คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวทั่วไป

แพงไปไหม นอนรพ. 4 วัน ค่ารักษาไข้หวัดใหญ่เกือบ 2.5 แสน

30/04/2024

ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ นอนโรงพยาบาลดังย่านปากเกร็ด 4 วัน ค่ารักษา 2.5 แสน อึ้ง ที่อเมริกากับสวีเดน ยังไม่แพงขนาดนี้ สงสัยเอาอะไรมาแพงภาพจาก ช่อง 3วันที่ 6 ธันวาคม 2566 ช่อง 3 รายงานว่า นางสาวจำลอง วัย 66 ปี เจ้าของร้านอาหารไทยในประเทศสวีเดน ร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า ก่อนหน้านี้เดินทางกลับประเทศไทยเพื่อเยี่ยมลูกชาย แต่มีเหตุให้ไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลดังแห่งหนึ่งย่าน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม 2566 เนื่องจากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B เมื่อเช็กบิลออกมากลับเจอค่ารักษาพยาบาลรวมทั้งสิ้น 249,704 บาท ซึ่งตนก็รูดจ่ายด้วยบัตรเครดิตแบบงง ๆ ว่า ทำไมค่ารักษาพยาบาลถึงแพงขนาดนี้ แพงจนในต่างประเทศต้องชิดซ้ายไปเลยต่อมาเพื่อนฝูงในไทย พอรู้ถึงค่ารักษาก็พากันแปลกใจ ไม่คิดว่าค่ารักษาพยาบาลจะแพงหูฉี่ขนาดนี้ ดังนั้น ตนจึงนำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ทั้งหมดไปร้องเรียนที่ สคบ. สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ทางเจ้าหน้าที่ก็ยอมรับว่า ค่ารักษาพยาบาลแพงมาก และขอให้ตนลองติดต่อกับทางโรงพยาบาลเพื่อเจรจาดูก่อน หากตกลงกันไม่ได้ค่อยกลับมาที่ สคบ. อีกครั้งทั้งนี้ ตนอยากให้โรงพยาบาลมาชี้แจง จะได้หายแคลงใจเรื่องราคา เพราะตนเคยนอนพักรักษาตัวที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและสวีเดน ยังไม่แพงขนาดนี้ภาพจาก ช่อง 3ขอบคุณข้อมูลจาก ช่อง 3แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกระปุก.คอมhttps://hilight.kapook.com/view/237895

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

พิกัด 15 ไฮไลต์งานดีไซน์ Chiang Mai Design Week 2023 เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่

