คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวทั่วไป

จะไม่ยอมแพ้ถ้าไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ 8 ข้อคิดความเป็นผู้นำ ของ บิลล์ เกตส์

30/04/2024

ส่อง 8 แนวคิดเรื่องความเป็นผู้นำ (Leadership) ของ “บิลล์ เกตส์” ตั้งแต่การให้ความสำคัญของเวลา ไปจนถึงการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดระหว่างทางและไม่ยอมแพ้ บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในยุคปัจจุบัน และรู้จักกันดีในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ (Microsoft) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐ จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก วันนี้ กรุงเทพธุรกิจ แบ่งปันบทเรียนทางธุรกิจและความเป็นผู้นำที่คุณอาจนำไปปรับใช้ได้จากเกตส์  8 ข้อคิดความเป็นผู้นำ ของ บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) 1. คิดล่วงหน้า – หากคุณต้องการนําหน้าคู่แข่งไม่ว่าคุณจะทํางานในสาขาใด จำเป็นต้องเตรียมตัวและคาดการณ์อนาคตที่จะเกิดขึ้น เกตส์มีวิสัยทัศน์ในการคาดการณ์อนาคตและนำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอ ทั้งหมดทำให้ไมโครซอฟท์ยังคงนําหน้าคู่แข่งในระดับใกล้เคียงกันอยู่เสมอ 2. ให้ความสำคัญกับเวลา - เวลาเป็นหนึ่งในทรัพยากรที่สําคัญที่สุดที่เรามีในชีวิต เกตส์ระบุว่าไม่ว่าคุณจะมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถซื้อเวลากลับคืนมาได้ ดังนั้นอย่าเสียเวลาทํางานไปอย่างเปล่า ๆ และวางแผนเวลาในชีวิตและการทำงานให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสม 3. สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลง – ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และในโลกที่เต็มไปด้วยสตาร์ทอัพใหม่ๆ คุณต้องเคลื่อนที่เร็วกว่าคู่แข่งของคุณเสมอ นี่คือวิธีที่ทำให้เกตส์ประสบความสําเร็จในโลกธุรกิจ เขามักจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องซึ่งแสดงออกเชิงประจักษ์ผ่านธุรกิจของเขา 4. ลองเสี่ยง - เกตส์แนะนําเสมอว่าผู้ประกอบการควรคิดนอกกรอบและพยายามหาโอกาสใหม่อยู่เสมอ ท่ามกลางการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ธุรกิจใหม่ ๆ เพราะความสำเร็จมีอยู่ทุกที่ เพียงแต่คุณจะหาความสำเร็จเหล่านั้นเจอหรือไม่ 5. เรียนรู้จากความล้มเหลว – ความผิดพลาดถือเป็นบทเรียนสำหรับทุกคนและ เกตส์เชื่อในหลักการดังกล่าวอย่างมาก แทนที่จะนั่งอารมณ์เสียกับข้อผิดพลาด แต่จงเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นและก้าวต่ออย่างมั่นคง  ทั้งนี้ มีคำกล่าวหนึ่งของเกตส์ที่โด่งดังคือ "การเฉลิมฉลองความสําเร็จเป็นเรื่องดี แต่การเอาใจใส่บทเรียนจากความล้มเหลวเป็นสิ่งสําคัญกว่า" 6. ความพากเพียร – ข้อคิดหนึ่งที่สำคัญมากคือคุณต้องมีความอดทนมหาศาลเพื่ออดทนผ่านช่วงเวลาที่ทั้งดีและไม่ดีในชีวิตไปให้ได้ โดยบรรดาคนใกล้ชิดของเกตส์ยกย่องความอุตสาหะของเขาเสมอว่า “มักไม่ยอมแพ้จนกว่าเขาจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ” 7. ให้ความสำคัญลูกค้าที่ไม่มีความสุข - แม้ว่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดคุยกับลูกค้าที่มีความสุข แต่เกตส์มักชอบให้พนักงานและเพื่อนร่วมงานใช้เวลาทําความเข้าใจและรับฟังลูกค้าที่วิจารณ์สินค้าของเขาในเชิงลบมากกว่า โดยแทนที่จะพยายามโต้เถียงและโยนความผิดให้ลูกค้า แต่พวกคุณสามารถเรียนรู้หลายบทเรียนจากลูกค้าที่ไม่พอใจเหล่านั้นได้ บรรดาข้อเสนอแนะหรือคำวิจารณ์เหล่านั้นถือเป็นวิธีที่ประหยัดและง่ายที่สุดในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทในอนาคต 8. อย่ายอมแพ้ – หากคุณต้องการประสบความสําเร็จในธุรกิจ คุณต้องไม่ยอมแพ้ในอุปสรรคระหว่างทาง เพราะความล้มเหลวและความผิดพลาดถือเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางในโลกของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ รู้หรือไม่ว่าก่อนที่ไมโครซอฟท์เปิดตัว เกตส์และเพื่อนของเขาก่อตั้ง บริษัท Traf-O-Data ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่และทําให้เกิดหนี้มากมายในพอร์ตของเกตส์ แต่ด้วยความพากเพียรและไม่ยอมแพ้ ท้ายที่สุดเขาก็สามารถสร้างไมโครซอฟท์ขึ้นมาได้จนมีมูลค่ามหาศาลในปัจจุบันอ้างอิง Linkedin แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/health/social/1073897

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย เตรียมกิจกรรมฉลองครบรอบ 85 ปี กับฟุตบอลแมตช์ครั้งประวัติศาสตร์ ‘Tottenham Hotspur Pre-Season Asia Pacific Tour 2023’ เตรียมพบนักเตะซุปตาร์ไก่เดือยทอง นำทีมโดย กัปตัน แฮร์รี เคน - ซน ฮึง มิน เยือนไทยครั้งแรก 22-23 กรกฎาคม นี้

