คลังความรู้

Everyday knowledge for you

การดำเนินชีวิต

สิงคโปร์ ระบบบำนาญดีที่สุดในเอเชีย ได้เกรด B+ ส่วนไทยได้ C คะแนนต่ำรั้งท้าย

24/10/2024

รายงานดัชนีเงินบํานาญทั่วโลกของ Mercer CFA Institute Global เผย “เนเธอร์แลนด์” ได้เกรด A ระบบบำนาญหลังเกษียณดีที่สุดในโลก ขณะที่ในเอเชียพบว่า “สิงคโปร์” มีระบบบำนาญดีที่สุด โดยได้เกรด B+ ส่วนไทยได้ C เกือบแย่สุด!ปัจจุบันภาวะ ‘สังคมสูงวัย’ กำลังขยายวงกว้างไปทั่วโลก เด็กเกิดใหม่น้อยลง คนวัยแรงงานลดลง ส่วนคนแก่ก็อายุยืนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่น่ากังวลคือหลายประเทศกลับยังไม่มีมาตรการเตรียมรับมือปัญหาขาดแคลนแรงงาน และดูแลประชากรวัยเกษียณ ระบบบำนาญหลังเกษียณยังคงล้าสมัย แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายประเทศที่เร่งปรับปรุงระบบเกษียณใหม่ ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปล่าสุด.. มีรายงานจัดอันดับระบบบำนาญหลังเกษียณที่ดีที่สุดในโลก ประจำปีครั้งที่ 16 ซึ่งพิจารณาจากค่าดัชนีเงินบํานาญทั่วโลกของ Mercer CFA Institute Global Pension Index 2024 พบว่า “เนเธอร์แลนด์” ขึ้นแท่นอันดับ 1 เป็นประเทศที่ระบบเกษียณดีที่สุดในโลก ประเมินผลได้เกรด A มีค่าดัชนีโดยรวม 84.8 คะแนน รองลงมา คือ “ไอซ์แลนด์” ประเมินผลได้เกรด A มีค่าดัชนี 83.4 คะแนน และ “เดนมาร์ก” ประเมินผลได้เกรด A มีค่าดัชนี 81.6 คะแนน เป็นอันดับสองและสามตามลำดับกว่าจะได้ผลลัพธ์นี้มา ทีมวิจัยได้ตรวจสอบแหล่งที่มาของรายได้หลังเกษียณอายุจากภาครัฐและภาคเอกชนใน 48 ประเทศ ซึ่งครอบคลุม 65% ของประชากรโลก รวมถึงใช้ข้อมูลที่อัปเดตจาก OECD (องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) และข้อมูลจากหน่วยงานระหว่างประเทศอื่นๆ ด้วยจากนั้นนำมาวิเคราะห์และประเมินตามเกณฑ์พิจารณา 3 ข้อ คือ 1. ความเพียงพอของรายได้หลังเกษียณ ประชากรมีกำลังใช้จ่ายได้เหมาะสม 2. ความยั่งยืนของระบบเกษียณ สามารถส่งมอบต่อไปในอนาคตได้ 3. ความสมบูรณ์มั่นคงของระบบบำนาญหลังเกษียณที่สามารถเชื่อถือได้ และยังนำมาเทียบกับตัวชี้วัดอื่นๆ อีกมากกว่า 50 รายการ  •  สิงคโปร์ ขึ้นแท่นประเทศที่มีระบบบำนาญดีที่สุดในเอเชีย ส่วนไทยรั้งท้ายตาราง  อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกลงไปในรายงานและดูเฉพาะกลุ่มประเทศในแถบเอเชีย พบว่า ประเทศที่มีระบบเกษียณดีที่สุดในเอเชีย คือ สิงคโปร์ ประเมินผลได้เกรด B+ มีค่าดัชนีรวม 78.7 คะแนน ขึ้นเป็นอันดับ 5 ของโลกบนชาร์ต ขณะที่ประเทศไทยมีระบบบำนาญหลังเกษียณไม่ดี ประเมินผลได้เกรด C มีค่าดัชนีรวม 50.0 คะแนน ได้อันดับ 43 ของโลกรั้งท้ายตาราง สำหรับผลประเมินระบบเกษียณของประเทศในโซนเอเชียทั้งหมด 12 ประเทศ มีการจัดอันดับ ประเมินเกรด และให้คะแนนค่าดัชนีรวม ดังนี้สิงคโปร์   ได้เกรด B+ คะแนนรวม 78.7  อันดับ 5 ของโลกฮ่องกง    ได้เกรด C+  คะแนนรวม 63.9  อันดับ 25 ของโลกจีน         ได้เกรด C+  คะแนนรวม 56.5  อันดับ 31 ของโลกมาเลเซีย  ได้เกรด C   คะแนนรวม 56.3  อันดับ 32 ของโลกญี่ปุ่น      ได้เกรด C   คะแนนรวม 54.9  อันดับ 36 ของโลกเวียดนาม  ได้เกรด C  คะแนนรวม 54.5  อันดับ 38 ของโลกไต้หวัน     ได้เกรด C  คะแนนรวม 53.7  อันดับ 39 ของโลกเกาหลีใต้  ได้เกรด C  คะแนนรวม 52.2  อันดับ 41 ของโลกอินโดนีเซีย ได้เกรด C คะแนนรวม 50.2  อันดับ 42 ของโลกไทย        ได้เกรด C  คะแนนรวม 50.0  อันดับ 43 ของโลกฟิลิปปินส์  ได้เกรด D  คะแนนรวม 45.8  อันดับ 46 ของโลกอินเดีย     ได้เกรด D  คะแนนรวม 44.0  อันดับ 48 ของโลก  •  รัฐบาลประเทศต่างๆ ควรเร่งแก้ปัญหาระยะยาวสำหรับผู้เกษียณอายุ ให้มีรายได้เพียงพอแพท ทอมลินสัน (Pat Tomlinson) ประธานและซีอีโอของ Mercer เปิดเผยว่า โลกของเราในปัจจุบันมีอัตราประชากรเกิดใหม่ลดลง ขณะที่ผู้สูงวัยก็มีอายุขัยที่ยืนยาวเพิ่มขึ้น ดังนั้นการจะดูแลประชากรในภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้นั้น “ระบบบำนาญหลังเกษียณ” ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง รัฐบาลประเทศต่างๆ ควรสร้างระบบรายได้หลังเกษียณของภาคเอกชนและภาครัฐให้สอดคล้องกันอย่างแน่นแฟ้น เพิ่มความคุ้มครองให้พนักงาน และสนับสนุนให้แรงงานสูงวัยมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานมากขึ้น แม้จะอยู่ในวัยเกษียณแล้วก็ตาม เพื่อเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวสำหรับผู้เกษียณอายุให้มีรายได้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต ช่วยให้สมาชิกในระบบบำนาญได้มีรายได้และการเป็นอยู่ที่ดีที่สุดด้าน มาร์กาเร็ต แฟรงคลิน (Margaret Franklin) ประธานและซีอีโอของ CFA Institute กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงไปสู่แผนการเกษียณอายุที่มีเงินสมทบกำหนดไว้อย่างชัดเจนนั้น นำมาซึ่งความท้าทายด้านการวางแผนการเงินมากมาย ซึ่งผู้เกษียณอายุในอนาคตจะต้องแบกรับภาระนี้เอง รายงานชิ้นนี้ถือเป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญเกี่ยวกับช่องว่างของระบบเกษียณที่ยังไม่เที่าเทียมกันในบางประเทศ และมันส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินระยะยาวของคนวัยเกษียณ  •  ผู้สูงอายุควรได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรี ได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างดีมีคุณภาพ  เนื่องจากผู้คนมีอายุยืนยาวขึ้น แนวคิดเรื่องการเกษียณอายุกำลังเปลี่ยนแปลงไป หลายประเทศจึงเริ่มมีการปรับปรุงระบบจัดเก็บเงินเพื่อการเกษียณใหม่ให้มีความยืดหยุ่นมากว่าระบบเดิม คนวัยทำงานกลุ่มสูงวัยใกล้เกษียณจำนวนมากกำลังค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับการเกษียณอายุแบบใหม่ เช่น การกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งอื่นหลังจากเกษียณอายุครั้งแรก “จำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบรายได้หลังเกษียณอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อตอบสนองความต้องการทางการเงินของผู้เกษียณอายุและความคาดหวังของการทำงานต่อไป ต้องใช้หลายๆ ยุทธวิธีในการแก้ปัญหานี้ เพื่อให้ระบบเกษียณอายุมีความมั่นคงมากขึ้น รัฐบาล ผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานผู้ดูแลเงินบำนาญ และนายจ้าง จะต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้แน่ใจว่าประชากรสูงอายุได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรี และสามารถใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างดีมีคุณภาพเหมือนกับตอนที่ยังทำงาน” ดร.เดวิด น็อกซ์ (David Knox) หุ้นส่วนอาวุโสของ Mercer อธิบายเมื่อผู้คนยุคนี้มีอายุยืนมากขึ้น และต้องใช้ชีวิตท่ามกลางภาวะอัตราดอกเบี้ยสูง และมีต้นทุนการดูแลสุขภาพตัวเองที่เพิ่มขึ้น ทําให้เกิดแรงกดดันต่องบประมาณของรัฐบาลเพื่อสนับสนุน “โครงการบํานาญวัยเกษียณ” ส่งผลให้ระบบบำนาญในภาพรวมทั่วโลกมีคะแนนลดลงเล็กน้อยในปีนี้ ตามรายงานระบุด้วยว่า ระบบบำนาญในหลายๆ ประเทศอย่างจีน เม็กซิโก อินเดีย และฝรั่งเศส ได้ดําเนินการปฏิรูปเงินบํานาญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1150583