30/04/2024

เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2566 หรือ Chiang Mai Design Week 2023 เต็มอิ่มงานดีไซน์ทั่วเมืองเชียงใหม่ การผสมผสานสินทรัพย์ดั้งเดิม งานคราฟต์ งานออกแบบท้องถิ่น อาหาร ดนตรี และย่านสร้างสรรค์ นำเสนอผ่านมิติต่างๆนอกจากอากาศเย็น ความสวยงามตามธรรมชาติของป่าเขา แม่น้ำลำธาร ใครขึ้นไป เชียงใหม่ ช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ หลายย่านของเมืองเชียงใหม่กำลังคึกคักกับ เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2566 หรือ Chiang Mai Design Week 2023 (CMDW2023) จัดโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEAปีนี้ CEA ขับเคลื่อน เชียงใหม่ สู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้าน Creative Tourism Festival ในระดับสากล ด้วยการจัดงาน Chiang Mai Design Week ใน 2 พื้นที่หลักของเชียงใหม่ ได้แก่ ㆍย่านช้างม่อย-ท่าแพ ㆍย่านกลางเวียง (พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่น - ล่ามช้าง) กับอีกบางพื้นที่ ได้แก่ ย่านหางดง - De Siam Antiques Chiangmai, ย่านสันกำแพง - MAIIAM  Contemporary Art Museum ฯลฯสำหรับเทศกาลฯ ในปีนี้ นอกจากจะมี งานดีไซน์ ให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสกันเต็มอิ่มทั่วเมืองเชียงใหม่แล้ว ยังมีความน่าสนใจในแง่ของการผสมผสานสินทรัพย์ดั้งเดิม อย่างงานคราฟต์ งานออกแบบท้องถิ่น อาหาร ดนตรี และย่านสร้างสรรค์ มานำเสนอผ่านมิติอื่นๆ มากกว่า 200 กิจกรรม แบ่งกลุ่มเป็น 15 ไฮไลต์งานดีไซน์ใน Chiang Mai Design Week 2023 ได้ดังนี้(1) นิทรรศการ หัตถกรรมร่วมรุุ่น (Everyday Contem)สร้างสรรค์โดย กลุ่มนักสร้างสรรค์คืนถิ่น (Homecoming) และ สล่า/ช่างฝีมือแขนงต่างๆ เชิญชวนผู้ชมได้ร่วมค้นหาแนวทางในการอยู่รอดและเติบโตของงานหัตถกรรม ผ่านเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันที่ถูกพัฒนาใหม่ และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่นได้โดยนำเทคนิคงานหัตถกรรมของภาคเหนือ เช่น เครื่องเขิน งานจักสาน งานแกะสลักไม้ ฯลฯ มาต่อยอดเป็นสิ่งของเครื่องใช้ โดยยังคงเทคนิคดั้งเดิมไว้เพื่อรักษาความเป็นเอกลักษณ์ และสืบทอดทักษะภูมิปัญญาโบราณของช่างฝีมือท้องถิ่น ㆍสถานที่: ห้องนิทรรศการ, TCDC เชียงใหม่(2) นิทรรศการ Persona of thingsนิทรรศการที่นำเสนอวิธีการใช้ทักษะฝีมือจากงานหัตถกรรม มาซ่อมแซมสิ่งของใช้แล้วต่าง ๆ ที่มีร่องรอยของความเสียหาย ให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง พร้อมเพิ่มมูลค่าและคุณค่าใหม่ โดยที่ยังคงไว้ซึ่งเรื่องราวในอดีตและการเดินทางของวัตถุแต่ละชิ้น นำเสนอโดย กลุ่มนักสร้างสรรค์คืนถิ่น (Homecoming) และ สล่า/ช่างฝีมือแขนงต่างๆㆍสถานที่: ชั้น 2, โกดังมัทนา(3) Flavourscapeนิทรรศการที่ชวนตั้งคำถามกับผู้เข้าชมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง 'อาหารกับผู้คน' ในภูมิศาสตร์ของชนบทและชุมชนเมือง ผ่านอาหารที่ไม่มีอยู่จริง ภายใต้คอนเซ็ปต์ รีคอมมอนนิ่ง (Re-Commoning) ผ่านกิจกรรม Interactive ให้ทดลองปรับ สลับ จับคู่ อาหารกับภูมิศาสตร์ และสำรวจผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนัันㆍสถานที่: ธน-อาคาร(4) Transforming Localนิทรรศการที่ชวนสำรวจปรากฏการณ์การเลือนหายไปของบทบาทและอัตลักษณ์ใน งานหัตถกรรมพื้นบ้าน อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมวัฒนธรรมและการพัฒนาอุตสาหกรรมในสังคมสมัยใหม่ (Modernization)นำเสนอผ่านผลงานประติมากรรมจัดวางที่ผสมผสานแนวคิด Memento Mori ในการปรับเปลี่ยนมุมมองของงานหัตถกรรมแกะสลักไม้ดั้งเดิม เพื่อสะท้อนสภาวะของงานหัตถกรรมในปัจจุบัน และสื่อสารประเด็นของการรื้อฟื้นคุณค่าความสำคัญของภูมิปัญญาㆍสถานที่: ห้องประชุม 1, TCDC เชียงใหม่(5) Colour Lives: Furniture Exhibition by Suwan Kongkhunthianสุวรรณ คงขุนเทียน นักออกแบบชั้นครู ร่วมกับ คาล์ม วิลเลจ (Kalm Village) นำเสนอเก้าอี้จากฝีมืองานหัตถกรรมอย่างสร้างสรรค์ เปรียบเสมือน “การแต่งตัวให้กับเก้าอี้” ที่ศิลปินใช้สีสันแต่งแต้มอัตลักษณ์และเติมเต็มชีวิตให้กับผลงานแต่ละชิ้นจนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ่านประสบการณ์กว่า 30 ปี ของความศรัทธาในการสืบสานงานหัตถกรรมให้สามารถมีชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์เราต่อไปอย่างมีความหมาย อยู่เหนือกาลเวลาㆍสถานที่: คาล์ม วิลเลจ(6) Sweet n Sour Canteenซุ้มอาหารการจากเครือข่าย Slow Food ที่ใช้วัตถุดิบและพืชพื้นถิ่น (Local Ingredients) มารังสรรค์เมนูผ่านวัตถุดิบออร์แกนิกพิเศษ! ทดลองใช้เครื่องปรุง เช่น “สิหมะ” ผลไม้รสเปรี้ยวที่เป็นเครื่องปรุงหลักท้องถิ่นของพี่น้องอาข่าและปกาเกอะญอ และ “น้ำผึ้งป่า” ที่ให้รสหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์พร้อมเรียนรู้กระบวนการทำอาหารที่พิถีพิถัน ไขข้อสงสัยว่ากินอย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ รวมทั้งพาสำรวจการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างคนและธรรมชาติㆍสถานที่: TCDC เชียงใหม่(7) Long Table (เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ)พบกับการจับคู่เมนูอาหารและเครื่องดื่มสุดพิเศษที่สร้างสรรค์มาเพื่อเทศกาลฯ ให้มาลิ้มลองรสชาติจาก 5 จานอาหารท้องถิ่น คัดสรรมาว่าคู่ควรกับ 7 เครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมจาก “สิหมะ” ผลไม้รสเปรี้ยว และ “น้ำผึ้งป่า” ให้รสหอมหวานหวานเป็นเอกลักษณ์ร่วมค้นหาว่า อะไรคือเคล็ดลับของความอร่อยในจานจากมื้ออาหารนี้ㆍสถานที่: TCDC เชียงใหม่(8) เปิ้นสานฉันProjection Mapping Decide Kit บนตึกยุคโมเดิร์นในย่านช้างม่อย