คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ประกันสังคม

เงินบำนาญประกันสังคม 68 ยังมีไหม ได้เท่าไหร่ หลังมีกระแสข่าวเสี่ยงล้มละลาย

07/05/2025

เงินบำนาญประกันสังคม 68 ยังได้อยู่ไหม? รับเดือนละเท่าไหร่? หลังมีกระแสข่าวว่า สถานะทางการเงินเสี่ยงล้มละลายในอีก 25 ปีข้างหน้ากองทุนประกันสังคมถูกจับตามองหลังจากมีกระแสข่าวว่าสถานะทางการเงินเสี่ยงล้มละลายในอีก 25 ปี และคาดว่าในอนาคต เงินชราภาพและเงินบำนาญอาจไม่เพียงพอจ่ายให้กับผู้ประกันตน นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเพิ่มขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ใช้เงินจากกองทุนจัดทริปหรูดูงานต่างประเทศ ซึ่งสร้างความวุ่นวายและทำให้ผู้ประกันตนเริ่มวิตกเกี่ยวกับอนาคต จนกลายเป็นความกังวลว่าอาจกลายเป็นผู้รับ "ชะตากรรม" แทนที่จะได้รับผลประโยชน์ตามที่เคยหวังล่าสุดนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานบอร์ดประกันสังคม ได้ออกมาชี้แจง ยืนยันว่า กรณีดังกล่าวไม่กระทบผู้ประกันตนแน่นอน เพราะเงินอยู่คนละส่วนกันสำหรับผู้ประกันตนที่อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และได้ลาออกจากงาน สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนหรือเสียชีวิต ก็จะยังคงได้รับ เงินชราภาพ เงินบำนาญ2568 เช่นเดิม โดยเงินชราภาพจะแบ่งออกเป็น 2 แบบดังนี้1. เงินบำเหน็จชราภาพ จะได้รับเงินก้อนครั้งเดียว มี 2 เงื่อนไข  •  จ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 12 เดือน ได้รับเงินจำนวนเท่าที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบไป  •  จ่ายเงินสมทบมากกว่า 12 เดือน แต่ไม่ถึง 180 เดือน รับจำนวนเงินเท่าที่ผู้ประกันตนจ่าย+เงินสมทบนายจ้าง+ผลประโยชน์ตอบแทน2. เงินบำนาญชราภาพ จะได้รับเงินรายเดือนตลอดชีวิต มี 2 เงื่อนไข  •  จ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน ได้รับเงินเท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย  •  จ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ได้รับเงินเพิ่มอีกปีละ 1.5%เงินชราภาพ เงินบำนาญ 2568 ผู้ประกันตนหากเกษียณจะได้รับเท่าไร? ประกันสังคมเปิดสูตรคำนวณ "เงินบำนาญชราภาพ" พร้อมตัวอย่างในการคำนวณสูตรกรณีนำส่งครบ 180 เดือนจะได้รับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ฐานเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุด 15,000 บาท)ตัวอย่าง: ผู้ประกันตนอายุ 55 ปี จ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือนมีรายได้เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย 15,000 บาทผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญ เดือนละ 3,000 บาทสูตรกรณีนำส่งเกิน 180 เดือนจะได้รับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย (ฐานเงินเดือนเฉลี่ยสูงสุด 15,000 บาท)และได้เพิ่ม อีก 1.5% ของทุกปี = 20% + (1.5 x จำนวนปี)ตัวอย่าง: ผู้ประกันตนอายุ 60 ปี จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 35 ปี (420 เดือน)มีรายได้เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย 15,000 บาทผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญ เดือนละ 7,500 บาทสำหรับระยะเวลาการโอนเงินเข้าบัญชี เมื่อสำนักงานประกันสังคมอนุมัติสิทธิ จะโอนเงินเข้าบัญชีภายในวันที่ 25 ของเดือนที่ได้รับสิทธิกรณีผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพเสียชีวิตภายใน 5 ปี นับแต่เดือนที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพ ทายาทผู้มีสิทธิจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพตามจำนวนเดือนที่เหลือ หลังจากผู้รับบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายจนครบ 60 เดือนวิธีตรวจสอบส่งเงินบำนาญชราภาพมาแล้วกี่เดือน / เหลืออีกกี่เดือนจะเกิดสิทธิเงินบำนาญชราภาพ1. ตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ประกันสังคมเช็คผ่านเว็บไซต์ของประกันสังคมได้ดังนี้-เข้าเว็บไซต์ https://www.sso.go.th/-เลือก ‘ผู้ประกันตน’-ถ้าไม่เคยลงทะเบียนมาก่อน เลือก ‘สมัครสมาชิก’-เข้าสู่ระบบด้วยการกรอก ‘เลขบัตรประจำตัวประชาชน’ และ ‘รหัสผ่าน’-เข้าสู่หน้าตรวจสอบข้อมูลผู้ประกันตน เลือก ‘ข้อมูลการส่งเงินสมทบ’-จากนั้นระบบจะแสดงข้อมูลของแต่ละคน ทั้งงวดเงินสมทบ, วันที่ชำระเงิน, % เงินสมทบ และจำนวนเงินที่ผู้ประกันตนนำส่ง-สำหรับการเช็กยอดเงินชราภาพประกันสังคม เลือก ‘การคำนวณเงินสงเคราะห์ชราภาพ’-จากนั้นระบบจะแสดงข้อมูลจำนวนเงินสมทบของผู้ประกันตน, จำนวนเงินสมทบของนายจ้าง, จำนวนเงินสมทบของรัฐ, ยอดเงินรวม (รายปี)2. ตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชัน SSO Plusผู้ประกันตนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน "SSO Plus" ใช้ได้ทั้งระบบ iOS และ Android เพื่อตรวจสอบเงินบำนาญชราภาพ และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ผ่านทางสมาร์ตโฟนได้ทันที วิธีใช้งานดังนี้- ลงทะเบียนยืนยันตัวตนด้วย เลขบัตรประจำตัวประชาชน และ เบอร์โทรศัพท์หรือ หากผู้ประกันตนได้สมัครตรวจสอบข้อมูลทางเว็บไซต์ https://www.sso.go.th/ มาแล้ว สามารถใช้รหัสผ่านเดียวกันได้เลยทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันสังคมได้ที่ https://www.sso.go.th/ หรือโทรสายด่วน 1506 ให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมงแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยนิวส์ออนไลน์https://www.thainewsonline.co/news/881689