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ไทย - อินโดนีเซีย 24 ศิลปินกับภาพจิตรกรรมสะท้อนวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม

24/10/2024

24 ศิลปินไทย - อินดีนีเซีย ร่วมแสดงผลงานจิตรกรรมในนิทรรศการ “Blending Souls : Indonesia - Thailand Painting Exhibition” สะท้อนวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม เชื่อมโยงสายสัมพันธ์สองประเทศกรมศิลปากร โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ขอเชิญชมนิทรรศการ “Blending Souls : Indonesia – Thailand Painting Exhibition” จัดแสดงผลงานจิตรกรรมของ 24 ศิลปิน จากประเทศอินโดนีเซียและประเทศไทยนิทรรศการ “Blending Souls : Indonesia – Thailand Painting Exhibition” เป็นนิทรรศการความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป กรมศิลปากร และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย จัดแสดงผลงาน จิตรกรรม ของศิลปินที่มีชื่อเสียงของทั้งสองประเทศ แสดงถึงมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปินนิทรรศการ Blending Souls : Indonesia – Thailand Painting ExhibitionSolidarity No.1, อะคริลิคบนผ้าใบ ขนาด 100 X 120 เซนติเมตร ของ สมโภชน์ สิงห์ทองAncient Legacy #01, 170 x 125 เซนติเมตร, สื่อผสมบนผ้าใบ โดย Made Torisนิทรรศการในครั้งนี้มี ศิลปินชาวอินโดนีเซีย จำนวน 12 คน อาทิ Heri Dono, Edi Sunaryo, Ni Nyoman Saoi, Ketut Muka Pendet, Erica Hestu Wahyuni, Made Toris นำภาพจิตรกรรมหลากหลายเทคนิคมาร่วมแสดงผลงานกับ ศิลปินไทย จำนวน 12 คน เช่น ภานุพงศ์ คงเย็น, ปานพรรณ ยอดมณี, สมโภชน์ สิงห์ทอง, สุชาติ วงษ์ทอง, สมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ประจำปี 2560 รวมผลงานที่นำมาจัดแสดงกว่า 40 ชิ้น ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต สังคม และวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ สร้างความรับรู้และเข้าใจในความหลากหลายผ่านผลงานศิลปะ เชื่อมโยงสายสัมพันธ์ของสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นพิธีเปิดนิทรรศการมีขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2567 เวลา 14.00 น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป โดยได้รับเกียรติจากนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภาเป็นประธานในพิธีระห์หมัด บูดีมัน ร่วมชมนิทรรศการฯ กับ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์วันเปิดนิทรรศการ Blending Souls : Indonesia – Thailand Painting Exhibitionนายระห์หมัด บูดีมัน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทย กล่าวต้อนรับแขกที่มาร่วมงานและกล่าวถึงแนวคิดในการจัดนิทรรศการดังกล่าวนายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรมและนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกล่าวเปิดงานพร้อมด้วยนายเจษฎา ชีวะวิชวาลกุล รองอธิบดีกรมศิลปากร ร่วมกันตัดริบบิ้นเปิดนิทรรศการ “Blending Souls : Indonesia – Thailand Painting Exhibition”นิตยา กนกมงคล, สมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพง, สถาพร เที่ยงธรรมโดยมีนางสาวนิตยา กนกมงคล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และนางสาวดาริกา ธนะศักดิ์ศิริ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป เอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมในพิธีเปิด ณ ห้องอเนกประสงค์และอาคารนิทรรศการ 6 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลปผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ “Blending Souls : Indonesia – Thailand Painting Exhibition” ได้ระหว่างวันที่ 4 – 30 ตุลาคม 2567 ณ อาคารนิทรรศการ 6 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้าจิตวิญญาณในมรดกไทย สีอะคริลิค ขนาด 160X160 ซม. โดย สุชาติ วงษ์ทองินิทรรศการ Blending Souls : Indonesia – Thailand Painting Exhibitionเปิดให้เข้าชมวันพุธ – วันอาทิตย์ เวลา 09.00 – 16.00 น. (หยุดวันจันทร์ วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) ค่าเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท นักเรียน นักศึกษา ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และนักบวชทุกศาสนา เข้าชมฟรีแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ กรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1149485