30/04/2024

กรุงเทพฯ, 17 กรกฎาคม 2566 – เอไอเอ ประเทศไทย บริษัทประกันชีวิตและสุขภาพอันดับ 1 ของประเทศไทย เตรียมฉลองในโอกาสครบรอบปีที่ 85 กับกิจกรรมสุดพิเศษ Tottenham Hotspur Pre-Season Asia Pacific Tour 2023 ฟุตบอลแมตช์อุ่นเครื่องนัดสำคัญระหว่าง Tottenham Hotspur vs Leicester City ซึ่งเอไอเอ ในฐานะผู้สนับสนุนหลักระดับโลกของสโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ได้ถือโอกาสพิเศษนี้ ยกทัพนักเตะสเปอร์สมาเยือนไทยครั้งแรกแบบครบทีม นำทีมโดย เอไอเอ แอมบาสเดอร์ ‘แฮร์รี เคน’ กองหน้าเบอร์ 1 ของทีม และกัปตันทีมชาติอังกฤษ รวมถึงดาวยิงคนดังชาวเกาหลีใต้อย่าง ‘ซน ฮึง-มิน พร้อมด้วยกุนซือทีมคนใหม่ ‘อังเก้ ปอสเตโคกลู’ ซึ่งนอกจากทีมไก่เดือยทองจะมาร่วมฟาดแข้งในแมตช์การแข่งขันนัดพิเศษที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์นี้ เอไอเอ ยังได้เตรียมความพิเศษชวนเหล่าบรรดานักเตะมาร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ  AIA Football Clinic ที่จะมีตัวแทนนักเตะและทีมโค้ช มาสร้างแรงบันดาลใจและร่วมฝึกทักษะด้านฟุตบอลให้กับเยาวชนไทยกว่า 50 คน กิจกรรม Golden Circle สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าเอไอเอที่จะได้ใกล้ชิดนักเตะในวันฝึกซ้อม รวมถึงกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีพอย่าง Tottenham Hotspur Meet & Greet โอกาสที่จะได้พบปะกับนักเตะในดวงใจครบทีมอีกด้วย ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดจะเกิดขึ้นในวันที่ 22-23 ก.ค. นี้ นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เราจะได้นำทีมสโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งเรามีความสัมพันธ์อันดีมายาวนานกว่า 10 ปี มาเยือนประเทศไทยครั้งแรก เพื่อมาลงสนามเตะนัดกระชับมิตรกับทีมสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ โดยการมาเยือนไทยแบบครบทีมของสเปอร์สในครั้งนี้ ยังถือเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสที่เอไอเอ ประเทศไทย ครบรอบ 85 ปีอีกด้วย เพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ในการสนับสนุนและส่งเสริมด้านสุขภาพให้กับคนไทย ให้ทุกคนได้ตื่นตัวในเรื่องสุขภาพ และหันมาเริ่มทำกิจกรรมที่กระฉับกระเฉงอย่างการเล่นกีฬาฟุตบอล ซึ่งนับเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นกีฬาที่ส่งเสริมความสามัคคีและทีมเวิร์ก ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแฟนฟุตบอลชาวไทยจะสนุกกับฟุตบอลแมตช์นี้ และเริ่มต้นดูแลสุขภาพ เพื่อการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”ล่าสุด ซน ฮึง มิน นักเตะซุปเปอร์สตาร์แห่งแดนโสม ผู้ทำประตูได้สูงสุดในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ได้ส่งคลิปมาทักทายแฟนไก่เดือยทองชาวไทยให้เตรียมความพร้อมรอชมการแข่งขันแมตช์พิเศษในครั้งนี้ โดยทางซน ฮึง มิน และทีมสเปอร์สก็มั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถสร้างความตื่นเต้นและประทับใจให้กับแฟน ๆ ในลงเตะครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน นับถอยหลังกับแมตช์ใหญ่ครั้งสำคัญ ครั้งแรกในประเทศไทย Tottenham Hotspur vs Leicester City ใครยังไม่มีบัตร รีบไปกดซื้อกันได้แล้วที่ Ticket Melon www.ticketmelon.com/event/THFCLCFC ราคาบัตรเริ่มต้นที่ 1,500 บาท 2,500 บาท 3,500 บาท 4,500 บาท และ 5,500 บาท สำหรับลูกค้าเอไอเอ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่เอไอเอเตรียมไว้ให้ได้ที่ AIA iService คลิก http://bit.ly/aiaiserviceapp หรือติดตามข่าวสารและกิจกรรม  ดี ๆ ได้ที่ https://fb.watch/lF2XyCMJYi/?mibextid=Nif5oz

