้จุดประกายให้เกิดบทสนทนาต่องานจาก AI อีกมาก เช่นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างภาพถ่ายกับภาพ AI ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ในเมื่อมันมองแล้วคล้ายคลึงจนคนที่ไม่เชี่ยวชาญแยกไม่ออก แล้วภาพถ่ายกับภาพ AI จะสามารถอยู่ในพื้นที่เดียวกันได้บนข้อควรระวังอะไรบ้าง รวมไปถึงคำถามที่ว่า หากภาพศิลปะจะหมายถึงภาพที่ทำให้เรารู้สึกบางอย่างกับมัน แล้วงานภาพที่สร้างจาก AI จะสามารถได้รับการยอมรับและถูกนับเป็นงานศิลปะหรือไม่คำถามเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบในเวลานี้ และมุมมองต่อการรับมือของโลก AI ก็คงแตกต่างกันไป ระหว่างห้องแสดงงานศิลปะไปจนถึงงานเชิงวารสารศาสตร์นอกจากงานภาพ AI ที่มาจากศิลปินหลายคนในงานนิทรรศการครั้งนี้แล้ว งานนี้ยังมีเผยถึงมิติอื่นๆ ของภาพถ่าย ที่ถูกปรุงแต่งด้วยเทคนิควิธีการหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์บนเพลตแก้ว (wet plate) piezegraphy รวมถึงการแสดงออกมาด้วยการคอลลาจภาพภาพชุด เกจิ (2552) โดย มานิต ศรีวานิชภูมิภาพชุด The Entrapment และ Love & Fire โดย ธนพล แก้วพริ้งผลงานภาพถ่ายด้วยฟิล์มกระจกแบบดั้งเดิม ในชื่อ Barrels (2561-2565) โดย ปิยทัต เหมทัตVariations of a Hill op.1 (2565) โดย มิติ เรืองกฤตยาศิลปินไทยที่เข้าร่วมแสดงงานในนิทรรศการนี้ ได้แก่ ธนพล แก้วพริ้ง, นภัสรพี อภัยวงศ์,  ปิยทัต เหมทัต, ภูมิภัทร อุษาประทุมบาน, มานิต ศรีวานิชภูมิ และ มิติ เรืองกฤตยา โดยมี อัครา นักทำนา เป็นภัณฑารักษ์ภาพชุด Trails of Absence โดย ไซ ▇▇ (รัฐฉาน พม่า)งานอีกชิ้นที่น่าสนใจ มาจากศิลปินชาวพม่าที่ชื่อ ไซ (Sai) ภาพของเขาถูกจัดวางเรียงกันในห้องมืดขนาดพอดี เป็นเรื่องเล่าจำลองจากประสบการณ์จริงของครอบครัว ที่พ่ออยู่ภายใต้การคุมขังของรัฐบาลทหารพม่า แม่ถูกกักตัวอยู่ในบ้าน ส่วนเขาต้องหลบหนีออกมานอกประเทศโครงการ MACHT ภาพการเมืองโลก 100 ปี ผ่านผู้นำของแต่ละประเทศระหว่างปี 2464 ถึง 2564 โดย ปาทริค บูเดนซ์ และบียร์เทอร์ เซลเลนติน (เยอรมนี)นอกจากนี้ ยังมีงานในโครงการ MACHT ของ ปาทริค บูเดนซ์ (Patrik Budenz) และ บียร์เทอร์ เซลเลนติน (Birte Zellentin) ศิลปินจากเยอรมนี ที่เล่าประวัติศาสตร์การเมืองผ่านผู้นำประเทศด้วยการรวมภาพซ้อนของผู้นำของประเทศหนึ่งๆ ในระยะ 100 ปี ตั้งแต่ปี 2464-2564 ออกมาให้อยู่ในภาพหนึ่งเฟรมต่อหนึ่งประเทศ ความเข้มของภาพแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่ง เป็นชิ้นงานที่เพ่งพินิจแล้วได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์นับแต่ก่อตั้งประเทศนั้นๆ บางประเทศมีผู้นำจำนวนน้อยเพราะอยู่ในระบอบเผด็จการที่ผู้นำหนึ่งคนครองอำนาจยาวนาน ขณะที่บางประเทศตกเป็นอาณานิคมต่างชาติจนมีผู้นำต่างชาติพันธุ์เข้ามาครอบครองภาพชุด The Entrapment และ Love & Fire โดย ธนพล แก้วพริ้งResonances of the Concealed โดย นภัสรพี อภัยวงศ์Variations of a Hill op.1 (2565) โดย มิติ เรืองกฤตยานิทรรศการ Photography Never Lies - ภาพถ่ายไม่โกหก สามารถเข้าชมได้ฟรี งานจัดแสดงตั้งแต่ 30 พฤษภาคม - 8 กันยายน 2567 ณ ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 7 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครแหลางที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2792095

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ปักหมุด 10 จุดขับรถเที่ยว “นิวซีแลนด์” เต็มอิ่มแลนด์มาร์กวิวงาม-พิกัดลับชวนตื่นตา

11/06/2024

“นิวซีแลนด์” เป็นประเทศที่มีธรรมชาติอันงดงามที่ยากจะละสายตา ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ของท้องทะเล ของป่าไม้เขียวชอุ่ม ภูเขาสูง น่าจดจำ ไปจนถึงทะเลสาบอันแสนเงียบสงบ ทำให้ประเทศนิวซีแลนด์เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายอันโดดเด่นของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกนอกจากนี้นิวซีแลนด์ยังเป็นดินแดนที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางแบบ Road Trip ที่พร้อมให้ผู้มาเยือนได้ขับรถเที่ยวชมวิวอย่างเต็มอิ่ม และนี่ก็คือ “10 จุดขับรถเที่ยวในนิวซีแลนด์” จากการแนะนำของ “การท่องเที่ยวนิวซีแลนด์” ที่มีทั้งแลนด์มาร์กวิวงามและพิกัดลับเป็นอันซีนให้ได้ตื่นตาตื่นใจกัน1. น้ำตกฮูก้า, ทะเลสาบเทาโปน้ำตกฮูก้า (ภาพ : Destination Great Lake Taup?)“น้ำตกฮูก้า” (Huka Falls) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศนิวซีแลนด์ น้ำตกแห่งนี้กว้างประมาณ 100 เมตร สูงราว 200-300 เมตร ไหลโจนทะยานกระโจนผ่านช่องแคบและข้ามชั้นหินสูงด้วยความแรงกว่า 220,000 ลิตรต่อวินาที ซึ่งถือเป็นความน่าทึ่งของธรรมชาติที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเยี่ยมชมบริเวณด้านบนของน้ำตกฮูก้ามีสะพานแขวนเป็นจุดชมวิวและจุดถ่ายภาพยอดฮิตของนักท่องเที่ยว ที่มักจะไม่พลาดการเก็บภาพของสายน้ำตกอันยิ่งใหญ่และทิวทัศน์อันสวยงามกว้างสุดสายตาสำหรับใครที่รักการผจญภัย บริเวณนี้ยังมีกิจกรรมล่องเจ็ทโบ๊ต (Jet Boat) ไปกับสายน้ำอันเชี่ยวกรากของน้ำตกฮูก้า หรือหากอยากชิลล์ลงมาหน่อยก็เลือกล่องเรือไปตามแม่น้ำเพื่อซึมซับกับบรรยากาศความสวยงามของธรรมชาติกันอย่างจุใจนอกจากนี้บริเวณรอบ ๆ น้ำตกยังมีจุดชมวิวอีกหลายแห่งที่พร้อมให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินไปกับความสวยงามและยิ่งใหญ่ของน้ำตกฮูก้า รวมถึงจุดถ่ายภาพต่าง ๆ เอาไว้ให้โพสต์เรียกความว้าวบนโซเชียลได้กันแบบเต็มอิ่มทริกการเดินทาง : หากมีเพื่อนร่วมเดินทางใน Road trip นี้ แนะนำให้ผลัดกันขับรถเพื่อหลีกเลี่ยงความเหนื่อยล้าจากการเดินทางบนถนนที่ยาวนานหลายชั่วโมง อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้ทุกคนตื่นตัวและเป็นความรับผิดชอบต่อผู้ร่วมท้องถนนอีกด้วย2. อุทยานแห่งชาติตองการิโร, รัวเปฮูอุทยานแห่งชาติตองการิโร (ภาพ : Tourism New Zealand)ใครที่กำลังมองหาพื้นที่ชมธรรมชาติแบบสุดว้าว กับวิวอันสวยงามกว้างไกลสุดสายตา “อุทยานแห่งชาติตองการิโร” (Tongariro National Park) ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกชั้นดีที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนนิวซีแลนด์อุทยานฯแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลาง 3 ภูเขาไฟอันโด่งดังและศักดิ์สิทธิ์ของนิวซีแลนด์ คือ ภูเขาไฟตองการิโร ภูเขาไฟอูรูฮอเอ และภูเขาไฟรัวเปฮู นับเป็นสวรรค์ทางธรรมชาติอันกว้างใหญ่ที่มีกว้างขวางถึง 80,000 เฮกตาร์ (หรือราว ๆ 500,000 ไร่)อุทยานฯ ตองการิโร เป็น 1 ใน 3 แหล่งมรดกโลกของนิวซีแลนด์ ที่นี่เต็มไปด้วยความสวยงามทางธรรมชาติให้เดินเทรลเที่ยวชมพร้อมจุดถ่ายภาพมากมาย ตั้งแต่แก่งน้ำเชี่ยว (Silica Rapids) ใสสะอาดที่ส่องประกายเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์ ไปจนถึงพืชพรรณนานาชนิดน่าสำรวจจำนวนมากนอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถสำรวจร่องรอยลาวาอันเก่าแก่ ปล่องภูเขาไฟไอน้ำ และสวนสวยบนเทือกเขาแอลป์ที่มีชีวิตชีวาภายในอุทยานกันได้ทริคการเดินทาง : รถแคมป์นั้นมีขนาดใหญ่และอาจมีวิธีขับและควบคุมที่ต่างจากรถทั่วไปควรขับด้วยความเร็วที่พอดีโดยเฉพาะบนเส้นทางที่คุณไม่คุ้นเคยหรือในสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย3. ยอดเขาเทมาตา, อ่าวฮอว์คยอดเขาเทมาตา (ภาพ : Richard Brimer)“ยอดเขาเทมาตา” (Te Mata Peak) ตั้งอยู่ทางตอนตะวันตกของที่ราบเฮเลทังกา (Heretaunga Plains) แหล่งผลิตไวน์ชั้นยอด ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมกับชนพื้นเมือง Ngāti Kahungunu ที่ถูกโอบล้อมด้วยวิวทิวทัศน์อันสวยจนยากจะลืมเลือนยอดเขาแห่งนี้ชวนตื่นตาตื่นใจด้วย ทัศนียภาพของขุนเขาอันงดงามที่ทอดยาวตลอดแนวเทือกเขา Ruahine, Kaweka และ Maungaharuru โดยเฉพาะในวันที่อากาศแจ่มใสนักท่องเที่ยวจะได้เห็นเงาของภูเขาไฟรัวเปฮู (Ruapehu) สูงตระหง่าน ที่ตั้งอยู่ใจกลางอุทยานแห่งชาติตองการิโรจะทอดยาวไปบนขอบฟ้าเป็นภาพที่สวยงามน่าจดจำทริคการเดินทาง : ถนนบางเส้นอาจแคบกว่าปกติ โปรดใช้ความระมัดระวังและให้ทางเมื่อมีการจราจรที่สวนทางโดยจอดรถในพื้นที่ที่กำหนดเพื่อให้รถสวนมาผ่านไปได้4. อุทยานแห่งชาติอาเบิลแทสมัน, นีลสัน แทอุทยานแห่งชาติอาเบิลแทสมัน (ภาพ : Black Pete)"อุทยานแห่งชาติอาเบิลแทสมัน" (Abel Tasman National Park) เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดเล็กที่สุดในนิวซีแลนด์อุทยานแห่งนี้เป็นดังสวรรค์ริมชายฝั่งที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ แม้จะมีนักท่องเที่ยวมากมายเดินทางมาพักผ่อนกันในฤดูร้อนอย่างไรก็ดีทางการท่องเที่ยวนิวซีแลนด์แนะนำว่า หากไปเที่ยวในช่วง low season ที่มีนักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่านก็จะได้สัมผัสกับชายหาดอันเงียบสงบ และเสียงคลื่นท่ามกลางบรรยากาศที่สวยงามนอกจากนี้อุทยานแห่งชาติอาเบิลแทสมัน ยังเป็นจุดหมายในฝันสำหรับผู้รักการพายเรือทุกระดับ เนื่องจากมีทั้งกิจกรรม พายคายัค แพดเดิ้ลบอร์ด รวมถึงเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมทางน้ำอื่น ๆ ท่ามกลางบรรยากาศดี ๆทริคการเดินทาง : เมื่อเดินทางแบบ Road Trip อีกสิ่งที่สำคัญคือควรวางแผนการเติมน้ำมันให้ดี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ออกนอกเขตเมืองที่อาจจะมีสถานีเติมน้ำมันน้อยกว่าปกติ5. ทะเลสาบเทคาโป, แคนเทอร์เบอร์รี่ทะเลสาบเทคาโป (ภาพ : Miles Holden)“ทะเลสาบเทคาโป” (Tekapo) ตั้งอยู่ภายในเขตอนุรักษ์ Dark Sky Reserve ของ UNESCO ทะเลสาบแห่งนี้โอบล้อมไปด้วยทิวทัศน์อันสวยงามของเทือกเขาแอลป์ที่ถูกแต้งแต่มไปด้วยสีเทอร์ควอยซ์จากธรรมชาติ ทำให้จุดนี้กลายมาเป็นมุมถ่ายรูปยอดฮิตของนักท่องเที่ยวนอกจากวิวเทือกเขาที่โอบล้อมแล้ว เรายังสามารถเที่ยวชมวิวของโบสถ์กู๊ดเชฟเพิร์ด (Good Shepherd Church) ได้ที่บริเวณริมทะเลสาบ หรือจะเดินขึ้นไปยังหอดูดาว Mount John หรือ Cowans Hill เพื่อชมวิวของลุ่มน้ำแมคเคนซี่จากมุมสูงก็ได้เช่นกันทริคการเดินทาง : ควรเผื่อเวลาไว้ให้มากพอสำหรับการเดินทางและการแวะในแต่ละจุดหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการเร่งรีบและยืดเวลาให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับจุดแวะพักแต่ละแห่งอย่างเต็มอิ่ม6. เอโอรากิ เมาท์ คุก, แคนเทอร์เบอรี่เอโอรากิ เมาท์ คุก (ภาพ : Miles Holden)“เอโอรากิ เมาท์ คุก” (Aoraki Mount Cook) เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ใจกลางนิวซีแลนด์ ถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะใต้แห่งนี้ ทั้งยังเป็นบรรพบุรุษอันศักดิ์สิทธิ์ของชาว Ngāi Tahu อีกด้วยยอดเขาสูงตระหง่านแห่งนี้เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและมีหิมะปกคลุมยามค่ำคืนสามารถชมดาวที่พร่างพรายไปทั่วท้องฟ้า เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ “อุทยานแห่งชาติเอโอรากิ เมาท์ คุก” เป็นเขตสงวน Dark Sky Reserve ทำให้ห่างไกลจากแสงไฟในเมืองจึงเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่สายรักธรรมชาติไม่ควรพลาดสำหรับการเดินทางนักท่องเที่ยวสามารถขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 80 แล้วมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเอโอรากิ เมาท์ คุก ระหว่างทางจะมีวิวทิวทัศน์อันงดงามของทะเลสาบพูคากิ (Lake Pukaki) ให้ชมเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของการเดินทางทริคการเดินทาง : โปรดศึกษาและจดจำเส้นทางที่จะใช้ในการท่องเที่ยวให้ดี เพื่อให้เราได้ดื่มด่ำไปกับการท่องเที่ยวได้อย่างไร้กังวลและความปลอดภัยตลอดการเดินทาง7. ช่องเขาโฮกิติกะ, ชายฝั่งตะวันตกช่องเขาโฮกิติกะ (ภาพ : Fraser Clements)“ช่องเขาโฮกิติกะ” (Hokitika Gorge) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ที่โดดเด่นที่สุดของแถบชายฝั่งตะวันตก และอยู่ห่างจากโฮกิติกะไปทางตะวันออกเพียงแค่ 30 นาที (33 กม.) เท่านั้น หากเดินทางโดยรถยนต์ช่องเขาโฮกิติกะ โดดเด่นสวยงามด้วยวิวทิวศน์ของ น้ำทะเลสีฟ้า หน้าผาหินปูนสีขาว และป่าเขียวขจีที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาด้วยทัศนียภาพอันงดงามและเส้นทางที่สามารถเดินทางได้โดยไม่ลำบากจนมากเกินไป ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาสัมผัสกับธรรมชาติอันสวยงามที่นี่ กันเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นในหน้าร้อนหรือวันฝนตกก็ตามทริคการเดินทาง : การขับรถติดต่อกันเป็นเวลานานอาจสร้างความเหนื่อยล้าได้ แนะนำให้พักระหว่างทางบ้างเพื่อยืดเส้นสาย พักผ่อนสายตาและร่างกายสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเดินทางแบบ Road Trip ที่มีระยะทางไกลและขับรถต่อกันเป็นเวลานาน8. ก้อนหินแพนเค้กพูนาไคคิ, ชายฝั่งตะวันตกก้อนหินแพนเค้กพูนาไคคิ (ภาพ : Miles Holden)“ก้อนหินแพนเค้กพูนาไคคิ” (Punakaiki Pancake Rocks) เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าทึ่งทางธรณีวิทยา เนื่องจากบนเนื้อหินนั้นเต็มไปด้วยชั้นหินของสัตว์ทะเลและทรายที่อัดแน่นจนกลายเป็นหินปูนแข็งและหินทราย เกิดเป็นหน้าผาที่มีลักษณะคล้ายกับ “กองแพนเค้ก” กระจายอยู่ทั่วบริเวณนั้น จนได้ชื่อว่าเป็น “หินแพนเค้ก”บริเวณนี้ในช่วงน้ำขึ้น คลื่นทะเลจะซัดถาโถมเข้ามาผ่านอุโมงค์หิน ปล่อยเสียงคลื่นอันไพเราะ และภาพของกลุ่มน้ำทะเลที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากการกระทบโขดหินเหล่านี้ คล้ายจากฉากคลื่นกระทบหินสุดไอคอนิคของซีนจากอนิเมชั่นลิตเติ้ล เมอร์เมดทริคการเดินทาง : คอยตรวจสอบพยากรณ์อากาศอยู่เสมอระหว่างการเดินทาง ควรเตรียมตัวและเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับอากาศที่เปลี่ยนแปลงและควรมีแผนสำรองหากอากาศไม่เป็นดังใจ9. ทะเลสาบแมธเทอสัน, ชายฝั่งตะวันตกทะเลสาบแมธเทอสัน (ภาพ : BareKiwi)“ทะเลสาบแมธเทอสัน” (Lake Matheson) เป็นทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าใสราวกับกระจก ที่นี่ยามเงียบสงบงบ เราสามารถถ่ายภาพวิวสุดอลังการของเงาสะท้อนยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะใต้อย่าง ภูเขาเอโอรากิ เมาท์ คุก (Aoraki Mount Cook) และยอดเขาแทสมัน (Mount Tasman) ที่ถูกรายล้อมด้วยท้องฟ้าและผืนน้ำที่สวยงามราวกับภาพวาดส่วนใครชอบเดินเล่นชมธรรมชาติแบบสบาย ๆ สามารถเดินชมวิวจากสะพานแขวน Clearwater River ซึ่งอยู่ห่างจากที่จอดรถเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นทริคการเดินทาง : ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว แนะนำให้จองที่ตั้งแคมป์ล่วงหน้าโดยเฉพาะในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม10. ธารน้ำแข็งฟรานซ์ โจเซฟ, ชายฝั่งตะวันตกธารน้ำแข็งฟรานซ์ โจเซฟ (ภาพ : Miles Holden)“ธารน้ำแข็งฟรานซ์ โจเซฟ” (Franz Josef Glacier) หรือ Kā Roimata o Hine Hukatere ตั้งอยู่ห่างเพียง 5 กิโลเมตรจากตัวเมืองหุบเขาอันงดงามแห่งนี้ดึงดูดนักผจญภัยจากทั่วทุกมุมโลกด้วยเสน่ห์อันเยือกเย็นกับเส้นเดินชมป่าฝนแบบสบาย ๆ ที่สามารถรับชมวิวของภูเขา น้ำตก และธารน้ำแข็งที่อยู่รายล้อมในบริเวณนั้นทริคการเดินทาง : ควรใช้ระบบนำทางหรือแผนที่ที่เชื่อถือได้และมีความเสถียร แนะนำให้มีอุปกรณ์ Wi-Fi แบบพกพาไปด้วยในทริปของคุณสำหรับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลTiaki – Care for New Zealandประเทศนิวซีแลนด์เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรมอันล้ำค่า ทั้งผู้อยู่อาศัยและผู้ที่เดินทางต่างก็ต้องมีความรับผิดชอบในการดูแลเกาะใต้แห่งนี้ให้คงความงดงามไว้ต่อไป ซึ่งทาง Tiaki นั้นมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการดูแลประเทศนิวซีแลนดทั้งในปัจจุบันและสำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไปหากทุกคนร่วมมือกันเพื่อปฏิบัติตามสัญญา Tiaki ก็เท่ากับตัวเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ปกป้องและรักษาบ้านของเราให้คงอยู่ต่อไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000048632