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

แมกไม้เปลี่ยนสีล้อม 'ทะเลสาบหัวใจ' ในแคนาดา

24/10/2024

แมกไม้เปลี่ยนสีล้อม 'ทะเลสาบหัวใจ' ในแคนาดาสำนักข่าวซินหัว บันทึกภาพน่าทึ่ง 'ทะเลสาบหัวใจ' ในแคนาดา พักผ่อนสายตากับทิวทัศน์ธรรมชาติยามแมกไม้เปลี่ยนสีสัน กอปรกับทะเลสาบรูปหัวใจแสนน่ารัก บริเวณใกล้ทางหลวงสาย 60 ในรัฐออนแทรีโอของแคนาดา (บันทึกภาพวันที่ 8 ต.ค. 2024)แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1449619/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย คว้ารางวัล “บริษัทประกันประกันชีวิตที่มีความยั่งยืนดีเด่น” และ “ประกันชีวิตที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยดีเด่น” ประจำปี 2566 จากงานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2567

24/10/2024

นายโยฮัน ดีทอย (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน และ ด็อกเตอร์ คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัลกรุงเทพฯ, 24 ตุลาคม 2567 –  เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายโยฮัน ดีทอย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน และ ด็อกเตอร์ คริสเตียน โรแลนด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และดิจิทัล รับรางวัล “บริษัทประกันชีวิตที่มีความยั่งยืนดีเด่น ประจำปี 2566” ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 พร้อมด้วยรางวัล “ประกันชีวิตที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยดีเด่น ประจำปี 2566” จากงานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2567 (Prime Minister’s Insurance Awards 2024) จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งทั้งสองรางวัลดังกล่าวนับเป็นรางวัลเกียรติยศที่สะท้อนถึงการบริหารงานที่โดดเด่นและดำเนินงานตามหลัก ESG (Environmental, Social และ Governance) เพื่อมุ่งสร้างความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ที่เอไอเอ ยึดมั่นมาตลอดกว่า 86 ปีในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตลอดจนตอกย้ำถึงความเป็นที่หนึ่งในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อส่งมอบความคุ้มครองและการบริการที่ยอดเยี่ยมให้แก่คนไทยทั่วประเทศ ด้วยแอปพลิเคชัน AIA+ (เอไอเอ พลัส) แอปเดียวจบครบทุกบริการจากเอไอเอนอกจากนี้ ตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอ ประเทศไทย จำนวน 9 ท่าน ยังได้เข้ารับรางวัล ‘ตัวแทนประกันชีวิตคุณภาพดีเด่น ประจำปี 2566’ ซึ่งประกอบด้วย นางสาวผานิต หมื่นสันธิ (หน่วยทองล้านนา 22) นายชัยญาพร พรมยะดวง (หน่วยเอ็มดีเอสที 5) นายรัฐวิชญ์ อัศวหิรัญพณิช (หน่วยเอ็นจอย เวลท์) นางอรวรรณ ผันเผาะ (หน่วยอาร์ที เอ็น ซัคเซสฟูล) นางสาวศิริภรณ์ พุทธรักษ์ (หน่วยเดือนทอง 8) นายเอกอนันต์ รื่นโต  (หน่วยเพชรสันติสุข 41) นางสาวอนุธิดา ชาวนาฝ้าย (หน่วยนำทอง 1215) นางเกศิณี เพ็ชรแสนงาม (หน่วยทองล้านนา 19) และ นางสาวธิดาจิตร มุขมณี (หน่วยทรัพย์ธานี 18 เอเอเอ 24) สำหรับทุกรางวัลที่เอไอเอ ประเทศไทย และพลังตัวแทนได้รับในครั้งนี้ เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงคุณภาพในการดำเนินงานและมุ่งถึงประโยชน์ของลูกค้าเป็นสำคัญ ซึ่งเอไอเอ ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาองค์กรในทุกมิติ ควบคู่กับการยกระดับศักยภาพพลังตัวแทน เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น สอดคล้องตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ ทั้งนี้ งานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2567 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ณ ห้อง World Ballroom โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และแบงคอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

อสังหาริมทรัพย์ Vs. ลงทุนในหุ้น อันไหนดีกว่ากัน ?