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

'เฮาส์ ออฟ ลูซี' หอศิลป์แห่ง ‘เกาะสมุย’ จัดแสดงงานศิลป์นานาชาติ

07/05/2025

'มูลนิธิลูซี' เปิดหอศิลป์กลางเกาะสมุย ให้เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายของการท่องเที่ยว ชมงานศิลปะ เปิดโอกาสให้ศิลปินทั้งคนไทยและชาวต่างชาติร่วมแสดงงานที่ 'เฮาส์ ออฟ ลูซี'เฮาส์ ออฟ ลูซี (House of Lucie) เกิดจากสองผู้นำแห่งวงการภาพถ่าย งานศิลปะและการออกแบบ เจ้าของบริษัท ฟาร์มานี กรุ๊ป มร.ออสเซน ฟาร์มานี่ และแอปเปิ้ล ฟาร์มานี่ มาเกาะสมุยเพื่อเปิด เกาะสมุยอาร์ตเซ็นเตอร์ และ เฮาส์ ออฟ ลูซี สมุยจัดแสดงงานศิลปะภาพเขียน ภาพถ่าย ประติมากรรม ให้เป็นสื่อกลางและส่งข่าวสารงานศิลปะดี ๆ ให้ดังไกลระดับโลกเฮาส์ ออฟ ลูซี เกาะสมุยแรกเริ่มก่อตั้ง มูลนิธิลูซี เมื่อปี ค.ศ.2003 เป้าหมายเพื่อสนับสนุนช่างภาพที่มีความสามารถให้มีสถานที่จัดแสดงผลงานอย่างเต็มที่ โดยไม่แสวงหาผลกำไร และยังจัดมอบรางวัลสำหรับช่างภาพและผลงานยอดเยี่ยม เรียกว่า รางวัลลูซี (Lucie Awards) ต่อมาก่อตั้ง เฮาส์ ออฟ ลูซี ที่เปรียบเสมือนบ้านของมูลนิธิฯ ให้เป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานของศิลปินหลากหลายแขนงโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ เช่น จัดแสดงผลงานภาพถ่ายร่วมสมัย งานภาพถ่ายที่ได้รางวัลลูซี ผลงานของช่างภาพในท้องถิ่นและจากทั่วทุกมุมโลกเฮาส์ ออฟ ลูซี สมุย จัดแสดงงานศิลปะจากศิลปะนานาชาติอีกทั้งมุ่งหวังให้เป็นเครือข่ายศูนย์กลางชุมชน แกลเลอรี่ และพิพิธภัณฑ์ โดยนำผลงานภาพถ่ายและการเล่าเรื่องด้วยภาพไปสู่ผู้ชมทั่วโลก เน้นเปิดให้บริการในพื้นที่ที่ยังไม่มีศูนย์แสดงงานศิลปะมากนัก เพื่อให้คนในชุมชนมีโอกาสแสดงผลงานและเข้าถึงศิลปะได้ง่ายขึ้นและสร้างความเชื่อมโยงงานถ่ายภาพกับชุมชนในท้องถิ่น เป็นศูนย์กลางสะท้อนงานศิลปวัฒนธรรม ผ่านการเล่าเรื่องด้วยภาพ ไม่เพียงจัดแสดงงาน ยังจัดนิทรรศการ การบรรยาย เวิร์คชอป การเปิดคลาสต่าง ๆ เช่น  วิชาการถ่ายภาพ การวาด การปั้น เซรามิก และการทำเครื่องประดับรวมถึงงานอีเวนต์ต่าง ๆ ให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม มาชื่นชม หรือแสวงหาประสบการณ์ดี ๆ ผ่านงานศิลปะที่ไร้ขีดจำกัดคลาสสอนวิชาศิลปะเปิดสอนโดยศิลปินผู้มีชื่อเสียง และมีความเชี่ยวชาญทางด้านนั้น ๆ โดยตรง เน้นให้ผู้เข้าเรียนได้พัฒนาทักษะทางศิลปะ และก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งานฮอสเซน-แอปเปิ้ล ฟาร์มานี่ฮอสเซน ฟาร์มานี่ ผู้ก่อตั้งบอกว่า “เป้าหมายของเรากับ เฮาส์ ออฟ ลูซี คือทำให้การถ่ายภาพเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่าย และสร้างพื้นที่ให้กับผู้คนได้มาสัมผัสพลังของการเล่าเรื่องด้วยภาพ และอยากสร้างแรงบันดาลใจเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ รวมไปถึงเกิดการเชิดชูเกียรติผู้ที่มีความสามารถ เพื่อสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านการถ่ายภาพสตีฟ แมคเคอรีและตั้งใจให้เป็นแหล่งรวมเหล่าผู้ที่รักงานศิลปะ และครีเอเตอร์ด้านต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์ของเกาะสมุยให้เป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมและงานศิลปะในทุกรูปแบบ”แอปเปิ้ล ฟาร์มานี่ เสริมว่า “มูลนิธิลูซีเป็นมูลนิธิระดับโลก ที่มอบรางวัลให้กับช่างภาพมาแล้วมากมาย ส่วน เฮาส์ ออฟ ลูซี สร้างมาแล้ว 7 แห่ง ได้แก่ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ, กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี, เมืองคาซาน ประเทศอิหร่าน, เมืองโฮสทูนี่ ประเทศอิตาลี, ที่นอร์เวย์, ฝรั่งเศส และประเทศไทย ซึ่งยังไม่เคยสร้างอาร์ตเซ็นเตอร์เลย ครั้งนี้ถือว่าเป็นอาร์ตเซ็นเตอร์แห่งแรกของเรา”ผลงานของสตีฟ แมคเคอรีเปิดบ้านศิลป์แห่งสมุย กับ 3 ศิลปินเฮาส์ ออฟ ลูซี เปิดบ้านครั้งแรกกับ นิทรรศการภาพถ่ายของสตีฟ แมคเคอรี และ เจมส์ นาคท์เวย์นิทรรศการ ISLANDS by Steve McCurry ถ่ายทอดความงดงามของวัฒนธรรม สะท้อนภาพวิถีชีวิตอันละเมียดละไมของผู้คนบนเกาะจากทั่วทุกมุมโลกสตีฟ แมคเคอรี เป็นหนึ่งในบุคคลระดับตำนานของวงการถ่ายภาพร่วมสมัยมานานกว่าห้าทศวรรษ เกิดที่เมืองฟิลลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย อเมริกา ศึกษาการถ่ายภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยรัฐเพนซิลเวเนีย แล้วเข้าทำงานกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งจากนั้นเขาออกเดินทางไปเพื่อสร้างสรรค์ภาพถ่ายทั่วทั้งเจ็ดทวีปและอีกหลายประเทศ งานของเขาครอบคลุมทั้งเรื่องของความขัดแย้ง วัฒนธรรมที่กำลังสูญหาย ประเพณีแบบโบราณ และวัฒนธรรมร่วมสมัยที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งแง่มุมของธาตุแท้แห่งความเป็นมนุษย์ผลงานของสตีฟ แมคเคอรีเช่นภาพถ่าย เด็กสาวชาวอัฟกัน อันโด่งดังและทรงพลัง สตีฟได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย รวมถึงรางวัลเหรียญทองโรเบิร์ต คาปา เมื่อไม่นานมานี้ สมาคมถ่ายภาพประเทศอังกฤษในกรุงลอนดอน ได้มอบเหรียญรางวัล Centenary Medal for Lifetime Achievement และในปี ค.ศ.2019 ได้รับเกียรติให้แสดงผลงานอยู่ในหอเกียรติยศแห่งการถ่ายภาพนานาชาติอีกด้วยเจมส์ นาคท์เวย์เจมส์ นาคท์เวย์ (James Nachtwey) ศิษย์เก่าวิทยาลัยดาร์ตมัธ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์และรัฐศาสตร์ เริ่มงานถ่ายภาพจากสงครามเวียดนามและการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมืองชาวแอฟริกันอเมริกัน (Civil Rights movement) และกลายมาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจเป็นช่างภาพอาชีพ โดยเริ่มต้นงานแรกในหนังสือพิมพ์ในนิวเม็กซิโกชมงานศิลป์ที่ เฮาส์ ออฟ ลูซีปี ค.ศ.1980 เจมส์ย้ายไปอยู่ที่นิวยอร์กเพื่อเริ่มต้นอาชีพช่างภาพนิตยสารอิสระ หลังจากนั้นจึงได้ร่วมงานกับนิตยสารไทม์ตั้งแต่ปี 1984ผลงานของเขาได้รับรางวัลและการประกาศเกียรติคุณมาแล้วมากมาย อาทิ รางวัลคอมมอนเวลท์ อะวอร์ด, รางวัลมาร์ติน ลูเธอร์ คิง, รางวัลพลเมืองโลก ดร.จีน เมเยอร์ อะวอร์ด, รางวัล ลูซี อะวอร์ด และอื่นๆ อีกมากมายกิติก้อง ติลกวัฒโนทัยร่วมด้วย กิติก้อง ติลกวัฒโนทัย ศิลปินภาพพิมพ์ร่วมสมัยผู้แปลงถ้อยคำในรูปแบบตัวอักษรให้แปรเปลี่ยนเป็นภาษาที่เล่าเรื่องด้วยภาพอย่างงดงามจับใจ  กิติก้องเป็นคนลำปางโดยกำเนิด ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่ผลงานของ กิติก้องผลงานของเขาเชื้อเชิญให้เราเข้าไปข้องเกี่ยวกับความงามอันเป็นนามธรรม เป็นการตีความสิ่งที่เรียกว่าภาษาขึ้นมาใหม่ ให้เป็นรูปแบบของศิลปะที่เป็นสากลและสัมผัสได้จากเบื้องลึกภายในผลงานของ กิติก้องงานนิทรรศการของเขาจัดแสดงไปแล้วทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียชมนิทรรศการศิลปะจาก 3 ศิลปิน ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 25 เมษายน 2568 ชมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ณ สมุยอาร์ตเซ็นเตอร์ และ เฮาส์ ออฟ ลูซี สมุย ทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เวลา 13.00 – 18.00 น.เฮาส์ ออฟ ลูซี เกาะสมุยข้อมูลเพิ่มเติม โทร.095 478 9987, FB:House of Lucie Samuiแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1166957