เติมเต็มบรรยากาศย่านสร้างสรรค์ภายใต้โจทย์ Transforming Local งานหัตถกรรมจักสาน ถูกใช้งานในชีวิตประจำวันตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันอย่างแพร่หลายถึงแม้ว่ารูปแบบการใช้งาน รูปทรงหรือแม้กระทั่งวัสดุจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่จักสานยังคงความมีเสน่ห์ของการใช้งานได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงสร้างอาชีพให้กับคนภาคเหนือมาช้านานบนถนนเส้นหลักย่านช้างม่อย มีร้านขายงานหัตถกรรมจักสานไม่น้อยกว่า 3 ร้าน ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ดั้งเดิมของย่าน ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลง ย่านช้างม่อย เป็นย่านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากภาพจำ การเข้ามาของคาเฟ่ และคนรุ่นใหม่ ที่ทำให้ร้านขายหวายและย่านช้างม่อยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง"เปิ้นสานฉัน" จึงเป็นผลงานที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของย่านช้างม่อย และความมีเสน่ห์ของงานหัตถกรรมและการใช้งานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นผลงานที่เชื่อมโยงย่านกับผู้คน วัฒนธรรมและเศรษฐกิจของย่านㆍสถานที่: ธน-อาคาร(9) CMDW x Mango Art Festivalแพลตฟอร์มแสดงผลงานศิลปะระดับนานาชาติประจำปี ภายใต้ธีม ‘TREASURE DISCOVERED 2023’ จากศิลปิน 18 ท่าน จาก 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำปาง และจังหวัดพิษณุโลกนำเสนอบริบทและมุมมองใหม่ในการสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินบนพื้นที่ Creative Space แห่งใหม่ หลองข้าวไม้โบราณ และเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่นับหมื่นชิ้นㆍสถานที่: De Siam Antiques Chiangmai(10) Audio Video Installation Art by Kor.Bor.Vorผลงานจากทีม ก.บ.ว. Visual Mapping ของเมืองไทยที่จะมาสร้างสรรค์ผลงานสุดจัดจ้านในย่านช้างม่อย เติมเต็มบรรยากาศย่านสร้างสรรค์ภายใต้โจทย์ที่ท้าทาย และชวนให้ระลึกถึงบรรยายกาศห้องแถวการค้าในอดีต กับโปรเจกต์ แฝดห้า (Original Five) กิจกรรม Visual Mapping นี้สามารถเข้าร่วมได้ตลอดทั้งวันก.บ.ว. ยังมีจุดแสดงงานอีกหลายแห่ง อาทิ Connecting bridge สะพานเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนด้านในและนอกชุมชนจากร้านขายหวายหรืองานจักสาน ภาพจำของย่านช้างม่อย พัฒนาแนวคิดแปลงเป็นผลงานศิลปะจัดวางที่เล่นกับพื้นที่ สะพานข้ามคลองแม่ข่า ด้านในชุมชนช้างม่อยㆍสถานที่ : ห้องแถวห้าห้อง ถ.ราชวงศ์ ซอย 1(11) Labb Fest 2023การแสดงดนตรีสด Live Performance จากศิลปินไทยและต่างชาติ ที่ผสมผสานระหว่างเสียงดนตรีและภาพเคลื่อนไหวในพื้นที่ลานสเก็ตบอร์ดของเมืองเชียงใหม่ศิลปิน A_Root (TW), Common People Like You (TH), Delicious Grapefruit Moon (JP), Echo Resort (TH), Gwenji (HK), How Why When You (TH), Joinjoy (TH), KIKI (TH), L8CHING (TW), SRWKS. (TH) รับบัตรฟรีที่ TICKETS FREE:  จำกัด 300 คนพิเศษสำหรับปี 2023 พบกับการ Live Steam ผ่าน Metaverse ที่สามารถให้คนจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาชมและมีปฏิสัมพันธ์ในโลกเสมือนได้ㆍสถานที่: Club Carving CNX(12) Unveiling Objectsนิทรรศการที่จะเผยมุมมองของศิลปินที่เป็นที่รู้จักในมิติที่ต่างไป ผ่านการเล่าเรื่องราวจาก วัตถุทางศิลปะ ที่เป็นชิ้นงานส่วนตัว หรือเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานศิลปะและเรื่องราวรอบตัวของพวกเขาอาทิ เชาวลิต เสริมปรุงสุข, ต่อลาภ ลาภเจริญสุข, สิงห์ อินทรชูโต, ไทวิจิตร พึ่งเกษมสมบูรณ์, ลักษณ์ ใหม่สาลี, นาวิน ลาวัลย์ชัยกุล, ธวัชชัย พันธุ์สวัสดิ์รวมถึงชิ้นงานสะสมส่วนตัวของคุณ Jean-Michel Beurdeley (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง MAIIAM) ผ่านบทสนทนาด้านการออกแบบและประวัติศาสตร์ศิลปะในแง่มุมต่าง ๆกระตุ้นให้สร้างคำถามในช่วงเวลาที่นิยามความหมายของศิลปะและออกแบบ มีความหลากหลายและเป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุดㆍสถานที่: MAIIAM  Contemporary Art Museum ย่านสันกำแพง(13) POP Marketตลาดที่รวบรวมร้านค้างานหัตถกรรมคัดสรรคุณภาพ งานดีไซน์ที่มีรูปแบบเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ สินค้าไลฟ์สไตล์ ของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์รวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม ที่คัดมากว่า 110 ร้านค้า ภายในตลาดยังเปิดพื้นที่การแสดงออก ให้กับศิลปิน นักแสดงและนักดนตรี ทั้งระดับมืออาชีพและหน้าใหม่ด้วยㆍสถานที่: พิพิธภัณฑ์พื้นถิ่นล้านนา (14) Chiang Mai Busking อีเวนต์ เชียงใหม่เปิดหมวก กับแนวคิด ‘On The Original Street, Let's join’ ชวนผู้คนและนักท่องเที่ยวในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการแสดงดนตรีกับนักดนตรีด้วยการสร้างบทสนทนาถึงเชียงใหม่ในแบบฉบับของตัวเองㆍกิจกรรมจัดเฉพาะวันที่ 7 - 10 ธันวาคม 2566ㆍสถานที่: ย่านช้างม่อยและล่ามช้าง(15) Lamchang International Filmเทศกาลฉาย ภาพยนตร์นานาชาติ จากประเทศ ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และ ไทย ท่ามกลางบรรยากาศของวัดโบราณ ที่ชวนหวนให้นึกถึงจุดศูนย์รวมของชุมชนในสมัยก่อน ที่ไม่ได้จำกัดแค่เข้าวัด ‘ทำบุญ’ แต่ยังเข้าวัด ‘ดูหนัง’ ได้ด้วย!ㆍกิจกรรมจัดเฉพาะวันที่ 7 - 10 ธันวาคม 2566ㆍสถานที่: วัดล่ามช้าง  เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2566 หรือ Chiang Mai Design Week 2023 (CMDW2023) จัดระหว่างวันที่ 2 - 10 ธันวาคม 2566 แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1101863

