Everyday knowledge for you
ประกันชีวิต
18/12/2024
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินธุรกิจประกันชีวิตปี 2567 โตต่ำ-อำนาจซื้ออ่อนแรง ปิดปีมองโต 2.6% ส่วนปี 2568 คาดเบี้ยโตในกรอบ 2.8-3.6% ถูกกดดัน “ดอกเบี้ยลง-กำลังซื้ออ่อนแรง” 1 ม.ค.68 เริ่มบังคับใช้มาตรฐานบัญชี TFRS17นางสาวจารุวรรณ เศรษฐวงศ์ เจ้าหน้าที่วิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (K Research) เปิดเผยว่า ธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยปี 2567 เติบโตในระดับต่ำ ท่ามกลางอำนาจซื้อที่อ่อนแรง โดยภาพรวมเบี้ยประกันชีวิต 9 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัว 2.3% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ด้วยอานิสงส์ของเบี้ยปีต่อไปที่ขยายตัวสูง ขณะที่เบี้ยใหม่โตชะลอลงจากปัจจัยทั้งอุปสงค์และอุปทาน ตามการปรับการขายผลิตภัณฑ์ที่เน้นความคุ้มครองมากขึ้น และคุมสัดส่วนการขายเบี้ยประเภทจ่ายครั้งเดียวสำหรับในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นฤดูกาลขายและเป็นช่วงสุดท้ายของการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีประจำปีนั้น คาดว่าภาพรวมเบี้ยจะขยายตัวในอัตราที่ดีขึ้นแต่ด้วยปัจจัยด้านฐานสูงในปีก่อน ทำให้เบี้ยรวมทั้งปี 2567 คงขยายตัวชะลอลงมาที่ประมาณ 2.6% (กรอบ 2.3-2.9%) เทียบกับที่ขยายตัว 3.6% ในปี 2566ส่วนแนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตปี 2568 ปัจจัยท้าทายเพิ่ม ขณะที่ปัจจัยเดิมยังรุมเร้า โดยประเมินภาพรวมเบี้ยประกันชีวิตในปี 2568 น่าจะยังเติบโตได้ในกรอบประมาณ 2.8-3.6% ใกล้เคียงกับปี 2566-2567 โดยคาดว่าเบี้ยรับปีต่อไปจะยังคงเป็นแรงสนับสนุนสำคัญ ร่วมกับการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเบี้ยรับรายใหม่โดยปี 2568 ธุรกิจประกันชีวิตต้องรับมือปัจจัยท้าทายเพิ่มเติม โดยเฉพาะจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่ทยอยปรับลดลง ซึ่งมีผลให้รายได้จากการลงทุนลดลงและสร้างความท้าทายให้กับการนำเสนอผลตอบแทนของกรมธรรม์ที่จูงใจเพียงพอสำหรับลูกค้าใหม่ขณะที่ปัญหาอำนาจซื้อจะยังกดดันความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ประกันต่อเนื่อง ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าจะเติบโตชะลอลงเล็กน้อยมาที่ 2.4% จากปี 2567 ที่คาดว่าจะโตประมาณ 2.6%นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 บริษัทประกันชีวิตเริ่มจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานบัญชี TFRS17 ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้งบการเงินของบริษัทประกันสะท้อนภาพรายได้และค่าใช้จ่ายที่สอดดล้องกับสภาพการดำเนินงานมากขึ้น อาทิ 1.การไม่นับเบี้ยประกันทั้งจำนวนเป็นรายได้ของบริษัท แต่จะนับเฉพาะรายได้ส่วนที่เป็นรายรับจากการบริการลูกด้า (คล้ายกับค่าธรรมเนียมหรือ Service Fees ที่ต้องทยอยรับรู้ตามสัญญาประกันภัย) 2.การที่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจากการรับประกันภัยทันทีทั้งจำนวน จากเดิมที่ทยอยรับรู้ระหว่างช่วงสัญญาในรูปเงินสำรองประกันชีวิตทั้งนี้รูปแบบงบการเงินที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีผลกระทบเชิงบัญชีค่อนข้างมากต่อผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสะสมทรัพย์โดยเฉพาะประเภทจ่ายครั้งเดียว แต่มีความคุ้มครองระยะยาว ซึ่งภายใต้ TFRS17 บริษัทจะมีรายได้จากการให้บริการลูกค้าหรือรายได้ค่าธรรมเนียมจากการรับประกันภัยต่ำ (อาจเหลือเพียง 10% ของเบี้ยรับ เทียบกับเดิมที่บันทึกเบี้ยรับทั้งจำนวนเป็นรายได้) ขณะเดียวกันยังต้องบันทึกผลขาดทุนที่เกิดจากการรับรองผลตอบแทนตลอดอายุสัญญาทันทีในปีแรกมาตรฐานบัญชีใหม่นี้คงมีผลเพิ่มความซับซ้อนให้กับการวางแผนการขายผลิตภัณฑ์และรับรู้รายได้-ผลขาดทุนต่าง ๆ ของบริษัทประกันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ย้ำภาพการปรับโครงสร้างพอร์ตการรับประกันของแต่ละบริษัทในช่วงที่ผ่านมา โดยปรับเพิ่มสัดส่วนพอร์ตการรับประกันภัย และปรับลดสัดส่วนพอร์ตที่เน้นการออมเงินลงขณะที่ด้านการจัดการและกลยุทธ์การขายผลิตภัณฑ์ในอนาดต บริษัทประกันคงจะยังเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สอดดล้องกับผู้บริโภคมากขึ้น (Customer Centric) อาทิ การนำเสนอทุนประกันชีวิตขนาดเล็ก (Small Lot Main Policies) เพื่อลดภาระของผู้เอาประกันที่ต้องการซื้อสัญญาเพิ่มเติมอื่นเป็นหลัก เช่น ประกันสุขภาพ ประกันโรคร้ายแรง ประกันอุบัติเหตุ เป็นต้นปัจจัยท้าทายและการปรับตัวในปี 2568 1.เศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่กระจายตัวเท่าที่ควร กระทบกำลังซื้อของลูกค้าวัยแรงงาน (25-70 ปี) โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ปานกลางที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 30,000 บาท และต่ำกว่า 50,000 บาท ซึ่งตามฐานข้อมูลประชากรประจำปี 2564 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเป็นฐานลูกค้าขนาดใหญ่กว่า 9 ล้านคน และ 2.6 ล้านคน ตามลำดับโดยการปรับตัวและการปรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกันคือ 1.1.นำเสนอแบบประกันที่มีระยะเวลาการชำระเบี้ยนานขึ้น เช่น แบบตลอดชีพ แบบมรดก ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับวงเงินคุ้มครองสูง ขณะที่บริษัทรับความเสี่ยงด้านการประกันภัยเป็นหลัก1.2.นำเสนอแบบประกันที่มีทุนประกันเล็กลง เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยซื้อประกันมาก่อน เพื่อสร้างความคุ้นเคยในตัวผลิตภัณฑ์ประกัน และลดความเสี่ยงจากการเวนคืนหรือยกเลิกกรมธรรม์ก่อนกำหนดอันอาจทำให้ลูกค้าได้รับเงินคืนน้อยกว่าที่ชำระและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการทำประกัน2.อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยผ่านจุดสูงสุดและมีโอกาสขยับลง สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยในต่างประเทศ กระทบต่อรายได้จากการลงทุนซึ่งมีแนวโน้มลดลงตามดอกเบี้ย และอาจส่งผลต่อกำไรสะสมและอัตราการดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (RBC) ให้ปรับลดลงโดยการปรับตัวและการปรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกันคือ 2.1.ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์กลุ่ม High Value ที่มีลักษณะให้ความคุ้มครองภัยสูงร่วมกับการปรับลดพอร์ตผลิตภัณฑ์กลุ่มสะสมทรัพย์ (Endowment) ที่มีลักษณะรับรองผลตอบแทนคล้ายดอกเบี้ย2.2.