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

“ทุ่งข้าวเจ็ดสี” ทุ่งนาหลากสีสัน แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของ “พะเยา”

07/05/2025

ชวนมาสัมผัสเสน่ห์แห่งท้องทุ่งที่เติมสีสันให้สดใสกว่าเดิม สำหรับ “ทุ่งข้าวเจ็ดสี” จากข้าวหลากหลายสายพันธุ์ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่ของจังหวัดพะเยาภาพ: ททท.เชียงรายททท.เชียงราย ชวนนักท่องเที่ยวมาร่วมสัมผัสความงามของ “ทุ่งข้าวเจ็ดสี” หรือ Phayao Rainbow Rice แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่ของจังหวัดพะเยา ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งจะทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสความงดงามของผืนนากว้างใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 74 ไร่ ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันจากข้าวหลากหลายสายพันธุ์ภาพ: ข่าวภูมิภาค mgronlineสำหรับที่มาของแหล่งท่องเที่ยวสีสันสดใสแห่งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับจังหวัดพะเยา เทศบาลตำบลสันป่าม่วง พัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้และสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยใช้ข้าว 8 สายพันธุ์ ซึ่งมีลักษณะสีสันที่แตกต่างกันไปรวม 7 สี คล้ายกับสีของสายรุ้ง วางแผนแบ่งแปลง-ลงแรงปลูกตามเส้นสายภาพร่างไดโนเสาร์ที่มีการค้นพบ-นกยูง สัญลักษณ์ของพะเยา สร้างความสวยงามโดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็นแปลงนาศิลปะ ที่จะมีความสวยงาม บรรยากาศรายรอบด้วยทุ่งนากว้างและหุบเขา เป็นขุนเขาสูงตระหง่านของ ดอยหลวงดอยหนอก ซึ่งจะเป็นจุดเช็คอินใหม่ของจังหวัดพะเยาและของนักท่องเที่ยวภาพ: ข่าวภูมิภาค mgronlineพิกัด : ศูนย์ข้าวชุมชนตำบลสันป่าม่วง (ทางขึ้นวัดอนาลโย)พื้นที่หมู่ที่ 6 บ้านสันป่าบง ต.สันป่าม่วง อ.เมืองพะเยาเปิดให้ชมทุกวัน เวลา 07.00 - 20.00 น.สอบถาม เทศบาลสันป่าม่วง โทร.054-888-870 หรือ ททท. สำนักงานเชียงราย โทร. 053-744-6745แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000018536

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

เด่นออนไลน์

เตือนภัย มุกใหม่มิจฉาชีพ หลอกในหลอก อ้างเป็นเหยื่อเหมือนกัน มีวิธีเอาเงินคืนได้

22/02/2025

มิจฉาชีพย้อนรอย ผู้เสียหาย วางแผนล่อเหยื่อ อ้างโดนหลอกเหมือนกัน เอาเงินคืนได้ ก่อนขบวนการมิจฉาชีพอีกเซ็ท หลอกให้เทรดเพื่อเอาเงินคืน เหยื่อรู้ทัน เตือนภัยมิจฉาชีพ ถือเป็นอาชีพที่สร้างความเสียหายอย่างมาก ซึ่งแม้บางครั้งหากไม่เอะใจ หรือ รู้ไม่ทันก็อาจสูญเงินในกระเป๋า ได้ง่าย เพราะมุกที่เอามาหลอกก็ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆล่าสุดเพจ Drama-Addict ได้โพสต์เตือนเรื่องราว ว่า “ลูกเพจฝากเตือนภัย สรุป เขาเจอเพจมิจปลอมเป็นโรงแรม หลอกไปครึ่งปีก่อน หลังจากนั้นมีมิจ ปลอมเป็นนกต่อ ทักมาคุยกับเขา อ้างว่าเคยโดนโกงเหมือนกัน จากเพจเดียวกัน แล้วมีคนช่วยเอาเงินคืนจากนั้นติดต่อให้คุยทนายอาสาและตำรวจไซเบอร์ ซึ่งเป็นมิจฉาชีพปลอมตัวมาทั้งหมด เพื่อหลอกเหยื่อให้หมดตัวแบบหมดจด ซึ่งน่าจะเป็นขบวนการเดียวกับเพจปลอมตอนแรก เพราะมันมีข้อมูลเหยื่อหมดเลย ว่าไปโดนหลอกอะไรยังไงมาจ่าคะ หนูมีเรื่องอยากจะแชร์ค่ะ พอดีเมื่อ 6 เดือนที่แล้วโดยโกง จากการจองที่พักโรงแรม ทำการแจ้งความ และแจ้งอายัดบัญชีแล้ว แต่ไม่ได้ตามเรื่องต่อ คือทำใจแล้วว่าคงไม่ได้เงินคืน แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีคนคนนึงทักมา จากช่องทางที่เราไปคอมเม้น โพสต์ผู้เสียหายท่านหนึ่ง ที่โดนโกงค่าจองโรงแรม จากเพจเดียวกัน เธอเม้นตอบกลับว่า “โดนเหมือนกัน แล้วมีวิธีเอาเงินคืน” บอกตามตรงใจนึงก็หวังเงินคืนเลยทักไปค่ะพอทักไปเขาแนะนำทนายอาสาบอกว่าไม่มีค่าใช้จ่าย เพียงส่งข้อมูลและหลักฐานไป พอส่งข้อมูลกับใบแจ้งความไป ทางทนายให้ลิงค์ที่ติดต่อ เจ้าหน้าที่ ของหน่วยงานตำรวจไซเบอร์ ฝ่าย IT เขาแจ้งให้ยืนยันข้อมูลและจะทำการตรวจเส้นทางการเงินพอตรวจเส้นเขาบอกว่าคนที่โกงเป็นบัญชีม้าและถูกโอนไปบริษัทหนึ่งแล้วบอกว่าเงินยังอยู่ในประเทศและบอกวิธีเอาเงินคืนคือจะทำการไปเทรดหุ้นบริษัทนั้นเพื่อดึงเงินคืนมาเขาจะทำให้โดยใช้ชื่อเราเพียงแค่ให้เราตกลงเราเลยเอะใจค่ะว่าทางรัฐหรือหน่วยงานอะไรแบบนี้ทำไมถึงใช้วิธีดึงเงินของผู้เสียหายคืนโดยใช้วิธีการเทรดหุ้นจริงๆความต้องการคืออยากให้เพจปลอมโดนบล็อกและโดนจับไป มากกว่าได้เงินคืนค่ะ เราเลยปฏิเสธไปไม่ให้เขาช่วย ผลสรุปคือ เขาทักมาเหมือนต่อว่า ว่าเราทักไปทำไมให้เสียเวลาตอนนี้ที่กังวลคือ เขาได้ข้อมูลเราไปคือเบอร์โทร กับมีใบแจ้งความ กับใบแจ้งอายัดบัญชีจากธนาคารค่ะ ไม่แน่ใจเลย เขาจะเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้างกับอีกเรื่องคือ เหมือนผู้หญิงคนนี้ที่ตอบเม้นเรา เขาจะชอบเม้นทุกโพสต์ที่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องผู้เสียหายที่โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับข่าวสดออนไลน์https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_9645637

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

“ประกันโรคร้ายแรง”...อีกสินทรัพย์ที่ขาดไม่ได้สำหรับ “แผนเกษียณ” !!!