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เกิดอะไรขึ้น!? เมื่อนักท่องเที่ยวจีนลดปักหมุดเที่ยวไทย มีวิธีใดช่วยเเก้เกม

30/04/2024

หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายมีรายงานพบว่าอันดับประเทศที่นักท่องเที่ยวจีนเสิร์ชหามากที่สุดคือ ประเทศไทย ตามด้วยประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ ภาครัฐหวังกระตุ้นการท่องเที่ยวจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเช่นกัน โดยคาดการณ์ไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 4-5 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทเป็นตัวเลขคาดการณ์ประมาณแบบประมาณตัว หวังเพียงครึ่งของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่แห่มาประเทศไทยมากกว่า 11 ล้านคนก่อนโควิดระบาด สร้างรายได้ภาคการท่องเที่ยวหลักล้านล้านบาทแต่แล้วก็ไม่ถึงฝั่งฝัน เข้าเดือนสุดท้ายของปีกลับพบว่า ตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจีนมายังประเทศไทยเพียง 3 ล้านคนเท่านั้น กลุ่มไกด์ไทยผู้ดูแลนักท่องเที่ยวต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า "ซบเซา" กว่าที่คาดหวังไว้ ทั้งยอดจองช่วง Golden Week ที่เคยฟู่ฟ่ากลับลดลงอย่างมากเกิดอะไรขึ้นกับนักท่องเที่ยวจีน!?หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าเหตุเพราะสภาวะเศรษฐกิจจีนที่ซบเซาหลังกระทบหนักจากโรคระบาด ทั้งจีนเองก็ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ส่งผลไปถึงมาตรการในการออกพาสปอร์ตที่เคร่งครัดมากขึ้นแต่อีกสาเหตุที่อาจมีส่วนสำคัญคือความกังวลด้าน "ความปลอดภัย" ผู้สื่อข่าวหลายสำนักรายงานว่า ในช่วงสองปีหลังมานี้ กระแสในโซเชียลมีเดียจีนมีการวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยในเชิงลบอย่างมาก หลังรับชมภาพยนตร์จีน No More Bets เนื้อหาสื่อถึงการค้ามนุษย์ การค้าอวัยวะในตลาดมืดและแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งจับคนรวยเรียกค่าไถ่ มีบางฉากที่มีภาษาไทยออกเผยแพร่สร้างภาพลักษณ์เชิงลบ จนทางการฑูตไทยมีความกังวลต้องเข้าเจรจาเคราะห์ซ้ำเมื่อเกิดเหตุการณ์เด็กวัย 14 กราดยิงกลางเมือง เป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวจีนชาวจีนเสียชีวิต ตอกย้ำความกังวลเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนอย่างไร้ข้อแก้ตัว แม้รัฐบาลจะประกาศฟรีวีซ่าเปิดทางมาก่อนหน้าก็ไม่เป็นผลจีนเบนเข็มทิศจุดหมายใหม่สำนักข่าวรายงานว่า นักท่องเที่ยวจีนทั่วโลกหายไปมากถึง 70% ในช่วงครึ่งปีแรก 2566 ชาวจีนเดินทางไปต่างประเทศราว 40 ล้านคน แต่เปอร์เซ็นต์ที่เดินทางมาประเทศไทยนั้้น มีจำนวนไม่ถึง 4% สอดคล้องกับจำนวนสถิติการท่องเที่ยวของไทย คือคิดเป็นราว 3 ล้านคนขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีน 40 ล้านคน 50% เลือกเดินทางไปมาเก๊า และเลือกเดินทางไปฮ่องกงอีกราว 27% นับเป็นเศษส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังประเทศไทยที่เล็กน้อยมาก หากเปรียบเทียบกับฮ่องกงและมาเก๊า แต่กลับเป็นยอดเชื้อชาตินักท่องเที่ยวที่สูงที่สุดของประเทศไทย ที่ระบุว่า นักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทย เป็นชาวจีนอันดับ 1 รองลงมาคือชาวญี่ปุ่นมองวิธีแก้เกมหลังทัวร์จีนเปลี่ยนไป"Ctrip" แอพพลิเคชั่นท่องเที่ยวอันดับ 1 ของจีนรายงานว่า ยอดจองการเดินทางของไทยลดลงถึงร้อยละ 40 แต่ยังมีนักท่องเที่ยวจีนเตรียมจองตั๋วเดินทางตลอดเดือนตุลาคม 2566 จนถึงมีนาคม 2567 ประมาณ 1.6 หมื่นเที่ยวบิน หรือราว 3.5 ล้านที่นั่ง โดยช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางคือ ตรุษจีน วันแรงงาน วันชาติจีน และช่วงปิดเรียนภาคฤดูร้อน ขณะที่ภาครัฐเตรียมแผนดึงนักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาในปีที่ใกล้มาถึงอย่างไรก็ตาม รายงานจากสื่อหลายแห่งพบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับมุมมองและพฤติกรรมการท่องเที่ยวของชาวจีน ที่ชวนให้ภาคธุรกิจด้านการท่องเที่ยวและคนไทยได้คิดตาม เช่น  •  นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มใหญ่ลดลงมาก ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มย่อยเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพมากขึ้น  •  นักท่องเที่ยวจีนสูงอายุ ยังคงเป็นกลุ่มมีกำลังจ่ายและรายได้สูง พวกเขาต้องการความมั่นใจด้านความปลอดภัยเป็นหลัก  •  นักท่องเที่ยวจีน LGBTQ+ มองว่าประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ พวกเขาสบายใจที่ได้เดินทางมายังประเทศไทย  •  นักท่องเที่ยวจีน ยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่พิเศษและต้องการความหลากหลาย  •  นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มคนรุ่นใหม่นิยมสร้างคอนเทนต์ พวกเขาต้องการท่องเที่ยวที่ตรงกับความชอบเฉพาะตัว มองหาแหล่งอันซีน หรือมีแอคทีวิตี้เฉพาะความสนใจ เริ่มมองหาที่ใหม่ ๆ เพื่อเปิดกระแสในโซเชี่ยลมีเดียนักวิชาการและหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวต่างเห็นพ้องว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของนักท่องที่ยวจีนเปลี่ยนไป ที่ผ่านมาอาจชอบความเป็นไทย นิยมเอกลักษณ์สินค้าและบริการแบบ Made in Thailand เปลี่ยนเป็นหันมาให้ความสำคัญกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากเดิมเป็นหลักที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับบทเรียนจากทัวร์ศูนย์เหรียญและผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ล้นทะลักรับมือไม่ทันมาแล้ว ช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงเช่นนี้จึงเป็นโอกาสดีที่การท่องเที่ยวไทยจะปรับปรุงการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง สร้างมูลค่าการท่องเที่ยวใหม่ เพิ่มความสะดวกในการเดินทาง และพัฒนาการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยคนทำธุรกิจท่องเที่ยว ใครมองเห็นโอกาสนี้ก่อน ปรับตัวก่อน มีโอกาสก่อน ในอนาคตไม่เพียงนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมา แต่นักท่องเที่ยวทุกชนชาติอาจหลงรักประเทศไทยจนต้องปักหมุดหมายไว้ในใจมากกว่าเดิมแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/travel/1444307/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย บริจาคจตุปัจจัยทำบุญ และถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ในงานกฐินพระราชทาน คปภ. ประจำปี 2566