ปรับลดผลตอบแทนสำหรับแบบประกันที่รับรองการจ่าย (Guaranteed Benefit) เช่น ประกันสะสมทรัพย์ที่กำหนดอัตราผลตอบแทนตลอดสัญญาไว้2.3.ขยายผลิตภัณฑ์ประเภทมีส่วนร่วมในเงินปันผล (Participating Product) ผลิตภัณฑ์ยูนิตลิงค์ (Unit Linked) และยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) เพื่อให้บริษัทรับความเสี่ยงด้านการประกันภัยเป็นหลัก ขณะที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นทางเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น รับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น โดยสามารถเลือกนโยบายการลงทุนที่สอดคล้องกับความต้องการ3.โครงสร้างประชากรสูงวัยมีสัดส่วนสูงขึ้นทุกปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8-10% ต่อปี ทำให้ประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการขยายช่วงอายุของการรับประกันสุขภาพจากเดิมไม่เกิน 60 ปี เป็น 80 ปีโดยการปรับตัวและการปรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกันคือ 3.1.ควบคุมต้นทุนและควบคุมอัตราเบี้ยประกันไม่ให้แพงขึ้นสอดคล้องกับกำลังซื้อและรายได้ของผู้บริโภค 3.2.แนวทางการเคลมสินไหมในระยะต่อไป อาจมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้น ซึ่งแม้จะช่วยควบคุมต้นทุน แต่อาจกระทบต่อผู้บริโภค ทำให้แรงจูงใจในการซื้อประกันสุขภาพลดลง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเคลมการเจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น ไข้หวัด และข้อกำหนดการรับประกันแบบมีเงื่อนไขให้ผู้บริโภคต้องมีส่วนร่วมจ่ายค่ารักษา (Co-Payment) เป็นต้กล่าวโดยสรุป โครงสร้างธุรกิจประกันชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านฐานลูกค้ารายหลัก ซึ่งไม่อาจผูกติดกับลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเกินไป ดังเช่นในอดีตที่อาจผลักดันการเติบโตได้ด้วยการระดมยอดขายประเภทจ่ายครั้งเดียวในกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงแต่จำเป็นต้องขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มที่มีรายได้รองลงมาท่ามกลางข้อจำกัดของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่กดดันอำนาจซื้ออย่างไรก็ดีธุรกิจประกันยังสามารถต่อยอดการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ ได้โดยเฉพาะมิติที่เกี่ยวข้องกับความคุ้มครองและประกันสุขภาพโดยที่ยังต้องเน้นการบริหารจัดการต้นทุนปรับผลิตภัณฑ์ให้เบี้ยเข้าถึงได้มากขึ้น ตลอดจนเพิ่มการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ในการเข้าถึงลูกค้าและสามารถนำไปสู่การตัดสินใจซื้อได้ด้วยขั้นตอนที่ลดลงแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1715034
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
18/12/2024
ต้อนรับลมหนาว ปลุกความคึกคักให้กับย่านสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) รวมทั้ง “คลองผดุงกรุงเกษม” ให้เต็มไปด้วยสีสันส่งท้ายปี สำหรับเทศกาล “Bangkok Illumination Festival 2024” ที่จัดภายใต้ธีม “หมูเด้งบุกกรุง!” มาพร้อมคาแรคเตอร์ “หมูเด้ง” ฮิปโปแคระที่โด่งดังที่สุดในโลก ซึ่งมาเทคโอเวอร์กรุงเทพฯ ให้กลายเป็นเมืองของ “น้องเด้ง”การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดเทศกาล “Bangkok Illumination Festival 2024” ประดับตกแต่งด้วยสีของแสงไฟ เสียง ศิลปะ เทคนิค Light up และ Projection Mapping ที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนความคิดสร้างสรรค์และผสมผสานกับนวัตกรรมที่ทันสมัยใน 9 แลนด์มาร์กทั่วกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้ (17 ธ.ค. 67) ไปจนถึง 5 มกราคม ปีหน้าสำหรับ เทศกาล “Bangkok Illumination Festival 2024” เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ขับเคลื่อนจากการทำงานของคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเฟสติวัล และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ร่วมกันเสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยสู่การเป็น World Class Event Hub โดยช่วงปลายปีนับเป็นช่วงเวลาพิเศษที่มีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความสุขหนึ่งในจุดไฮไลต์ คือ อาคารหน้าสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) รวมทั้งพื้นที่สองฟากฝั่งคลองผดุงกรุงเกษม ที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟ เต็มไปด้วยแสงสีจากการจัดไฟประดับอย่างสวยงาม ต้อนรับ “หมูเด้ง” บุกกรุงเทพ โดยมีหมูเด้งสีชมพูสดใสขนาดยักษ์ โผล่อยู่ด้านบน เป็นการจับหมูเด้งมาแปลงร่างเป็น “เด้งซิลล่า” (คล้ายก๊อดซิลล่า) อวดความน่ารักพร้อมแสงสีเสียงจัดเต็มจากนั้นเดินข้ามถนนไปอีกไม่กี่สิบเมตร สองฟากฝั่งของคลองผดุงกรุงเกษม ก็ระยิบระยับไปด้วยดวงไฟประดับประดาอย่างสวยงาม มีงานอาร์ตเป็น “ไข่ใบยักษ์” เรียงรายอยู่ริมคลอง พร้อมสีสันของไฟที่พร่างพราว สะท้อนไปกับผิวน้ำทั้งนี้ นอกจากบริเวณหน้าอาคารสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) กับ ริมคลองผดุงกรุงเกษม แล้ว Bangkok Illumination Festival ยังถ่ายทอดผ่านคาแรกเตอร์ ‘หมูเด้ง’ ฮิปโปแคระขวัญใจคนทั่วโลกใน 9 แลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ได้แก่1. อาคารกีฬานิมิบุตรพบกับหมูเด้งที่มาบุกอาคารกีฬานิมิบุตร พร้อมแปลงโฉมเป็น “DJ เด้ง” ระเบิดบีตมันส์กระจาย พร้อมแสง สี เสียงแบบจัดหนักจัดเต็มความสนุก2. ลานใบบัว แยกปทุมวันหมูเด้ง ขอแปลงโฉมเป็น “มาดามเด้ง” สายช็อป สายเปย์ บุกลานใบบัว ปทุมวัน เตรียมตัวช็อปมันส์กระจายแบบสายเปย์ตัวแม่ พร้อมชวนทุกคนมาช็อปเพลิน เด้งสนุก3. ถนนจากสยามเซ็นเตอร์ - เซ็นทรัลเวิร์ลเดินไปไม่ต้องกลัวหลง เพราะน้องเด้งจะนำทางเองกับการตกแต่งริมทางด้วยไฟหลากสีสันบนเส้นทางแห่งความสุขจากสยามเซ็นเตอร์ สู่ เซ็นทรัลเวิร์ล4. สถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง)จับหมูเด้งมาแปลงร่างเป็นไคจูกับ “เด้งซิลล่า” ตัวยักษ์สุดปัง บุกหัวลำโพง ขนคลังความสนุกไซส์ 3XXL มาถล่มแบบจัดเต็ม ออกมาเด้งกันให้มันส์สนั่นทั่วทั้งเมือง5. คลองผดุงกรุงเกษมตื่นตา ตื่นใจไปกับแสงสีสุดอลังการจากไข่ยักษ์ ริมคลองผดุงกรุงเกษม ที่จะเนรมิตริมคลองทั้งสายให้มีชีวิตชีวา6. ถนนมิตรภาพไทย-จีน