21/02/2025

หลายคนอาจมองข้าม “ประกันโรคร้ายแรง” ไป เพราะคิดว่ามีประกันสุขภาพอยู่แล้วก็เพียงพอจากข้อมูลทางสถิติพบว่าในปัจจุบันการเกิดโรคร้ายแรงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหลอดเลือดสมองที่มีอัตราการพิการเป็นอันดับ 1 และอัตราการตายเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย(1) เนื่องจากความเสี่ยงในการเกิดโรคเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นตามอายุที่สูงขึ้น จึงทำให้คนวัยเกษียณมีความเสี่ยงการเกิดโรคเหล่านี้ มากกว่าคนในวัยอื่นๆ และในปัจจุบันพบว่าอัตราการเกิดโรคเหล่านี้ เริ่มพบในคนที่มีอายุน้อยลงมาเรื่อยๆคำถามคือ แล้ว “ประกันสุขภาพ” ที่มีอยู่ไม่เพียงพอหรือ คำถามนี้เกิดจากความไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง “ประกันสุขภาพ” และ “ประกันโรคร้ายแรง” รวมถึงอาจจะลืมคำนึงผลสืบเนื่องต่างๆ ที่ตามมาหลังจากเจ็บป่วย โดยก่อนอื่นควรทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างประกัน 2 แบบนี้ และผลสืบเนื่องจากการเจ็บป่วยความแตกต่างระหว่าง “ประกันสุขภาพ” และ “ประกันโรคร้ายแรง”1.“ประกันสุขภาพ” จะเป็นประกันที่จะจ่ายค่ารักษาให้กับโรงพยาบาลเมื่อคุณเจ็บป่วยและเข้ารับการรักษา ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยใน หรือผู้ป่วยนอก ทั้งนี้ขึ้นกับเงื่อนไขแบบประกันที่เลือก แต่เมื่อออกจากโรงพยาบาลมา จะไม่สามารถเบิกเคลมในส่วนนี้ได้อีกต่อไป2.“ประกันโรคร้ายแรง” จะเป็นประกันที่จะจ่ายสินไหมเป็นเงินสด เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแรงและตรงกับเงื่อนไขในกรมธรรม์ผลสืบเนื่องจากการเป็นโรคร้ายแรง1. ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลจำนวนมากขณะพัก รพ. รวมถึงค่ารักษาต่อเนื่องหลังจากออก รพ.2. อาจจะตกงานและสูญเสียรายได้3. อาจจะต้องมีค่าจ้างคนดูแล หรือค่าใช้จ่ายสถานดูแลผู้ป่วย“จะเห็นได้ว่า เมื่อเจ็บป่วยจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจำนวนมากพร้อมกับรายได้ที่หายไป ซึ่งหากต้องเจ็บป่วยช่วงก่อนเกษียณ หรือช่วงเกษียณโดยที่ไม่ได้มีการวางแผนหรือเตรียมตัวในส่วนนี้ไว้ให้ดีก่อนแล้ว ก็จะกระทบกับเงินเก็บทั้งหมดทันที ดังนั้น สิ่งที่สำคัญและจำเป็นไม่แพ้ไปกว่าการเก็บออมเงินเพื่อเกษียณ คือ การมีแผนปกป้องเงินเก็บยามเกษียณ ด้วยการทำ ‘ประกันโรคร้ายแรง’ เอาไว้”ปัจจัยที่ควรนำมาคำนวณ “วงเงินคุ้มครองโรคร้ายแรง”1. อายุปัจจุบันและอายุขัยเฉลี่ยคาดการณ์2. รายได้และรายจ่ายต่อเดือนในปัจจุบัน3. รายจ่ายสืบเนื่องขั้นต่ำจากค่ารักษาและดูแลในอนาคต3.1 ค่าคนดูแลหรือค่าบริการสถานดูแลผู้ป่วย 20,000-30,000 บาท/เดือน3.2 ค่ายา ค่ากายภาพ ค่ารักษาสืบเนื่อง 20,000-30,000 บาท/เดือนหมายความว่า หากต้องเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 40,000-60,000 บาท/เดือน ทีเดียวคำนวณค่าใช้จ่ายคนดูแล 30,000 บาท/เดือน คิดเป็น 360,000 บาท/ปีค่าใช้จ่ายการรักษาต่อเนื่อง 30,000 บาท/เดือน คิดเป็น 360,000 บาท/ปี“หมายความว่า ค่าใช้จ่ายรวมที่เพิ่มขึ้นต่อปีทั้งหมด เป็นจำนวนเงิน 720,000 บาท/ปี ไม่รวมค่าใช้จ่ายปกติประจำเดือน (ในกรณีเป็นคนโสดไม่มีคนช่วยแบ่งเบา) หรือภาระค่าใช้จ่ายครอบครัว (ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นหัวหน้าครอบครัว) และหากเป็นเร็วเกินไป หมายความว่าระยะเวลาการใช้เงิน จนกว่าจะหมดอายุขัยก็มากขึ้นไปอีกทีเดียว หากคิดว่าอยู่ได้อีก 10 ปีหลังจากป่วย จำนวนเงินที่ต้องใช้เพิ่มขึ้นจากเดิม อย่างน้อยก็คือ 7.2 ล้านบาท ไม่รวมภาวะเงินเฟ้อ”จะเห็นได้ว่า ภาระด้านค่าใช้จ่ายต่อปีหลังเจ็บป่วยเป็น “โรคร้ายแรง” ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ตัวอย่างข้างบนกรณี ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งจะมีภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถทำงานอาชีพเดิมได้อีกต่อไป ซึ่งค่าใช้จ่ายจริงอาจจะมากกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ และในความเป็นจริงอาจจะมีปัจจัยเกี่ยวกับเรื่อง “เงินเฟ้อ” ค่ารักษาพยาบาลร่วมด้วยที่มา  •  กองยุทธศาสตร์และแผนงานสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, สถิติสาธารณสุข พ.ศ. 2564, หน้า 76.แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ wealthythahttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/23693

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

งานศิลป์สุดครีเอทที่ทุกคนร่วมสนุกได้ ที่สยามพารากอน และสยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในไฮไลท์งาน Bangkok Design Week 2025