22/10/2024

ป๊าได้ทำทั้ง 2 อย่างมีดี มีข้อดีข้อเสียต่างกันพอสรุปอย่างง่ายๆ ให้ฟังนะครับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะไม่เครียดเหมือนหุ้น คือซื้อแล้วถือรอยาวเลย ใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่การลงทุนในหุ้น มีตัวเลข รายงานให้เราต้องติดตามตลอดเวลา มีความเครียดกว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่มีตำราสอน ไม่มีทฤษฎีเฉพาะ ไม่มีหลักเกณฑ์ indicator เราต้องเรียนรู้ เราต้องรู้พื้นฐานของราคาที่ดินบริเวณนั้นๆ ไม่มี PE ให้เปรียบเทียบการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ๆ ถ้าลงทุนในหุ้น เราใช้เงินหลักหมื่น หลักแสนก็เริ่มซื้อขายได้แล้วการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เสี่ยงน้อยกว่าในหุ้น มีปัจจัยภายนอกน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สภาพคล่องน้อยกว่าในหุ้น อยากขาย บางทีต้องรอเนื้อคู่ก่อน ส่วนหุ้นอยากขายเมื่อไรก็ขายได้เลยการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ได้เชยชม ได้ชื่นชม คือได้ใช้พื้นที่ทำประโยชน์ต่อไป เช่นถ้าเรามีที่ดินริมทะเล เราได้ใช้ ได้ชื่นชม คล้ายๆเป็นปันผลในหุ้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เลือกง่ายกว่า ดูง่ายกว่าในหุ้น ตามองเห็น จับต้องได้ หุ้นยังมีปัจจัยยุ่งยากกว่าเยอะป๊าจะเล่าปัจจัยในอสังหาริมทรัพย์ให้ฟัง คือมีเศรษฐีชาวฮ่องกง แกข้ามน้ำข้ามทะเลมาซื้อที่ดิน รอบๆสวนลุมพินีของเรา โดยเอาความคิดว่า ที่ดินรอบสวนสาธารณะหายาก หมดแล้วหมดเลย เหมือนที่ดินติดแม่น้ำ ที่ดินติดทะเล หมดแล้วหมดเลย แต่ที่ติดสวนลุมพินี มันเป็นเมืองชั้นใน ซื้อขายได้ง่ายเขาซื้อที่แปลงนี้มาตารางวาละ 200,000 บาท ผ่านมา 30 ปี ที่แปลงนั้นตอนนี้ ตารางวาละ 3,000,000 บาท เติบโต มา 15 เท่า ในเวลา 30 ปี มันมากจริงๆๆเลยนะครับ และแกซื้อจำนวน 8 ไร่ ใช้เงินลงทุน 640 ล้าน 30 ปี แกขายได้ 9,600 ล้าน มันมากโขเลย อย่างที่ป๊าเคยบอก ที่ดิน เวลาขาย เราจะขายยกแปลง ได้เนื้อได้หนังครับแต่ที่น่าสังเกตคือ แกข้ามน้ำข้ามทะเลมาซื้อที่ดินติดสวน สาธารณะ อย่างเดียว แสดงว่าแกเป็นคนที่มองขาด มีวิสัยทัศน์ ทุกๆคนอย่าลืมเก็บไว้เรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียนนะครับ ถ้ามีโอกาส อย่าลืมซื้อที่ดินติดสวนสาธารณะ หรือ ที่ๆติดกับสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆอีกนะครับแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ stock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/6085

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

คลังหวังสิ้นปี 68 เบี้ยประกันทะลุ 1 ล้านล้าน เร่งสางปมกองทุนประกันวินาศภัย

22/10/2024

คลังหวังสิ้นปี 68 เบี้ยประกันทะลุ 1 ล้านล้าน ชี้โตกว่าจีดีพี เร่งสางปมกองทุนประกันวินาศภัย เล็งขอความร่วมมือธุรกิจประกัน-รัฐช่วยอุ้มนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายในงานมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2567 (Prime Minister's Insurance Awards 2024) ว่า ธุรกิจประกันเติบโตเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับช่วงที่ตนเคยทำงาน ซึ่งปัจจุบันมีเบี้ยประกัน มูลค่ากว่า 9.5 แสนล้านบาท เฉลี่ยเติบโต 3% ซึ่งหากถามว่าเติบโตขนาดเท่าใดนั้น เมื่อเทียบกับการเติบโตเศรษฐกิจไทย ที่ประมาณการว่าปีนี้จะอยู่ที่ 2.7% ไม่ถึง 3%ทั้งนี้ หมายความว่าธุรกิจประกันนั้นเติบโตได้อย่างดี ประชาชนเริ่มเข้าถึง และนอกจากธุรกิจประกันดูแลเรื่องความเสี่ยงแล้ว เม็ดเงินจากธุรกิจนี้จะเป็นฐานเงินทุนของตลาดทุนด้วย ช่วยให้ตลาดทุนเติบโตด้วย ซึ่งหวังว่าสิ้นปี 68 มูลค่าของเบี้ยประกัน จะอยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท ขณะที่แนวทางการหาแหล่งเงินเข้ามาใส่ในกองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) เพื่อช่วยเหลือ กรณีมีบริษัทปิดกิจการนั้น เรื่องดังกล่าวจะต้องทำให้เรียบร้อย และต้องมีการหารือร่วมกัน ซึ่งระยะยาวสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ต้องเป็นแกนกลางให้กับบริษัท เพื่อให้ธุรกิจประกันอยู่ได้ เพราะแต่ละบริษัทมีผลประกอบการไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ จะต้องดูแหล่งเงินที่จะเติมเข้าใส่กองทุน โดยได้หารืออย่างไม่เป็นทางการแล้ว มีตัวเลือกอยู่ 2-3 ทาง น่าจะขอความร่วมมือกับธุรกิจประกันภัย และส่วนหนึ่งน่าจะมาจากภาครัฐด้วยส่วนในที่สุดจะต้องเพิ่มเงินนำส่งเข้ากองทุนหรือไม่ ก็อาจจะมีหลายๆ ส่วนผสมกัน ขณะที่แนวทางที่กระทรวงการคลังจะให้กู้ แล้วเป็นผู้ค้ำประกันให้นั้น มองว่าหากแหล่งของเงินมีความชัดเจน การค้ำประกันก็ไม่จำเป็น“เวลาต้องชำระ เราต้องหาแหล่งเงินที่เชื่อได้ว่าจะเข้ามาต่อเนื่อง เพื่อหาแหล่งเงินที่จะได้ชำระในทีเดียว เรามีการคุยกันอย่างไม่เป็นทางการแล้ว ก็มีตัวเลือกอยู่ 2-3 ทาง ซึ่งขอให้รอดูความชัดเจนอีกครั้ง“แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/finance/insurance/609996