30/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมงานกฐินพระราชทานโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ตามที่ขอพระราชทานเพื่อน้อมนำไปทอดถวายยังที่ชุมนุมสงฆ์ ในงานได้รับเกียรติจากนายชูฉัตร ประมูลผล (กลาง) เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2566 ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ได้ร่วมบริจาคจตุปัจจัยทำบุญจำนวนเงินทั้งสิ้น 200,000 บาท และร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดทองธรรมชาติ วรวิหาร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร โดยมียอดกฐินจากบริษัทประกันภัยต่างๆ องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคจตุปัจจัยทำบุญ และร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน เพื่อถวายพระภิกษุ สามเณร และถวายจตุปัจจัยบำรุงพระอารามหลวง จำนวนทั้งสิ้น 6,084,229.47 บาท ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ได้ร่วมดำเนินกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและพระอารามหลวง ไว้ให้คงอยู่คู่ชาติไทยต่อไปนอกจากนี้ นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก เป็นผู้แทนเอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการด้านตรวจสอบ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย มอบอุปกรณ์กีฬาและสิ่งของจำเป็น ได้แก่ ลูกฟุตบอลเอไอเอจำนวน 20 ใบ พร้อมด้วยหมวกที่ระลึกสโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ โดยมี นางสาวจินตนาพร สุวรรณพงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดทองธรรมชาติ เป็นผู้รับมอบ ในกิจกรรม “รวมพลังภาคประกันภัย รวมใจเพื่อการศึกษา” เพื่อส่งเสริมด้านการศึกษาแก่เด็กนักเรียนของโรงเรียนในพระอุปถัมภ์ของวัดทองธรรมชาติ 2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดทองธรรมชาติ และโรงเรียนวัดทองธรรมชาติ เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ถือเป็นการตอกย้ำถึงคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยและเยาวชนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดงานเดิน-วิ่งเทรล AIA One Billion Trail 2023 นักวิ่งเทรลรวม 400 ทีมเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก ตอกย้ำความมุ่งมั่นสนับสนุนคนทั่วเอเชียแปซิฟิก มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ‘Healthier, Longer, Better Lives’

30/04/2024

กรุงเทพฯ, 4 ธันวาคม 2566 – เอไอเอ ประเทศไทย ประกาศความสำเร็จงานเดิน-วิ่งเทรล AIA One Billion Trail 2023 ประเภททีม 4 คน ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 บนเส้นทางธรรมชาติที่สวยงามจากดอยอินทนนท์ถึงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีทั้งสิ้น 4 ระยะทางได้แก่ 100 กิโลเมตร 50 กิโลเมตร 25 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 2-3 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ในปีนี้มีนักวิ่งเทรลเข้าร่วมพิชิตเป้าหมายมากถึง 400 ทีม พร้อมร่วมระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการส่งเสริมและพัฒนาการพูด อ่าน เขียนภาษาไทย โดยสภากาชาดไทย เป็นมูลค่าเงินบริจาคสูงกว่า 4 ล้านบาทซึ่งแสดงถึงพลังความสามัคคี ความแข็งแรง มิตรภาพ และพลังใจอันเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อสานต่อพันธกิจ AIA One Billion ที่เอไอเอมุ่งมั่นสนับสนุนผู้คนกว่าพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2030 ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยในพิธีมอบรางวัลแก่ทีมผู้ชนะ AIA One Billion Trail 2023 มีผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มบริษัทเอไอเอ ซึ่งได้เดินทางมาร่วมวิ่งเทรล ให้เกียรติขึ้นกล่าวเปิดงานและมอบรางวัลแก่ทีมผู้ชนะ ประกอบด้วย นายสจ๊วต เอ สเปนเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กลุ่มบริษัทเอไอเอ และนายตัน ฮาค เลห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับภูมิภาค นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน และ นายกฤษฎา บุญราช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาดร่วมเป็นประธานในพิธีและเป็นตัวแทนมอบถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แก่ทีมผู้ชนะเลิศในระยะทาง 100 กิโลเมตร ได้แก่ ทีม AIA S20 ด้วยเวลา 16:20:38 ชั่วโมง ตลอดจนมีผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ นางสาวอรรัตน์ ชุติมิต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพันธมิตรธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์เชิงกลยุทธ์ และนายแพทย์ประมุกข์ ทรงจักรแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโส ฝ่ายปฎิบัติการ ร่วมในพิธี โดยพิธีมอบรางวัล AIA One Billion Trail 2023 จัดขึ้น ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จังหวัดเชียงใหม่นายสจ๊วต เอ สเปนเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า “งานเดิน-วิ่งเทรล AIA One Billion Trail 2023 มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนพันธกิจ AIA One Billion ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นของเอไอเอที่ต้องการให้ผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีส่วนร่วมเพื่อการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ภายในปี 2030ในปีนี้ผมได้มีโอกาสมาร่วมวิ่งในระยะทาง 25 กิโลเมตร ซึ่งการวิ่งเทรลในประเภททีม 4 คนทำให้เราได้ผูกพันและเกิดความสามัคคีกันระหว่างเพื่อนร่วมทีม อีกทั้งยังเป็นบททดสอบความอดทนของนักวิ่งอีกด้วย AIA One Billion Trail จึงถือว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เราทุกคนมีชีวิตและสุขภาพที่ดีขึ้นได้ในระยะยาวสำหรับนักวิ่งเทรลทุกทีมที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งเทรลมือใหม่หรือมืออาชีพ ผมเชื่อว่า AIA One Billion Trail จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่การใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงการมีสุขภาพกายและใจที่ดีขึ้น พร้อมช่วยเปลี่ยนแปลงชุมชนรอบตัวให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”สำหรับผลการแข่งขันการเดิน-วิ่งเทรล AIA One Billion Trail 2023 ในแต่ละระยะทาง ได้แก่ •  AOB100 ระยะทาง 100 กิโลเมตร      -  ประเภททีมชายล้วน ได้แก่ ทีม Core Trail Thailand ด้วยเวลา 18:24.58 ชั่วโมง     -  ประเภททีมหญิงล้วน ได้แก่ พร๊อบเพียบรันนิ่ง ด้วยเวลา 29:30:05 ชั่วโมง     -  ประเภททีมผสม ได้แก่ Success Gym Samui ด้วยเวลา 21:52:02 ชั่วโมง •  AOB50 ระยะทาง 50 กิโลเมตร      -  ประเภททีมชายล้วน ได้แก่ ทีม The Wolf of The Last Man Wall ด้วยเวลา 08:48:45 ชั่วโมง     -  ประเภททีมหญิงล้วน ได้แก่ เจ้มาฟาด ด้วยเวลา 11:41:24 ชั่วโมง     -  ประเภททีมผสม ได้แก่ ทีม ซ้อมน้อยร้อยแรงม้า ด้วยเวลา 13:26:29 ชั่วโมง •  AOB25 ระยะทาง 25 กิโลเมตร      -  ประเภททีมชายล้วน ได้แก่ ทีม Kailas Fuga Team Thailand ด้วยเวลา 02:59:00 ชั่วโมง     -  ประเภททีมหญิงล้วน ได้แก่ ทีม Saucony x REV RUNNR ด้วยเวลา 04:26:41 ชั่วโมง     -  ประเภททีมผสม ได้แก่ ทีม X-REAL ด้วยเวลา 03:29:51 ชั่วโมง •  AOB10 ระยะทาง 10 กิโลเมตร      -  ประเภททีมชายล้วน ได้แก่ ทีม VC 99 Team ด้วยเวลา 01:27:15 ชั่วโมง     -  ประเภททีมหญิงล้วน ได้แก่ ทีม Happy Trail ด้วยเวลา 02:17:18 ชั่วโมง     -  ประเภททีมผสม ได้แก่ ทีม 81Q-วัยว้าวุ่น ด้วยเวลา 01:41:03 ชั่วโมงนายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ผมขอแสดงความยินดีกับนักวิ่งเทรลทุกทีมที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใดคือเราได้เห็นถึงความสามัคคีและความเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันภายในทีม จนนำพาให้ทุกทีมสามารถพิชิตเส้นชัยได้สำเร็จ นอกจากนี้ ผมขอขอบคุณนักวิ่งเทรลทุกท่านจากทั้งในไทยและต่างประเทศกว่า 2,000 คน ที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน AIA One Billion Trail 2023 ที่สำคัญ AIA One Billion Trail ยังเปิดโอกาสให้ทุกท่านได้มีส่วนร่วมในการบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนโครงการส่งเสริมและพัฒนาการพูด อ่าน เขียน ภาษาไทย โดยสภากาชาดไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพของเด็กไทยในถิ่นธุรกันดาร โดยปีนี้มียอดเงินบริจาครวมแล้วกว่า 4 ล้านบาท ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพของคนไทย เพื่อให้ชุมชนและสังคมไทยเติบโตและแข็งแรงอย่างยั่งยืน ตลอดจนสนับสนุนให้เมืองเชียงใหม่ เป็นเมืองแห่งงานวิ่งเทรลที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไปสู่ระดับสากล”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