21/02/2025

โกลบอลเดสติเนชั่นกลุ่มวันสยาม ทั้ง สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ ร่วมสนับสนุนการจัดงาน Bangkok Design Week 2025 (BKKDW2025) จัดโชว์เคสผลงานศิลปินและนักออกแบบทั้งชาวไทยและระดับโลก รวมทั้งกิจกรรมมากมาย สร้างปรากฏการณ์งานอาร์ตและดีไซน์ ที่สะท้อนการเป็นขุมพลังความคิดสร้างสรรค์ (Creative Powerhouse) บุกเบิกการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่เหนือระดับและแรงบันดาลใจให้กับผู้มาเยือน ร่วมส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของโลกสำหรับ สยามพารากอน และสยามดิสคัฟเวอรี่ จัดโชว์เคสผลงานศิลปินแถวหน้า เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้สัมผัสประสบการณ์ศิลปะจัดวางที่เต็มไปด้วยสีสันและความลึกซึ้งกับผลงาน “Reflection You” งานศิลปะจัดวางอันน่าตื่นเต้นของ Cheese Arnon หรือ อานนท์ เนยสูงเนิน ศิลปินกราฟิตี้ชาวของไทย ที่ร่วมกับ Art Tank Group นำโดย เสริมคุณ คุณาวงศ์ สร้างสรรค์ผลงานใจกลางสยาม ที่จะพาผู้ชมดำดิ่งสู่มิติใหม่แห่งการสะท้อนตัวตนผ่านกล่องทรงลูกบาศก์ที่นำเสนอภาพสะท้อนในรูปแบบที่ไม่ซ้ำใครนิทรรศการนี้นำเสนอตัวตนที่หลากหลายของผู้ชมผ่านการสะท้อนภาพภายในกล่องอันมีชีวิตชีวา ซึ่งจะเผยให้เห็นตัวคุณในมุมมองที่แตกต่างและเหนือความคาดหมาย โดยมีตัวละครสุนัขจิ้งจอกสุดไอคอนิก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของศิลปิน Cheese Arnon คอยสร้างสีสันและบอกเล่าเรื่องราวผ่านท่วงท่าที่หลากหลาย เชื่อมโยงพื้นที่จาก สยามพารากอน สู่ สยามดิสคัฟเวอรี่ อย่างไร้รอยต่อ เพื่อสะท้อนถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างศิลปะ ผู้คน และไลฟ์สไตล์ที่ไม่จำกัดเพียงแค่การช็อปปิ้ง แต่ยังเปิดพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจให้กับทุกคน โดยพื้นที่จัดแสดง ณ พาร์ค พารากอน สยามพารากอน และดิสคัฟเวอรี่พลาซ่า สยามดิสคัฟเวอรี่ เป็นไพรม์โลเคชั่นในกลางกรุงเทพฯ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเป็นจำนวนมากที่จะได้สัมผัสกับผลงานชิ้นพิเศษนี้อานนท์ เนยสูงเนิน หรือที่รู้จักในนาม Cheese Arnon เป็นศิลปินกราฟิตี้แนวหน้าของเมืองไทย ผู้ฝากฝีมือไว้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลงานของเขาโดดเด่นด้วยตัวละคร สุนัขจิ้งจอก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเจ้าเล่ห์ แสนกล และการปรับตัว ที่สะท้อนถึงแนวคิดของศิลปินในการเรียนรู้ เติบโต และอยู่รอดในทุกสถานการณ์ จากจุดเริ่มต้นในฐานะศิลปินสตรีทอาร์ตสู่การเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ Cheese Arnon ได้สร้างผลงานที่ผสานความสนุกสนานและความหมายลึกซึ้งเข้าด้วยกัน ทำให้ศิลปะของเขาเป็นที่จดจำและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง“Reflection You” เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ตอกย้ำความสามารถของเขาในการนำเสนอศิลปะผ่านสื่อที่แตกต่าง และสร้างบทสนทนาระหว่างศิลปะกับผู้ชมในรูปแบบที่แปลกใหม่และน่าประทับใจ พร้อมเปิดให้เข้าชมฟรี ณ พาร์ค พารากอน สยามพารากอน และดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่า สยามดิสคัฟเวอรี่ ตั้งแต่วันนี้ถึง 23 มีนาคม ณ สยามพารากอน และ สยามดิสคัฟเวอรี่แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/business/detail/9680000014460

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ทำไมต้องปล่อยยางรถ ก่อนจะขับเข้าไปเที่ยวในทะเลทราย

21/02/2025

เคยสังเกตกันบ้างรึเปล่า เวลาที่เราไปเที่ยวทะเลทราย ทำไมคนขับรถถึงต้องจอดแล้วปล่อยลมยาง ก่อนจะลุยเข้าทราย หลายคนอาจสงสัยว่าทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร วันนี้เรามีคำตอบเหตุผลหลักๆ ดังนี้เหตุผลที่ต้องปล่อยยางรถ ก่อนเข้าทะเลทราย1. เพิ่มพื้นที่สัมผัสกับพื้นทราย เมื่อปล่อยลมยาง ความดันในยางจะลดลง ทำให้หน้ายางแผ่กว้างขึ้น ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่สัมผัสระหว่างยางกับพื้นทราย ช่วยกระจายน้ำหนักของรถให้เท่าเทียมและลดโอกาสที่รถจะจมลงในทราย2. เพิ่มการยึดเกาะ (Traction)หน้ายางที่แผ่ออกมากขึ้นจะช่วยให้ยางยึดเกาะกับพื้นทรายได้ดีกว่า ลดการลื่นไถลและทำให้การควบคุมรถง่ายขึ้น3. ลดแรงต้านยางที่มีแรงดันต่ำจะดูดซับแรงกระแทกจากเนินทรายได้ดีกว่า ทำให้การขับขี่นุ่มนวลขึ้น และช่วยลดแรงต้านจากทรายได้ดีขึ้น4. ลดความเสี่ยงในการติดทรายการปล่อยลมช่วยให้รถ "ลอย" อยู่บนพื้นทรายมากกว่าที่จะ "จม" ลงไป ทำให้ลดโอกาสที่รถจะติดทรายได้แล้วควรปล่อยลมเท่าไหร่?  •  ปกติจะปล่อยลมให้เหลือประมาณ 15-20 PSI (จากปกติ 30-35 PSI) แต่ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของรถและสภาพพื้นทรายด้วย  •  หากเป็นทรายที่นุ่มมาก อาจปล่อยได้ถึง 10-12 PSI แต่ต้องระวังไม่ให้ปล่อยมากเกินไป เพราะเสี่ยงที่ยางจะหลุดออกจากกระทะล้อ (Rim)หลังจากออกจากทะเลทรายแล้วควรทำอย่างไร?  •  ควรเติมลมยางกลับไปที่แรงดันปกติก่อนขับขี่บนถนนปกติ เพื่อป้องกันการสึกหรอของยางและเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1451587/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