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดกิจกรรม “เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” (AIA Sharing A Life) ครั้งที่ 11 ภายใต้แนวคิด For Better Health มอบบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่ประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จำนวน 10,000 เข็มทั่วประเทศ

11/06/2024

กรุงเทพฯ 11 มิถุนายน 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าจัดกิจกรรม “เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” (AIA Sharing A Life) ครั้งที่ 11 หรือวันทำดีร่วมกันของชาวเอไอเอ เป็นกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคมครั้งยิ่งใหญ่ประจำปีของชาวเอไอเอ โดยได้รับความร่วมมือร่วมใจจากเพื่อนพนักงาน พลังตัวแทน และพันธมิตร ร่วมกันจัดกิจกรรมในครั้งนี้ภายใต้แนวคิด “For Better Health” ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในด้านการดูแลสุขภาพเพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives ด้วยการมอบบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ให้แก่ประชาชนและผู้ด้อยโอกาสโดยไม่มีค่าใช้จ่ายจำนวนทั้งสิ้น 10,000 เข็ม ซึ่งได้จัดศูนย์บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทั้งสิ้น 11 แห่งในจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ พิษณุโลก นครปฐม อุดรธานี นครราชสีมา ชลบุรี จันทบุรี และสงขลา โดยได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลในเครือ BDMS และซาโนฟี่ ประเทศไทยซึ่งกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจ AIA One Billion ที่เอไอเอ มุ่งสนับสนุนผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2573นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย เรารู้สึกภูมิใจที่ได้จัดกิจกรรมดี ๆ เพื่อตอบแทนสังคมภายใต้โครงการ “เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” (AIA Sharing A Life) หรือวันทำดีร่วมกันของชาวเอไอเอ ติดต่อกันมาเป็นปีที่ 11 แล้ว ซึ่งในปีนี้เราจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “For Better Health” เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนคนไทย รวมถึงผู้ด้อยโอกาสในสังคมมีสุขภาพที่ดีขึ้นตามพันธกิจ AIA One Billion ที่มุ่งสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนได้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2573 ซึ่งเอไอเอเล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากโรคไข้หวัดใหญ่ที่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วและมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนทุกวัย โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นฤดูแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรหลักอย่างโรงพยาบาลในเครือ BDMS และซาโนฟี่ ประเทศไทย  จัดบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่ประชาชนและผู้ด้อยโอกาสโดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมทั้งสิ้น 10,000 เข็ม โดยกระจายไปยัง 11 แห่งเพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง ณ โรงพยาบาลในเครือ BMDS และฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ณ อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ในวันที่ 4-5 มิถุนายน นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรที่มาร่วมทำความดีกับเรา อาทิ ส. ขอนแก่น ไวตามิลค์ และทิปโก้ ซึ่งผมขอขอบคุณพลังความดีจากทุกภาคส่วนที่สนับสนุนให้กิจกรรม เอไอเอแชร์ริ่ง อะ ไลฟ์ ครั้งที่ 11 นี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และเอไอเอจะยังคงเดินหน้าสานต่อความตั้งใจที่จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้เป็นสังคมสุขภาพดีต่อไปอย่างแน่นอน”ในพิธีเปิดโครงการ “เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” (AIA Sharing A Life) ครั้งที่ 11 ได้รับเกียรติจากคณะแพทย์ผู้บริหาร BDMS นำโดย นายแพทย์โชคชัย จารุศิริพิพัฒน์ ประธานฝ่ายแพทย์ BDMS และนายแพทย์มนต์สรร อัศวนพเกียรติ ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์และโครงสร้างราคา BDMS พร้อมด้วยนางมัณฑนา ตันประเสริฐ ผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจวัคซีน ซาโนฟี่ประเทศไทยและเมียนมาร์  นอกจากนี้ นายอาคม สุทธิบุญ รองผู้อำนวยการเขตดินแดง ยังได้มาร่วมรับมอบวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในโอกาสที่เอไอเอมอบบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสิ่งแวดล้อม และพนักงานรักษาความสะอาดประจำสำนักงานเขตดินแดงอีกด้วย โดยบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้แก่ประชาชนและผู้ด้อยโอกาสในโครงการ “เอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์” (AIA Sharing A Life) ครั้งที่ 11 จัดขึ้นทั้งสิ้น 11แห่ง ได้แก่  •  อาคารเอไอเอ สำนักงานใหญ่ กรุงเทพมหานคร  •  อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ กรุงเทพมหานคร   •  โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่  •  โรงพยาบาลกรุงเทพพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก  •  โรงพยาบาลกรุงเทพสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม  •  โรงพยาบาลกรุงเทพอุดร จังหวัดอุดรธานี  •  โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา  •  โรงพยาบาลสมิติเวชชลบุรี จังหวัดชลบุรี  •  โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา จังหวัดชลบุรี  •  โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี  •  โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

สัญญาณอันตราย 5 อุตฯ “ปิดกิจการ”สูงสุด เฉลี่ย 159 โรงงาน/เดือน

10/06/2024

จับตาสัญญาณอันตรายโรงงานปิดเพิ่ม เฉลี่ยเดือนละ 159 โรงงาน จากต้นปี 2566 จนถึงไตรมาส 1/67 ปิดรวม 1,700 แห่ง กระทบจ้างงาน 42,000 ตำแหน่ง จับตา 5 กลุ่มโรงงานปิดตัวสูงสุดวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า KKP Research ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เผยภาคอุตสาหกรรมไทยในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่อ่อนแอ สะท้อนจากทั้งดัชนีการผลิตที่หดตัวลงติดต่อกันเกินกว่า 1 ปี ยอดปิดโรงงานที่เพิ่มขึ้น และหนี้เสียในภาคการผลิตที่กำลังเร่งตัว แม้ว่ายอดเปิดโรงงานจะยังเยอะกว่ายอดปิดโรงงานในภาพรวม แต่สถานการณ์มีความแตกต่างกันในแต่ละภาคการผลิตโดยกลุ่มการผลิตเครื่องหนัง การผลิตยาง อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมไม้ และการผลิตเครื่องจักร เป็นกลุ่มที่มีการเพิ่มขึ้นของการปิดตัวโรงงานมากที่สุด และสถานการณ์ในอนาคตยังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยภาคอุตสาหกรรมยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือ  •  การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีของสินค้าบางชนิด  •  การแข่งขันที่มากขึ้นจากสินค้าจีน  •  มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นทั้งนี้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงที่เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักของเศรษฐกิจไทยคือ การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่วัดจากดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ได้มาจากการสำรวจผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทยเผยแพร่ โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมมีการหดตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565 จนถึงเดือนมีนาคม 2567 หรือต่อเนื่องกันกว่า 1 ปี 3 เดือน ซึ่งนับเป็นการโตติดลบติดต่อกันที่ยาวนานมากที่สุดครั้งหนึ่ง แม้ว่าวัฏจักรการค้าโลกจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปลายปี 2566 แล้วก็ตามปิดกิจการ เฉลี่ย 159 โรงงาน/เดือนสัญญาณถัดมาที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ข้อมูลการปิดโรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่เร่งตัวขึ้นชัดเจนตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2566 โดยค่าเฉลี่ยการปิดโรงงานของไทยอยู่ที่ 57 โรงงานต่อเดือน ในปี 2564 และ 83 โรงงานต่อเดือน ในปี 2565 ในขณะที่พุ่งสูงขึ้นถึง 159 โรงงานต่อเดือน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ส่งผลให้หากนับรวมตั้งแต่ต้นปี 2566 มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2567 (ระยเวลา 15 เดือน) มีโรงงานปิดตัวลงไปแล้วกว่า 1,700 แห่ง กระทบการจ้างงานกว่า 42,000 ตำแหน่งโดยการปิดตัวของโรงงานเพียงอย่างเดียวอาจไม่สะท้อนภาพทั้งหมด แต่ตัวเลขการเปิดตัวโรงงานใหม่ที่ลดลงกว่าในอดีต ยังย้ำให้เห็นถึงสถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรมไทยที่ไม่ดีนัก เพราะการเปิดโรงงานใหม่มีทิศทางที่ชะลอตัวลงเช่นกัน จึงทำให้ยอดการเปิดโรงงานสุทธิ (จำนวนโรงงานเปิดหักลบด้วยโรงงานปิด) ในภาพรวมชะลอตัวลงอย่างมาก จากค่าเฉลี่ยที่เป็นบวกสุทธิประมาณ 150 โรงงานต่อเดือน ลดลงเหลือเพียง 50 โรงงานต่อเดือน“สถานการณ์การเปิดและปิดตัวของโรงงานอุตสาหกรรมยังมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละกลุ่ม สอดคล้องกับการเติบโตของดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีความแตกต่างกัน โดยอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวโรงงานเร่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เป็นกลุ่มเดียวกันกับอุตสาหกรรมที่ดัชนีการผลิตมีการหดตัวลง ซึ่งสะท้อนว่าการพิจารณาภาคการผลิตในภาพรวมอาจไม่สะท้อนสถานการณ์ของบางกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่กว่าค่าเฉลี่ย โดยอุตสาหกรรมที่มีทิศทางน่ากังวล เนื่องจากมีการหดตัวของการผลิตและโรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้นมาก คือ 1. กลุ่มการผลิตเครื่องหนัง 2. การผลิตยาง 3. อุตสาหกรรมการเกษตร 4. อุตสาหกรรมไม้ และ 5. การผลิตเครื่องจักร”โรงงานใหญ่ปิดตัวพุ่ง-หนี้เสียเพิ่มในมิติของขนาดและพื้นที่ของโรงงานการปิดตัวของโรงงานอุตสาหกรรมในช่วงที่ผ่านมา พบว่ากระจุกตัวอยู่ในกลุ่มโรงงานขนาดใหญ่เป็นหลัก ในขณะที่โรงงานเปิดใหม่ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็ก สะท้อนว่าปัญหาการผลิตที่ชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเฉพาะของกิจการเอง เนื่องจากโรงงานขนาดเล็กมีแนวโน้มที่จะเปราะบางกว่าโรงงานขนาดใหญ่ จากสถานะทางการเงินที่มีแนวโน้มอ่อนแอกว่าบริษัทใหญ่ การปิดตัวที่เกิดขึ้นจากโรงงานขนาดใหญ่เป็นหลัก เป็นภาพสะท้อนว่าปัญหาการปิดตัวโรงงานเกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้างในภาพใหญ่ที่กระทบกับอุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรมข้อมูลอีกหนึ่งชุดที่ตอกย้ำความน่ากังวลของสถานการณ์ในภาคอุตสาหกรรม คือ การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในภาคการผลิตที่มีสัญญาณเร่งตัวขึ้นอย่างชัดเจนและสะท้อนปัญหาที่รุนแรงในภาคอุตสาหกรรมไทย มากกว่าเป็นการชะลอตัวชั่วคราว ซึ่งนำไปสู่ความจำเป็นต้องปิดโรงงานและกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ KKP Research พบความสัมพันธ์ระหว่างอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวของโรงงานสูง กับอุตสาหกรรมที่หนี้เสียปรับตัวสูงขึ้น โดยโรงงานกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปิดตัวมากกว่ามีแนวโน้มที่การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียสูงกว่าด้วยอุตฯไทยสูญเสียความสามารถการแข่งขันและข้อมูลการเปิด-ปิดโรงงานของอุตสาหกรรมไทยในมุมมองของ KKP Research นับเป็นภาพสะท้อนและผลลัพธ์ของการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมที่พึ่งพามูลค่าเพิ่มจากภาคอุตสาหกรรมกว่า 35% ของมูลค่าเศรษฐกิจ โดยตั้งแต่หลังช่วงโควิดมากลับกลายเป็นภาคบริการที่ขยายตัวได้ดี ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมหดตัวลงต่อเนื่องทั้งนี้ ถึงแม้ว่าข้อมูลเดือนล่าสุดของการผลิตภาคอุตสาหกรรมไทยกลับมาเป็นบวกในรอบมากกว่า 1 ปี และหลายฝ่ายยังหวังว่าจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ปรับดีขึ้นจะกลับมาช่วยภาคอุตสาหกรรมไทยกลับมาขยายตัวได้ อย่างไรก็ตาม KKP Research กลับมีความกังวลเพิ่มขึ้นอย่างมากต่อสถานการณ์อุตสาหกรรมไทยในระยะยาว ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้1. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในบางกลุ่มสินค้าหลัก เช่น การเปลี่ยนจากรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นรถยนต์ EV โดยในช่วงที่ผ่านมามีการส่งออกรถยนต์ EV ราคาถูกจากจีนมายังไทย และส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งยอดขายและราคารถยนต์ ICE ในไทย หรือการเปลี่ยนจากการใช้ HDD เป็น SSD ซึ่งจะรุนแรงมากขึ้นต่อเนื่องในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อราคา EV และ SSD มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้เข้ามาทดแทนเทคโนโลยีเก่าได้เร็วและกว้างขึ้น2. การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าจีน โดยในปัจจุบันไทยขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไม่เพียงแต่เฉพาะสินค้าในกลุ่มยานยนต์ที่เข้ามายังไทย แต่ไทยมีการนำเข้าจากจีนในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในหลายกลุ่มสินค้าเมื่อเทียบกับการนำเข้าทั้งหมด รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีต้นทุนต่ำกว่าสินค้าที่ผลิตในไทย3. มาตรการกีดกันการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มทวีความเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งในกรณีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง มีแนวโน้มที่จะมีมาตรการกีดกันทางการค้าจากจีนและโลกเพิ่มเติม ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงทำให้การค้าโลกในภาพรวมชะลอตัวลง และมีโอกาสที่สินค้าจากจีนจะทะลักมายังอาเซียน รวมถึงไทยเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการระบายสินค้าของจีนไปยังตลาดส่งออกอื่นผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น และเริ่มลุกลามมาสู่อุตสาหกรรมที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย ที่เห็นได้ชัดคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเริ่มมีค่ายรถยนต์อย่าง Suzuki ยุติการผลิตในประเทศไทยตามยอดขายที่ลดต่ำลงเหมือนกับที่ KKP Research เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ในช่วงหลังจากนี้ KKP Research ประเมินว่าการเร่งดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมและปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่ยังจำเป็นต้องทำ ควบคู่ไปกับการหาเครื่องยนต์ใหม่มาทดแทนเครื่องยนต์เดิมของเศรษฐกิจที่หายไป ไม่เช่นนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยมีศักยภาพการเติบโตต่ำลงไปเรื่อย ๆแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1583213