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

นายกประกัน กางแผนยุทธศาสตร์ ลดหย่อนภาษีเบี้ยสุขภาพเกิน 2.5 หมื่น

30/04/2024

นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทยคนใหม่ ตั้งเป้าเบี้ยรับปี’66 โต 4.5-5.5% แตะ 2.85-2.87 แสนล้านบาท หวังแรงหนุนการลงทุน ทั้งภาครัฐ-เอกชนมีมากขึ้น แถมคาดว่านักท่องเที่ยวทะลักครึ่งปีหลัง-เทรนด์รถอีวีบูม ชูแผนยุทธศาสตร์ “Quick Win” ขับเคลื่อนการทำงาน 4 เรื่องหลัก พร้อมผนึกสมาคมประกันชีวิตดันปลดล็อกลิมิตสิทธิลดหย่อนภาษีประกันสุขภาพเกิน 25,000 บาทนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย (TIP) ในฐานะนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า สมาคมคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งระบบในปี 2566 จะเติบโตกว่า GDP เล็กน้อยหรือมีอัตราเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 285,000-287,700 ล้านบาท เติบโตระหว่าง 4.5-5.5% ต่อปี โดยพอร์ตเบี้ยประกันรถยนต์ จะโต 3.8-4.9% พอร์ตเบี้ยประกันภัยทรัพย์สินและอัคคีภัยโต 9-10% พอร์ตเบี้ยประกันสุขภาพโต 14-15% และพอร์ตเบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่งโต 1-2%“คาดว่าจะได้แรงสนับสนุนจากการขยับเขยื้อนเรื่องของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือภาคเอกชนที่มีความชัดเจนมากขึ้น ในขณะเดียวกันจากการเปิดประเทศที่มากขึ้นจะเห็นการไหลเข้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งยังไม่รวมนักท่องเที่ยวจีนที่จะไหลบ่าเข้ามาในครึ่งปีหลัง รวมไปถึงการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) จะยิ่งทำให้ธุรกิจประกันรถยนต์มีแนวโน้มการเติบโตอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ของสมาคมได้ศึกษาอย่างขะมักเขม้นเรื่องของการทำอัตราเบี้ยประกันภัยรถอีวีที่ถูกต้องและเหมาะสม”นอกจากนี้ หลังสถานการณ์โควิด-19 และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จะทำให้ประชาชนจำนวนมากเริ่มตระหนักรู้ถึงการทำประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้น จากช่องว่างสวัสดิการหรือความคุ้มครองที่มีอยู่ ซึ่งจะยิ่งสนับสนุนการเติบโตของประกันสุขภาพตามมาอีกด้วยสมพร สืบถวิลกุลสำหรับแผนยุทธศาสตร์ ภายใต้การบริหารของคณะกรรมการสมาคม ชุดปัจจุบัน ที่มีวาระทำงานในปี 2566-2568 ได้กำหนดแผนปฏิบัติการเร่งรัด (Quick Win) ในการขับเคลื่อนทิศทางการทำงานให้เป็นรูปธรรม ประกอบด้วย1. การควบรวมสำนักงานอัตราเบี้ยประกันวินาศภัย (IPRB) กับบริษัท ไทยอินชัวเรอร์ดาต้าเนท จำกัด (TID) เพื่อจัดตั้งเป็นหน่วยงานใหม่ขึ้นมาโดยขณะนี้ได้ว่าจ้างมืออาชีพเข้ามาศึกษาการควบรวม ถ่ายโอนพนักงาน กำหนดโครงสร้างและคุณสมบัติผู้นำองค์กร หลังจากนั้นจะมีการสรรหาบุคลากรต่อไป ซึ่งองค์กรนี้จะเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจประกันวินาศภัย ที่จะช่วยบริหารจัดการและรายงานข้อมูล การวิเคราะห์ต้นทุนความเสียหายของการประกันภัยต่าง ๆ และการวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบการฉ้อฉลประกันภัย เป็นต้น2. ผลักดันให้เกิดการกำกับดูแลกันเอง และการเปิดเสรีธุรกิจประกันภัยในบางมิติ เช่น การเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นของตัวแทน/นายหน้า และอัตราเบี้ยประกันภัย นอกจากนี้จะขอให้บริษัทประกันวินาศภัยสามารถออกกรมธรรม์ได้โดยไม่ต้องใช้ระยะเวลานานเกินไปอีกด้วย โดยเรื่องนี้จะขอความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ.ต่อไป3. การทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันวินาศภัย (regulatory guillotine) ซึ่งจากการสืบค้นพบว่า มี พ.ร.ก. ประกาศ/ระเบียบ/คำสั่ง อยู่ประมาณ 199 ฉบับ ที่ยังใช้อยู่ ในจำนวนนี้รวม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถอีก 51 ฉบับ ซึ่งตอนนี้ได้ว่าจ้าง baker mckinsey เข้ามาเป็นที่ปรึกษากฎหมายแล้วด้วย4. การควบคุมค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลของการประกันภัยสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันที่ทำให้เบี้ยประกันสุขภาพค่อนข้างแพง เพราะต้นทุนของเบี้ยประกันสุขภาพส่วนใหญ่มาจากต้นทุนค่ารักษาพยาบาล ซึ่งประมาณ 95% เป็นการใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชนเป็นหลัก ฉะนั้นสมาคมฯและ คปภ.จะต้องควบคุมมาตรฐานตรงนี้โดยเร็วที่สุดและร่วมทำงานกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อให้โรงพยาบาลรัฐสามารถรองรับลูกค้าประกันได้ โดยทำสัญญาไม่ต้องสำรองจ่าย และเพื่อให้เกิดการกระตุ้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้รองรับลูกค้าเข้าโรงพยาบาลรัฐต่อไป“สมาคมฯและสมาคมประกันชีวิตไทย ยังร่วมมือผลักดันควบคุมค่าใช้จ่าย กำหนดเกณฑ์การรักษาพยาบาล พวกกลุ่มโรค common disease อาทิ ท้องเสีย จะมีข้อบ่งชี้อย่างไรในการจะแอดมิต เป็นต้น เพื่อสร้างมาตรฐานการทำงาน รวมไปถึงสมาคมฯเองได้จัดตั้งคณะแพทย์ที่ปรึกษาให้กับธุรกิจประกันวินาศภัยแล้วด้วย และสุดท้ายอยากผลักดันมาตรการลดหย่อนภาษีของประกันสุขภาพให้ปลดล็อกที่ลิมิตไว้ไม่เกิน 25,000 บาท เพื่อให้เกิดแรงจูงใจให้คนซื้อประกันสุขภาพมากขึ้น” นายสมพรกล่าวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1346076#google_vignette

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ส่องกองทุนรวม ปันผล VS ไม่ปันผล แบบไหนใช่สไตล์เรา