“เก็บเงินสด หรือ ลงทุน” ทางเลือกวางแผนเกษียณ แบบไหนดีกว่ากัน ยุคตลาดหุ้นผันผวน

20/02/2025

"เก็บเงินสด" หรือ "นำเงินไปลงทุน" แบบไหนดีกว่ากัน? คำถามนี้ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะแม้การเก็บเงินสดจะให้ความรู้สึกปลอดภัย ใช้จ่ายได้ทันที แต่ต้องระวังเงินเฟ้อที่ทำให้มูลค่าเงินลดลง ส่วน “การลงทุน” จะช่วยให้เงินเติบโตได้ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องบริหารให้ดีเมื่อพูดถึงอนาคตทางการเงิน หลายคนมักตั้งคำถามว่า "เก็บเงินสดไว้" หรือ “นำเงินไปลงทุน” แบบไหนดีกว่ากัน โดยเฉพาะเมื่ออยากวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณ ซึ่งต้องบอกว่าทั้งสองทางเลือกมีข้อดีและจุดเด่นที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินและความเสี่ยงที่แต่ละคนรับไหวอย่างไรก็ตาม ในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนัก ทำให้หลายคนไม่กล้าตัดสินใจลงทุน “Thairath Money” จะพาไปหาคำตอบว่าเราจะมีวิธีการลงทุนอย่างไร เพื่อให้เงินในกระเป๋าของเราเติบโต“เก็บเงิน vs ลงทุน”การเก็บเงินไว้ มักเป็นวิธีที่หลายคนเลือก เพราะให้ความรู้สึก "ปลอดภัย" เพราะเงินไม่หายไปไหน แถมยังสามารถนำออกมาใช้ได้เมื่อจำเป็น อย่างไรก็ตาม การเก็บเงินไว้เฉยๆ ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ และแม้จะมีเงินจำนวนมากแต่มูลค่าจริงๆ อาจลดลงเมื่อเวลาผ่านไปจากอัตราเงินเฟ้อทุกปีส่วนการลงทุน เป็นวิธีในการช่วยให้เงินที่มีอยู่เติบโตขึ้น ด้วยผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในระยะยาว ซึ่งหากเลือกลงทุนอย่างเหมาะสม ยังสามารถสร้าง Passive Income ได้แม้ในช่วงเกษียณ เช่น หุ้นปันผล หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ยต่อเนื่องดังนั้น เมื่อต้องการใช้เงินหลังเกษียณ แค่มีเงินก้อนใหญ่อาจไม่พอ สิ่งสำคัญคือ การออกแบบกระแสเงินสดให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากการทำงาน ซึ่งการลงทุนที่ดีจะช่วยให้ "มีเงินใช้โดยไม่ต้องถอนเงินต้น"ตลาดหุ้นร่วงหนัก จะลงทุนอย่างไร?ช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน หรือปรับตัวลดลงแรงๆ หลายคนเริ่มลังเลว่าจะยังลงทุนต่อไปดีไหม เพราะเห็นกันชัดๆ ว่ามีความเสี่ยงขาดทุนสูงขึ้น ซึ่งบางคนเลือกที่จะชะลอการลงทุน หรือถอนเงินออกมาทั้งหมดแต่ในความเป็นจริง แม้ตลาดจะผันผวน การลงทุนก็ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ หากมีการวางแผนที่เหมาะสม และเลือกกลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในระยะยาวรัฐพล วชิรเมฆากุล นักวางแผนการเงิน CFP® เผยแพร่บทความผ่านสมาคมนักวางแผนการเงินไทย เรื่อง “จัดพอร์ตอย่างไรให้ Stay Invest แม้ในภาวะวิกฤติ” โดยระบุว่า หนึ่งในวิธีการที่นักลงทุนทำโดยทั่วไป เพื่อลดหรือป้องกันการสูญเสีย คือ การปรับพอร์ตตามสถานการณ์ (Tactical Asset Allocation) ออกจากสินทรัพย์เสี่ยงสูง ไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำแทน เช่น เงินฝาก ตราสารหนี้ หรือสินทรัพย์ที่ป้องกันความเสี่ยงในการลงทุนกับภาวะวิกฤติได้ดีอย่างทองคำแต่การปรับพอร์ตตามสถานการณ์นั้น ต้องอาศัยการคัดเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะกับแต่ละสินทรัพย์ ความแม่นยำของการตัดสินใจเข้า-ออกจากการลงทุน หากตัดสินใจผิดพลาด อาจยิ่งทำให้เกิดความสูญเสียมากขึ้น หรือเสียโอกาสในการลงทุนอีกวิธีที่เริ่มนิยมคือ การลงทุนใน Futures / Options เพื่อลดการสูญเสียเงินลงทุน หรือแม้แต่ได้กำไร แต่ก็เป็นวิธีการที่ซับซ้อน และมีต้นทุน รวมถึงเป็นเครื่องมือที่มีความผันผวนไม่แพ้หุ้นหากนักลงทุนไม่อยากใช้วิธีการซับซ้อน ไม่อยากจับจังหวะเข้า-ออกจากการลงทุน แต่ยังคาดหวังการเติบโตของเงินในระยะยาว อยากวางแผนการลงทุนเพื่อรับมือกับความเสี่ยงอย่างรอบคอบ สามารถใช้เทคนิคด้านล่าง ดังนี้1. เตรียมใจก่อนจัดพอร์ต - เมื่อลงทุนแล้ว นักลงทุนคาดหวังให้พอร์ตลงทุนมีผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง แต่ความเป็นจริงในโลกการลงทุนเต็มไปด้วยความผันผวน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนควรเตรียมใจกับผลลัพธ์ที่ไม่เป็นใจด้วย2. เตรียมเวลาลงทุนให้ยาว - วิธีการลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่ดีวิธีหนึ่ง คือ การลงทุนระยะยาว รายงานจาก JP Morgan ศึกษาสถิติการลงทุนใน S&P 500 ช่วงปี 1950-2023 ระบุว่า  •  หากลงทุน 1 ปี ช่วงของผลตอบแทนอยู่ระหว่าง -39% ถึง 47%  •  หากลงทุน 10 ปี ช่วงของผลตอบแทนอยู่ระหว่าง -1% ถึง 19%  •  หากลงทุน 20 ปี ผลตอบแทนที่อาจได้อยู่ระหว่าง 6% ถึง 17% ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 11.2% ต่อปี3. เพิ่มสินทรัพย์เสี่ยงต่ำเข้าไปในพอร์ต - การผสมผสานการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งการลงทุนในพอร์ต (หุ้น) 60/40 (ตราสารหนี้) เพียงระยะเวลา 5 ปี ก็ช่วยปิดโอกาสขาดทุนได้ รวมถึงช่วยลดความผันผวนด้วย4. จัดพอร์ตโฟลิโอ - การลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายมากขึ้น เช่น ทองคำ หรือเงินสด จะช่วยลดความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะทองคำได้รับการยอมรับว่าเป็น Crisis Hedging Asset ที่ดีการลงทุนต่อเนื่อง หรือ Stay Invest เป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังและสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจในระยะยาวได้ แม้ในช่วงเวลาตลาดผันผวนหรือเกิดวิกฤติ หากมีเป้าหมายการลงทุนระยะยาวและสามารถรับความเสี่ยงได้ การลงทุนต่อเนื่องเป็นกลยุทธ์ที่ไม่ควรมองข้ามแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/money/personal_finance/financial_planning/2842933

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

สมาคมประกันชีวิตไทย คาดธุรกิจประกันชีวิตปี 68 เติบโต 2-3% ประกันสุขภาพเป็นแรงผลักดัน และประกันยูนิตลิงค์เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