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

สมาคมประกันฯ เตือนปชช.เช็คข้อมูลก่อนแชร์ รายชื่อแบล็คลิสต์มั่วบริษัทประกันรถยนต์ง่อนแง่น

10/06/2024

สมาคมประกันวินาศภัยไทย ย้ำเตือนประชาชนเช็คข้อมูลก่อนแชร์ข้อความ “รายชื่อ Black List บริษัทประกัน (รถยนต์)” พร้อมยกเคสผู้กระทำความผิดที่ถูกดำเนินคดีทางกฎหมายดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับรายชื่อบริษัทประกัน (รถยนต์) ที่ถูก Black List เนื่องจากสถานะทางการเงินและการไม่ปฏิบัติตามสัญญาประกันภัยทางโซเชียลมีเดียนั้น สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ทำการตรวจสอบข้อความดังกล่าวพบว่า เป็นข้อความเก่าที่เคยถูกส่งต่อกันมาแล้วหลายครั้ง และล่าสุดปี 2567 ได้ถูกนำกลับมาเผยแพร่ซ้ำอีกครั้ง โดยข้อความดังกล่าวเป็นข้อความเดิมที่เป็นเท็จ สร้างความเสียหายต่อบริษัทประกันภัยและกระทบต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจประกันวินาศภัย รวมถึงทำลายความเชื่อมั่นของผู้เอาประกันภัยและประชาชนเป็นอย่างมากที่ผ่านมาสมาคมฯ และสํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ร่วมกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อสร้างการรับรู้ข้อเท็จจริงผ่านสื่อทุกช่องทาง พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อและแชร์ข้อมูลเท็จดังกล่าว เพราะอาจเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อีกทั้งบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากข้อความที่มีการส่งต่อกันนี้ได้มีการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่สร้างข่าวลือและบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งผู้กระทำผิดก็ได้ออกมาแถลงขอโทษแล้ว แต่ถึงปัจจุบันยังคงมีผู้หลงเชื่อและทำการเผยแพร่ข้อความโดยการส่งต่อหรือแชร์ในโซเชียลมีเดียอยู่อย่างต่อเนื่องดังนั้น เพื่อเป็นการย้ำเตือนประชาชนไม่ให้หลงเชื่อ และตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่มีเจตนาไม่ดีที่ต้องการสร้างความเข้าใจผิดเพื่อสร้างความเสียหาย สมาคมฯ จึงขอแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชนรับทราบ ดังนี้1. ปัจจุบันบริษัทประกันภัยที่ถูกกล่าวถึงนั้น ได้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย จำนวน 6 บริษัท ได้แก่(1) บริษัท พาณิชย์การประกันภัย จำกัด ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2548(2) บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2552(3) บริษัท ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2554(4) บริษัท พัชรประกันภัย จำกัด ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.ธนสินประกันภัย เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2547 และเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น บมจ.ยูเนี่ยน อินเตอร์ ประกันภัย และถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557(5) บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2564(6) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 1 เมษายน 25652. บริษัทประกันภัยที่ถูกกล่าวถึงและยังคงดําเนินการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่(1) บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจเข้าสู่ปีที่ 77 โดยมีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 295 ถนนสี่พระยา แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0 2640 7777 Hotline 1741(2) บริษัท เอราวัณประกันภัย จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2566 ซึ่งดำเนินธุรกิจเข้าสู่ปีที่ 42 โดยมีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 1115 อาคารทิพยประกันภัย (สำนักงานใหญ่) ชั้นที่ 24 ถนนพระราม 3 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120 โทรศัพท์ 0 2118 4750นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวย้ำว่า “ปัจจุบันมีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเผยแพร่ในโลกโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ประชาชนต้องรู้เท่าทันกลลวงของผู้ที่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝง โดยเช็คข้อมูลและแหล่งที่มาให้ชัวร์ก่อนแชร์ หรือส่งต่อข้อความใด ๆ มิเช่นนั้นอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี และอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายในที่สุด”ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลในการประกอบธุรกิจประกันภัยของบริษัทต่าง ๆ ผ่านทางช่องทางของบริษัทประกันวินาศภัยโดยตรง หรือทางเว็บไซต์ของ สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) www.oic.or.th และเว็บไซต์ของ สมาคมประกันวินาศภัยไทย www.tgia.org หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 หรือ สมาคมประกันวินาศภัยไทย โทร. 0 2108 8399แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://www.siamrath.co.th/n/542710