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

‘Hero & Heroine’ ความไม่สมบูรณ์แบบของฮีโร่ ผ่านมุมมองสองศิลปิน Gen Z

22/10/2024

หากลองถาม ChatGPT ว่า ‘ฮีโร่ มีนิยามว่าอะไร’ คำตอบที่ได้คือ ‘บุคคลที่แสดงความกล้าหาญ ความเสียสละ และความสามารถในการเผชิญหน้ากับความยากลำบาก หรือปัญหาที่ท้าทาย’ ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่เราต่างคุ้นเคยเสมอมานิทรรศการ ‘Hero & Heroine’ จึงอยากเปลี่ยนมุมมองใหม่ให้ทุกคนได้เห็น ‘ฮีโร่’ ในอีกด้านที่ซ่อนอยู่ โดยเผยถึงความอ่อนแอ ความเปราะบาง รวมไปถึงความเศร้า ภายใต้แนวคิดที่ว่า ‘ฮีโร่ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ’ ผ่านมุมมองของสองศิลปินรุ่นใหม่ Guy Satayu และ Little.aiiนิทรรศการแสดงผลงานคู่ครั้งนี้เป็นการร่วมงานอย่างต่อเนื่องของทรู ดิจิทัล พาร์ค และ Madskills แกลเลอรี่สตาร์ทอัพสัญชาติไทย โดยมีหมุดหมายในการส่งเสริมให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้แสดงผลงานและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พร้อมเปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน เพื่อให้ทุกคนได้เข้ามาชื่นชมงานศิลปะอย่างใกล้ชิดในวันที่ภาพลักษณ์ของฮีโร่ถูกตีกรอบด้วยความกล้าหาญและความสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการเปิดใจเข้าไปชมนิทรรศการที่พาคุณสำรวจด้านที่เปราะบางและไม่สมบูรณ์แบบของพวกเขาฮีโร่ในมุมมองของเหรียญสองด้านในมุมมองของ กาย - ศตายุ ลิ่วกิตติวรกุล หรือ Guy Satayu ฮีโร่ไม่ได้มีเพียงความเข้มแข็งและกล้าหาญ และต้องการนำเสนอว่า ฮีโร่ก็เหมือนกับเหรียญสองด้าน ที่มีทั้งความรู้สึกเศร้า โดดเดี่ยว หรือจุดบกพร่องที่ซ่อนไว้จากสายตาของสังคม ผลงานของกายเล่าผ่านหลากหลายตัวละครที่มีความซับซ้อน และสะท้อนออกมาเป็นภาพแนว Surrealism ที่ใช้โทนสีหม่นอันเป็นเอกลักษณ์ของงานในครั้งนี้ของกายภาพที่ชื่อว่า ‘Flip Side’ คือหนึ่งในผลงานที่อธิบายแนวคิดของกายได้อย่างครบถ้วน จากรูปใบหน้าทั้งหกที่เรียงคู่กัน มีความหมายที่ซ่อนอยู่“ภาพนี้เป็นการเผยอีกด้านของฮีโร่ที่เรามักจะไม่เห็น เหมือนกับพลิกเหรียญอีกด้านมาเทียบกัน และวาดออกมาเป็นใบหน้าฝาแฝดที่อยู่คู่กัน ด้านหนึ่งเป็นใบหน้าที่มีความสุข ใจดี แต่ใบหน้าที่อยู่คู่กันจะเป็นมุมกลับที่อาจแสดงถึงความน่ากลัว เฉยชา หรือเป็นคนไม่ดีไปเลยก็ได้” กายอธิบายการยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบอย่างมีความสุขอัย – อัยดา นำศิริไพบูลย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Little.aii มาพร้อมผลงานภาพวาดสีน้ำมันที่ใช้สีสันสดใส โดยนำเสนอฮีโร่ในมุมมองที่แตกต่างออกไป เธอใช้ความน่ารักและซุกซนของคาแรกเตอร์ ‘Bubble Bear’ ที่เป็นหมีลูกโป่ง เพื่อสื่อให้เห็นว่าฮีโร่ก็มีข้อบกพร่อง แต่การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบอย่างมีความสุขต่างหากคือหัวใจสำคัญของการเป็นฮีโร่ซึ่งมีอยู่ในตัวทุกคน“แรงบันดาลใจของอัยมาจากความชอบฮีโร่แบบ Powerpuff Girls ที่งอแงหรือเอาแต่ใจแบบเด็กๆ ได้ ซึ่งก็พัฒนามาเป็นคาแรกเตอร์ Bubble Bear ที่บอกเล่าเรื่องราวในงานครั้งนี้ โดยจะมีดีเทลเล็กๆ ที่บอกถึงความไม่สมบูรณ์แบบไว้ เช่น รุ้งก็ไม่ได้วาดให้ครบ 7 สี หรือลูกโป่งหัวใจที่เห็นว่ามีการซ่อมแซมรอยรั่วให้กลับมาลอยได้เหมือนเดิม จะเห็นได้ว่าทุกรูปแสดงให้เห็นถึงความสุขแม้จะมีรายละเอียดที่สื่อถึงความไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม” อัยสรุปความแตกต่างที่เติมเต็มซึ่งกันและกันไฮไลต์ของนิทรรศการครั้งนี้คือ งานศิลปะที่ตั้งอยู่กลางห้องสตูดิโอ ซึ่งเป็นผลงานที่เกิดจากการร่วมมือกันของสองศิลปิน โดยนำคาแรกเตอร์ของทั้งคู่มารวมไว้ในภาพเดียว เบื้องหลังการสร้างสรรค์ผลงานนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งในเรื่องของกรอบเวลาที่จำกัด และระยะทางที่ศิลปินทั้งสองอยู่กันคนละจังหวัดกัน“หลังจากคุยคอนเซปต์กันแล้ว อัยต้องเริ่มวาดก่อนเพราะทำงานอยู่ที่จังหวัดสกลนคร โดยวาดภาพโดยรวมแล้วเว้นที่ให้กับคาแรกเตอร์ของกายที่สเก็ตช์ส่งมาให้ หลังจากนั้นก็ลงสีในส่วนของเราให้ครบ รอให้สีแห้ง 3 วันแล้วจึงรีบส่งมาให้กายที่กรุงเทพฯ เพื่อเก็บรายละเอียดชิ้นงาน ทั้งคาแรกเตอร์และส่วนที่เป็นพื้นหญ้าในโทนสีของกายให้ครบสมบูรณ์ก่อนถึงวันจัดแสดงงาน” อัยเล่าถึงการทำงานร่วมกัน ซึ่งนับเป็นการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่ดูลงตัวนิทรรศการนี้ไม่เพียงแต่จะนำเสนอตัวละครที่เป็นฮีโร่ในโลกของศิลปะเท่านั้น แต่ยังเชิญชวนให้ผู้ชมกลับไปคิดทบทวนว่า ‘ฮีโร่ของคุณคือใคร’ พร้อมยอมรับว่า ความแข็งแกร่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องไม่มีความอ่อนแอ เพราะแม้แต่ฮีโร่ก็ยังมีช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความเปราะบางของตนเองการบ่มเพาะอาชีพงานสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่นิทรรศการ Hero & Heroine นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการบ่มเพาะศิลปินรุ่นใหม่ในพื้นที่ของ TDPK Studio ให้ได้แสดงออกถึงความสามารถ และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้พัฒนาฝีมือและสร้างเส้นทางในสายอาชีพศิลปินอย่างมั่นคง“การสนับสนุนของทรู ดิจิทัล พาร์คเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางอาชีพของศิลปินรุ่นใหม่ สิ่งที่เราทำเป็นแรงสนับสนุนเล็กๆ ที่ให้พวกเขาก้าวต่อไป ในอนาคตพวกเขาอาจจะจัดเป็น Solo Exhibition ที่นี่ก็ได้ หรือไปจัดที่อื่น และไปถึงต่างประเทศ เราก็เฝ้าเชียร์พวกเขาต่อไป” ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไป ทรู ดิจิทัล พาร์ค ทิ้งท้ายแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/business/detail/9670000093990