สำรวจคนไทยเดอะแบก…แบกหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ

30/04/2024

สถานการณ์หนี้สินของคนไทยกลายเป็นกับดักความยากจนมานานนับ 10 ปี เฉพาะหนี้ครัวเรือน หรือหนี้ที่อยู่ในระบบก็สูงกว่า 80% ต่อ GDP มาตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งเป็นระดับที่น่าเป็นห่วงและส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย กำลังซื้อของประชาชนไม่มีพลังขับเคลื่อนเพราะปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว นี่ยังไม่นับรวมหนี้นอกระบบที่ล่าสุด นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ประกาศแก้หนี้นอกระบบให้คนไทยเพราะเชื่อว่า มีมูลค่าที่แท้จริงมากกว่า 50,000ล้านบาท ผู้จัดการบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ หรือ เครดิตบูโร ระบุว่า หากเรานับรวมหนี้ในระบบที่สูงถึง 16ล้านล้านบาทหรือ ราว 90.7% รวมกับหนี้นอกระบบ อีก 50,000 ล้านบาท จะพบว่าคนไทยเป็นหนี้เกือบ100% ของGDP แล้ว ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก  โดยหากย้อนไป 10ปีที่ผ่านมา หนี้ครัวเรือนไทยเร่งตัวขึ้นตั้งหลังวิกฤตน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 จากนั้นมา การให้กู้ยืมหรือสินเชื่อพุ่งขึ้นอย่างมาก เนื่องจากมีการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถูกกระทบจากน้ำท่วม จากปี 2555 หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ 76.1%ต่อGDP กระโดดขึ้นมาทะลุ 80% โดยในปี2558 หนี้ครัวเรือนไทยอยู่ที่ 85.9% ต่อ GDP  แม้จากนั้นมาจะมีความพยายามในการกดตัวหนี้ครัวเรือนให้ลดลงต่ำกว่า80% ให้ได้แต่ก็ไม่สำเร็จ ซ้ำร้ายมาเจอโควิด19 ระบาดในปี  2563 เป็นต้นมา หนี้ครัวเรือนไทยกระโดดขึ้นไปทะลุ 90%ต่อ GDP ตั้งแต่นั้น และสูงสุดคือปี 2564 ที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ หนี้ครัวเรือนขึ้นไปแตะ 94.7% ต่อ GDP และ ไตรมาส 2 ของปี2566 อยู่ที่ 90.7% ต่อ GDPทั้งนี้หากดูข้อมูลจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งพบว่า จากจำนวนหนี้ครัวเรือน 16 ล้านล้านบาทนั้น ถูกแบ่งเป็น  ㆍ33.7% หนี้อสังหาฯ ㆍ27.1% สินเชื่ออุปโภคบริโภค (สินเชื่อบุคคล / บัตรเครดิต) ㆍ17.9% สินเชื่อประกอบธุรกิจ ㆍ11.4% สินเชื่อยานยนต์  ㆍ9.9% สินเชื่ออื่นๆ หนี้เสียในระบบ ไตรมาส 3/2023 มูลค่า 1.05 ล้านล้านบาท 1.สินเชื่อส่วนบุคคล 261,692  ล้านบาท   2.สินเชื่อยานยนต์ 207,441 ล้านบาท 3.สินเชื่ออสังหาฯ 181,683 ล้านบาท 4.สินเชื่อภาคเกษตร 67,008  ล้านบาท 5.สินเชื่อประกอบธุรกิจ 66,007 ล้านบาท หนี้เสียเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะหนี้ยานยนต์ จากข้อมูลหนี้เสียจากเครดิตบูโรในไตรมาส 3 / 2566 พบว่า  สินเชื่อส่วนบุคคล 261,692  ล้านบาท   และ สินเชื่อยานยนต์207,441 ล้านบาท  มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหนี้เสียของสินเชื่อยายนต์ เพิ่มขึ้นราว 8.6% ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 4.9%  ขณะที่สภาพัฒน์ฯรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/2566 พบว่า ประเภทสินเชื่อที่มีปัญหามากขึ้นคือ สินเชื่อยานยนต์ที่เริ่มเห็นหนี้ NPL เพิ่มขึ้น โดยหนี้เสียคงค้างของสินเชื่อยานยนต์ขยายตัวสูงถึง ร้อยละ 40.9 หรือมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 2.05 เพิ่มขึ้น จากร้อยละ 1.89 ของไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่สัดส่วนดังกล่าว ของสินเชื่อประเภทอื่นกลับทรงตัวหรือลดลง นอกจากนี้ เมื่อพิจารณา หนี้ที่มีการค้างชำระ 1 - 3 เดือน (SML) พบว่า ภาพรวมสัดส่วน SML ต่อสินเชื่อรวมทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 6.7 แต่สินเชื่อยานยนต์ ยังเป็นสินเชื่อประเภทเดียวที่มีสัดส่วนดังกล่าวยังเพิ่มขึ้น โดยอยู่ที่ ร้อยละ 14.4 เพิ่มต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่เจ็ดติดต่อกัน นั่นหมายความว่า นอกจากหนี้เสียกลุ่มยานยนต์จะเพิ่มขึ้นแล้ว ยอดการค้างชำระไม่เกิน 90 วันก็ยังสูงขึ้นจนน่าเป็นห่วงอีกด้วย และอาจผันกลับไปเพิ่มหนี้เสียให้สูงขึ้นจากเดิมอีก  อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้ประกาศมาตรการแก้หนี้นอกระบบออกมาแล้ว และจะเปิดให้ผู้ที่มีปัญหาหนี้นอกระบบลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2566 เป็นต้นไป จากนั้นรัฐบาลจะเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยหนี้ โดยเจ้าหนี้ต้องมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามกฏหมายกำหนดไม่เกิน 15% ต่อปี หากลูกหนี้ชำระมาเกินแล้วถือว่าสิ้นสุดการชำระหนี้   ส่วนการแก้หนี้ในระบบ หรือ หนี้ครัวเรือนจะมีการแถลงรายละเอียดในวันที่ 12 ธันวาคม 2566  แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับamarintvhttps://www.amarintv.com/spotlight/economy/detail/55855

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

สมาคมประกันชีวิตไทย แนะประกันแบบไหนลดหย่อนภาษีได้บ้าง

30/04/2024

30 พฤศจิกายน 2566 : นายพิชา สิริโยธิน ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีเช่นนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการวางแผนภาษีของประชาชนผู้มีเงินได้ รวมถึงหลายๆ ภาคธุรกิจทางการเงินต่างก็ให้ความสำคัญนำเสนอสินค้าที่ใช้ในการลดหย่อนภาษีให้ประชาชนได้เลือกสรรอย่างเหมาะสมกับวิถีชีวิตและการลงทุนของแต่ละบุคคล ซึ่งธุรกิจประกันชีวิตเป็นหนึ่งในเครื่องมือบริหารความเสี่ยงของชีวิตและสุขภาพ ตลอดจนการเงิน การลงทุน รวมถึงเป็นเครื่องมือชดเชยรายได้ในยามชรา ผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตหลายประเภท อาทิประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ประกันชีวิตควบการลงทุน ประกันภัยสุขภาพ ประกันชีวิตแบบบำนาญ ประกอบกับการที่ภาครัฐได้เล็งเห็นความสำคัญของการออมเงิน ระยะยาวเพื่อการสร้างความมั่นคงให้กับอนาคต อีกทั้งยังช่วยลดภาระให้ตนเองและครอบครัวรวมถึงสังคมโดยกรมสรรพกรกำหนดให้สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตที่ทำกับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทยที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป หากมีการจ่ายเงินคืนระหว่างสัญญา เงินคืนที่ได้รับจะต้องไม่เกิน 20% ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี และสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตที่ชำระดังกล่าวมาลดหย่อนภาษีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และสำหรับผู้มีเงินได้ที่มีประกันภัยสุขภาพสามารถนำเบี้ยที่ชำระแล้วมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วจะต้องไม่เกิน 100,000 บาทส่วนผู้ที่มี ประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถนำเบี้ยประกันชีวิตที่ชำระแล้วไปลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยทั้งนี้เงินลดหย่อนภาษีดังกล่าวเมื่อรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จะต้องไม่เกิน 500,000 บาทสำหรับผู้ที่มีประกันภัยสุขภาพของบิดามารดา สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าบิดามารดาของผู้มีเงินได้ จะต้องมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีไม่เกิน 30,000 บาทต่อปีขอเน้นย้ำทุกท่านว่าอย่าลืมว่าสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเป็นเพียงผลประโยชน์เพิ่มเติมเท่านั้น เพราะจุดเริ่มต้นของการมีประกันชีวิต ประกันภัยสุขภาพ หรือประกันชีวิตแบบบำนาญ คือเรื่องความคุ้มครองและบริหารความเสี่ยงเป็นหลักสำคัญนอกจากนี้ สำหรับผู้ที่มีการทำประกันดังกล่าวข้างต้นไว้แล้วอย่าลืมแจ้งความประสงค์และให้ความยินยอม (consent) แก่บริษัทประกันชีวิตเพื่อนำส่งข้อมูลการชำระเบี้ยประกันชีวิต ให้กรมสรรพากรตามแนวทางที่กรมสรรพากรกำหนด เพราะไม่เช่นนั้นผู้เอาประกันภัยจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันชีวิตของกรมธรรม์นั้นได้ กรณีผู้ที่มีกรมธรรม์หลายฉบับ ก็ต้องให้ความยินยอม (consent) ทุกฉบับที่ผู้เอาประกันภัยจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวแหล่งที่ข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.sequelonline.com/?p=156434