เยาวราชสนุกไปกับแสง สี สุดสดใส และรอยเท้าน่ารักของเจ้าหมูเด้ง ที่จะนำทางทุกคนสู่ความสนุกแบบเด้งๆ ตลอดเส้นทางถนนมิตรภาพไทย-จีน7. วงเวียนโอเดียน เยาวราชพบกับ ”หมวยเด้ง” หมูเด้งเชื้อสายจีนสุดน่ารักที่วงเวียนโอเดียน มาพร้อมคอสตูมสไตล์จีนสุดปัง อลังการทุกดีเทล ชวนทุกคนเด้งไปด้วยกันกับกลิ่นอายแบบจีนออริจินัล8. BTS สกายวอล์ก แยกอโศกแยกอโศกจะลุกเป็นไฟ เตรียมพบการตกแต่งสุดล้ำพร้อมแสง สี สุดอลัง ที่จะเปลี่ยนใจกลางกรุงเทพให้เด้ง กันให้สุดพลังกลางกรุงเทพฯ9. อุทยานเบญจสิริปิดจบความน่ารักที่ สวนเบญจสิริ กับธีม “หมูเด้ง อิน เดอะพาร์ค” ที่ชวนทุกคนมาปิกนิกชิลๆ ท่ามกลางบรรยากาศสุดสดใสไปพร้อมกับน้องเด้งผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ถึง 5 มกราคม 2568 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร 1672 Travel Buddy หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Fanpage : 1672 Travel Buddyแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000121104
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
18/12/2024
งดงามราวกับภาพวาด “น้ำตกแม่เตี๊ยะ” ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง หลังจากเปิดให้จองพื้นที่กางเต็นท์พักแรม ทำเอาเพจทางการของอุทยานฯ บอกว่า “แชทแตก!”ภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวงหลังจากแฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวง เผยภาพความงดงามของ “น้ำตกแม่เตี๊ยะ” น้ำตกขนาดใหญ่ในป่าลึก อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติออบหลวง พร้อมระบุว่า “เปิดให้กางเต็นท์แล้ว”ภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวงภาพความสวยงามของทัศนียภาพน้ำตกกับลานกางเต็นท์ ก็เอาเอากล่องแชทแตก มีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก โดยแฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวง ระบุข้อมูลเกี่ยวกับน้ำตกไว้ว่า น้ำตกแม่เตี๊ยะ ตั้งอยู่ที่หน่วยพิทักษ์ฯ ที่ อล.7 (น้ำตกแม่เตี๊ยะ) ต.ดอยแก้ว อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ น้ำตกมีขนาดใหญ่ พื้นที่รอบข้างโอบล้อมไปด้วยป่าสีเขียวและธรรมชาติที่สบายตา เหมาะแก่การมาพักผ่อนภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวงสิ่งที่ควรรู้- จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว 20 เต็นท์/คืน- นักท่องเที่ยวต้องนำเต็นท์มาเอง- ไม่รับ Walk in เนื่องจากข้อจำกัดด้านสิ่งอำนวยความสะดวก- จองล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วัน- ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และไฟฟ้าสามารถจองพื้นที่กางเต็นท์ “น้ำตกแม่เตี๊ยะ" ผ่าน inbox เพจอุทยานแห่งชาติออบหลวง https://www.facebook.com/opluangnationalpark ในเวลาทำการเท่านั้นภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวงข้อห้าม- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์- โฟม พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use plastics)- สัตว์เลี้ยง- ก่อไฟ**ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวปฏิบัติตามกฎระเบียบของอุทยานฯภาพ: แฟนเพจอุทยานแห่งชาติออบหลวงแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000117719
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
18/12/2024
การวางแผนเกษียณเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปี หรือเข้าสู่วัยเลขห้ามาได้หลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีเงินเก็บเพื่อใช้ยามเกษียณ ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นวางแผนเกษียณ เพราะคนส่วนใหญ่จะทำงานจนถึงอายุไม่เกิน 60 ปี จึงมีระยะเวลาเหลือสำหรับเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณไม่เกิน 10 ปี แต่ใครที่ยังมีร่างกายแข็งแรง และยังสามารถทำงานได้หลังอายุ 60 ปีไปแล้ว จะมีระยะเวลาทำงานเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณได้ยาวนานขึ้นเหตุผลที่การวางแผนเกษียณเป็นเรื่องสำคัญก็เพราะ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีอายุยืนยาวมากขึ้น จากการดูแลสุขภาพของตัวเอง และนวัตกรรมทางด้านการแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยทำให้คนอายุขัยเฉลี่ยของคนส่วนใหญ่มีอายุยาวนานขึ้น ดังนั้นหากเกษียณไปแล้วและไม่มีเงินเก็บหรือรายได้เข้ามา คงต้องใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างยากลำบากแน่นอนการเริ่มต้นวางแผนเกษียณด้วยการเริ่มต้นเก็บเงินตอน 50 ปี ถือว่ายังไม่สายเกินไปและยังสามารถทำได้ หากมีการวางแผนที่ดี ส่วนจะมีวิธีเก็บเงินอย่างไรนั้น วันนี้เรามีคำแนะนำให้ลองไปทำตามกันดู6 วิธีวางแผนเกษียณ เก็บเงินตอนอายุ 50 ปี1. วางแผนเกษียณ สำรวจค่าใช้จ่ายสิ่งแรกที่ควรทำสำหรับการวางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี คือ การสำรวจค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละเดือนว่ามีจำนวนเท่าไร ทั้งค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน และค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะต้องใช้ในอนาคตยามที่ต้องมีชีวิตภายหลังเกษียณการทำงานแล้ว และประเมินว่าแต่ละเดือนต้องใช้เงินจำนวนเท่าไร รวมถึงระยะเวลาที่จะใช้ชีวิตอยู่อีกนานเท่าไรการสำรวจค่าใช้จ่ายต่างๆ จะทำให้มองเห็นภาพกว้างๆ ว่า เราจำเป็นต้องมีเงินออมเท่าไร เพื่อใช้ในช่วงวัยเกษียณ การสำรวจค่าใช้จ่าย ยังช่วยทำให้เห็นภาพด้วยว่า อะไรคือสิ่งไม่จำเป็น อะไรเป็นค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย ซึ่งเราควรประหยัดหรือใช้จ่ายลดลง เพื่อมีเงินออมใช้ตอนเกษียณเพิ่มมากขึ้น2. วางแผนเกษียณ สำรวจหนี้สินการสำรวจหนี้สิน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นอย่างแรกๆ ในการวางแผนเกษียณ เพราะหากเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี ถ้ามีหนี้สินจำนวนมากการจะมีเงินเก็บก้อนโตคงทำได้ยาก เพราะรายได้ที่หามาต้องเอาไปใช้หนี้สินหมด การสำรวจหนี้สิน จะทำให้รู้ว่าเราจะเหลือเงินเพื่อเป็นเงินออมเท่าไรก่อนเริ่มวางแผนเกษียณ ควรจัดการหนี้สินให้หมดเสียก่อน เพื่อให้ใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างมีความสุข ภาพจาก iStockนอกจากรู้ว่ามีหนี้สินเท่าไรแล้ว ก็ต้องวางแผนการชำระหนี้สินให้หมดโดยเร็ว เพื่อจะได้มีระยะเวลาเก็บเงินมากขึ้น