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เที่ยวตามรอย “ธี่หยด2” ชมบรรยากาศลึกลับ ที่ “สวนพฤกษศาสตร์ระยอง”

22/10/2024

ภาพยนตร์ไทยที่กำลังเป็นกะแส และมีผู้ชมพูดถึงมากที่สุดในช่วงนี้ ก็คือภาพยนตร์เรื่อง “ธี่หยด2” ภาพยนตร์แนวสยองขวัญภาคต่อ ที่หลายคนรอคอย หากใครที่ไปชมมาแล้ว และยังอินกับฉากที่มีบรรยากาศลึกลับ ชวนค้นหา วันนี้จึงขอชวนทุกคนมาท่องเที่ยวตามรอยกันที่ “สวนพฤกษศาสตร์ระยอง” ซึ่งเป็นหนึ่งในฉากสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้“สวนพฤกษศาสตร์ระยอง” ตั้งอยู่ใน อ.แกลง จ.ระยอง จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ศึกษาวิจัย และรวบรวมพรรณไม้ในภาคตะวันออก รวมถึงเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ในเชิงนิเวศแก่ผู้เข้าชมนักท่องเที่ยวสามารถเดินตามเส้นทางธรรมชาติมาชมป่าเสม็ดได้ หากมาชมในช่วงนี้ซึ่งเป็นฤดูที่มีน้ำขังเล็กน้อย ก็จะได้บรรยากาศของป่าเสม็ดที่ดูสวยงามแปลกตาไปอีกแบบ โดยเฉพาะบรรยากาศของป่าเสม็ดสะท้อนเงาน้ำนี่ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจทีเดียวต้นเสม็ดที่นี่มีอยู่เป็นจำนวนมากหลายร้อยต้น ส่วนใหญ่เป็นต้นเสม็ดเก่าแก่ที่ขึ้นมาช้านาน โดยดูได้จากขนาดลำต้นที่ใหญ่สูงตระหง่าน แผ่กิ่งก้านสาขาและลำต้นขยายออกไปไกล อีกทั้งยังมีรูปทรงที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ยิ่งเมื่อเดินอยู่ในช่วงเวลาเย็นๆ แสงแดดอ่อนๆ มันก็จะยิ่งดูลี้ลับ ลึกลับยิ่งขึ้นหรือใครที่ไม่อยากเดินทางสวนพฤกษ์ฯ ก็มีเรือให้บริการด้วยเช่นกัน เมื่อนั่งเรือท่องเที่ยวต่อไปเรื่อยๆ จะพบกับป่าเสม็ด ซึ่งที่นี่รับการเรียกขานว่า “ป่าเสม็ดพันปี” ที่ส่วนใหญ่จะเป็นต้นเสม็ดขาว แต่ก็มีเสม็ดแดงขึ้นอยู่บ้าง โดยต้นเสม็ดที่นี่จะขึ้นอยู่บนพื้นทราย มีสภาพพื้นที่เป็นดินและป่าพรุน้ำท่วมขังมาก-น้อย ตามฤดูกาลอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของที่นี่ก็คือ “แพกอหญ้า” ที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า “หญ้าหนังหมา” หรือ “แพหนังหมา” โดยเป็นแพกอหญ้าที่ทับถมกันเป็นชั้นๆ มีหนาถึง 50-100 ซม. ลอยเป็นผืนแผ่นเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง และบางช่วงก็ใหญ่มากจนคล้ายผืนแผ่นดินอย่างไรอย่างนั้น และบนแพหญ้าหนังหมาผืนนี้ถือว่ามีความแข็งแรงอยู่เหมือนกัน เพราะมันมีรากที่ยาวลึกลงไปใต้น้ำยาวถึงประมาณ 1 เมตรเลยทีเดียวบนแพกอหญ้าหนังหมานี้เราสามารถขึ้นเดินบนนั้นได้ แต่ต้องเป็นแบบกระจายตัวเฉลี่ยน้ำหนัก ไม่ใช่ไปรวมกันที่จุดเดียว หากใครไปเที่ยวที่นี่สามารถนั่งเรือรับจ้างไปชมกันได้ โดยคนขับเรือจะพามาจอดแวะ เพื่อให้นักท่องเที่ยวลองขึ้นไปเดินบนกอหญ้าผืนนี้ โดยจะมีรองเท้าบูทจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งในช่วงราวๆ เดือน พ.ย. – ก.พ. ของทุกปี บนแพหญ้าหนังหมาจะมีกล้วยไม้ดินหายากใกล้สูญพันธุ์อย่าง เอื้องสีสนิม เอื้องอึ่งอ่าง แห้วชะครู ผักไผ่น้ำ ออกดอกให้ชมกันสวนพฤกษศาสตร์ระยอง ตั้งอยู่ที่ หมู่2 ตำบลชากพง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ที่นี่มีบริการเรือนำเที่ยว หากมาเป็นหมู่คณะ สอบถามค่าใช้จ่ายและรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 038638880แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000100924