30/04/2024

บทความโดย “จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์”  ที่ปรึกษาการเงิน AFPTTM สมาคมนักวางแผนการเงินไทย วีนที่ 17 กรกฎาคม 2566 จะซื้อกองทุนรวม จะเอาแบบที่จ่ายปันผล หรือไม่จ่ายปันผลดี ? ​นี่เป็นคำถามในใจนักลงทุนมือใหม่ที่มักเกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง เวลาเจอกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนคล้ายกัน แต่มีความแตกต่างกันคือ กองทุนแรกจ่ายเงินปันผล อีกกองทุนไม่จ่ายเงินปันผล แล้วแบบไหนกันแน่ที่เหมาะกับเรา ดังนั้นผู้เขียนขอชวนนักลงทุนมือใหม่มาทำความรู้จักกันดีกว่าว่า กองทุนจ่ายปันผลหรือไม่จ่ายปันผลแบบไหนเหมาะกับใคร เริ่มแรก สิ่งที่มือใหม่ต้องรู้ คือ ความแตกต่างของกองทุนรวมที่จ่ายปันผลและไม่จ่ายปันผล ​สำหรับกองทุนรวมที่จ่ายปันผล ก็คือ กองทุนรวมที่ระหว่างทางที่ลงทุนจะมีการจ่ายเงินปันผลออกมาให้ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยแต่ละกองทุนก็จะระบุเอาไว้ในนโยบายว่า จะจ่ายกี่ครั้งต่อปี แปลว่า ถ้าเรานำเงินไปลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทนี้ ระหว่างทางที่ลงทุนไป เราก็มีโอกาสจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลกลับมา ส่วนผลตอบแทนจะมากหรือน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของกองทุนด้วย และผลตอบแทนที่เราจะได้อีกครั้งนอกเหนือจากเงินปันผลก็คือ ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหน่วยลงทุนในช่วงที่เราขายหน่วยลงทุนออกไป ส่วนกองทุนรวมที่ไม่จ่ายปันผล ก็คือ กองทุนที่ระหว่างทางที่เราลงทุนจะไม่มีการจ่ายผลตอบแทนใด ๆ กลับมาให้ผู้ลงทุน เรามีโอกาสจะได้รับผลตอบแทนเพียงครั้งเดียว ก็คือส่วนต่างของราคาเมื่อเราขายหน่วยลงทุนออกไป แล้วมีกำไร ดูเผิน ๆ แบบนี้แล้ว บางคนอาจจะรู้สึกว่า กองทุนรวมที่จ่ายปันผลดีกว่าแน่นอน เพราะเราจะได้ผลตอบแทนกลับมาระหว่างทางที่ลงทุน ในขณะที่กองทุนที่ไม่จ่ายปันผลไม่มีตรงนี้ให้เรา แต่จริง ๆ แล้ว มีข้อสังเกตที่น่าสนใจที่เราต้องรู้เพิ่มเติม ก็คือ เงินปันผลที่เราได้มาระหว่างทางลงทุน ถือเป็นรายได้ที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ด้วย และโดยปกติแล้ว เวลาที่จ่ายเงินปันผลออกมา มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนจะลดลง นึกภาพง่าย ๆ ก็คล้าย ๆ กับบริษัทที่ทำกำไรได้ดี แล้วแบ่งกำไรส่วนหนึ่งที่ได้มาจ่ายปันผล ก็จะทำให้กำไรที่หลงเหลืออยู่เพื่อเป็นเงินหมุนเวียนในธุรกิจลดลงไป ในขณะที่กองทุนรวมที่ไม่จ่ายเงินปันผล ไม่มีการเอากำไรที่ทำได้ออกมาจ่ายปันผล ก็จะสามารถนำกำไรส่วนเกินนี้ไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มโอกาสในการหาผลตอบแทนได้อีก เรียกง่าย ๆ ก็คือ เงินได้ทำงาน ต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้เงินไปอีกรอบ ซึ่งนักลงทุนอย่างเราจะรู้สึกได้ถึงอานุภาพของมูลค่าเงินที่เติบโตก็ต่อเมื่อเราขายหน่วยลงทุนออกมาทีเดียวแล้วได้ส่วนต่างราคา ซึ่งเงินส่วนนี้ไม่ต้องนำไปเสียภาษีด้วย ก็แปลว่า ได้กลับคืนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลย ถึงตรงนี้ ขอให้นักลงทุนหันกลับมาดูสไตล์ของตัวเอง ว่าเหมาะกับกองทุนแบบไหน โดยเริ่มต้นที่เป้าหมายการเงินก่อนว่า เราจะลงทุนในกองทุนรวมนี้ไปเพื่อเป้าหมายอะไร หากเป็นเป้าหมายระยะยาวไปเลย ใช้เงินอีก 5-10 ปีข้างหน้า กองทุนรวมที่ไม่จ่ายปันผลอาจจะตรงกับความต้องการมากกว่า เพราะเราไม่ได้ต้องการนำเงินลงทุนออกมาใช้ระหว่างทาง แต่คาดหวังผลปลายทางอีกยาวไกลไปเลย แต่ถ้าเป็นการลงทุนที่อยากเห็นผลตอบแทนระหว่างทาง เพื่อให้มีกำลังใจ นำเงินปันผลที่ได้มา ไปลงทุนต่อในสินทรัพย์ที่อยากลงทุน หรือนำไปเป็นกระแสเงินสดใช้จ่ายในช่วงเวลานั้น โดยไม่จำเป็นต้องขายทำกำไรกองทุนออกมา กองทุนรวมที่จ่ายปันผล ก็อาจจะเป็นคำตอบที่ใช่มากกว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดจะลงทุนในกองทุนที่จ่ายปันผลเพื่อนำเงินไปลงทุนต่อ ก็อาจจะเหมาะกับคนลงทุนด้วยเงินก้อนใหญ่หน่อย เพราะถ้าลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก เงินปันผลที่ออกมาก็อาจจะน้อยมากเสียจนได้มาแล้วไม่รู้จะไปเริ่มต้นลงทุนใหม่ยังไง หรืออาจจะน้อยจนไม่ใส่ใจ และลืมเอาไปลงทุนต่อก็ได้ สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเลือกลงทุนกองทุนรวมที่จ่ายปันผล หรือไม่จ่ายปันผล ก็ขึ้นอยู่ที่เป้าหมายการเงิน และความชอบส่วนตัวของตัวเอง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเลือกกองทุนก็คือ เลือกได้แล้ว อย่าลืมเริ่มต้นลงทุนด้วย เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายการเงินที่วางไว้ได้ตามเวลาที่ตั้งใจ ก็มาจากการเริ่มต้น “วันนี้” ไม่ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ นั่นเอง แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1349589

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

เตือนภัยซื้อผ่านออนไลน์​ บ.ต่างชาติขายประกันภัยในไทยไม่มีใบอนุญาต​ คปภ.รุกประสานหน่วยงานกำกับประกันที่อังกฤษและกองปราบเร่งดำเนินคดี