แต่หนี้สินหรือค่าใช้จ่ายบางอย่าง ก็ใช่ว่าจะเป็นภาระเสียอย่างเดียว อีกมุมหนึ่งก็เป็นการออมได้ด้วย เช่น หนี้จากการผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโด หรือการซื้อประกันชีวิตในรูปแบบเงินออม ที่มีเงินคืนเมื่อครบอายุกรรมธรรม์ เป็นต้น ในอนาคตหนี้สินรูปแบบนี้จะเปลี่ยนเป็นทรัพย์สิน และยังสามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนให้เราได้ เช่น นำบ้านหรือคอนโด ปล่อยเช่า เป็นต้น3. วางแผนเกษียณ เช็กทรัพย์สิน-ของมีค่าส่วนใครตอนทำงานอยู่ เอาแต่ช็อปปิ้งซื้อของใช้ ไม่ได้วางแผนเกษียณเก็บเงินออมไว้ใช้ในบั้นปลาย จนปัจจุบันอายุเข้าสู่วัยเลขห้าแล้ว คงต้องรีบกลับมาตั้งสติ และเริ่มวางแผนการเงิน เก็บออมเงิน ลดการใช้จ่ายซื้อของฟุ่มเฟือย เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณได้อยู่อย่างสุขสบายนอกจากการลดใช้จ่ายหรือซื้อของฟุ่มเฟือยแล้ว คงต้องหันมาดูว่าปัจจุบันเรามีทรัพย์สินหรือสิ่งของอะไรบ้างที่มีค่า สามารถนำมาแปลงเป็นเงินได้บ้าง โดยทรัพย์สินหรือของมีค่านั้นควรจะปลอดหนี้ที่ต้องชำระ เมื่อสำรวจดูแล้ว หากเป็นของใช้ที่ไม่ได้ใช้หรือไม่ต้องการเก็บไว้แล้ว ก็สามารถนำออกมาขายเพื่อแปลงเป็นเงินสดเก็บไว้ หรือนำเอาเงินสดไปลงทุนในรูปแบบอื่นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้ด้วย หรือแม้แต่ของใช้ภายในบ้านที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้แล้ว สามารถนำออกมาขายแปลงเป็นเงินได้ด้วย4. วางแผนเกษียณ หาทางเพิ่มรายได้การวางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี หากพึ่งพาเฉพาะรายได้ที่ได้จากการทำงานประจำเพียงอย่างเดียว ในปัจจุบันอาจจะไม่เพียงพอแล้ว เพราะอย่าลืมว่าเรามีหนี้สินและค่าใช้จ่ายประจำเดือนที่ต้องชำระด้วย และที่สำคัญคนที่ก้าวสู่วัยเลขห้า มีระยะเวลาเหลือในการเก็บเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณอีกไม่มากนัก การเพิ่มรายได้จากงานประจำที่ทำจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยต้องหารายได้เพิ่มนอกเหนือจากรายได้หลัก ไม่ว่าจะเป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพที่ 2 ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้อย่างมากมาย และไม่รบกวนงานประจำด้วย แต่จะเป็นงานอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่แต่ละบุคคลว่ามีทักษะ หรือความสามารถด้านใดการมีอาชีพเสริม ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางหารายได้เพิ่ม เพื่อใช้ในการวางแผนเกษียณได้โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้ทางเดียว ภาพจาก iStockนอกจากนี้ การหารายได้เพิ่ม ยังสามารถทำได้ด้วยการลงทุนรูปแบบต่างๆ ที่สร้างผลตอบแทน หรือสร้างรายได้จากทรัพย์สินที่มีอยู่ด้วย เช่น การปล่อยอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เป็นต้น ซึ่งความเป็นจริงแล้วรูปแบบการหารายได้เพิ่มปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายวิธีด้วยกัน ซึ่งไม่ใช่แค่การทำงานเสริม หรือการทำอาชีพที่ 2 เท่านั้น5. วางแผนเกษียณ เริ่มต้นเก็บเงินหลังจากเราได้ทำตามข้อ 1-4 แล้ว คงต้องเริ่มต้นการวางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงิน โดยทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และตั้งเป้าหมายว่าชีวิตหลังจากเกษียณต้องใช้เงินเท่าไร หรือต้องมีเงินออมจำนวนเท่าไร เพื่อจะได้วางแผนเก็บเงินได้ตามที่ต้องการ ซึ่งรูปแบบการวางแผนเก็บเงินนั้น อาจจะไม่ใช่ในรูปแบบเงินสดอย่างเดียว อาจจะเป็นการซื้อประกันชีวิตที่ได้เงินคืนเมื่อถึงอายุกรมธรรม์ การเก็บเงินในหุ้นกู้ ตราสาร หรือพันธบัตร เป็นต้น ก็สามารถทำได้ทั้งหมด6. วางแผนเกษียณ ดูแลสุขภาพกาย-สุขภาพใจนอกเหนือจากการวางแผนเกษียณด้านการเงินเพื่อใช้ตอนบั้นปลายแล้ว การดูแลสุขภาพร่างกาย และสุขภาพใจ เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน เพราะจะพบว่าค่าใช้จ่ายของคนในช่วงวัยผู้สูงอายุนั้น คือ ค่ารักษาพยาบาลจากโรคภัยไข้เจ็บสารพัดโรค การทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง มีโรคภัยที่น้อยที่สุด เป็นหนทางช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในยามเกษียณได้อีกทางหนึ่ง แม้ว่าเราอาจจะมีเงินเก็บไม่มากนักก็ตามทั้งหมดนี้ ก็เป็น 6 วิธี วางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี เพื่อใช้บั้นปลายที่ทำได้ไม่ยากและทำได้ทุกคน แต่ทางที่ดีควรเริ่มต้นวางแผนการเงินตั้งแต่อายุน้อยๆ หรือตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน จะทำให้มีเงินเก็บจำนวนมาก และไม่ต้องรีบร้อนเก็บในช่วงระยะเวลาที่เหลือไม่มากก่อนที่จะเกษียณอายุการทำงานด้วยข้อมูลอ้างอิง : กองทุนการออมแห่งชาติ, ธนาคารแห่งประเทศไทยภาพ : iStockแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/lifestyle45plus/2756840
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
17/12/2024
กรุงเทพฯ 17 ธันวาคม 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย มีความยินดีที่จะประกาศการแต่งตั้ง คุณเอกรัตน์ ฐิติมั่น ให้ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ (Chief Healthcare Officer, CHO) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ทั้งนี้ คุณเอกรัตน์ จะยังคงดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารของเอไอเอ ประเทศไทย ต่อไปการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อดูแลและส่งเสริมธุรกิจประกันสุขภาพ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและพันธกิจของเอไอเอในการมุ่งพัฒนาและสร้างความยั่งยืนในกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพอย่างครบวงจร ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ คุณเอกรัตน์จะรับผิดชอบในการบริหารงานที่เกี่ยวเนื่องกับประกันสุขภาพแบบองค์รวม ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาธุรกิจและการตลาด ไปจนถึงการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลพันธมิตร การจัดตั้งเครือข่ายโรงพยาบาล การบริหารประสบการณ์ลูกค้า และการพัฒนาเทคโนโลยีและความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้คนไทยเข้าถึงประกันสุขภาพได้มากขึ้นอย่างยั่งยืน คุณเอกรัตน์ เป็นผู้นำที่มากด้วยประสบการณ์และมีผลงานที่โดดเด่น เป็นที่ยอมรับในด้านการพัฒนาและการปรับเปลี่ยนธุรกิจ โดยได้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของเอไอเอมาตั้งแต่ปี 2561 ภายใต้การบริหารของคุณเอกรัตน์ ฝ่ายการตลาดได้ประสบความสำเร็จในด้านสำคัญต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการเติบโตของเอไอเอ ประเทศไทยคุณเอกรัตน์ ฐิติมั่น จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) และระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จาก the Wharton School, University of Pennsylvaniaนอกจากนี้ เอไอเอ ประเทศไทย มีความยินดีที่จะประกาศการแต่งตั้ง คุณชลิดา นครชัย ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด แทนที่คุณเอกรัตน์ ที่ได้รับตำแหน่งใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งคุณชลิดาจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของเอไอเอ ประเทศไทยด้วยเช่นกันคุณชลิดา เริ่มงานที่เอไอเอในปี 2559 โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่าย digital x รับผิดชอบในส่วนงานด้านการตลาดดิจิทัล การตลาดลูกค้า โครงการเอไอเอเพรสทีจสำหรับลูกค้าสินทรัพย์สูง การหาพันธมิตรด้านดิจิทัลแพลทฟอร์ม และเทคโนโลยีการตลาด (MarTech) ภายใต้บทบาทการทำงานในปัจจุบัน คุณชลิดาได้ยกระดับศักยภาพด้านการตลาดดิจิทัลให้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และแคมเปญต่าง ๆ ในรูปแบบใหม่ สร้างฐานลูกค้าผ่านช่องทางการตลาดต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ รวมทั้งพัฒนาการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าแบบรายบุคคล คุณชลิดา นครชัย จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมเคมี จาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) และระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ จาก Kellogg School of Management, Northwestern University
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
17/12/2024
ร่วมค้นหาตัวตนผ่านนิทรรศการศิลปะ ที่สะท้อนความสุขและแรงบันดาลใจ เมื่อ วัน แบงค็อก รีเทล (One Bangkok Retail) เปิดบ้านต้อนรับให้ทุกคนได้สัมผัสโลกแห่งศิลปะ ในนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ “ครูปาน-สมนึก คลังนอก” ศิลปินผู้มีเอกลักษณ์โดดเด่นจากผลงานภาพวาดสไตล์ ‘Modern Portrait’ และผู้สร้างสรรค์คาแรกเตอร์สุดน่ารัก ‘โคคูน’ (Cocoon) ที่ครองใจคนรักงานศิลปะทั้งในไทยและต่างประเทศ กับนิทรรศการ “Someone Like You” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก การจัดนิทรรศการครั้งแรกของครูปานที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดแสดงผลงานในระดับนานาชาติถึงกว่า 20 ครั้ง ตลอดระยะเวลากว่า 12 ปีปัญญา จิตรมานะศักดิ์งานครั้งนี้ ครูปานจึงได้นำชื่อ “Someone Like You” กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อสร้างความรู้จักกับเพื่อนใหม่ในสถานที่ใหม่ใจกลางเมืองแห่งนี้ ที่ วัน แบงค็อก โซน Parade ชั้น Gโดยมีเหล่าคนดังผู้ชื่นชอบงานศิลปะมาร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ นันทมาลี ภิรมย์ภักดี, สงกรานต์ เตชะณรงค์, สุพรทิพย์ ช่วงรังษี, นิภาพรรณ สุขวิมล, กรองกาญน์ ชมะนันท์, บุษดี เจียรวนนท์, เจ-ภูษิตา-ภูวรัต เทพหัสดิน ณ อยุธยา, ถกลเกียรติ-กณิการ์-อมรพิมล วีรวรรณ, ปัญญา จิตรมานะศักดิ์, สิริรักษ์ ครูวัฒนเศรษฐ์, ปรียนันท์ มงคลศรี และอีกมากมายภายในงานครูปานยังได้โชว์วาดภาพ Live Painting สุดพิเศษ ‘โคคูน วัน’ (Cocoon One) พร้อมจับฉลากมอบให้ผู้โชคดีภายในงาน นิทรรศการครั้งนี้จัดแสดงไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 68นันทมาลี ภิรมย์ภักดีสุพรทิพย์ ช่วงรังษีชาลิดา วิจิตรวงศ์ทองกรองกาญน์ ชมะนันท์ครูปาน และถกลเกียรติ กับกณิการ์ วีรวรรณแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9670000118764
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
17/12/2024
ทะเลสาบโกเซา (Gosau) นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติในภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุท (Salzkammergut) พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเทือกเขาแอลป์ในประเทศออสเตรียภาพ: Xinhua Newsที่นี่เป็นทะเลสาบน้ำแข็ง 3 แห่ง ได้แก่ Lake Gosau, Upper Lake Gosau และ Gosaulacke ซึ่งไม่ไกลจากฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตของออสเตรียสำหรับไฮไลต์ คือ Lake Gosau ทะเลสาบอันสวยงามรายล้อมไปด้วยเทือกเขาดัคสไตน์ (Dachstein) อันสง่างาม และยิ่งกลายเป็นความงามงดสะกดสายตาในฤดูหนาวเดือนธันวาคม ที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ ทัศนียภาพน่าตื่นตาตื่นใจ และความงามของธารน้ำแข็งภาพ: Xinhua Newsโดยปกติแล้วในช่วงฤดูกาลอื่น ทะเลสาบและพื้นที่รอบๆเหมาะสำหรับการเดินเล่นพักผ่อน ปั่นจักรยานไปรอบๆ การเดินป่าหรือปีนเขาที่มีเส้นทางท้าทายน่าตื่นเต้น ว่ายน้ำ ปิกนิกในกระท่อมไม้แสนสบาย ที่จอดรถพร้อม เรียกว่ามีทุกสิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบทิวทัศน์ทะเลสาบกับขุนเขาแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000120471
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
หุ้น
11/12/2024
“กลยุทธ์การซื้อหุ้น: ซื้อเมื่อไหร่ให้ได้เปรียบ” คอลัมน์: Investing Tactic โดย ศศิวรรณ พงศ์พลาญชัย (โค้ชโบลิ่ง) วิทยากรพิเศษ โครงการ SITUPสำหรับนักลงทุนมือใหม่ คำถามเรื่อง “ซื้อหุ้นตอนไหนดี” คงถือเป็นคำถามโลกแตก เพราะใคร ๆ ก็อยากซื้อแล้วทำกำไรโดยไม่ต้องรอนาน แต่ในความเป็นจริงไม่มีวิธีที่ง่ายหรือแน่นอนเช่นนั้น การซื้อหุ้นไม่มีสูตรสำเร็จ นักลงทุนจึงต้องสร้างระบบเทรดที่ตอบสนองต่อเป้าหมายและความต้องการของตนเองในบทความนี้ เราจะพูดถึงรูปแบบการซื้อหุ้นเชิงเทคนิคอล ซึ่งแต่ละรูปแบบมีข้อดี ข้อเสีย และจุดซื้อที่แตกต่างกัน ดังนี้: 1. ซื้อเมื่อราคาย่อตัวเหมาะสำหรับตลาดที่ไม่ Bullish หรือเป็น Sideway • ข้อดี: ความเสี่ยงต่ำ และสามารถตั้งจุด Stop Loss แคบได้ • ข้อเสีย: อาจต้องถือรอนาน เพราะไม่แน่ใจว่าราคาจะเริ่มวิ่งเมื่อไหร่ • จุดซื้อ: เมื่อเกิดสัญญาณแท่งเทียนกลับตัว หรือเมื่อราคายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น (EMA5)2. ซื้อเมื่อราคา Break Outเหมาะสำหรับตลาดที่มีแนวโน้ม Bullish ชัดเจน • ข้อดี: หากซื้อถูกจังหวะ หุ้นมักจะวิ่งต่อทันที ทำให้เห็นกำไรเร็ว • ข้อเสีย: ความเสี่ยงจาก False Break หรือการพักตัวของราคา • จุดซื้อ: เมื่อราคาทะลุแนวต้านสำคัญที่เคยเป็นจุดต้านก่อนหน้าปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกกลยุทธ์การซื้อ1. สภาวะตลาดโดยรวม (Bullish, Sideway, Bearish)2. พฤติกรรมของหุ้น เช่น หุ้นตัวนั้น ๆ มักเกิด False Break หรือไม่3. บุคลิกของนักลงทุนเอง เช่น ความถี่ในการเทรด เวลาที่มีในการติดตามตลาด และลักษณะไลฟ์สไตล์สิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกคนต้องมีไม่ว่าจะเลือกซื้อหุ้นตอนไหน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ “จุด Stop Loss” ไม่มีระบบเทรดหรือกลยุทธ์ใดที่ทำกำไรได้ 100% ตลอดเวลา จุด Stop Loss จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันพอร์ตโฟลิโอไม่ให้เสียหายเกินควบคุมจากคำถามว่า “ควรซื้อหุ้นตอนไหน?” คำตอบของผู้เขียนคือ ซื้อเมื่อคุณพร้อม และความพร้อมในที่นี้หมายถึง คุณมีจุดซื้อ จุดขาย และจุด Stop Loss ที่ชัดเจน พร้อมทั้งมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามระบบเทรดอย่างมีประสิทธิภาพแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/finance/stockmarket/612407
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
11/12/2024
คปภ.ยกเครื่อง “ประกันรถยนต์” ในรอบเกือบ 20 ปี ใช้ต้นแบบประกันรถอีวี บังคับระบุชื่อผู้ขับขี่ คิดค่าเบี้ยรายบุคคลตามพฤติกรรม-ประวัติขับขี่ เผย “ประวัติดี-ไม่มีเคลม” รับส่วนลดเบี้ยสูงสุด 40% ส่วนกลุ่มเคลมสูงเจอชาร์จเบี้ยสูงสุด 40% ดีเดย์นำร่อง 1 ม.ค. 68 สำหรับรถใหม่ป้ายแดง และปี’69 ใช้กับรถยนต์ทั้งประเทศ หวังสร้างจุดเปลี่ยนคนขับรถดีขึ้น-ลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากที่ติดอันดับโลก สมาคมประกันฯขานรับชี้ช่วยให้การกำหนดค่าเบี้ยในอนาคตเหมาะสมมากขึ้น ลุ้นเบี้ยรถยนต์ปี’68 โต 3-5% “วิริยะ-กรุงเทพ” เชื่อช่วยลดเคลมลงได้ 10%รื้อแบบ “ประกันรถ” รอบ 20 ปีนายอาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการด้านกำกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำนักงาน คปภ. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น (เฮียริ่ง) เพื่อทบทวนเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ (สันดาป) ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ประเภท 2 และประเภท 3 ซึ่งจะเป็นการยกเครื่องกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ในรอบเกือบ 20 ปี หลังจากมีการทบทวนแก้ไขพิกัดอัตราเบี้ยใหม่ (Tariff Rate) ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ตั้งแต่ปี 2540 และต่อมาได้ปรับเงื่อนไขเพิ่มเติมอีกครั้งเมื่อปี 2550โดยครั้งนี้จะนำเอาเรื่องพฤติกรรมการขับขี่หรือนำความเสี่ยงในการขับขี่จริงของแต่ละบุคคลมากำหนดเบี้ยประกัน โดยจะใช้ต้นแบบเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่บังคับให้ต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ มาปรับใช้กับรถยนต์สันดาป เพื่อให้มีการโค้ดค่าเบี้ยประกันที่เหมาะสมต่อความเสี่ยงของผู้ขับขี่โดยสามารถระบุชื่อผู้ขับขี่ต่อกรมธรรม์ได้สูงสุด 5 ราย จากปัจจุบันกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไม่ต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ และเพิ่มทางเลือกให้ซื้อกรมธรรม์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่ได้ เพื่อให้ได้ค่าเบี้ยที่ถูกลง ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่จะระบุชื่อผู้ขับขี่อยู่ประมาณ 1-2 รายขับรถแย่เจอชาร์จเบี้ยเพิ่ม 40%นอกจากนี้ เงื่อนไขใหม่จะมีส่วนลดเบี้ยประกันอยู่ 2 ส่วน คือ 1.ส่วนของกรมธรรม์ ถ้าไม่มีเคลมลูกค้าจะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 40% แต่ตรงนี้จะไม่ติดตัวผู้ขับขี่ไป เพราะเป็นเงื่อนไขสัญญาระหว่างบริษัทประกันภัยและผู้เอาประกันภัย แต่ส่วนที่ 2.ประวัติการขับขี่ หากผู้ขับขี่มีประวัติขับรถดี ไม่มีเคลม จะได้ส่วนลดติดตัวไปสูงสุดถึง 40%ยกตัวอย่าง นาย A ขับรถดีมา 3 ปี ประวัตินี้จะติดตัวไปด้วย เมื่อไปทำประกันภัยรถยนต์กับบริษัทใหม่ ทางบริษัทประกันภัยนั้น ๆ จะนำประวัติ 3 ปีที่ขับดีมาคำนวณค่าเบี้ยประกัน แต่หากผู้ขับขี่เกิดอุบัติเหตุบ่อย/เคลมบ่อย บริษัทประกันภัยก็สามารถชาร์จเบี้ยประกันได้สูงสุดถึง 40% เช่นกันดีเดย์รถป้ายแดง 1 ม.ค. 68นายอาภากรกล่าวต่อว่า ไทม์ไลน์การบังคับใช้จะกำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป จะให้เริ่มบังคับใช้กับรถใหม่ (ป้ายแดง) ของรถสันดาปและรถไฮบริดก่อน และตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป จะให้บังคับใช้กับรถยนต์ที่ใช้งานอยู่ทั้งหมดในประเทศไทย“สาเหตุที่ คปภ. ต้องการปรับเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะให้เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ขับขี่แต่ละบุคคล ซึ่งต่อไป คปภ. สามารถเก็บพฤติกรรมการขับขี่รายบุคคลได้มากขึ้นและผู้ขับขี่รายใดที่ขับขี่แล้วเกิดอุบัติเหตุบ่อย ก็ควรจะต้องจ่ายค่าเบี้ยที่แพงขึ้น ขณะเดียวกันหากขับรถดี มีความระมัดระวังไม่เคยเกิดเหตุ หรือไม่ใช่ฝ่ายผิด ค่าเบี้ยประกันก็ควรจะถูกลงด้วย” นายอาภากรกล่าวโดยเมื่อมีการคิดค่าเบี้ยตามความเสี่ยงแต่ละบุคคล จะทำให้พฤติกรรมความเสี่ยงจะสอดคล้องกับเบี้ยประกันมากขึ้น และจุดสำคัญที่ คปภ. อยากจะเห็นจุดเปลี่ยน คือ คนในประเทศมีการขับรถที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุในประเทศไทยลงได้ จากวันนี้ประเทศไทยเกิดอุบัติเหตุสูงมากและติดอันดับโลกสมาคมรับลูกแนวคิดด้าน ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การทบทวนเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถของ คปภ.ในครั้งนี้ ถือเป็นแนวความคิดที่ดีมากเพราะจริง ๆ แล้วความเสี่ยงของรถยนต์ไม่ได้อยู่ที่ตัวรถแต่อยู่ที่ผู้ขับขี่ ดังนั้นการบังคับระบุชื่อผู้ขับขี่จะทำให้บริษัทประกันภัยรู้ว่าใครเป็นคนที่มีพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลให้การกำหนดค่าเบี้ย (Pricing) ในอนาคตจะนำไปสู่ Pricing ที่เหมาะสมได้มากสำหรับตลาดประกันภัยรถยนต์ในปี 2568 ถ้าประเมินจากปี 2567 ที่ยอดขายรถยนต์โดยเฉพาะรถใหม่ที่เป็นรถสันดาปหดตัวลงอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันยอดขายรถอีวีก็มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่มีหลายแบรนด์เข้ามาแข่งขันจึงยังมองว่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาพรวมปีหน้ายังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นได้ประมาณ 3-5% แต่สำหรับสิ้นปีนี้ภาพรวมไม่น่าจะโต เพราะสิ่งที่เจอคือการหดตัวของยอดขายรถสันดาป และรถมือสองก็ขายได้ยากขึ้น ส่งผลจำนวนรถที่จะเข้าสู่ระบบประกันภัยใหม่ ๆ ก็ลดน้อยลงวิริยะลุ้นเบี้ยรถ 3.8 หมื่นล้านขณะที่นายสยม โรหิตเสถียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดประกันรถยนต์ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวทาง คปภ.