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

พาชมงานนิทรรศการ Mosaico-Italian code of a timeless art ที่ มิวเซียมสยาม

10/06/2024

ตะลุยโลกใบใหญ่ สัปดาห์นี้ “พี่ม้ามังกร” ขอพาน้องๆไปชม นิทรรศการ Mosaico–Italian code of a timeless art มองโมเสก : ถอดรหัสหัตถศิลป์จากดินแดนอิตาเลีย ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมิวเซียมสยามกับสถานทูตอิตาลี ประจำประเทศไทย เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมระหว่างประเทศ จัดแสดงที่ห้องอเนกประสงค์ มิวเซียมสยาม ถึงวันที่ 25 มิ.ย.2567 เวลา 10.00-18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)โมเสก Mosaico คืองานหัตถศิลป์ชิ้นเอกที่มีการสืบทอดกันในประเทศอิตาลีมายาวนานมากกว่า 2,000 ปีภายในแบ่งการจัดแสดงศิลปะโมเสก ออกเป็น 6 โซน 8 เมือง นำเสนอภาพผ่านสื่อผสม โดยฉายภาพ ประกอบเสียงบรรยาย 3 ภาษา ทั้งไทย อังกฤษ และอิตาเลียนโซนที่ 1 โรม และปอมเปอี โดยที่โรมนำเสนอผลงานโมเสกหลากสีประดับผนังรูปเรือและประภาคาร จากพิพิธภัณฑ์คาปิโตลีนี เช่น โมเสกรูปนกยูง สิงโตผู้น่าเกรงขาม และกามเทพตัวน้อย ขณะที่โมเสกจากเมืองปอมเปอี ซึ่งเคยเป็นเมืองที่ถูกลาวาจากการระเบิดของภูเขาไฟวิสุเวียสกลบฝัง แต่ก็รักษาสภาพเมืองเอาไว้ โดยมีผลงานโมเสกที่งดงามภายในคฤหาสน์ของฟอน (Faun) เป็น ภาพการประจัญบานที่เมืองซิสซุ ระหว่าง อเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งโรมัน กับ ดารีอุสมหาราชแห่งเปอร์เซีย ประกอบขึ้นจากเศษหินแผ่นเล็กๆ มากกว่าหนึ่งล้านห้าแสนชิ้น ทำให้เห็นรายละเอียดของสีหน้า ท่าทางของนายทหาร ม้าศึก อย่างชัดเจนโซนที่สอง เมืองอากวิเลอา นำเสนอโมเสกภายในพื้นมหาวิหารอัสสัมชัญของพระแม่มารีย์ นำเสนอเรื่องราวของท่านโยนา ศาสดาพยากรณ์ชาวยิว และคติเรื่องการฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูโซนที่สาม เมืองราเวนนา เป็นเมืองที่รุ่งเรืองในอดีต ผลงานโมเสกที่สำคัญปรากฏที่ สุสานกัลลา ปลาชิเดีย, มหาวิหารนักบุญวิตาเล และ มหาวิหารนักบุญอาโปลลีนาเร โดยเฉพาะภาพดวงดาวบนท้องฟ้าในคืนเดือนมืด ภาพคนเลี้ยงแกะ ภาพพระคริสต์ไร้ซึ่งหนวดเคราประทับนั่งบนโขดหิน รายล้อมด้วยฝูงแกะ 6 ตัวโซนที่สี่ เมืองปาแลร์โม และเมืองมอนเรอาเล ผลงานโมเสกแสดงเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้าสร้างโลกและมวลมนุษย์ สู่การเสด็จมาของพระคริสต์ เพื่อช่วยไถ่บาปไปจนถึงวันสิ้นโลกโซนที่ห้า เมืองปีอาซซ่า อาร์เมรีนา จัดแสดงผลงานโมเสกภายในวิลล่า โรมานา เดล คาซาเล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกิจกรรมประจำวันของชาวโรมัน เช่น ภาพการล่าสัตว์ การใช้ชีวิตของชนชั้นสูง ซึ่งผลงานโมเสกที่มีชื่อเสียงคือ ชื่อรูป “นักยิมนาสติก” เป็นรูปหญิงสาว 10 นาง ในท่วงท่าออกกำลังกาย โดยสวมใส่เครื่องแต่งกายน้อยชิ้นโซนที่หก เมืองบาย่า นำเสนอลวดลายโมเสกในอุทยานโบราณคดีใต้น้ำเมืองบาย่า ซึ่งจมอยู่ใต้ท้องทะเลจากการยุบตัวของผิวโลก ซึ่งภายในนิทรรศการ น้องๆ จะได้ชมภาพโมเสกใต้น้ำผ่านตู้จำลอง ให้ความรู้สึกเหมือนเรา ได้ดำดิ่งลงใต้ผืนน้ำ เพื่อชมความงามของโมเสกนั่นเอง.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/news/local/2791597