30/04/2024

สมาคมประกันวินาศภัยไทย เทคแอคชั่นกรณีบริษัทต่างชาติขายประกันภัยในไทยโดยไม่มีใบอนุญาต หวั่นกระทบประชาชนวงกว้าง พร้อมแจ้งเตือนประชาชนควรตรวจสอบก่อนซื้อประกันภัยออนไลน์​   คปภ.รุดคืบประสานหน่วยงานกำกับประกันภัยอังกฤษตรวจสอบหาตัวตนบริษัทดังกล่าวแล้ว​ พร้อมร่วมมือกองปราบสืบสาวคดีนี้ก่อนตั้งข้อหาดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีบริษัทประกันภัยต่างชาติขายประกันภัยสัตว์เลี้ยงผ่านช่องทางออนไลน์โดยไม่มีใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัย โดยมีประชาชนจำนวนมากซื้อประกันภัยและได้รับความเดือดร้อนจากการเคลมประกันภัยดังกล่าว ตามที่ปรากฏเป็นข่าวและเป็นประเด็นเผยแพร่ทางสื่อโซเชียลมีเดียในช่วงที่ผ่านมาจากข้อมูลในเบื้องต้นพบว่าประเด็นเรื่องของบริษัทประกันภัยต่างชาติเข้ามาขายประกันภัยในประเทศไทยผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งที่ไม่มีใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัย ส่วนใหญ่จะเป็นการเสนอขายผ่านทางหน้าเว็บไซต์ที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ และมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ตรงใจผู้บริโภค โดยบริษัทเหล่านี้ไม่มีใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย หรือไม่มีใบอนุญาตจากนายทะเบียนให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยแต่อย่างใด ซึ่งในระยะแรกกลุ่มเหล่านี้จะสร้างความน่าเชื่อถือโดยมีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยตามที่ได้มีการยื่นเคลมประกันภัยเข้ามาอย่างครบถ้วน รวดเร็ว ต่อมาเมื่อมีการเคลมเข้ามาเป็นจำนวนมากทำให้การเคลมเกิดปัญหาและสร้างความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยและยังกระทบต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจประกันภัยไทยเป็นอย่างมากจากกรณีดังกล่าวสมาคมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจหรือเพิกเฉยต่อการกระทำในลักษณะเช่นนี้ และมองว่าเป็นปัญหาของอุตสาหกรรมประกันภัยที่ควรให้ความสำคัญและหยิบยกมาประเด็นเพื่อร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหา รวมถึงส่งสัญญาณเตือนเพื่อป้องกันหรือป้องปรามไม่ให้เกิดการกระทำในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีกต่อไป โดยมุมมองของสมาคมฯ เราไม่ได้จำกัดว่าบริษัทต่างชาติไม่สามารถเข้ามาขายประกันภัยในประเทศไทยได้ แต่ต้องมาแบบถูกกฎหมายและผู้เอาประกันภัยต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยเช่นเดียวกันกับที่ซื้อผ่านบริษัทประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยอย่างถูกต้อง และหากเกิดปัญหาผู้เอาประกันภัยต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วนและเป็นธรรม ที่สำคัญเราต้องการให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ซื้อไปไม่ว่าจะซื้อจากช่องทางไหนก็ตามทั้งนี้ สมาคมฯ ได้มีการตั้งคณะทำงานที่จะมาศึกษาแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าวให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย โดยได้เตรียมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงาน คปภ. กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI เป็นต้น ในการหารือร่วมกันเพื่อให้เกิดการป้องกัน ป้องปรามบริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาหาประโยชน์จากการหลอกขายประกันภัยในประเทศไทยโดยไม่มีใบอนุญาตอย่างถูกต้อง รวมถึงการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชนในการเลือกซื้อประกันภัยผ่านอินเทอร์เน็ต หรือช่องทางออนไลน์ ควรศึกษาข้อมูลการทำประกันภัยให้ละเอียดรอบคอบก่อนการตัดสินใจซื้อ ดังนี้1. ซื้อประกันภัยผ่านบริษัทประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไทยหรือบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนและได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย เท่านั้น เพราะหากเกิดปัญหาเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ผู้เอาประกันภัยสามารถดำเนินการเรียกร้องโดยได้รับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายไทย2. ซื้อประกันภัยผ่านตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน คปภ. และในการจ่ายเงินค่าเบี้ยประกันภัยให้ขอใบเสร็จรับเงินและกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อเป็นหลักฐานทุกครั้ง เพื่อช่วยให้ผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยอย่างครบถ้วน3. กรณีที่ตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยมีการกล่าวอ้างถึงบริษัทที่รับประกันภัย ให้ตรวจสอบกับบริษัทรับประกันภัยดังกล่าวว่าตัวแทนหรือนายหน้าฯ ที่ขายประกันภัยนั้นสังกัดหรือเป็นคู่สัญญากับทางบริษัทฯ ดังกล่าวจริงหรือไม่ โดยประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทประกันภัยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย ได้ที่เว็บไซต์กูรูประกันภัย (https://guruprakanphai.oic.or.th) หรือเว็บไซต์สมาคมประกันวินาศภัยไทย (www.tgia.org) ได้ตลอด 24 ชั่วโมงดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวย้ำว่า จากกรณีดังกล่าวนี้ สมาคมฯ ต้องการส่งสัญญาณเพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบก่อนการซื้อประกันภัยผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายจากการถูกหลอกลวง และมั่นใจได้ว่าท่านจะได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งสมาคมฯ เชื่อมั่นว่าการบูรณาการความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างบรรทัดฐานในการเสนอขายประกันภัยโดยบริษัทต่างชาติให้กับประชาชนคนไทยนั้นมีความถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและที่สำคัญประชาชนผู้ที่ซื้อประกันภัยต้องได้รับความคุ้มครองอย่างครบถ้วนและเป็นธรรมในที่สุดข่าว BKI-ทิพยฯรับ60:40ประกันภัยก่อสร้างสะพานถล่มลาดกระบังจากกรณีการเกิดอุบัติเหตุโครงการทางยกระดับอ่อนนุช-ลาดกระบังทั้งตัวคานและเสาพังครืนลงมาจากความสูงประมาณ 20 เมตรเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 10 ก.ค.2566   และส่งผลให้ตัวคานและเสาทับรถที่สัญจรไปมาบริเวณถนนอ่อนนุช - ลาดกระบัง ซึ่งโครงการนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมีคนงานได้รับบาดเจ็บ  8 ราย  และเสียชีวิตเบื้องต้น 1 ราย โดยเหตุเกิดที่บริเวณหน้าห้างโลตัส สาขาลาดกระบังนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  สำหรับโครงการทางยกระดับอ่อนนุช-ลาดกระบัง ก่อสร้างเป็นทางยกระดับคอนกรีตเสริมเหล็ก ความยาว 2,200 เมตร ขนาด 4 ช่องจราจร 2 ทิศทางในแนวเกาะกลางถนนลาดกระบัง ระยะทางรวม 3.9 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นบริเวณสะพานข้ามคลองหนองคล้า ใกล้กับซอยลาดกระบัง 9/7 ยกระดับข้ามทางเข้าถนนฉลองกรุง สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ข้ามสะพานคลองหัวตะเข้ ตลาดหัวตะเข้ผ่านหน้าโรงพยาบาลลาดกระบัง เข้าแนวเกาะกลางถนนหลวงแพ่งผ่านวัดพลมานีย์ และมีทางลดลงไปสิ้นสุดโครงการที่บริเวณหน้าสำนักงาน กปน. สาขาสุวรรณภูมิ.ในเบื้องต้นมูลค่าโครงการอยู่ที่ 1,664 ล้านบาท  โดยได้มีการทำประกันภัยระหว่างก่อสร้างไว้กับ 2 บริษัทประกันในลักษณะความคุ้มครองประกันภัยระหว่างก่อสร้าง  โดยคุ้มครองตัวสะพาน  ส่วนที่สองคุ้มครองชีวิตบุคคลภายนอกที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต และส่วนที่สามน่าจะคุ้มครองประกันภัยทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย  โดยบริษัทกรุงเทพประกันภัยจำกัด(ฦมหาชน)เป็นลีดในการรับประกันภัยในสัดส่วน 60% และบริษัททิพยประกันภัย จำกัด(มหาชน)ร่วมรับประกันในสัดส่วน 40%รายงานคืบหน้าล่าสุดการดำเนินการของสำนักงานคปภ. แจ้งเข้ามาว่า ภายหลังจากตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบว่า บริษัทฯ ดังกล่าวมีใบอนุญาตเป็นตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัย ในเบื้องต้น ทางสำนักงานคปภ.ได้ประสานไปยังหน่วยงานกำกับประกันภัยของประเทศอังกฤษ เพื่อสำนักงานคปภ.จะได้รู้สถานะว่า บริษัทที่ถูกนำชื่อมาอ้างถึงนั้นมีตัวตนหรือไม่ และเป็นบริษัทอะไรกันแน่  ขณะเดียวกันกำลังจะเข้าไปพูดคุยกับทางกองปราบ เพื่อหารือถึงแนวทางการสืบสวนสอบสวนร่วมกันเพื่อหาแง่มุมทางกฎหมายที่จะดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด ก่อนที่จะตั้งข้อหาในการกระทำผิดต่อไป นอกเหนือไปจากประเด็นการเป็นนายหน้าประกันอนนไลน์ไม่ได้รับอนุญาตจากทางการแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/461422