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

โจทย์แห่งอนาคต “แก่ดีมีออม” เก็บแบบไหนมีเงินใช้จนวันสุดท้าย

30/04/2024

คอลัมน์ : ระดมสมอง ผู้เขียน : วราวิชญ์ โปตระนันทน์, ธนิน ว่องวงศ์ ทีดีอาร์ไอ “แก่ไปไร้ออม” เป็นปรากฏการณ์ในสังคมไทย ที่มีสถิติบ่งชี้ว่าคนแก่ไทยปัจจุบันจำนวนมากไม่มีเงินออมเพียงพอกับการยังชีพระดับพื้นฐานโดยไม่ต้องพึ่งคนอื่นหรือรัฐบาล ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของข้อเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งหลายพรรคการเมืองก็ตอบสนองในนโยบายที่ใช้หาเสียง แต่ทว่าถือเป็นมาตรการ “เชิงรับ” คือมีปัญหาแล้วตามแก้ ในขณะเดียวกันมาตรการดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลเรื่องงบประมาณที่รัฐจะต้องใช้ จนทำให้รัฐบาลชุดที่ผ่านมาประกาศว่าจะให้เบี้ยยังชีพคนชรากับเฉพาะคนแก่ยากจนเท่านั้น จนถูกต่อต้านในวงกว้าง กลายเป็นภาวะพะว้าพะวังเชิงนโยบายว่าควรใช้แนวทางใดในการดูแลคนแก่ปัจจุบัน ความกังวลนี้ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า กลุ่มคนช่วงวัยอื่นที่ยังไม่แก่ในวันนี้ จะประสบปัญหา “แก่ไปไร้ออม” แบบเดียวกับคนแก่ในปัจจุบันหรือไม่ ? โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่มีแนวโน้มจะอายุยืนมากขึ้น หนึ่งในทางออกเรื่องนี้จะต้องเปลี่ยนไปใช้มาตรการ “เชิงรุก” ด้วยการส่งเสริมให้คนไทย “แก่ดีมีออม” และดูแลตนเองได้ยามเกษียณ สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้การออมไม่เพียงพอในการดูแลตัวเองยามเกษียณ มีหลายสาเหตุ เช่น การมีรายได้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้จ่าย การเข้าไม่ถึงช่องทางการออม การขาดทักษะหรือความรอบรู้ทางการเงิน แต่ทว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลต่อคนรุ่นใหม่ที่มักมีรายได้มากพอตามระดับการศึกษาที่สูงกว่าคนรุ่นเก่าโดยเฉลี่ย อีกทั้งไม่ค่อยมีปัญหาการเข้าถึงช่องทางการออมหรือขาดความรอบรู้ทางการเงิน แต่ปมปัญหาสำคัญมาจากปัจจัยเสริมอื่น นั่นคือ “อคติเชิงพฤติกรรม” ซึ่งหมายถึงการมีพฤติกรรมที่ดูเหมือนไม่สมเหตุสมผลนัก ตัวอย่าง เช่น ชอบบริโภคเกินตัว ไม่วางแผนระยะยาว ยึดติดกับความคุ้นชินเดิม ๆ ในการออม ทั้งที่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า อคติเชิงพฤติกรรมมักเกิดจากการตัดสินใจแบบ “ด่วน” หรือใช้ “ทางลัด” ในการประมวลข้อมูลและพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ อคติเหล่านี้มีอิทธิพลต่อวิธีที่ผู้คนรับรู้และตีความข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจหรือพฤติกรรมที่ดูไม่เป็นเหตุเป็นผล อาทิ การไม่นำเอาข้อมูลที่มีอยู่มาพิจารณาอย่างรอบคอบ การเพิกเฉยต่อกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับตนเอง หรือการทำตามผู้คนรอบข้าง ทั้ง ๆ ที่อาจไม่มีประโยชน์ต่อตัวเอง เป็นต้น แท้จริงแล้วคนรุ่นใหม่มีอคติเชิงพฤติกรรมจริงหรือ ? ถ้ามีเป็นรูปแบบใด และอคติแบบไหนมากกว่า ? จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง “คนรุ่นใหม่” อายุ 20-40 ปี ที่มีรายได้ตั้งแต่ 8,000 บาทขึ้นไป จำนวน 1,043 คน ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใน “โครงการศึกษาอคติเชิงพฤติกรรมในประชากรไทย เพื่อเสาะหามาตรการที่ได้ผลในการส่งเสริมการวางแผนทางการเงินของประชากรไทยสำหรับสังคมอายุยืน” โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ด้วยการสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) พบว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่มีอคติเชิงพฤติกรรมอย่างน้อย 4 ประเภท ที่นำไปสู่ความไม่พร้อมทางการเงินยามเกษียณ ได้แก่ “อคติโลกแคบ” มองผลลัพธ์จากการกระทำเพียงระยะสั้น ๆ แคบ ๆ, “อคติชอบปัจจุบัน” คือการใช้จ่ายเพื่อความสุขในวันนี้มากกว่าออมเพื่อความสุขวันหน้า, “อคติละเลยอัตราทบต้น” คือการออมน้อย กู้เยอะ เพราะละเลยพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่สามารถทำให้ผลประโยชน์ในตอนท้ายสูงมากหากออมต่อเนื่องนาน ๆ และอคติยึดติดสภาวะปัจจุบัน คือการไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปสู่การออมหรือการลงทุนที่ไม่คุ้นเคยแม้จะได้ผลตอบแทนมากกว่า คำถามต่อมา มาตรการส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณในรูปแบบใดที่สามารถปรับพฤติกรรมการออมภายใต้อคติเชิงพฤติกรรมเหล่านี้ได้ จากการทบทวนงานวิจัยในอดีตหลายชิ้นพบว่า มี 4 มาตรการที่คาดว่าจะส่งเสริมการออมโดยคำนึงถึงหรือใช้ประโยชน์ จากอคติเชิงพฤติกรรมข้างต้น โดย 3 มาตรการแรก เป็นการจัดการกับการออมจากรายได้ (เรียงตามลำดับของสภาพบังคับจากน้อยไปมาก) ในขณะที่มาตรการสุดท้าย เชื่อมโยงการออมกับพฤติกรรมการใช้จ่าย ได้แก่ “การสะกิดด้วยข้อมูล” คือการ “สะกิด” ด้วยข้อความ, รูปภาพที่เข้าใจง่าย โดยมุ่งเน้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการออม และพลังของอัตราดอกเบี้ยทบต้นจากการออมอย่างต่อเนื่องยาวนาน “การตั้งอัตราการออมเริ่มต้น” คือการ “ช่วย” เสนอว่า ผู้คนควรจะออมเท่าใดต่อรายได้ที่ได้รับ เพื่อให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในยามเกษียณ ซึ่งอัตราการออมเริ่มต้นจะกำหนดไว้สูงกว่าอัตราการออมที่เจ้าตัวมักจะเลือกเอง โดยคาดหวังว่าผู้ออมจะไม่ปรับลดอัตราตั้งต้นนี้เพราะไม่อยาก “คิดมาก” กำหนดไว้อย่างไรก็ใช้อย่างนั้น “การออมกึ่งบังคับ” คือ โครงการที่ “บังคับ” ให้เก็บออมในอัตราที่กำหนดขึ้น แต่เป็น “กึ่งบังคับ” เพราะอาจไม่ออมในอัตรานั้นก็ได้ แต่ระบบจะทำให้ผู้เก็บออมเผชิญกับความยุ่งยากในการทำเรื่องออกจากโครงการเพื่อเปลี่ยนแปลงอัตราการออม เช่น ต้องยื่นเรื่อง ทำเอกสาร ต้องไปติดต่อหน่วยงานหรือธนาคารเจ้าของโครงการ “การออมผ่านการใช้จ่าย” หรือการหักเงินมาออมทุกครั้งที่มีการใช้จ่าย เช่น ถ้ามีการใช้จ่ายซื้อสินค้าราคา 95 บาท แต่หักเงินเป็น 100 บาท โดยส่วนเกิน 5 บาทจะโอนเข้าบัญชีออม ซึ่งธนาคารบางแห่งในไทยเริ่มใช้มาตรการลักษณะนี้แล้ว และพบว่าได้ผลพอควร โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุไม่มาก นอกจากนี้ยังมีการทดสอบประสิทธิผลของมาตรการส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ 4 มาตรการดังกล่าวกับกลุ่มตัวอย่างในวัยทำงานช่วงต้นที่มีเวลาเพียงพอในการออมเพื่อการเกษียณ คือช่วงอายุ 20-35 ปี และมีรายได้ตั้งแต่ 8,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ในกรุงเทพฯ และจังหวัดขอนแก่น จำนวน 316 คน โดยผลการทดลองพบว่ามี 2 มาตรการที่ช่วยเพิ่มอัตราการออมต่อรายได้อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ การตั้งอัตราการออมเริ่มต้น ซึ่งเพิ่มอัตราการออมได้ร้อยละ 1.4 และการออมกึ่งบังคับ เพิ่มอัตราการออมได้ร้อยละ 0.9 ของรายได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ขาดวินัยทางการเงินมาก ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ลงมือออมในปัจจุบัน การที่มาตรการทั้ง 2 ได้ผลกับคนกลุ่มนี้น่าจะเพราะเป็นมาตรการที่ใช้ประโยชน์จากตัวอคติเอง คืออคติยึดติดสภาวะปัจจุบัน อีกทั้งยังมีลักษณะกึ่งบังคับซึ่งเหมาะกับผู้ที่ไม่ค่อยมีวินัย ในกรณีนี้งานวิจัยได้เสนอให้มีการขยายการดำเนินการมาตรการออม “กึ่งบังคับ” ไปยังกลุ่มแรงงานนอกระบบประกันสังคม ที่การออมภาคสมัครใจที่มีให้ยังไม่สามารถชักจูงให้เขาเข้าร่วมได้มากเพียงพอ ขณะที่มาตรการที่ไม่พบว่ามีส่วนช่วยเพิ่มเงินออมของกลุ่มตัวอย่างในภาพรวม แต่ได้ผลดีในกลุ่มย่อย ได้แก่ การสะกิดด้วยข้อมูล ซึ่งได้ผลสำหรับผู้อยู่ในระบบประกันสังคมที่มีรายได้ประจำและมีความพร้อมในการออม ดังนั้นหากต้องการให้การสะกิดได้ผลในการเพิ่มการออมได้ดียิ่งขึ้น อาจต้องใช้ข้อความสะกิดที่หลากหลาย สะกิดใจ เร้าอารมณ์ของผู้คนมากขึ้นกว่าการอธิบายประโยชน์ปกติของการออมเรื่องการได้รับดอกเบี้ย ส่วนการออมผ่านการใช้จ่าย ซึ่งใช้ได้ผลดีกับผู้มีรายได้น้อย ออมน้อย และคนรุ่นใหม่ที่ใช้จ่ายเป็นประจำ เนื่องจากเป็นการทำให้เกิดการออมผ่านการปัดเศษในขณะใช้จ่าย เจ้าตัวไม่ต้องชั่งใจมากนักว่าจะออมหรือไม่ ในขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังไม่ให้มาตรการนี้กลายเป็น “ดาบสองคม” ที่ไปเพิ่มความชะล่าใจในการใช้จ่ายของผู้คน เพราะรู้สึกว่ามีการออมรองรับทุกการใช้จ่ายอยู่แล้ว และคำนึงเสมอว่าการออมลักษณะนี้อาจจะไม่มากพอสำหรับการเกษียณ เพียงแต่ช่วยเปิดประตูให้คนรุ่นใหม่เริ่มต้นการออมเท่านั้น สิ่งสำคัญควบคู่ไปกับมาตรการเหล่านี้ คือจะต้องมีการออกแบบระบบบัญชีเพื่อการเกษียณส่วนบุคคล (individual retirement account หรือ IRA) เพื่อรองรับเงินออมที่มาจากมาตรการเหล่านี้ ซึ่งควรมีลักษณะพิเศษเช่นไม่สามารถถอนได้ง่ายเท่ากับบัญชีปกติ เมื่อบุคคลเริ่มมีเงินออมในระบบบัญชีลักษณะดังกล่าวแล้ว ควรมีการจัดทำระบบสรุปข้อมูลการออมเพื่อการเกษียณจากทุกบัญชีในที่เดียว ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลสินทรัพย์ที่เกิดขึ้นจากการเก็บออม เช่น บ้าน ที่ดิน หลักทรัพย์ เป็นต้น มาตรการลักษณะนี้น่าจะได้ผลในการยกระดับสำนึกต่อการออมของผู้ออมที่ได้กระทำอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ผู้ออมรู้ถึงสถานการณ์ความเพียงพอของเงินออมตัวเองได้อย่างครบถ้วน และน่าจะกระตุ้นให้ผู้ออมอยากเพิ่มการออมของตนเองให้เพียงพอมากยิ่งขึ้น อันจะส่งเสริมให้มาตรการส่งเสริมการออมตั้งต้นมีโอกาสประสบความสำเร็จในการเพิ่มเงินออมมากยิ่งขึ้น โดยข้อเสนอเหล่านี้คาดหวังว่าจะได้รับการพิจารณาจากหน่วยงานภาครัฐในการกำหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมการออม และจากหน่วยงานภาคเอกชนเพื่อปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้ตอบโจทย์อคติและจูงใจในการออม อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของหนทางในการเตรียมการไปสู่ “แก่ดีมีออม” ของประชากรไทยให้เป็นรูปธรรมและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับชีวิตของประชาชนท่ามกลางสังคมอายุยืนให้มีคุณภาพและศักดิ์ศรี แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/columns/news-1429630#google_vignette