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ใจกลางย่านรัชดาภิเษก “เอไอเอ คอนเน็คท์ (AIA CONNECT)”

21/10/2024

เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องเป็นแห่งที่ 4 ภายใต้ชื่อโครงการ “เอไอเอ คอนเน็คท์ (AIA Connect) โดยได้จัดพิธีวางศิลาฤกษ์ ณ สถานที่ตั้งโครงการ ใจกลางย่านรัชดาภิเษก ซึ่งมี นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร พันธมิตร และพนักงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี โดยในพิธีได้รับพระมหากรุณาจาก พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ผู้นำสูงสุดแห่งลัทธิพราหมณ์ในประเทศไทย และผู้ดำรงตำแหน่งประธานพระครูพราหมณ์คนปัจจุบัน เป็นผู้นำดำเนินพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการเอไอเอ คอนเน็คท์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2566 ที่ผ่านมาโครงการเอไอเอ คอนเน็คท์ (AIA Connect) เป็นอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดพรีเมียม มีความสูง 33 ชั้น พื้นที่ใช้สอยกว่า 110,400 ตารางเมตร มาพร้อมพื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อส่งเสริมด้านสุขภาพของผู้เช่า อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกด้วยพื้นที่จอดรถกว่า 708 คัน เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษก และยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายสีน้ำเงินและสายสีส้ม เพื่อการคมนาคมที่สะดวกและรวดเร็ว สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังอาคาร เอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตลอดจนสามารถเดินทางต่อไปยังอาคาร เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ และอาคาร เอไอเอ อีสต์ เกตเวย์ ย่านบางนา-ตราด ได้อย่างสะดวกง่ายดาย อาคาร เอไอเอ คอนเน็คท์ ถูกออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้ใช้สอยอาคาร ตามเกณฑ์มาตรฐานของ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) และ WELL Building Standard ระดับโกลด์ สอดคล้องตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ“Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น” ซึ่งโครงการดังกล่าว ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสนับสนุนภาคธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจองค์รวมของประเทศไทยต่อไปอย่างยั่งยืน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