เป็นเรื่องที่ดี เชื่อว่าความเสี่ยงการเคลมประกันรถยนต์ในอนาคตจะลดลงแน่นอน ทำให้ค่าเบี้ยประกันภัยก็จะเปลี่ยนตามไปโดยช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีการรับประกันภัยรถยนต์อยู่ประมาณ 1.5 ล้านคัน เบี้ยกว่า 3 หมื่นล้านบาท เติบโต 1.2% YOY รวมพอร์ตประกันรถอีวีที่รับประกันอยู่ 49,000 คัน คิดเป็นเบี้ยประกัน 1,130 ล้านบาท แม้ว่าปีนี้รถป้ายแดงจะชะลอตัวลงมากแต่บริษัทยังลุ้นช่วงเดือน ธ.ค.นี้ ที่มีงาน Motor Expo 2024 และเป็นช่วงพีกการต่ออายุประกันรถ จะทำให้สิ้นปีบริษัทจะมียอดเบี้ยประกันรถยนต์ถึงเป้า 3.8 หมื่นล้านบาทได้ โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราการต่ออายุประกันรถยนต์สูงถึง 80% สะท้อนว่าจะยังรักษายอดต่ออายุได้ในระดับที่ดีมากสำหรับอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) ในการเคลมประกันรถยนต์ของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 57% ยังมีกำไรอยู่ได้ ดังนั้นคงยังไม่ปรับเบี้ยประกัน แม้ว่าปัจจุบันจะมียอดเคลมประกันรถยนต์เพิ่มขึ้น 6% YOY หรือประมาณ 6 แสนเคลม มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท แต่ถ้าเมื่อไหร่ Loss Ratio เกิน 60% บริษัทก็อาจจำเป็นต้องปรับเบี้ยขึ้นบ้างกรุงเทพเชื่อลดเคลมลงได้ 10%ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประสบการณ์ของผู้ขับขี่รถจะมีผลต่อเรื่องการเกิดอุบัติเหตุ ผู้ที่มีอายุอยู่ในระดับที่มีวุฒิภาวะค่อนข้างสูง ความถี่การเกิดอุบัติเหตุก็จะน้อยลง ซึ่งมองว่าประกันภัยรถรูปแบบใหม่จะช่วยลด Loss Ratio ลงมาได้สัก 10%อย่างไรก็ตาม จากนโยบายซ่อมห้าง (ซ่อมศูนย์) ขณะที่ค่าแรงและค่าอะไหล่ที่สูงมาก ส่งผลให้ Loss Ratio ของเคลมประกันรถยนต์ของรถป้ายแดงยังสูงเกินกว่า 65%สำหรับพอร์ตประกันรถยนต์ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรก สืบเนื่องจากกิจกรรมทางสังคมที่กลับมาเป็นปกติแล้วจากช่วงโควิด ส่งผลให้อุบัติเหตุสูงขึ้น กดดันอัตราความเสียหายของประกันภัยรถยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 3% จากระดับ 56% เป็น 59%หั่นเป้าเบี้ยเหลือ 3.2 หมื่นล้านดร.อภิสิทธิ์กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดประมาณการเป้าเบี้ยรับรวมปีนี้ลงมาที่ 32,000 ล้านบาท เหลือโต 7% จากเดิมที่ตั้งไว้ 32,400 ล้านบาท โต 8% สาเหตุจากตลาดประกันวินาศภัยไทยที่มีความเปราะบาง ภาพรวมประกันวินาศภัย 9 เดือนแรกไม่ค่อยดี ทั้งตลาดมีเบี้ยรับรวมติดลบ 0.5%สาเหตุหลักเพราะยอดขายรถยนต์ใหม่ปีนี้ที่หดตัวแรง มีการปรับลดเป้าตั้งแต่ต้นปีเรื่อยมา จากต้นปีตั้งเป้า 8-9 แสนคัน ปรับลดลงเหลือ 7.5 แสนคัน และตอนนี้ปรับใหม่น่าจะเหลือแค่ 5.5 แสนคันโดยไตรมาส 4/2567 ภาคธุรกิจจะเป็นการแข่งขันเพื่อแย่งชิงปลาในบ่อเดิม เพราะยอดขายรถใหม่ไม่ค่อยมี และส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถอีวี ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่าบริษัทจะไม่เข้าไปรับประกันรถอีวี แต่จะรับด้วยราคาเบี้ยประกันที่สะท้อนความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อเทียบราคาคู่แข่งจะสูงกว่าหลายบริษัท ทำให้พอร์ตประกันอีวีของบริษัทไม่โตมาก แต่รถสันดาปยังมั่นใจว่าลูกค้าจะให้ความมั่นใจในเรื่องของคุณภาพและบริการ เพราะฉะนั้น การโยกพอร์ตจะยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง“ช่วง 9 เดือนแรก พอร์ตประกันรถยนต์ของบริษัทโต 9.9% คิดเป็นเบี้ยราว 13,000 ล้านบาท และคาดว่าปิดปีพอร์ตประกันภัยรถยนต์ของบริษัทน่าจะโตได้ 10% โดยประกันรถของบริษัทมีอัตราการต่ออายุ 86% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบอุตสาหกรรม”ปีหน้าโอกาสเบี้ยรถขยับ 3-5%ดร.อภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า สำหรับปี 2568 มองว่ายอดขายรถใหม่ยังไม่น่ากระเตื้อง จากความเปราะบางของเศรษฐกิจ ขณะที่หนี้ครัวเรือนก็ยังไม่มีแนวโน้มจะลดลง คาดการณ์ว่า GDP ก็ไม่น่าจะโตมากไปกว่าปีนี้ สังเกตจากนโยบายการปล่อยสินเชื่อของธุรกิจไฟแนนซ์และธนาคาร ที่ค่อนข้างเข้มงวดเพื่อลดอัตราการเกิดหนี้เสีย (NPL) นั่นแปลว่าจำนวนรถที่เข้าสู่ระบบไฟแนนซ์ลีสซิ่ง หรือยอดขายรถยนต์ใหม่ไม่น่าจะกระเตื้องได้มาก ซึ่งจะกดดันการเติบโตของเบี้ยประกันรถยนต์ตามมาส่วนแนวโน้มอัตราความเสียหายของประกันรถยนต์ ในปีหน้ามองว่ายังอยู่ใกล้เคียงเดิม ถ้าไม่มีความเสี่ยงจากเรื่องภัยธรรมชาติ แต่หากเกิดภาวะ Rain Bomb โดยเฉพาะหากเกิดในกรุงเทพฯ อาจมีความเสี่ยงรถยนต์ที่จอดอยู่ชั้นในคอนโดมิเนียมชั้นใต้ดินจะได้รับความเสียหายมาก ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นกังวลที่อาจจะส่งผลให้ Loss Ratio รถยนต์สูงขึ้นกว่าปีนี้ได้“อย่างไรก็ดี ปีหน้าก็มีรถบางรุ่นของบริษัทที่อาจต้องมีการขยับเบี้ยขึ้นบ้าง เช่นเดียวกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่จะต้องขึ้นเบี้ยให้สะท้อนภาพความเสี่ยงที่แท้จริง เทียบกับราคาค่าซ่อม ค่าอะไหล่ ที่สูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งการขยับเบี้ยขึ้นน่าจะประมาณ 3-5% ซึ่งหลัก ๆ จะเป็นรถใหม่ที่ซ่อมจากศูนย์ซ่อมตัวแทนจำหน่าย (Dealer Garage)” ดร.อภิสิทธิ์กล่าวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1711047
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
11/12/2024