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ออมอย่างไร ไม่ให้พลาดเป้า เปิดสูตรแบ่งเงินตามหลักการ 6 ขวดโหล

30/04/2024

บทความโดย “พรชัย พิพัฒนกุลวานิช”  ที่ปรึกษาการเงิน AFPT™ สมาคมนักวางแผนการเงินไทย  ในยุคที่สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้คนมากขึ้น ข้อมูลของความสำเร็จ รวมไปถึงเทคนิค เคล็ดลับ การไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ก็มีให้เห็นแทบทุกวัน เช่นเดียวกับแวดวงการเงินที่ถูกเผยแพร่เกี่ยวกับเทคนิคการลงทุน ความสำเร็จ ทำให้กลายเป็นแรงบันดาลให้ผู้คนอยากเดินตามรอย อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่ผู้คนตั้งเป้าหมายแต่ไม่สามารถไปถึงเป้าหมาย ทำให้หลายคนเลิกล้มความตั้งใจ ขณะที่อีกหลายคนพยายามมองหาเครื่องมือเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย แบ่งเงินสูตร 6 ขวดโหล ผู้เขียนขอนำการจัดการเงินตามหลัก 6 Jars Model ของ T.Harv Eker ที่จะแบ่งเงินออกเป็น 6 ขวดโหล ตามสัดส่วนที่แตกต่างกันและใช้จ่ายภายในสัดส่วนที่กำหนดไว้ในแต่ละช่อง ขวดโหลใบที่หนึ่ง ขอเรียกว่า โหลนี่หรือค่าใช้จ่ายฉัน ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่าง ๆ เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิต ค่าอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 55% ของรายได้ ขวดโหลใบที่สอง Long–Term Saving for spending ขอเรียกว่า โหลนั่นสินะค่าใช้จ่ายที่รอเราอยู่ ใช้สำหรับการเก็บออมไว้สำหรับค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น เช่น การท่องเที่ยว เงินสำรองฉุกเฉิน (Rainy day fund) และค่าใช้จ่ายในการรักษาสุขภาพที่ไม่คาดคิด เป็นต้น แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 10% ของรายได้ ขวดโหลใบที่สาม Play ขอเรียกว่า โหลดีต่อใจ ใช้จ่ายไปจะกลัวอะไรไม่ใช่เงินใครคือเงินเรา ใช้สำหรับการสปอยล์ตัวเองและครอบครัว หรือซื้อของที่ฟุ่มเฟือยที่ดีต่อใจ ใช้ให้หมดและใช้ได้อย่างสนุกสนาน แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 10% ของรายได้ ขวดโหลใบที่สี่ Education ขอเรียกว่า โหลพัฒนาตน พัฒนาใจ พัฒนาอะไรก็ต้องใช้เงิน ใช้สำหรับการซื้อหนังสือเพิ่มความรู้ คอร์สเรียนพัฒนาตนเอง การโค้ชชิ่งหรือการมีครูฝึกเพื่อให้เก่งขึ้นและมีความรู้เพิ่มขึ้น แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 10% ของรายได้ ขวดโหลใบที่ห้า Financial Freedom Account ขอเรียกว่า โหลอนาคตอยู่ไม่ไกล ค่อย ๆ ออมไป จะถึงเส้นชัยในวันหนึ่ง ใช้สำหรับการลงทุนในหุ้น กองทุนรวม อสังหารัมทรัพย์ และการลงทุนอื่น ๆ เพื่อเป้าอิสรภาพในด้านการเงิน แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 10% ของรายได้ ขวดโหลใบที่หก Give ขอเรียกว่า โหลให้คืนสู่สังคมไป สุขใจจัง ใช้สำหรับการบริจาค การทำบุญต่าง ๆ แบ่งเงินมาไว้ในขวดโหลใบนี้ 10% ของรายได้ พอแบ่งเงินตามโหลทั้งหกใบก็ให้ใช้จ่ายไปตามนั้น ตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ในแต่ละโหล และในระหว่างลงมือทำอาจมีคำถามกับตัวเอง เช่นจะถึงเป้าที่วางไว้หรือไม่ หากคำตอบว่า ไม่ใช่ ไม่น่าจะเป็นไปได้ บางครั้ง เราก็สามารถประยุกต์ใช้ทฤษฎีได้ เพิ่มลดบางส่วนได้ ไม่จำเป็นต้องตรงตามตัวทฤษฎีมาก ถ้าทำให้เรามีความสุขมากขึ้นหรือเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น เช่น การเพิ่มรายรับแล้วคงสัดส่วนไว้เท่าเดิม เช่น จากเดิมรายรับ 30,000 บาท แบ่งโหลที่หนึ่ง 16,500 บาท (55%) โหลที่สอง 3,000 บาท (10%) โหลที่สาม 3,000 บาท (10%) โหลที่สี่ 3,000 บาท (10%) โหลที่ห้า 3,000 บาท (10%) โหลที่หก 1,500 บาท (5%) ถ้าเราเพิ่มรายรับเป็น 40,000 บาท โหลที่หนึ่งจะได้เป็น 20,000 บาท โหลที่สอง 4,000 บาท โหลที่สาม 4,000 บาท โหลที่สี่ 4,000 บาท โหลที่ห้า 4,000 บาท และโหลที่หก 2,000 บาท ก็จะทำให้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น แต่ถ้าไม่รู้วิธีเพิ่มรายได้ การควบคุมค่าใช้จ่ายและการปรับเปลี่ยนสัดส่วนใหม่ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เช่น จากเดิมตามทฤษฎีให้เก็บไว้สำหรับค่าใช้จ่าย 55% และออมเพื่ออิสรภาพทางการเงิน 10% แต่คิดว่าไม่พอ ก็อาจปรับให้เหมาะกับเป้าหมายหรือตัวเราจากแบ่งเพื่อค่าใช้จ่าย 55% เป็น 45% และนำ 10% ไปเพิ่มให้กับการออมเพื่อเป้าหมายอิสรภาพทางการเงิน 10% แทนจากเดิม 10% (ก็จะเพิ่มเป็น 20%) ซึ่งก็จะช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายได้เพิ่มอีกหนึ่งทาง ถึงแม้ “ออมอย่างไร ไม่ให้พลาดทุกเป้าหมายการเงิน” ไม่อาจสรุปได้ว่าวิธีการไหนที่ดีที่สุด ดังนั้นการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง มีวินัย ปรับปรุงให้เหมาะกับตัวเอง ย่อมเป็นวิธีการที่ดีและสามารถทำให้ไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1344454