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

Travel Card คืออะไร ทำไมนักท่องเที่ยวจึงควรมีติดตัวไว้สักใบ

10/06/2024

Travel Card คืออะไร ทำไมนักท่องเที่ยวจึงควรมีติดตัวไว้สักใบ มาทำความเข้าใจกันเวลาเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ เรื่องการใช้จ่ายในต่างแดนถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก ๆ ที่จะต้องวางแผนอย่างรัดกุม หลายคนไม่มีเงินสำรองติดตัว แลกและพกเงินสดไปค่อนข้างพอดีใช้ เมื่อเจอเข้ากับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ก็สุ่มเสี่ยงที่จะไม่มีเงินแก้ปัญหา และเสี่ยงที่จะเดินทางกลับบ้านไม่ได้ด้วย หรือบางคนไม่จำเป็นต้องมีเงินสำรอง เพราะในมือมีบัตรเครดิตที่สามารถรูดเอาเงินในอนาคตมาใช้ก่อนได้ ในกรณีนี้คุณจะไม่มีความเสี่ยงใด ๆ ระหว่างเดินทาง สามารถรูดเอา ๆ ตามใจชอบตราบเท่าที่วงเงินยังเหลือ แต่คุณอาจจะเผชิญกับอาการหน้ามืดได้เมื่อใบแจ้งหนี้ถูกส่งมา การใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลินจนเกินตัวทำให้หลายคนไม่อยากจะสมัครบัตรเครดิต เพราะกังวลการเป็นหนี้คำถามก็คือ ถ้าคุณกำลังเผชิญปัญหาไม่คาดฝัน ปัญหาที่ต้องใช้เงิน แต่คุณไม่มีเงินสำรองจากที่ไหนสักแห่งให้หยิบมาใช้แก้ปัญหาเลย คุณจะทำอย่างไรเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์นั้น ๆอย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการวางแผนการใช้จ่ายในระหว่างเที่ยวต่างประเทศไม่ได้มีแค่การพกเงินสด ที่จะต้องไปแลกเป็นสกุลเงินต่าง ๆ ตามร้านแลกเงินหรือที่ธนาคาร การยอมเป็นหนี้ ใช้เงินในอนาคตอย่างการรูดบัตรเครดิต หรือการใช้บัตรเดบิต แต่ยังมีวิธีใหม่ ๆ อย่างการใช้ Travel Card ที่มีทั้งประเภทเติมเงินและประเภทเดบิตTravel Card คืออะไรTravel Card คือ บัตรสำหรับทำธุรกรรมทางการเงินในต่างประเทศ โดยอาจมีลักษณะเป็นบัตรเดบิตหรือบัตรเติมเงิน (Prepaid Card) รูปแบบหนึ่ง สามารถใช้แลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศได้ สามารถรูดจ่ายค่าสินค้าและกดเงินจากตู้ ATM ต่างประเทศได้เหมือนบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิตทั่วไป โดยมีค่าธรรมเนียมหรืออัตราแลกเปลี่ยนในราคาพิเศษ Travel Card ตอบโจทย์นักเดินทางที่ไม่มีบัตรเครดิตหรือคนที่ไม่อยากพกเงินสดจำนวนมากไปไหนมาไหน ไม่ต้องเสียเวลาไปแลกเงิน ซึ่งจะสามารถใช้จ่ายทั่วโลกได้สะดวกด้วยบัตรใบเดียวTravel Card จึงเป็นไอเทมพิเศษที่คนที่ชอบเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ๆ ควรจะมีติดตัวไว้สักใบ เอาไว้ใช้สำหรับบัตรรูดชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทนเงินสดในต่างประเทศ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการใช้เงินในต่างประเทศที่สะดวก ง่าย ได้เรตราคาดี แถมยังไม่ต้องพกเงินสดติดตัวเยอะ ๆ ด้วย หากต้องการเงินสดไว้สำหรับติดตัว ก็สามารถกดเพิ่มได้ตลอดเวลา แค่มองหาตู้เอทีเอ็มที่มีคำว่า Visa อย่างไรก็ตาม บัตรของบางธนาคารจะไม่สามารถใช้ทำธุรกรรมในประเทศไทยได้Travel Card จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ  •  แบบเติมเงิน คือ บัตรที่ต้องเติมเงินเข้าไปก่อนจึงจะสามารถรูดใช้ได้ อีกทั้งยังสามารถแลกสกุลเงินต่างประเทศเก็บไว้ล่วงหน้าก่อนได้ ซึ่งทั้งการเติมเงินและแลกเงิน สามารถทำได้ผ่านแอปฯ ของธนาคารนั้น ๆ บัตรประเภทนี้มีข้อดีตรงที่เราล็อกเรตเงินที่เราจะแลกได้ เมื่อเรตเงินอยู่ในเกณฑ์ที่เราพอใจก็กดแลกได้เลย การใช้จ่ายในต่างประเทศ ค่าเงินจะมีเรตเท่ากับวันที่เรากดแลก ไม่ควรแลกไว้ทีละมาก ๆ เพราะเวลาแลกคืนจะเป็นคนละเรตราคา ที่สำคัญแต่ละบัตรแต่ละธนาคารจะสามารถแลกสกุลเงินได้ต่างกัน ไม่ได้ครอบคลุมทั่วโลกเหมือนบัตรแบบเดบิต  •  แบบเดบิต คือ เป็นบัตรที่ไม่ต้องเติมเงิน โดยสามารถผูกกับบัญชีธนาคาร เมื่อเรารูดใช้จ่ายซื้อสินค้าต่าง ๆ ระบบจะตัดเงินจากบัญชีธนาคารของเราเอง ทำให้หลักการใช้งานเหมือนกับบัตรเดบิตทั่วไป คือเราต้องมีเงินอยู่ในบัญชีธนาคาร เมื่อจะใช้จ่ายในต่างประเทศก็สามารถรูดใช้ได้เลย ไม่ต้องแลกเงินเก็บไว้ในบัตร นั่นจึงทำให้เรตเงินจะแปรผันไปตามวันที่รูดใช้ ไม่สามารถล็อกเรตเงินได้เหมือนบัตรประเภทเติมเงิน ข้อดีของบัตรประเภทนี้ จะสามารถรูดที่ไหนก็ได้ทั่วโลก จึงเหมาะกับคนที่ไม่กังวลกับเรื่องเรตเงินที่ขึ้น ๆ ลง ๆทำไมควรจึงควรมี Travel Card ไว้สักใบ  •  สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องพกเงินสดเยอะ ๆ ในขณะเดินทาง  •  จัดการบัตรได้ง่าย เติมเงิน แลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศได้สะดวก ทำได้ทันทีผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร  •  ได้อัตราแลกเปลี่ยนดี เพราะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน อีกทั้งยังสามารถแลกเงินเก็บไว้ล่วงหน้าได้ เมื่อเห็นว่าเรตเงินอยู่ในเกณฑ์ที่พึงพอใจ  •  สามารถถอนเงินสดที่ตู้ ATM ในต่างประเทศได้ทั่วโลก  •  สามารถใช้รูดจ่ายในต่างประเทศได้โดยไม่ต้องมีค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน ซึ่งมักจะอยู่ที่ 2.0-2.5%  •  มาพร้อมสิทธิพิเศษอื่น ๆ ตามเงื่อนไขของแต่ละธนาคารที่ให้บริการ เช่น ฟรีประกันการเดินทาง ส่วนลดจากร้านค้าที่ร่วมรายการ  •  บัตร Travel Card ประเภทเดบิตของบางธนาคาร สามารถใช้ถอนเงินสดที่ตู้ ATM ในไทยได้  •  อาจจะมีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และ/หรือค่าธรรมเนียมรายปีหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับธนาคาร ส่วนค่าธรรมเนียมกดเงินที่ต่างประเทศก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ธนาคาร บางธนาคารไม่เรียกเก็บTravel Card ต่างจาก Credit Card อย่างไรหากมองในภาพรวม Travel Card กับ Credit Card อาจจะดูไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไรนัก เพราะเป็นบัตรที่เราสามารถใช้รูดได้อย่างสะดวกเวลาเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศได้เหมือนกัน รูดซื้อสินค้าที่ต่างประเทศได้เหมือนกัน แต่ Travel Card นั้นจะตอบโจทย์กับการใช้จ่ายในต่างประเทศมากกว่า ดังนี้  •  Travel Card สามารถใช้แลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศได้ตลอดเวลาผ่านระบบออนไลน์ แค่เปิดแอปพลิเคชันของธนาคาร  •  สามารถกดเงินจากตู้ ATM ที่ต่างประเทศได้เลย (แต่จะมีค่าบริการ แล้วแต่ธนาคารเจ้าของบัตรกำหนด)  •  แลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศได้เรตที่ดีกว่า เพราะไม่เสียค่าธรรมเนียมความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 2.0-2.5% ของยอดใช้จ่าย เหมือนกับการรูดจ่ายด้วยบัตรเครดิต เพราะ Travel Card เป็นการรูดเงินในบัญชีเราออกไปเลย จึงไม่เสียค่าบริการตรงนี้  •  ในช่วงที่อัตราแลกเปลี่ยนดี เราสามารถแลกเงินเก็บไว้ล่วงหน้าได้ ไม่ว่าเรารูดใช้จ่ายวันไหน เราก็ยังได้อัตราแลกเปลี่ยนในวันที่เราแลกเงินเก็บไว้ ต่างจากบัตรเครดิตที่ไม่สามารถแลกเงินในวันที่เรตดีเก็บไว้ได้ เราใช้บัตรเครดิตรูดซื้อค้าวันไหน อัตราแลกเปลี่ยนก็จะเป็นไปตามวันนั้น ๆ  •  ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีกว่ากว่าบัตรเครดิต เนื่องจาก Travel Card จะหักวงเงินจากในบัญชีที่เรามี หรือหักจากที่เราแลกเก็บไว้ หากมีการใช้เงินเกินวงเงิน รายการนั้นจะถูกยกเลิกทันที (เพราะหักเงินไม่ได้) ในขณะที่บัตรเครดิตจะมีวงเงินที่สูงกว่า และเป็นเงินในอนาคตที่เราไม่เสียอะไรเลยใน ณ เวลาที่รูด ทำให้มีโอกาสใช้เกินลิมิตได้  •  Travel Card ของบางธนาคารจะมีประกันอุบัติเหตุการเดินทางให้มาพร้อมกัน เป็นสิทธิพิเศษเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน Travel Card ช่วยชีวิตได้อย่างไรจริง ๆ แล้ว การเดินทาง ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้เสมอ แต่ปัญหามันจะดูรุงรังกว่าเมื่อเราอยู่ต่างประเทศ การอยู่ต่างบ้านต่างเมืองทำให้การแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่ค่อยจะง่ายดายและราบรื่นเท่าไรนัก ทั้งเรื่องของการสื่อสาร และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่มันไม่ได้มีอยู่เพื่อสนับสนุนขาจรที่เดินทางไปประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็เดินทางกลับ เมื่ออะไร ๆ ไม่เป็นไปตามแผน ก็มีแค่เงินเท่านั้นที่พอจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ ซึ่งปัญหาก็ตามมาอีกเช่นกัน ถ้าหากเงินที่เรามีสำรองอยู่ไม่เพียงพอ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร คนส่วนใหญ่ไม่ได้คาดคิดอยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องที่ต้องใช้เงินเพิ่มจากที่เตรียมมา การไม่มีเงินสำรองทำให้ตกที่นั่งลำบากในเมื่อการเที่ยวต่างประเทศอาจไม่ได้เป็นไปตามแผนเสมอไป แลกเงินไปเท่านี้แต่ดันใช้หมดก่อน แล้วไม่ได้พกเงินสด (ไทย) สำรองเพื่อไปแลกด้วย จะทำยังไงล่ะทีนี้ หรือว่าเกิดอุบัติเหตุบางอย่างที่เราจำเป็นต้องใช้เงิน ที่พักที่จองไว้เข้าพักไม่ได้ ต้องจองที่พักใหม่ หรือแค่เรื่องเล็ก ๆ อย่างการชอปปิงเพลินจนสัมภาระงอกเกินกว่าที่คิดไว้ จึงจำเป็นต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม เกิดเหตุฉุกเฉินที่ทำให้ต้องซื้อไฟลต์ใหม่ หรือเกิดเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่ต้องใช้เงินนอกเหนือจากที่แพลนไว้ จะทำยังไงดี หรือสำหรับบางคนจริง ๆ ก็มีเงินสำรองในบัญชี แต่ไม่อยากกดเงินจากตู้ที่ต่างประเทศ เพราะจะโดนเรตเงินของธนาคารที่ค่อนข้างแพงและมีค่าบริการสูง ถ้าไม่คอขาดบาดตายจริง ๆ ก็ไม่เอาดีกว่าดังนั้น การมี Travel Card ติดตัวไว้เพื่อกรณีแบบนี้เป็นอะไรที่ตอบโจทย์มาก ส่วนใหญ่ทุกธนาคารจะแข่งกันที่เรตเงิน การให้บริการ และค่าบริการที่ต่างกันนิดหน่อยเท่านั้น และบางธนาคารก็เคลมว่าสินค้าของตัวเองถูกที่สุดด้วยสำหรับการไปติดต่อธนาคารเพื่อทำ Travel Card สักใบก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องมีเอกสารอะไรวุ่นวายเท่ากับการขอทำบัตรเครดิต เนื่องจาก Travel Card คือการนำเงินในบัญชีที่เรามีอยู่แล้วไปแลกเป็นเงินสกุลประเทศที่เราไป เป็นการนำเงินเก็บของเราเองมาใช้ ไม่ใช่เงินในอนาคต เพราะฉะนั้น เวลาจะออกบัตรจึงไม่จำเป็นต้องมีอาชีพที่มีเงินเดือนมารองรับ เพียงแค่มีบัญชีธนาคารธรรมดา ๆ ก็สามารถมี Travel Card ได้แล้วพูดให้ง่ายที่สุดก็คือ เป็นบัตรเดบิตในคราบเครดิตนั่นเอง เรื่องของการแลกเงิน เราไม่จำเป็นต้องแลกเงินไปก่อนด้วยซ้ำ เพราะสามารถแลกเงินแบบเรียลไทม์ได้ในแอปพลิเคชัน อยากใช้เท่าไรก็แลกเท่านั้น หรือถ้าแลกมาแล้วใช้ไม่หมดก็สามารถแลกกลับได้บริการเสริมที่จะได้มากับบัตร อีกเกณฑ์หนึ่งสำหรับการพิจารณาการทำ Travel Card ธนาคารมักจะมีบริการเสริมมาพร้อมกับบัตรอยู่แล้ว เพื่อจูงใจให้ลูกค้าเลือกใช้สินค้าของตัวเอง ดังนั้น เวลาที่เราขอออก Travel Card ส่วนใหญ่แล้วจึงไม่ได้ให้เราใช้บัตรเพื่อรูดในต่างประเทศเพียงอย่างเดียว แต่มักจะมาพร้อมบริการ อย่างเช่น ประกันการเดินทาง การเข้าใช้บริการเลานจ์ที่สนามบินได้ฟรี การแลกเงินที่ได้เรตเงินถูกกว่าปกติ หรือบางทีมีส่วนลดในการจองโรงแรมด้วย แค่นี้ก็คุ้มแล้วจากนี้ไป คนที่เคยชินกับการเที่ยวต่างประเทศแบบแลกเงินสดไปเป็นปึก ๆ แล้วต้องลำบากแยกเก็บไว้ตามที่ต่าง ๆ ในกรณีเผื่อหายจะได้มีส่วนที่แอบไว้เหลือใช้บ้าง คงจะต้องลองหันมามอง Travel Card กันบ้างแล้ว เพราะมันให้ความสะดวกสบายและปลอดภัยมากกว่า โดยเฉพาะในยุค Cashless ที่คนส่วนใหญเคยชินกับการใช้เงินสดน้อยลงแล้ว การลองไปเที่ยวต่างประเทศพร้อม Travel Card สักใบ อาจทำให้คุณติดใจความง่ายและสะดวก จนอยากจะออกเที่ยวอยู่เรื่อย ๆ ก็เป็นได้นะ!แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1448023/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