นิทรรศการ Red mud, Green Shoots จัดแสดงผลงานศิลปะหลากหลายเทคนิคของศิลปิน ‘แม่ญิง’ 28 คน สะท้อนความรู้สึก ความทรงจำ ของเหตุการณ์มหาอุทกภัย ส่งต่อกำลังใจ พลิกฟื้นให้ชีวิตดำเนินต่อไปกันได้ ท่ามกลางความผันผวนไม่แน่นอนของสภาพอากาศและทุกอย่างรอบๆ ตัวในน้ำท่วมเราพบน้ำใจ ท่ามกลางโคลนตมที่กลืนกินพื้นที่ไปทั่วเมือง เราเห็นความหวังที่ยังผลิบาน โลกมีสองด้านให้เราเรียนรู้เสมอพจวรรณ พันธ์จินดา หนึ่งในสมาชิกศิลปินแม่ญิง (Maeying Artists Collective) กล่าวถึงที่มาของนิทรรศการ Red mud, Green Shoots ที่กำลังจัดแสดงอยู่ที่บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ไปจนถึง 21 ธันวาคม ศกนี้ ให้ฟังว่า“ศิลปินแม่ญิง แสดงผลงานร่วมกันในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 2560 แต่ปีนี้เกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของ เชียงราย สมาชิกในกลุ่มเรามีทั้งผู้ประสบภัยและอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงอยากถ่ายทอดมุมมองของแต่ละคนในนิทรรศการ Red mud, Green Shoots ท่ามกลางโคลนสีแดงเต็มเมือง ก็ยังมีหน่อเล็ก ๆสีเขียวงอกขึ้นมาใหม่ แม้จะอยู่ท่ามกลางภัยพิบัติเรายังมีความหวัง”ศิลปินแม่ญิง (Maeying Artists Collective)(ภาพ : บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย)หอยทากบนผนัง ตัวแทนของผู้รอดชีวิต ผลงานดินปั้นโดย พจวรรณ พันธ์จินดาผลงานศิลปะในนิทรรศการครั้งนี้ ได้รับการตีความผ่านความรู้สึกและประสบการณ์ของศิลปินแต่ละคน ทำให้ผู้ชมได้เห็นมุมมองที่หลากหลายพจวรรณ เจ้าของคาแรกเตอร์ PoyPoy เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชอบแฝงตัวอยู่ในท้องฟ้ากว้างๆ ชอบชวนเพื่อนๆออกไปผจญภัย นำเสนอเรื่องราวของหอยทากที่พากันหนีน้ำขึ้นไปอยู่บนกำแพงและผนังของบ้าน ด้วยการปั้นดินเป็นรูปหอยทากระบายสีราวลูกกวาดแล้วนำมาเกาะอยู่ตามผนังกระจายอยู่ภายในห้องจัดแสดงงานศิลปะ“เล่าถึงเรื่องราวของผู้รอดชีวิต” เจ้าของผลงานตอบสั้นๆเพราะอยากให้เราจินตนาการต่อเรือกระดาษ สะท้อนภาพความช่วยเหลือจากเรือกู้ภัยที่แล่นผ่านหน้าบ้านทุกวันผลงานของ ภัทรพร สิทธิศักดิ์ในขณะที่ ภัทรพร สิทธิศักดิ์ หยิบรูปทรงของเรือกระดาษมาบอกเล่าถึงขบวนเรือกู้ภัยที่แล่นผ่านหน้าบ้านซึ่งอยู่บนเส้นทางผ่านระหว่างอำเภอแม่สายและอำภอเมืองเชียงราย แทนความทรงจำที่ได้เห็นความช่วยเหลือที่เกิดขึ้นในทุกวันภาพเขียนสีจากดินโคลนน้ำท่วม ผลงานของ ธนันท์ ใจสว่างธนนันท์ ใจสว่าง นำดินโคลนที่มากับน้ำท่วมในบ้านมาผสมน้ำแล้วใช้แทนสีวาดภาพสะท้อนความโกลาหลที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์น้ำท่วมส่วน กิตติ์สินี ธันวรักษ์กิจ สร้างสรรค์ผลงานศิลปะจัดวางด้วยการนำดินโคลนมาใส่ในถุงดำแล้วปลูกดอกเดซี่ สื่อถึงความหวังและการเริ่มต้นใหม่ และดอกทานตะวัน สะท้อนถึงความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ “ถึงแม้ว่าเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นจะทิ้งร่องรอย สร้างบาดแผลและความเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่ขออย่าสิ้นหวัง หมดพลัง และสิ้นศรัทธา เหมือนดอกไม้ที่เติบโตหลังพายุฝน” โดยต้นไม้ในถุงดำนี้ผู้เข้าชมสามารถซื้อกลับบ้านได้ รายได้จะนำไปสมทบทุนช่วยเหลือ“ซ้อนสู้สู่ความหวัง” โดย จตุพร เทพนิลประกาศยกของขึ้นที่สูงเป็นคำเตือนที่คุ้นหู จตุพร เทพนิล นำดินโคลนน้ำท่วมมาสร้างสรรค์เป็นงานเซรามิคที่ชื่อว่า ซ้อนสู้สู่ความหวัง สะท้อนถึงความพยายามในการปกป้องสิ่งของจากภัยน้ำท่วมด้วยการซ้อนวางสิ่งของอย่างมุ่งมั่นตั้งใจและระมัดระวัง จนเกิดเป็นความสูงจากการสู้เพื่อให้สิ่งของพ้นระดับน้ำ อีกทั้งการซ้อนสู้นี้แฝงด้วยความหวังให้เกิดความปลอดภัย พร้อมชีวิตที่รอวันผลิบานกับการเริ่มต้นใหม่ที่สดใสยิ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ชวนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสำหรับผลงานที่ดูเหมือนว่าจะเก็บรายละเอียดของเหตุการณ์และเรื่องราวของผู้คนได้เอาไว้ได้มากมาย ต้องยกให้ผลงานจิตรกรรมในบรรยากาศเหนือจริง “อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” ของ ชรินรัตน์ สิงห์หันต์ เจ้าของฉายา หลานหวัน หรือหลานของ ‘ถวัลย์ ดัชนี’ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย ที่รุ่นพี่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ตั้งให้เพราะความที่เป็นคนเชียงรายที่มีความบ้าพลังทำงานศิลปะชิ้นเล็ก ๆไม่ค่อยถนัดถึงแม้ว่าผลงานในครั้งนี้จะมีขนาดเล็กอยู่สักหน่อย แต่ถือว่าเป็นงานชิ้นเล็กแบบตะโกนเลยทีเดียว“อยากเขียนภาพที่บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดของปีนี้เอาไว้ ตอนต้นปีเขาบอกว่าเชียงรายจะแล้งแต่ปรากฏว่ามีฝนตกหนัก นอกจากนี้การเผาข้าวโพดทำให้หน้าดินแข็งไม่สามารถอุ้มน้ำได้ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่วมเรามานั่งดูเชียงรายปีนี้ว่าเกิดประสบภัยพิบัติเกือบทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นฝนตก น้ำท่วม หรือฝุ่นละออง เลยอยากจะบันทึกเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปีนี้เอาไว้ถอดบทเรียนสำหรับการไขปัญหาให้ดีขึ้น”“อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต” โดย ชรินรัตน์ สิงห์หันต์หลานหวัน นำเสนอรูปบุคคลที่มีหัวเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยม สื่อความหมายของสภาวะที่หลีกหนีไม่ได้ ร่องรอยบูดเบี้ยวแทนประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในขณะที่สีหน้าบ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายที่ชาชิน งานเก็บกวาดยังคงเป็นงานหนักหลังน้ำลด ท่ามกลางความโกลาหลอาหารและข้าวกล่องลำเลียงส่งมาทางเฮลิคอปเตอร์ ดังที่เห็นเป็นข่าว อาสาสมัครกู้ภัย และน้ำใจที่หลั่งไหลจากทั่วสารทิศ ล้วนเป็นเรื่องราวที่บันทึกไว้ในผลงานชิ้นนี้ข้าวกล่อง คือ ของสำคัญในยามนั้นในดีมีร้าย ในร้ายมีดี ทุกเรื่องราวล้วนมีมุมมองคู่ขนานกันอยู่เสมอ เช่นเดียวกับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเชียงรายเมื่อเดือนสิงหาคม กันยายน ต่อเนื่องมาจนถึงตุลาคมที่ผ่านมา“บนโคลนตมสีแดงที่หลากท่วมไปทั่วเมือง ความหวังยังผลิบาน”ถ้าไม่เป็นผู้ประสบภัยเองก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ ผลงานของ อิ่มบุญ อินยาศรีนิทรรศการ Red mud, Green Shoots จัดแสดง 16 พฤศจิกายน -21 ธันวาคม 2567 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย เปิดให้เข้าชมฟรี เวลา 10.00-16.00 น. (หยุดวันจันทร์) และติดตามกิจกรรมของทางกลุ่มศิลปินได้ที่ เฟซบุ๊ก กลุ่มศิลปินแม่ญิง Maeying Artists Collectiveภาพ : บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย , แม่ญิงแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1156900
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
08/05/2025
16/05/2024
20/05/2025
30/04/2024
30/04/2024