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย นำทัพประกันสุขภาพที่ให้มากกว่าความคุ้มครอง ร่วมงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22

30/04/2024

กรุงเทพฯ, 14 กรกฎาคม 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพ ยกทัพผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่ครอบคลุมความต้องการของทุกช่วงชีวิต พร้อมให้มากกว่าความคุ้มครอง ร่วมงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22 เพื่อมุ่งสนับสนุนคนไทยให้เข้าถึงการบริการทางการแพทย์และการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เอไอเอ มุ่งมั่นและเดินหน้าส่งมอบความคุ้มครองด้านสุขภาพ พร้อมบริการด้านสุขภาพที่ครบวงจรมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ โดยงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 กรกฎาคม นี้ ณ ชั้น 1 ศูนย์การค้า เซ็นทรัล เวสต์เกต  ในงานนี้ เอไอเอ ชูผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ อาทิ "เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver)” ที่มาในคอนเซ็ปต์ “คุ้มกว่าที่เคยเจอ เซฟเวอร์ทั่วไทย” ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ ด้วยเบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 575 บาทต่อเดือน[1]   “เอไอเอ เฮลธ์ โซลูชันส์ (AIA Health Solutions)” ที่รวบรวมบริการเสริมด้านสุขภาพ เพื่อให้ลูกค้าได้รับการดูแลแบบครบวงจร ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นลูกค้าของเอไอเอ ผ่านบริการและโครงการสุขภาพถึง 9 บริการ ครอบคลุมการดูแลด้านสุขภาพที่เหนือระดับ ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกช่วงของชีวิต และผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด “เอไอเอ ไวทัลลิตี้ ยูนิต ลิงค์ (AIA Vitality Unit Linked)” ครั้งแรกที่เอไอเอ ผนึก 2 ผลิตภัณฑ์เรือธง “AIA Vitality” และ “AIA Unit Linked” เข้าไว้ด้วยกัน ให้ลูกค้าได้เลือกรับความคุ้มครองครบทั้งสุขภาพและโรคร้ายแรง พร้อมยังได้รับเงินคืนค่าการประกันภัยตลอดอายุกรมธรรม์สูงสุด 25%[2]  เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าได้วางแผนการเงินพร้อมวางแผนสุขภาพแบบครบวงจร เตรียมมาพบกับที่ปรึกษาทางด้านประกันชีวิตและการเงินมืออาชีพของเอไอเอ พร้อมเลือกแบบประกันที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ได้ภายในงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22 วันที่ 15-16 กรกฎาคม นี้ พร้อมสนุกกับกิจกรรมตรวจวัดองค์ประกอบของร่างกายโดยเครื่อง BIA (Bioelectrical Impedance Analysis) และพิเศษสำหรับสมาชิกเอไอเอ ไวทัลลิตี้ รับคะแนนสูงสุด 1,500 คะแนน[3] จากตรวจค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ภายในงาน พร้อมเพลิดเพลินกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ รวมทั้งของรางวัลสุด Exclusive จากเอไอเอเฉพาะภายในงานเท่านั้นหมายเหตุ: [1] คำนวณจากเบี้ยประกันภัยรายปี 6,900 บาท สำหรับเพศชายอายุ 21-25 ปี แผนความคุ้มครอง 200,000 บาท [2] ตามเงื่อนไขการจ่ายเงินคืนค่าการประกันภัย ณ วันครบรอบปีกรมธรรม์ที่ระบุในสัญญา [3] เงื่อนไขเป็นไปตามข้อกำหนดของ เอไอเอ ไวทัลลิตี้

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

คลัง เพิ่มเงินสมทบเข้ากองทุนประกันวินาศภัย เป็น 0.5% เติมสภาพคล่อง

30/04/2024

บอร์ด คปภ. เสนอรัฐมนตรีคลังเห็นชอบขึ้นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันวินาศภัยเป็น 0.5% เพิ่มสภาพคล่องรองรับภาระชำระหนี้บริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง กำหนดอัตรา หลักกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาที่บริษัทต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนประกันวินาศภัย (ฉบับที่ …) พ.ศ. …เพื่อให้กองทุนประกันวินาศภัยบริหารจัดการทรัพย์สินและหนี้สินได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นสมควรเพิ่มอัตราเงินที่บริษัทนำส่งเข้ากองทุนตามมาตรา 80/3 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 80/3 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบกับมติที่ประชุมคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ครั้งที่ ../2566 เมื่อวันที่ … พ.ศ. 2566 และด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการกำหนดอัตราเงินที่บริษัทต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนประกันวินาศภัย คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย จึงออกประกาศไว้ดังนี้    •  ให้บริษัทประกันวินาศภัยนำส่งเงินกองทุนปีละ 2 ครั้งดังนี้ 1.ครั้งที่หนึ่งให้บริษัทนำส่งภายในเดือน ม.ค. ในอัตรา 0.5% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทได้รับในรอบเดือน ก.ค.-ธ.ค.ของปีที่ผ่านมา และ 2.ครั้งที่สองให้บริษัทนำส่งภายในเดือน ก.ค. ในอัตรา 0.5% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทได้รับในรอบเดือน ม.ค.-มิ.ย. ของปีเดียวกัน    •  สำหรับการนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนในเดือน ม.ค.ของปี 2567 ให้บริษัทนำส่งในอัตราดังนี้ 1.ในอัตรา 0.25% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทได้รับในรอบเดือน ก.ค.-ก.ย. ของปี 2566 2.ในอัตรา 0.5% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทได้รับในรอบเดือน ต.ค.-ธ.ค.ของปี 2566“เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้บริษัทประกันวินาศภัยบางแห่งถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันภัย ทำให้กองทุนประกันวินาศภัยต้องรับภาระการชำระหนี้ตามสัญญาประกันภัย รวมถึงมีหน้าที่เป็นผู้ชำระบัญชีให้กับบริษัทประกันวินาศภัยที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต ทำให้กองทุนประกันวินาศภัยมีปัญหาเรื่องฐานะการเงินโดยแนวทางช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนประกันวินาศภัย โดยปรับขึ้นอัตราเงินสมทบกองทุนประกันวินาศภัย ตามมาตรา 80/3 แห่ง พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 จากอัตรา 0.25% เป็น 0.50% ซึ่งได้กำหนดให้บริษัทนำส่งเข้ากองทุนตามอัตราที่คณะกรรมการ คปภ.กำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีคลัง อัตราดังกล่าวต้องไม่เกิน 0.50% ของเบี้ยประกันภัยที่บริษัทได้รับในรอบระยะเวลา 6 เดือนก่อนหน้างวดที่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุน”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1345148