มีเงินไม่ต้องมีแฟน คนไทยเป็นโสดสูง วิตกมีลูกแบกหนี้ ปั๊มลูกเพื่อชาติสะดุด

07/06/2024

สภาพัฒน์ฯ รายงานภาวะสังคมไทย ครองโสดมากขึ้น 40.5% สะท้อนการใช้ชีวิต ด้วยภาวะเศรษฐกิจ การทำงานที่ต้องแบกรับมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การมีลูก 1 คน ใช้เงินเฉลี่ย 2-3 ล้านบาท กว่าจะเรียนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ขณะที่เพศสภาพเปิดกว้างมากขึ้น แม้รัฐมีนโยบายปั๊มลูกเพื่อชาติ แต่ต้องเปลี่ยนมุมมอง พัฒนาคุณภาพคน มากกว่าปริมาณประชากรที่เพิ่มสูงจากรายงานสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาวะสังคม ไตรมาสที่ 1 ปี 2567 อ้างอิงจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ‘สถานการณ์คนโสด’ ช่วงวัยเจริญพันธุ์ ที่มีอายุ 15-49 ปี มีคนโสดถึง 40.5% สูงกว่าภาพรวมในประเทศเกือบเท่าตัว และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2560จำนวนดังกล่าวกว่าครึ่งอยู่ในช่วงอายุ 15-25 ปี ส่วนใหญ่อาศัยในเมืองหลวง และ 1 ใน 3 เป็นผู้หญิงที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป อยู่ที่ร้อยละ 42.0 สูงกว่าผู้ชายเกือบเท่าตัว หรือร้อยละ 25.7 หากพิจารณาในกลุ่มคนมีคู่ พบว่ามีความกังวลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกันมากขึ้น สะท้อนได้จากคนที่แต่งงานแล้ว ที่มีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 57.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 52.6 และจำนวนการหย่าร้างเพิ่มขึ้น ร้อยละ 22.0 จากปี 2560รศ.ดร.ศุทธิดา ชวนวัน อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยถึงการครองโสดของคนไทย มาจากปัจจัยด้านทัศนคติเปลี่ยนไป โดยมองว่าการมีครอบครัวไม่ใช่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่มีปัจจัยอื่นพ่วงเข้ามา เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ที่มีผลกระทบต่อการแต่งงาน และใช้ชีวิตครอบครัว ซึ่งมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นส่วนตัวเลขประชากรชี้ชัดว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นโสดมากกว่าชาย เนื่องจากผู้หญิงมีบทบาทในสังคมมากขึ้น ทำให้มุมมองด้านการแต่งงานช้าลงไปเรื่อยๆ เพราะผู้หญิงหลายคนมุ่งมั่นกับการทำงาน จนไม่ได้สนใจการมีคู่ครอง จากเดิมผู้หญิงจะแต่งงานเร็ว เฉลี่ยตั้งแต่อายุ 24 ปี อีกปัจจัยสำคัญมาจากการศึกษาของผู้หญิงสูงขึ้น ทำให้มีมุมมองการใช้ชีวิตพึ่งพาตัวเอง มากกว่าจะต้องมีสามีอีกภาวะที่ทำให้มีคนโสดมากขึ้น เนื่องจากผู้ชายในช่วงวัยทำงาน เฉลี่ยอายุ 20-30 ปี มีอัตราการตายสูง ประกอบกับสังคมไทย เปิดรับเรื่องเพศสภาพของกลุ่ม LGBTQ มากขึ้น ทำให้เกิดการสมรสระหว่างชายกับหญิงเหมือนในอดีตลดลงขณะเดียวกันรูปแบบการอยู่อาศัยของคู่ครอง มีความหลากหลายมากขึ้น หรือการอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้แต่งงาน เหมือนอยู่เป็นเพื่อนกัน เช่นเดียวกับการใช้ชีวิตอยู่กับพี่น้องครอบครัวเดียวกันมากขึ้นในการวิจัยมีการประเมินว่า การเลี้ยงลูก 1 คน พ่อแม่ต้องใช้เงิน 2-3 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายให้กับลูกจนจบการศึกษาพื้นฐาน ดังนั้น แนวทางแก้ปัญหาของภาครัฐ การบังคับให้คนมีบุตร ไม่ประสบความสำเร็จ ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์ ก็เคยเจอกับปัญหาเหล่านี้ ทำให้เขาต้องกลับมาคิดใหม่ว่า การมีประชากรน้อยแต่มีคุณภาพ ดีกว่ามีประชากรมากแต่ไม่มีคุณภาพผู้หญิง 1 คน ต้องมีบุตรเฉลี่ย 2.1 คน แต่ไทยต่ำกว่าเกณฑ์มากดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ มองว่า คนไทยเป็นโสดมาก นอกจากปัญหาทางด้านการเงินแล้ว ยังเกี่ยวโยงกับภาระการทำงาน จากความคิดผู้หญิงในอดีต ที่มีความคาดหวังว่าผู้ชายจะต้องดูแลครอบครัว ปัจจุบันผู้หญิงสามารถดูแลตัวเองได้ เช่นเดียวกับความคิดของผู้ชาย ที่ไม่แต่งงาน หรือไม่มีลูกก็ได้ ขณะที่ทางเลือกด้านเพศสภาพในสังคมเปิดกว้างมากขึ้นการที่คนไทยเป็นโสดมาก ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากร เพราะทางทฤษฎีเกี่ยวโยงกับอัตราวัยเจริญพันธุ์ ที่ผู้หญิง 1 คน ต้องมีบุตรเฉลี่ย 2.1 คน เพื่อให้อัตราประชากรในอนาคตมีอัตราคงที่ แต่ถ้ามีอัตราการเกิดน้อยกว่านั้น จะทำให้อัตราประชากรลดลง สุดท้ายเกิดความเสี่ยงในประเด็นของประชากรดังนั้น อัตราการมีบุตรของคนไทย ตอนนี้ต่ำกว่า 2.1 คนอยู่จำนวนมาก ขณะที่สัดส่วนโครงสร้างประชากรจะกระทบกระเทือนต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ เพราะถ้าประเทศมีวัยแรงงานมาก ช่วยทำให้มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้น ยิ่งเมื่อไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้ประชากรวัยทำงานต้องแบกภาระทางเศรษฐกิจของประเทศกระบวนการที่จะกระตุ้นให้คนมีคู่ ภาครัฐต้องมีนโยบายให้คนมาเจอกันมากขึ้น ซึ่งตอนนี้มีการเจอกันในระบบออนไลน์ ที่ต้องมีระบบที่ปลอดภัยมากขึ้น หรือตัวอย่างในจีน ที่พ่อแม่นำรูปลูก และแนะนำอุปนิสัยส่วนตัว มาหาคู่ที่เหมาะสมในสวนสาธารณะช่วงวันหยุดด้านการกระตุ้นให้มีบุตร หน่วยงานรัฐต้องมีการลดภาระ ในการให้เงินสนับสนุนในการเลี้ยงดู ระบบการศึกษาที่ลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว ซึ่งช่วยเอื้ออำนวยให้คนมีบุตรเพิ่มขึ้น ไม่ต้องเป็นหนี้ในการหาเงินมาเลี้ยงดูลูก.แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2789067

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

ประกันลดหย่อนภาษี ทำแบบไหนลดหย่อนได้สูงสุด

07/06/2024

จะให้ความคุ้มครองชีวิตด้วยเงินก้อนใหญ่ เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตตรงตามเงื่อนไชที่ระบุไว้ตามกรมธรรม์แล้ว ยังสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 300,000 บาทต่อปี  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ ประกันลดหย่อนภาษีเป็นหนึ่งใน ผู้ช่วยด้านการเงินของคนยุคใหม่ที่ต้องการบริหาร จัดการด้านการเงินให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประเภทของประกันลดหย่อนภาษีการใช้ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีสามารถนำไประกันมาใช้ลดหย่อนภาษีได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเภทของ ประกันลดหย่อนภาษี  ซึ่งโดยหลัก ๆ สามารถแบ่งประกันชีวิตลดหย่อนได้เป็น 3 ประเภท  •  ประกันชีวิตทั่วไป เป็นประกันชีวิตที่มีการคุ้มครองผู้เอาประกัน ซึ่งในระหว่างอายุสัญญาหากผู้เอาประกันเสียชีวิตด้วยสาเหตุตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์กำหนด หรืออยู่จนครบอายุสัญญา จะได้รับเงินก้อนตามเงื่อนไขของประกันชีวิต สำหรับประกันชีวิตที่สามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีได้มีด้วยกัน 4 ประเภท ได้แก่ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life) , ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term) , ชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment)  และประกันชีวิตควบการลงทุน (Investment Linked Life Insurance) สำหรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีและเงื่อนไขในการลดหย่อยนภาษี ดังนี้1. ต้องเป็นประกันของบริษัทประกันภัยที่จดทะเบียนในประเทศไทยเท่านั้น2. ต้องเป็นประกันที่มีระยะความความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป3. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ แบบชั่วระยะเวลา หรือแบบสะสมทรัพย์สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท ขณะที่ของคู่สมรสที่ไม่มีรายได้สามารถนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาท 4. ประกันชีวิตควบการลงทุน เป็นประกันที่แบ่งค่างวดออกเป็น 3 ส่วน คือ ค่าเบี้ยประกัน , ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของกรมธรรม์ และการลงทุน แต่จะมีเพียงส่วนที่ 1 และ 2 เท่านั้น สามารถนำมาคำนวณเพื่อใช้ลดหย่อยภาษีได้ โดยสามารถใช้ลดหย่อยภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท 5. ในกรณีที่เป็นประกันชีวิตที่มีการจ่ายเงินคืนทุกปี หรือตามช่วงเวลาตามเงื่อนไขของประกัน ต้องร่วมกันไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสมรายปี6. หากผู้เอาประกันยกเลิกสัญญา หรือเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบอายุ 10 ปี จะถือว่าผิดเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด จะไม่สามารถนำเบี้ยประกันมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ และที่สำคัญต้องจ่ายคืนภาษีย้อนหลังและดอกเบี้ย 1.5% ต่อเดือนอีกด้วย  •  ประกันชีวิตแบบบำนาญ เป็นประกันคุ้มครองรายได้ที่ให้ผู้เอาประกันหลังเกษียณอายุ หรือตามระยะเวลาที่กรมธรรม์กำหนด สำหรับประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ 300,000 บาท เมื่อไม่ใช่สิทธิ์การลดหย่อนรวมกับประกันชีวิตแบบทั่วไป แต่กรณีที่ใช้สิทธิ์ร่วมกับประกันชีวิตทั่วไป (ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท) สามารถใช้ลดหย่อนภาษีไม่เกิน 15% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท แต่ทั้งนี้ต้องเป็นประกันชีวิตแบบบำนาญของบริษัทประกันภัยที่จดทะเบียนในประเทศไทย มีระยะคุ้มครองมากกว่า 10 ปีขึ้นไป และมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอและจ่ายผลประโยชน์ในขณะผู้เอาประกันมีอายุ 55 – 85 ปี    •  ประกันสุขภาพลดหย่อนภาษี เป็นประกันประเภทที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเมื่อผู้เอาประกันเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือตรวจพบโรคร้ายตามเงื่อนไขของกรมธรรม์  ซึ่งในการนำมาใช้ลดหย่อยภาษีในกรณีเป็นประกันสุขภาพของผู้เอาประกันเองสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 25,000 บาท แต่เมื่อนำไปรวมกับประกันประเภทอื่นต้องไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนกรณีนำประกันสุขภาพของบิดามารดาสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นประกันสุขภาพของบริษัทประกันที่จดทะเบียนในประเทศไทย เป็นประกันชีวิตของบิดามารดาที่ถูกต้องตามกฎหมาย บิดามารดาต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และผู้ทำประกัน บิดา หรือมารดา คนใดคนหนึ่งต้องพำนักอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 180 วันในปีที่จ่ายภาษีเทคนิคเลือกประกันลดหย่อนภาษีแบบไหนคุ้มที่สุดเนื่องจากประกันชีวิตและประกันสุขภาพมีหลายแบบหลายประเภทให้เลือก ซึ่งนอกจากจุดประสงค์ของความคุ้มครองแล้ว ยังต้องพิจารณาในส่วนของเงื่อนไขการลดหย่อนภาษี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้หลายคนสับสนไม่รู้ว่าจะซื้อประกันแบบไหนดี มีเทคนิคดี ๆ มาฝาก  •  คำนวณภาษีก่อนตัดสินใจเพราะหลายคนเข้าใจว่ายิ่งมีรายได้เยอะก็ต้องซื้อประกันลดหย่อนเยอะไว้ลลดหย่อนภาษี แต่ในความจริงซื้อเยอะอาจกลายเป็นซื้อประกันเกินความจำเป็น เพราะนอกจากการลดหย่อนจะเป็นไปตามเงื่อนไขที่สรรพากรกำหนดแล้ว ในการเสียภาษียังต้องมีการนำรายการลดหย่อนมาใช้คำนวณลดภาษี อย่างส่วนลดค่าใช้จ่ายส่วนตัว 60,000 บาท ส่วนลดค่าเลี้ยงดูบุพการี 30,000 บาท ส่วนลดบุตร 30,000 บาท ส่วนลดจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากการประกอบอาชีพไม่เกิน 500,000 บาท ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษีควรคำนวณภาษีสุทธิของตัวเอง ไม่เช่นนั้นอาจซื้อประกันเกินความจำเป็นได้  •  อัพเดตภาษีอย่างสม่ำเสมอเพราะรายได้ของทุกคนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงทำให้ทุกคนที่มีรายได้อาจเสียภาษีเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะฉะนั้นผู้เอาประกันควรคำนวณภาษีอย่างสม่ำเสมอ หากมีการเสียภาษีเพิ่มควรซื้อประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมเพื่อการบริหารจัดด้านภาษีอย่างมีประสิทธิภาพแนะนำประกันลดหย่อนภาษีได้ของ SCBสำหรับคนที่เป็นกังวลเรื่องภาษีและอยากทำ ประกันลดหย่อนภาษี ไว้เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล แนะนำประกันชีวิตและประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีของ SCB ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น  •  ประกันอีซี่ อีเซฟ 10/5 ประกันสะสมทรัพย์ที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท ระยะเวลาจ่ายเบี้ย 5 ปี ระยะความคุ้มครอง 10 ปี โดยในปีที่ 1 – 5 จะได้รับเงินคืน 4% ของทุนประกัน ขณะที่ปี 6 – 9 จะได้รับเงินคืน 5% โดยสิ้นปีที่ 10 จะได้รับเงินคืน 350% ของทุนประกัน   •  ประกันทริปเปิ้ล เซเว่น ประกันคุ้มครองชีวิตที่จ่ายเบี้ยเพียง 7 ปี แต่ผู้เอาประกันจะได้รับความคุ้มครองจนถึงอายุ 77 ปี โดยจะได้รับเงินคืน 10% ทุกปี จนถึงอายุ 76 ปี นอกจากนั้นหากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุยังได้รับความคุ้มครองเพิ่มเป็น 2 เท่า เรียกว่าได้ทั้งเงินก้อนใหญ่และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีไปพร้อม ๆ กัน   •  ประกัน 15/5 Pro Max (แบบมีความคุ้มครองโรคร้ายแรง) ประกันคุ้มครองโรคร้ายที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีและความคุ้มครองทันทีเมื่อตรวจเจอโรคร้ายแรงตามเงื่อนไขตามกรมธรรม์ในปีที่ 4 – 15 แต่ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นโรคร้ายก็ยังได้รับเงินคืนรวม 14 ครั้ง รวมตลอดอายุสัญญาได้เงินคืนรวม 578%ประกันชีวิตและประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริหารการเงินที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูผลิตภัณฑ์อื่นๆที่น่าสนใจจาก SCB ได้ที่ https://www.scb.co.th/th/personal-banking/stories/salary-man/10-things-to-know-before-buy-insurance-to-reduce-tax.htmlแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://www.siamrath.co.th/n/535041