รู้จัก Charles Ponzi “บอสคนแรก” ของแชร์ลูกโซ่

21/10/2024

ขณะที่ประเทศไทยและสังคมไทยกำลังตื่นตัวและติดตามกับกรณีฉ้อโกงประชาชนของ “ดิไอคอนกรุ๊ป’ความฝันที่จะรวยทางลัดนั้นมีมานานตั้งแต่ก่อนที่อินเทอร์เน็ตจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเสียอีก คำพูดหวานหูอย่าง “อยากเป็นเศรษฐี ฟังทางนี้” หรือ “วิธีสร้างเงินล้าน แบบไม่ต้องทำงาน” ยังคงเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนให้หลงใหลและคล้อยตามไปกับคำโฆษณาชวนเชื่อแม้ว่าเรื่องราวการหลอกลวงทางการเงินจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ดูเหมือนมนุษย์เราก็ยังคงหลงกลกับมันได้เสมอ ความโลภและความต้องการที่จะรวยเร็ว ทำให้หลายคนอาจละเลยที่จะพิจารณาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนบทความจากเว็บไซต์ด้านการลงทุนของ Finnomena ได้พาไปทำความรู้จัก “ชาร์ลส์ พอนซี่” (Charles Ponzi) ผู้เป็นต้นกำเนิดของ “แชร์ลูกโซ่” (Ponzi Scheme) กลโกงที่ทำให้ผู้คนสูญเสียเงินทองจำนวนมหาศาล และยังคงเป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนใจมนุษย์ถึงภัยอันตรายของความโลภCharles Ponzi บิดาแห่งแชร์ลูกโซ่Charles Ponzi เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1882 ในเมืองลูโก ประเทศอิตาลี ชื่อเต็มคือ Carlo Pietro Giovanni Guglielmo Tebaldo Ponzi เขาเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลางและได้รับการศึกษาที่ดี แต่ด้วยความทะเยอทะยานและความฝันที่จะร่ำรวย เขาตัดสินใจย้ายไปยังสหรัฐอเมริกาในปี 1903 เมื่ออายุได้ 21 ปี Ponzi มาถึงบอสตันด้วยเงินติดตัวเพียง 2.5 ดอลลาร์หลังจากที่เขาใช้เงินเกือบหมดระหว่างการเดินทาง เขาทำงานหลายอย่างเพื่อเลี้ยงชีพ เริ่มแรกเขาทำงานล้างจานในร้านอาหาร และได้ก้าวขึ้นมาเป็นพนักงานบริการ แต่สุดท้ายก็ถูกไล่ออกเพราะโกงเงินทอนลูกค้าในเวลาต่อมา Ponzi ได้ย้ายไปแคนาดาและได้มีโอกาสทำงานเป็นผู้ช่วยในธนาคารชื่อว่า Banco Zarossi ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะเขาได้พบว่าธนาคารของเขาให้ดอกเบี้ยลูกค้าสูงถึง 6% ซึ่งสูงกว่าตลาดในเวลานั้นถึง 2 เท่าแต่จริง ๆ แล้ว มันคือการนำเงินฝากของลูกค้ารายใหม่ มาจ่ายให้กับผู้ฝากรายเก่า ซึ่งสุดท้ายธนาคารต้องปิดกิจการไป และเจ้าของหนีไปต่างประเทศพร้อมกับเงินของเหยื่อจำนวนมหาศาล ประสบการณ์นี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้เขาคิดแผนการฉ้อโกงของตัวเองในภายหลังจุดเริ่มต้นการฉ้อโกงครั้งใหญ่ในปี 1919 Ponzi กลับมาที่บอสตันและเริ่มธุรกิจที่เรียกว่า “Securities Exchange Company” โดยอ้างว่าสามารถทำกำไรมหาศาลจากการซื้อขาย International Reply Coupons (IRCs) ซึ่งเป็นคูปองที่ใช้แลกเป็นแสตมป์เพื่อส่งจดหมายระหว่างประเทศPonzi อ้างว่าเขาสามารถซื้อ IRCs ในประเทศที่มีค่าเงินอ่อนแอ และขายในประเทศที่มีค่าเงินแข็งกว่า ทำให้เข้าทำกำไรสูงถึง 400% ภายในเวลาเพียง 90 วัน โดยเขาสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทน 50% แก่นักลงทุนภายใน 45 วัน หรือ 100% ภายใน 3 เดือนแต่ความจริงแล้ว แผนการของ Ponzi เป็นเพียงการนำเงินจากนักลงทุนรายใหม่มาจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า โดยไม่มีการลงทุนจริง วิธีการนี้กลายเป็นที่รู้จักในเวลาต่อมาว่า “แชร์ลูกโซ่” หรือ “Ponzi Scheme”เมื่อความโลภนำพาไปสู่หายนะแผนการของ Ponzi ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยสัญญาผลตอบแทนที่สูงลิ่ว นักลงทุนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาลงทุนกับเขา ทั้งคนธรรมดา นักธุรกิจ หรือแม้แต่ผู้พิทักษ์กฎหมายอย่างเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังหลงเชื่อในช่วงรุ่งเรืองที่สุด เขาสามารถระดมทุนได้มากถึง 1 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 33 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลในสมัยนั้น เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ซื้อคฤหาสน์ รถยนต์ราคาแพง และเครื่องประดับมีค่าอย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ Ponzi เริ่มดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนและทางการ นักข่าวเริ่มสงสัยในความเป็นไปได้ของผลกำไรที่เขาอ้าง และเริ่มสืบสวนธุรกิจของเขาในเดือนกรกฎาคม 1920 หนังสือพิมพ์ Boston Post เริ่มตีพิมพ์บทความวิพากษ์วิจารณ์ธุรกิจของ Ponzi อย่างหนัก ทำให้นักลงทุนเริ่มตื่นตระหนกและพากันมาไถ่ถอนเงินลงทุนคืนจุดจบของ Charles Ponzi กับแชร์ลูกโซ่ที่เพิ่งเริ่มวันที่ 10 สิงหาคม 1920 เป็นวันที่แผนการของ Ponzi พังทลาย เมื่อทางการเข้าตรวจสอบบัญชีของเขาและพบว่าเขามีหนี้สินมากกว่า 7 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 230 ล้านบาท) นำไปสู่การจับกุม Charles Ponzi ในข้อหาฉ้อโกงทางไปรษณีย์ผลกระทบจากการล่มสลายของแชร์ลูกโซ่ของ Ponzi ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของบอสตัน โดยธนาคารหลายแห่งถึงกับล้มละลาย นักลงทุนสูญเสียเงินออมทั้งชีวิต และความเชื่อมั่นในระบบการเงินถูกทำลายลงอย่างหนักPonzi ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี แต่ได้รับการปล่อยตัวหลังจากรับโทษไปเพียง 3 ปีครึ่ง หลังจากนั้นเขาพยายามหนีไปยังฟลอริดาและฉ้อโกงอีกครั้ง แต่ก็ถูกจับได้อีก สุดท้าย Ponzi ถูกเนรเทศกลับอิตาลีในปี 1934Charles Ponzi เสียชีวิตในปี 1949 ด้วยวัย 66 ปี ในสภาพยากจนและถูกลืมเลือน แต่ชื่อของเขากลับกลายเป็นคำที่ใช้เรียกการฉ้อโกงประเภทนี้ เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้ “แชร์ลูกโซ่” โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์เรื่องราวของ Charles Ponzi เป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความโลภและความเสี่ยงของการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง ซึ่งยังคงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงปัจจุบันเทคนิคที่แชร์ลูกโซ่มักใช้เพื่อล่อลวงคนใช้เรื่องเล่าที่น่าสนใจ เช่น จากสถานะไม่ดีกลับกลายเป็นร่ำรวยได้ภายในเวลาสั้น ๆใช้คำเยินยอจากคนอื่น เช่น ใช้วิธีนี้แล้วได้ผลจริง ได้เงินจำนวนมากทำให้รู้สึกว่าต้องรีบตัดสินใจ เช่น คอร์สนี้เปิดรับแค่ 10 คนเท่านั้นใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน เช่น ช่วงที่ซื้ออะไรก็ราคาขึ้น ช่วงที่แต่ละประเทศมีการเปลี่ยนแปลง คนจะไม่ค่อยสงสัยอะไรย้ำว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง”ดูยังไงว่าแบบไหนคือแชร์ลูกโซ่อ้างว่ารับประกันผลตอบแทน การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง การรับประกันผลตอบแทนสูงเกินจริง หรือการยืนยันว่าไม่มีความเสี่ยงเป็นสัญญาณอันตรายผลตอบแทนสูงเกินจริง : ผลตอบแทนที่สูงเกินจริง เช่น 10% ต่อเดือน หรือ 2-3% ต่อวัน เป็นไปได้ยากและไม่น่าเชื่อถือ หรือถ้าคิดรวม ๆ แล้วผลตอบแทนเกิน 10% ต่อปี ให้สงสัยไว้ก่อนเลยรูปแบบการลงทุนไม่ชัดเจน ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการลงทุนและการสร้างผลกำไรไม่ชัดเจน ตรวจสอบไม่ได้ หรือไม่มีการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชวนคนอื่นมาลงทุน การที่โครงการลงทุนใด ๆ ชักชวนให้ชวนเพื่อนมาลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนเพิ่มเติม (เพื่อนมาก ยิ่งโบนัสมาก) เป็นลักษณะเด่นของแชร์ลูกโซ่เร่งให้ตัดสินใจ การเร่งรัดให้ตัดสินใจลงทุนอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ เป็นสัญญาณเตือนว่าอาจเป็นการหลอกลวงที่มา : Finnomenaภาพ : วิกิพีเดียแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1677870

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X