20/02/2025

19 กุมภาพันธ์ 2568 : นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยถึงปี 2568 สมาคมประกันชีวิตไทยประมาณการอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตอยู่ที่ในช่วงร้อยละ 2-3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละ 8 – 10% โดยบางปีสูงมากถึง 15% สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ และการขยายช่วงอายุการรับประกันสุขภาพออกไปจนถึง 80 ปี จึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้การประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงเติบโตต่อไปได้ และจะมีผลขยายไปถึงการประกันชีวิตอื่นๆ โดยเฉพาะประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) ที่เป็นสัญญาหลักด้วยอีกทั้งยังมีการเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ การเพิ่มขึ้นของแรงสนับสนุนและมาตรการจากภาครัฐ การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การกำกับดูแลและส่งเสริมภาคธุรกิจผ่านโครงการนวัตกรรมต่างๆ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและระบบ AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ และการดำเนินงานปรับปรุงช่องทางการจำหน่ายที่มีอยู่ในปัจจุบันและผสานรูปแบบการขาย ไปจนถึงการส่งมอบบริการและธุรกรรมหลังการขายที่เกี่ยวข้องกับกรมธรรม์ เพื่อยกระดับความพึงพอใจของผู้เอาประกันภัยจนสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น อีกทั้งยังมีการร่วมมือกันอย่างแข็งขันในทุกด้านของธุรกิจผ่านสมาคมประกันชีวิตไทย เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังคงต้องติดตามปัจจัยท้าทายที่จะส่งผลต่อการเติบโตอย่างสภาวะเศรษฐกิจทั้งเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก และเศรษฐกิจภายในประเทศไทยที่มีการเติบโตแบบหดตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสถานการณ์เงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ที่ส่งผลกระทบต่อการออม การลงทุน นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS 17 ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 รวมถึงต้องติดตามสถานการณ์สงครามการค้าโลกหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศมหาอำนาจ กระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งด้านการค้าและบริการ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะยังไม่ยุติ ก่อให้เกิดความผันผวนและความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมากขึ้น"ธุรกิจประกันมักจะเติบโตไปตามอัตราการเติบโตของ GDP ซึ่งประชาชนยังอยากซื้อสินค้าประกันแบบออมทรัพย์ ยิ่งการันตีดอกเบี้ยก็ยิ่งชอบ แต่สำหรับในมุมของบริษัทประกันแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องมีการบริหารความเสี่ยงตามสถานการณ์ว่าจะสามารถนำไปลงทุนเพียงพอที่จะนำมาคืนให้กับผู้เอาประกันภัยในอนาคตหรือไม่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่บริษัทประกันหลายแห่งหันมาขายประกันที่เรียกว่า ประกันลงทุนโดยอาจจะการันตีขั้นต่ำน้อยๆ และแบ่งไปลงทุนจำนวนมากหน่อย เช่นสินค้าประเภทยูนิตลิงค์ แบบประกันที่ลูกค้าสามารถบริหารความเสี่ยงเองเพิ่มขึ้น หรือสินค้าประเภทสะสมทรัพย์ส่วนใหญ่เบี้ยประกันจะมีขนาดใหญ่กว่าเบี้ยประเภทคุ้มครองดังนั้นระยะหลังบริษัทประกันก็หันมาขายแบบประกันแบบตลอดชีพ (Whole life policy) ควบคู่กับประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง เป็นต้น และแน่นอนเศรษฐกิจทั่วโลกเชื่อมต่อกัน หากต่างประเทศมีปัญหาเกิดภาวะสงคราม ทางด้านประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบเช่น ก่อนหน้านี้สถานการณ์ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบทำให้อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วซึ่งเกี่ยวเนื่องกันโดยตรง" นางนุสรากล่าวนายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สมาคมประกันชีวิตไทยมีแผนดำเนินงานเพื่อเตรียมพร้อมรับมือต่อปัจจัยท้าทายรอบด้าน โดยนำแนวคิดการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานที่คำนึงถึงความรับผิดชอบ ESG ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการกำกับดูแล (Governance) ซึ่งเป็นกรอบการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกให้ธุรกิจประกันชีวิตมีความยั่งยืนในระยะยาวนางนุสรา กล่าวต่อไปถึง ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตของปี 2567 ระหว่าง มกราคม - ธันวาคม มีเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium) อยู่ที่ 653,923 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.23 เมื่อเทียบกับปี 2566 จำแนกเป็น เบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) 184,331 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.28 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) 469,592 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.21 คิดเป็นอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ร้อยละ 83สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย1.) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium) 120,026 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.812.) เบี้ยประกันภัยจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) 64,305 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 2.71โดยสาเหตุสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของธุรกิจมาจากปัจจัยเอื้อทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงกระแสใส่ใจสุขภาพของประชาชนที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพและโรคร้ายแรงเติบโตเพิ่มขึ้น และยังช่วยเสริมให้สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health+CI) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 124,786 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.66 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 19.08 และยังช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ซึ่งเป็นสัญญาหลักเติบโตขึ้นตามไปด้วยส่วนแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 110,777 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.93 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 16.94 ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 282,302 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.76 หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 43.17นอกจากนี้ยังมีเหตุจากความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจโดยเฉพาะการรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) มีสัดส่วนร้อยละ 72 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 คิดเป็นอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ร้อยละ 83 ส่วนเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ (New Business Premium) มีสัดส่วนร้อยละ 28 เติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการเติบโตของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ และสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงโดยจำแนกเบี้ยประกันภัยรับรวมแยกตามช่องทางการจำหน่าย ดังนี้  •  1. การขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิต (Agency) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 346,791 ล้านบาทอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.32 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 53.03  •  2. การขายผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 245,498 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.67 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 37.54  •  3. การขายผ่านช่องทางนายหน้าประกันชีวิต (Broker) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 34,484 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.93 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.27  •  4. การขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ (Tele Marketing) เบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 12,910 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 5.49 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.97ซึ่งที่ผ่านมา สมาคมฯ มีนโยบายที่มุ่งให้แต่ละบริษัทประกันชีวิต มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการบริหารและจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ทั้งก่อนและหลังการรับประกันภัย และมีฐานะทางการเงินที่มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนตามความเสี่ยง (CAR Ratio) สูงกว่าระดับเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่กำหนด (Supervisory CAR) เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยมั่นใจว่า บริษัทประกันชีวิตสามารถปฏิบัติตามภาระผูกพันของกรมธรรม์ประกันภัยได้ทุกกรมธรรม์ที่ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย และพร้อมที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันภัยจนกว่าจะครบกำหนดสัญญาดังจะเห็นได้จาก ในไตรมาสที่ 3/2567 จากข้อมูลบนเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.)ภาคธุรกิจประกันชีวิตมีอัตราส่วนความพอเพียงของเงินกองทุนตามความเสี่ยงอยู่ที่ 373.30 ล้านล้านบาทซึ่งสูงกว่าอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ใช้ในการกำกับ (Supervisory CAR)แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=178589