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

Siam Discovery x Go Astro Boy Go! ชวนกอบกู้โลกในวันสิ่งแวดล้อม ในแคมเปญ Earth Discovery: Go Astro Boy Go! - Mission To Save The World

07/06/2024

สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม ตอกย้ำการเป็น The Biggest Arena of Lifestyle Experiments ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์สุดตื่นเต้นเร้าใจ พร้อมให้ทุกคนเข้ามาค้นพบ (Experiment), สร้างสรรค์ (Create) และพัฒนา (Cultivate) ได้อย่างไม่รู้จบ จัดแคมเปญ Earth Discovery: Go Astro Boy Go! - Mission To Save The World ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน และยืนหยัดเป็นต้นแบบสร้างองค์ความรู้ในการรักสิ่งแวดล้อม ในปีนี้สยามดิสคัฟเวอรี่ สร้างปรากฎการณ์ใหม่ จัดงาน Siam Discovery x Go Astro Boy Go! ชวนทุกคนมาค้นพบค้นหาประสบการณ์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยร่วมคอลแลบอเรชั่นกับ “Go Astro Boy Go!” เวิลด์คาแรคเตอร์สุดฮอตระดับโลกมาร่วมสร้างความสนุกกับกิจกรรมมากมาย ระหว่างวันที่ 5 - 30 มิถุนายน 2567 ที่ สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม"แอสโทร" (Astro) เป็นตัวละครหุ่นยนต์ฮีโร่ใน "Go Asto Boy Go!" จากประเทศญี่ปุ่น ได้มีโอกาสเดินทางรอบโลก และเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาวะสิ่งแวดล้อมโลกมาโดยตลอด ครั้งนี้จึงเป็นปรากฎการณ์ครั้งสำคัญที่ “Go Astro Boy GO!” จะเป็นตัวแทน เป็นกระบอกเสียงเชิญชวนทุกคนมามาร่วมกอบกู้โลกไปด้วยกันเนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก เป็นภาระกิจหลักในโอกาสที่เดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ไฮไลท์พิเศษ พบกับการคอลแลบอเรชั่นกับ Go Astro Boy Go! เวิลด์คาแรคเตอร์สุดฮอตระดับโลกกับ Art Exhibition ผลงานคอลแลบอเรชั่นสุดพิเศษจากศิลปินไทย 10 ท่าน ที่ล้วนแต่มีผลงานอาร์ททอยสุดปังมาร่วมภารกิจกอบกู้โลกกับ Go Astro Boy Go! พบกับคาแรคเตอร์ที่ครีเอทเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็น ผลงาน “คงฤทธิ์” แต่งตัวในชุด Astro ที่เป็นแรงบันดาลในเรื่องความกล้าหาญ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และ “น้องอรทัย” แมวจรจัด แต่งตัวเป็น Astro เพื่อเตือนให้คนระลึกถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกัน ไม่ทอดทิ้งกัน, ผลงาน Meowon ครีเอทอาร์ททอยในชื่อ “Go Astro boy Go Shinobi / Go Astro boy Go iron heart” ได้แรงบันดาลใจมาจากความเชื่อใน Astro ที่มีทักษะพิเศษและความกล้าหาญ สะท้อนถึงความสามารถพิเศษและการอุทิศตนเพื่อช่วยโลก การต่อสู้กับความชั่วร้ายเพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้น, KOROKE กับผลงาน “Yui Astro” ยุ้ยอยากช่วยแอสโตรทำมิชชั่นลดขยะจากอาหาร โดยวิธีง่ายๆ เช่น ทานอาหารให้หมด ไม่ซื้ออาหารเกินความจำเป็น เป็นต้น และ “Yui Astro Kitty” ที่พร้อมช่วยทุกคนให้ทำภารกิจช่วยโลกของเราให้สำเร็จ, PUCK เจ้าของคาแรคเตอร์ WORLD BOY สร้างสรรค์ “Astro x WORLD BOY” ในอีกมิตินึง WORLD BOY เป็นแฟนคลับของ Astro เขาจึงฝึกฝนร่างกาย ความแข็งแกร่งเพื่อที่จะได้ออกไปช่วยโลกเช่นเดียวกับไอดอลของเขา, korn doll ครีเอทงาน “Go Fanboy Go” โดยให้คาแร็คเตอร์ korn doll ขึ้นปก Go Astro boy Go! ยุคคลาสสิคเพื่อแสดงความรักในฐานะ fanboy ของ Astro boy คนหนึ่งนอกจากนี้ยังมีอีกมากมาย ทั้ง GREENIE & ELFIE, HOGKEY, Dylie, BKK BROS., Shew Sheep พร้อมพบกับกิจกรรมไฮไลท์ศิลปินมาร่วมพูดคุย และตัว Art Toy ชิ้นพิเศษที่งานนี้งานเดียวในสยามดิสคัฟเวอรี่ ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน - 30 มิถุนายน 2567เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก สยามดิสคัฟเวอรี่ ให้ความสำคัญเรื่องการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน ร่วมกันรังสรรค์ (Co-creation) และการสร้างคุณค่าสมประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย (Creating Shared Values) ซึ่งได้อยู่ในกระบวนการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ รวมทั้งการนำเสนอ “ECOTOPIA” ที่สุดของแหล่งรวมสินค้า ECO สำหรับทุกคน ครบครัน หลากหลายเพื่อโลกที่ดีขึ้น เป็นสเปเชียลตี้สโตร์ ที่ให้แรงบันดาลใจกับทุกคนด้วยสินค้าที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบรักษ์โลกกว่า 3,000 รายการ ท่ามกลางการตกแต่ง ที่สร้างสรรค์จากผลิตภัณฑ์รีไซเคิล หรือ ไม่ใช้แล้วมาตกแต่งพื้นที่ ได้แรงบันดาลใจจากดอกไม้และแมลงเพื่อแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ และเกื้อกูลกันของธรรมชาติ และยังมีการนำเสนอคอลเลคชั่น Go Astro Boy Go! พร้อมผลิตภัณฑ์รักษ์โลกจากแบรนด์อื่นๆอีกมากมายพร้อมมอบโปรโมชั่น Earth Discovery: Go Astro Boy Go! สมาชิกวันสยามที่มี ONESIAM SUPERAPP ช้อปครบ 7,000 บาทขึ้นไป แลกรับกระเป๋า ASTRO BOY TOTE BAG 1 ใบ พิเศษ!! สำหรับผู้ถือบัตรเครดิต TTB ช้อประหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2567 – 31 กรกฎาคม 2567 แลกรับ Siam Gift Card 300 บาท เมื่อช้อปสินค้า Astro Boy ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ตั้งแต่ 6,000 บาทขึ้นไปสยามดิสคัฟเวอรี่ ขอชวนมา Come Play With Us! กับคาแรคเตอร์ Go Astro Boy Go! ตัวการ์ตูนฮีโร่หุ่นยนต์ตัวแทนจากโลกอนาคตที่จะพาทุกคนกอบกู้โลกไปด้วยกัน และพบกับกิจกรรมสร้างความยั่งยืนอีกมากมาย พร้อมกับแบรนด์ชั้นนำ ในวันที่ 5 มิถุนายน - 30 มิถุนายน 2567 ที่ สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยมแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000048287

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X