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

รายได้ทำตะลึง ชายอินเดีย ขอทานที่รวยที่สุดในโลก โกยเงินอื้อ-คอนโด 2 ห้อง ส่งลูกเรียนจบ

30/04/2024

“ภารตะ เชน” ชายอินเดียขอทานที่รวยที่สุดในโลก เห็นรายได้ต่อเดือนทำอึ้ง แถมเป็นเจ้าของคอนโดอีก2ห้อง ส่งลูกจนเรียนจบ เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเรื่องราวขอทานที่รวยที่สุดในโลก ชื่อว่า ภารตะ เชน ซึ่งเขาอาศัยอยู่ที่มุมไบ โดยเขาเป็นเจ้าของทรัพย์สินมูลค่าหลายล้านรูปีต่อปี และเป็นเจ้าของแฟลตในมุมไบและร้านค้าให้เช่าอีก 2 แห่ง โดยรายได้สุทธิของนายเชนต่อปีคาดว่าสูงถึง 7.5 ล้านรูปีหรือราว 3.2 ล้านบาท ซึ่งขัดกับรายได้ต่อเดือนของพนักงานประจำอีกด้วยซ้ำ ตามรายงานของ Economic Times เผยว่า นายภารตะ เชน ขอทานที่รวยที่สุดในโลก ไม่ได้เรียนหนังสือเป็นทางการ เพราะขัดสนเรื่องเงิน ปัจจุบันเขาแต่งงานแล้ว มีภรรยา 1 คน มีลูกชาย 2 คน และอาศัยร่วมกับพี่ชาย และ พ่อ โดยอาชีพขอทานนี้ทำให้เขามีรายได้ 25000 – 32000 บาทต่อเดือนภาพประกอบ อย่างไรก็ตาม นายเชนได้นำเงินที่ได้มาไปลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยเขามีแฟลตขนาด 2 ห้องนอนในมุมไบ ราคา 5.2 แสนบาท และเป็นเจ้าของร้านค้าให้เช่า 2 ห้อง ในเมืองธาน ชานเมืองมุมไบ ปล่อยให้คนเช่ารวม 12,800 บาทต่อเดือน ขณะที่ นายเชนได้ตระเวณขอทานตาม สถานีรถไฟปลายทางฉัตรปตีศิวาจี อาซัด ไมดาน สนามกีฬาเมืองมุมไบ แม้เชนจะร่ำรวยแต่เขาก็ยังคงยึดอาชีพขอทาน โดยปัจจุบัน นายเชนอาศัยในอพาร์ทเมนต์ 1 ห้องนอนแบบดูเพล็กซ์ กับครอบครัวของเขา ลูกได้เข้าเรียนในโรงเรียนคอนแวนต์และสำเร็จการศึกษาแล้ว ส่วนสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ เปิดร้านขายเครื่องเขียน และครอบครัวได้ขอร้องให้เขาหยุดขอทาน แต่เชนไม่หยุดยังยึดอาชีพขอทานต่อไปภาพประกอบ ทั้งนี้ ภารตะ เชน พบเห็นเขาขอทานได้ตามท้องถนนในเมืองมุมไบ คำว่า ‘ขอทาน’ มักกระตุ้นความคิดของหลายคน ให้นึกถึงความยากจน สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น และมีผม รุงรัง ร่างกายมอมแมม แต่หลายคนก็มาเอาดีทางด้านขอทาน มิติใหม่ขอทานได้เริ่มขึ้นภาพประกอบแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับข่าวสดออนไลน์https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_7758082

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

กลุ่มบริษัทเอไอเอ ครองอันดับ 1 บริษัทที่มีสมาชิกสโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม (MDRT) มากที่สุดในโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 9

30/04/2024

กรุงเทพฯ, 13 กรกฎาคม 2566 – กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“เอไอเอ” หรือ “บริษัท”; รหัสหลักทรัพย์: 1299) มีความภูมิใจที่จะประกาศว่าเอไอเอเป็นบริษัทที่มีจำนวนสมาชิกสโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม (MDRT) มากที่สุดในโลกเป็นประวัติการณ์ ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 9นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “ผมรู้สึก ภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เอไอเอ ได้บรรลุเป้าหมายในการขึ้นเป็นบริษัทที่มีสมาชิก MDRT มากที่สุดในโลกอีกครั้ง ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นประวัติการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพของตัวแทนเอไอเอระดับ Premier Advisor รวมถึงผู้บริหารหน่วยตัวแทนระดับโลก ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ช่องทางตัวแทนของเราไม่มีคู่แข่งที่ทัดเทียมได้ในตลาด ความได้เปรียบในการแข่งขันนี้เราใช้เวลาสร้างมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ และเป็นหนึ่งในหลายเหตุผลที่ทำให้เอไอเอแตกต่างเหนือคู่แข่ง เพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่งในอนาคต”นายแจ็คกี้ ชาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาคและประธานเจ้าหน้าที่บริหารช่องทางการขาย กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีที่เอไอเอได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ติดต่อกันมาเป็นเวลา 9 ปี ซึ่งที่เอไอเอ เรามีการจัดฝึกอบรมตามมาตรฐานผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรม อีกทั้งเรามีการพัฒนา และมอบโอกาสการเติบโตในสายอาชีพให้กับตัวแทนมืออาชีพของเรา โดยความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความเป็นเลิศของตัวแทนเอไอเอ ทั้งนี้ เราจะยังคงลงทุนกับการสร้างและพัฒนาตัวแทน ผู้ซึ่งมีส่วนสำคัญในการนำพาความสามารถของเอไอเอไปช่วยสนับสนุนให้ผู้คนนับหลายล้านคนในเอเชียมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives” สโมสรล้านเหรียญโต๊ะกลม (MDRT) ได้รับการยอมรับว่าเป็น Premier Association of Financial Professionals® หรือสมาคมด้านมาตรฐานความเป็นเลิศของธุรกิจประกันชีวิตและบริการทางการเงิน โดยสมาชิก MDRT จะถูกกำหนดขั้นต่ำของเบี้ยประกันภัย ค่าคอมมิชชัน และรายได้ ตลอดจนสามารถแสดงให้เห็นถึงความรู้ทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง มีจรรยาบรรณที่เข้มงวด และมีการบริการลูกค้าที่โดดเด่น หมายเหตุ: *ข้อมูล MDRT 2023 ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2566 จาก www.mdrt.org

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X