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

Mammals ศิลปะสื่อผสมที่รังสรรค์จากหัวใจ โดย วิษณุพงษ์ หนูนันท์

20/02/2025

MOCA BANGKOK ภูมิใจนำเสนอ "Mammals" หรือ “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” นิทรรศการเดี่ยวโดย วิษณุพงษ์ หนูนันท์ ศิลปินไฟแรงผู้พลิกทุกโจทย์ธรรมดาให้กลายเป็นผลงานเหนือความคาดหมาย นิทรรศการนี้สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และความหมายของการดำรงอยู่ เปิดให้เข้าชมฟรี! ตั้งแต่วันนี้ถึง 2 มีนาคม 2568 ณ ห้องนิทรรศการหมุนเวียน ชั้น G, MOCA BANGKOKวิษณุพงษ์ หนูนันท์ ศิลปินอิสระแนวร่วมสมัย ผู้ที่รู้จักกันในวงการว่า “หนูนันท์” ร่วมกับ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ MOCA BANGKOK เปิดงานนิทรรศการเดี่ยว "Mammals" จัดแสดงผลงานศิลปะสื่อผสม ประเภทประติมากรรมสื่อผสม ที่จะนำพาผู้ชมเข้ามาสัมผัสกับสุนทรียภาพความงดงามของผลงานศิลปะที่จำลอง ธรรมชาติผ่านกรรมวิธี Mixed Media พร้อมทั้งฉุกคิดและตั้งคำถามถึงความหมายที่แอบแฝงอยู่ เพื่อค้นหาคำตอบ ผ่านหัวใจคณชัย เบญจรงคกุล ผู้อำนวยการ MOCA BANGKOK กล่าวถึงนิทรรศการครั้งนี้ว่า “ทาง MOCA BANGKOK ภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนกับนิทรรศการเดี่ยวของ วิษณุพงษ์ หนูนันท์ ในครั้งนี้ นิทรรศการนี้เป็น จุดเชื่อมต่อระหว่างศิลปินกับผู้ชม ในรูปแบบที่ลึกซึ้งและมีความหมาย ทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองที่อาจ นำไปสู่แรงบันดาลใจใหม่ๆ ซึ่งผลงานของ “หนูนันท์” ใช้วิธีการเล่าเรื่องและแสดงมุมมองของศิลปินที่ถ่ายทอด ออกมาอย่างเป็นเอกลักษณ์ เปรียบเหมือนกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนของเราว่าตัวเรานั้นเป็นใคร ทั้งในแง่ ของร่างกาย จิตใจ และวัฒนธรรม และในยุคที่โลกหมุนไวและเปลี่ยนแปลงเร็ว นิทรรศการนี้จะช่วยให้เราได้หยุดคิดแล้วกลับมาพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ เป็นการใช้ศิลปะเป็นเลนส์ที่ช่วยให้เราได้เห็นความเชื่อมโยงลึกๆ ของชีวิต และชวนให้เราคิดว่าจะทำยังไงให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น เพราะเราทุกคนเป็นส่วนหนึ่ง ของโลกใบเดียวกันMOCA BANGKOK อยากให้ทุกคนได้รับแรงบันดาลใจ ความสงบ และความเชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัวกลับไปหลังจากที่ได้ชมนิทรรศการนี้ ทำให้เรามองสัตว์ มนุษย์ และโลกธรรมชาติในมุมมองที่เปลี่ยนไปจากเดิม และรู้สึกต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสมดุลและความยั่งยืนให้กับชีวิตรอบตัวเราทุกคน รวมถึงอยากเชิญชวนแฟนผลงาน ของหนูนันท์ รวมถึงคนรักศิลปะทั่วไป ไม่ควรพลาดชมนิทรรศการนี้”วิษณุพงษ์ หนูนันท์ เผยว่า จุดเริ่มต้นของผลงานชุดนี้เกิดจากการสำรวจหัวใจตนเอง เนื่องจากเขาชื่นชอบ การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นการวาดหรือการปั้น ที่มี “ผู้หญิง” เป็นองค์ประกอบหลัก จนเกิดเป็น คำถาม และต่อยอดสู่การค้นหาคำตอบจากศาสตร์และศิลป์หลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความเชื่อ ตลอดจนสื่อสังคมต่างๆ จนนำมารังสรรค์เป็นผลงาน 12 ชิ้น ที่ร้อยเรียงกันด้วยคำว่า “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม” ที่ต้องการเชิดชูสตรีเพศ นำเสนอถึงความสวยงามและแง่มุม ชวนขบคิดเกี่ยวกับ “เพศแม่” ทั้งจากมุมมองของมนุษย์ และสะท้อนผ่านบรรดาสิงสาราสัตว์ ที่แต่ละชนิดล้วนเป็น สัญลักษณ์แทนประสบการณ์บางอย่างที่ผู้ชมต้องเป็นผู้ค้นหาและตีความด้วยตนเอง“แม้ว่า “Mammals” จะเป็นชื่อนิทรรศการ แต่ธีมหลักของผลงานทั้ง 12 ชิ้นนี้ แท้จริงแล้วคือ “หัวใจ” ทั้งใน ความหมายเชิงชีววิทยา ถึงอวัยวะที่สูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย และความหมายเชิงจิตวิญญาณ ที่สื่อถึง ความรัก สายใยความผูกพัน เพราะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีความแตกต่างอย่างมากจากสัตว์ประเภทอื่น ๆ บนโลก ทั้งการตั้งครรภ์ที่ยาวนานกว่า และการวิวัฒนาการที่ทำให้ร่างกายของ “แม่” กลั่นสารอาหารในร่างกายออกมา เป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสายใยความผูกพันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแน่นแฟ้นยิ่งกว่า สัตว์ประเภทอื่น” วิษณุพงษ์ หนูนันท์ กล่าว"Mammals" ประกอบด้วยผลงานทั้งหมด 12 ชิ้นงาน โดยที่แต่ละชิ้นงานประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ สตรี และ สัตว์ โดยที่ทั้งสองจะสะท้อนความหมายถึงกันและกัน เพื่อเปิดทางสู่การสร้างความเข้าใจใหม่ เกี่ยวกับ “ชีวิต” และ “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม”ตัวอย่างเช่น “วาฬ” ผลงานที่ วิษณุพงษ์ หนูนันท์ เลือกมาเป็นตัวเอกบนหน้าโปสเตอร์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่แม้ว่าจะวิวัฒนาการจนสามารถหายใจเหนือน้ำได้แล้ว ก็ยังคงอาศัยอยู่ในมหาสมุทร ซึ่งวาฬไม่ได้เพียงแค่เอาชีวิตรอดไปวัน ๆ เท่านั้น แต่กลับสามารถเติบโตจนกลายเป็นเจ้าสมุทรผู้ยิ่งใหญ่ได้ สะท้อน สู่ภาพของสตรีที่มักถูกมองเป็นเพศที่อ่อนแอ ต้องหาทางเอาชีวิตรอด ทั้งที่วิวัฒนาการธรรมชาติทำให้ผู้หญิงเป็น ผู้ที่ต้องเสียสละในการตั้งครรภ์ ผ่านความเจ็บปวดในการนำมนุษย์อีกคนมาสู่โลกใบนี้“กระทิง” ผลงานที่ดูหวือหวาที่สุดในนิทรรศการนี้ กับภาพสตรีเปลือยพร้อมผ้าสีแดง ยืนอยู่ต่อหน้ากระทิงดุ ซึ่งสื่อถึง มาทาดอร์ (Matador) วัฒนธรรมการสู้วัวกระทิงของสเปนที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่กีฬาที่มี ประวัติยาวนานนี้กลับยังไม่เปิดรับความเท่าเทียมให้กับเพศหญิง ทำให้ปัจจุบันในประเทศสเปนมีมาทาดอร์หญิง เพียง 4 คนเท่านั้น สะท้อนภาพโลกการทำงานที่หลายครั้งผู้หญิงยังไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมในบางอาชีพ“ช้าง” อีกหนึ่งผลงานที่กลั่นกรองออกมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของ วิษณุพงษ์ หนูนันท์ เอง ที่ได้ประสบกับ ความสูญเสียภายในครอบครัว นำมาสู่ผลงาน “ช้าง” สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ตั้งท้องนานที่สุดในโลกคือ 22 เดือน ที่เขาตั้งใจสื่อถึงสุภาษิตไทย "ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มี” ซึ่งผู้ชมต้องค้นหาเองว่า สิ่งที่ปิดบังไว้ไม่มิด ในผลงานชิ้นนี้คืออะไรกันแน่นอกจากผลงานทั้งสามชิ้นนี้ ในนิทรรศการ “Mammals” ผู้ชมจะได้พบกับผลงานสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอันน่า ตื่นตาตื่นใจอื่นๆ อีกมากมาย เช่น แมว สิงโต ม้าลาย กระทิง และแรด ซึ่งผู้ชมแต่ละท่านจะได้รับสารแบบใด ตั้งคำถามอะไรกับผลงานแต่ละชิ้น และตีความออกมาอย่างไร ล้วนขึ้นอยู่กับมุมองและประสบการณ์ของ แต่ละคนเอง ซึ่ง “หนูนันท์” อยากให้ผู้ที่ชื่นชอบผลงานศิลปะทุกท่านได้มาสัมผัสด้วยตาและหัวใจตนเองที่ ห้องนิทรรศการหมุนเวียน ชั้น G, MOCA BANGKOK ทุกวัน ฟรี! ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม 2568 เวลา 10:00 - 18:00 น. (ยกเว้นวันจันทร์ โดยพิพิธภัณฑ์ปิดทำการ) สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อเบอร์ 02-016-5666 หรืออีเมล info@mocabangkok.comแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9680000013913

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X