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดพิธีมอบรางวัลเกียรติยศ “AIA Hospital Awards 2023” แก่สุดยอดโรงพยาบาลคู่สัญญาทั่วประเทศ

30/04/2024

กรุงเทพฯ, 30 พฤศจิกายน 2566 – เอไอเอ ประเทศไทย จัดพิธีมอบรางวัลแห่งเกียรติยศ “AIA Hospital Awards 2023” ภายใต้ธีม Thai Night แก่สุดยอดโรงพยาบาลคู่สัญญาทั่วประเทศซึ่งมีความเป็นเลิศในด้านการบริการ การสนับสนุนธุรกิจประกันภัย ตลอดจนการบริการจัดการสินไหมประกันสุขภาพยอดเยี่ยม เพื่อมุ่งส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยมีคณะผู้บริหาร แพทย์ และพยาบาลจากกว่า 30 โรงพยาบาลทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทยเข้าร่วมงาน ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล โดยมีคณะผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย ให้การต้อนรับ นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด นายแพทย์ประมุกข์ ทรงจักรแก้ว ที่ปรึกษาอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการ นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ พญ.นุสรา อรรฆศิลป์ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ นพ.สมสกุล ศรีพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการแพทย์ ฝ่ายประกันสุขภาพ 1 และนางสาวญดา วงศ์ทองคำ รองผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารสิทธิพิเศษและกิจกรรมลูกค้า พร้อมกับร่วมขึ้นมอบรางวัลบนเวที เพื่อสนับสนุนคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ ซึ่งพิธีมอบรางวัล AIA Hospital Awards 2023 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2566 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท  นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งกับโรงพยาบาลทั้งกว่า 30 แห่งจากทั่วประเทศ ที่ได้รับรางวัลเกียรติยศ AIA Hospital Awards 2023 และขอขอบคุณทุก ๆ โรงพยาบาลที่ให้การดูแลลูกค้าเอไอเออย่างยอดเยี่ยมมาโดยตลอด ซึ่งเอไอเอ ถือเป็นผู้นำในตลาดประกันสุขภาพ โดยเรามีลูกค้าผู้ถือสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพมากที่สุดจำนวนกว่า 2 ล้านรายทั่วประเทศ* และให้การบริการเคลมสินไหมสุขภาพมากกว่า 9,000 เคสต่อวัน เราได้รับความร่วมมืออย่างดีจากโรงพยาบาลคู่สัญญาที่มีอยู่ทั้งหมด 885 โรงพยาบาล รวมถึงคลินิกอีก 304 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งได้มอบการรักษาพยาบาลและดูแลด้านสุขภาพให้กับลูกค้าเอไอเอ ประกอบกับการให้ความร่วมมือกับเอไอเออย่างดีมาตลอด เพื่อร่วมกันยกระดับธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ ซึ่งผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือคนไทยทั่วประเทศ”สำหรับรางวัล AIA Hospital Awards 2023 ครั้งนี้ ได้จัดขึ้นในคอนเซ็ปต์ Thai Night เพื่อถ่ายทอดถึงความเป็นไทยผ่านเอกลักษณ์ของผ้าไทยที่มีความงดงาม แสดงถึงความมุ่งมั่นที่เอไอเอต้องการสนับสนุนให้คนไทยทั่วทุกภูมิภาคได้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งทุกรางวัลได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยแบ่งรางวัลออกเป็นแต่ละภูมิภาคดังนี้  •  รางวัล โรงพยาบาลที่มีการสนับสนุนธุรกิจประกันภัยเพื่อการทำประกันภัยยอดเยี่ยม (Best Insurance Support)       •  กรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลพญาไท 3        • ภาคกลาง ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพสนามจันทร์       • ภาคใต้ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่       • ภาคเหนือและภาคตะวันตก ได้แก่ โรงพยาบาลเชียงใหม่ ราม        • ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ โรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา   •  รางวัล โรงพยาบาลที่มีการบริหารทรัพยากรทางการแพทย์ยอดเยี่ยม (Best Medical Utilization)       •  กรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลพญาไท 1       •  ภาคกลาง ได้แก่ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 1       •  ภาคใต้ ได้แก่ โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ตรัง       •  ภาคเหนือและภาคตะวันตก ได้แก่ ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่       •  ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา   •  รางวัล โรงพยาบาลที่มีการบริหารจัดการสินไหมยอดเยี่ยม (Best Claim Management)       •  กรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์       •  ภาคกลาง ได้แก่ โรงพยาบาลนนทเวช       •  ภาคใต้ ได้แก่ โรงพยาบาลราษฎร์ยินดี       •  ภาคเหนือและภาคตะวันตก ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่       •  ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพอุดร   •  รางวัล โรงพยาบาลที่เปิดรับและตอบรับนวัตกรรมทางดิจิทัลยอดเยี่ยม (Best Digital Transformation)       •  กรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล       •  ภาคกลาง ได้แก่ โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ       •  ภาคใต้ ได้แก่ โรงพยาบาลทักษิณ       •  ภาคเหนือและภาคตะวันตก ได้แก่ โรงพยาบาลพะเยาราม       •  ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา   •  รางวัล โรงพยาบาลที่ลูกค้าและตัวแทนได้รับประสบการณ์การบริการสินไหมประกันสุขภาพยอดเยี่ยม (Best Claim Experience)       •  กรุงเทพมหานคร ได้แก่ โรงพยาบาลบางปะกอก 1       •  ภาคกลาง ได้แก่ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต       •  ภาคใต้ ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์       •  ภาคเหนือและภาคตะวันตก ได้แก่ โรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค       •  ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ โรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี   •  รางวัล โรงพยาบาลที่มีการบริการกลุ่มลูกค้าเอไอเอ เพรสทีจ คลับ ยอดเยี่ยม (Best AIA Prestige Club Experience Awards)       •  รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์       •  รางวัลรองชนะเลิศ ได้แก่ โรงพยาบาลเปาโลพหลโยธิน   •  รางวัล โรงพยาบาลที่มีการบริการด้านการประกันภัยและการบริการสินไหมประกันสุขภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุด (Best AIA Healthcare Partner 2023)       •  ชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ โรงพยาบาลศิครินทร์       •  รองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ       •  รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท หมายเหตุ: *ข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2566

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

กองทุนลดหย่อนภาษี : ซื้อขายอย่างไร ไม่ให้ผิดเงื่อนไขกรมสรรพากร

30/04/2024

ปลายปีแบบนี้ หลายคนกำลังมองหาทางเลือกลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมกันอยู่ใช่ไหม ? ซึ่งทางเลือกที่ค่อนข้างได้รับความนิยมคือการซื้อกองทุนรวม RMF ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ยิ่งภาวะตลาดแบบนี้ก็น่าจะจูงใจให้หลายคนเลือกลดหย่อนภาษีจากกองทุนรวม เพราะเหมือนซื้อของถูกราวกับแปะป้ายเซลสีแดง ๆ ไว้ แต่อย่าลืม!! ข้อสำคัญของการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีที่จะมีเงื่อนไขอยู่พอสมควร เพราะกรมสรรพากรเขาให้สิทธิประโยชน์นี้ก็เพื่อส่งเสริมให้คนไทยออมเพื่อเกษียณกันให้มากขึ้น บทความนี้เราจะมา BRIEF ให้ฟังว่า หากจะซื้อขายกองทุน RMF ต้องทำอย่างไรไม่ให้ผิดเงื่อนไขภาษี และหากเผลอทำผิดเงื่อนไขไปแล้ว เราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ไปดูกันเลย! รายละเอียดและเงื่อนไขของ RMF กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ Retirement Mutual Fund (RMF) สามารถลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยเงื่อนไขคือต้องถือครองไม่น้อยกว่า 5 ปี ขายคืนได้เมื่ออายุ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้ เมื่อคำนวณจำนวนลดหย่อนภาษีของ RMF รวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ  แล้วจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท ยกตัวอย่าง เรามีการลดหย่อนภาษีอื่น ๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพและซื้อประกันบำนาญไปแล้วประมาณ 200,00 บาท เราก็อาจจะซื้อกองทุนรวม RMF ได้ที่ 300,000 บาท เพื่อให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ถ้าอยากลงทุนอยู่แล้ว โดยไม่ได้สนใจเรื่องการลดหย่อนภาษีมากนัก ก็สามารถซื้อเกินกว่าจำนวนดังกล่าวได้ จะเป็นอย่างไร ? เมื่อทำผิดเงื่อนไขของ RMF 1. ถือครองไม่ครบ 5 ปี และขายก่อนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ : เราจะต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับการลดหย่อน 5 ปีย้อนหลัง และกำไรจากการลงทุนที่ต้องนำมาเสียภาษี 2. ถือครองมาเกิน 5 ปี แต่ขายคืนก่อนอายุ 55 ปีบริบูรณ์ : เราจะต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับการลดหย่อน 5 ปีย้อนหลัง ส่วนกำไรจากการลงทุนจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี 3. ซื้อ RMF เกินสิทธิ์ ไม่ว่าจะเกิน 30% ของเงินได้ หรือซื้อเกิน 500,000 บาท : ในส่วนของกำไรจากส่วนที่ซื้อเกินสิทธิ์ เราจะต้องเสียภาษีเมื่อขายคืน 4. ซื้อไม่ต่อเนื่อง เพราะ RMF มีเงื่อนไขซื้อต่อเนื่องทุกปี เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี หากขาดติดต่อกัน 2 ปี จะถือว่าผิดเงื่อนไข : เราจะต้องคืนเงินภาษีที่เคยได้รับการลดหย่อน 5 ปีย้อนหลัง    ㆍทั้งนี้ มีประเด็นหนึ่งที่อาจจะมีหลายคนเข้าใจผิดว่า การซื้อต่อเนื่องจะนับตามปีไปเรื่อย ๆ เช่น ในช่วง 5 ปี เราซื้อ 3 ครั้ง แล้วขายได้ เพราะถือมา 5 ปีแล้ว แต่ความจริงจะนับเฉพาะปีที่ซื้อเท่านั้น เช่น หากเริ่มซื้อตอนอายุ 50 ปี และพยายามซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่ลืมซื้อไป 1 ปี ระบบจะนับให้เพียง 4 ปีเท่านั้น หากอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ แล้วขายออก เพราะคิดว่าซื้อต่อเนื่องมา 5 ปีแล้ว อาจจะผิดเงื่อนไขภาษีได้ 5. ไม่ได้แจ้งความประสงค์ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี    ㆍเงื่อนไขนี้เริ่มตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ที่กรมสรรพากรได้กำหนดให้ผู้ที่ซื้อ RMF และ SSF ที่จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต้องแจ้งความประสงค์ ไปยัง บลจ. ที่ซื้อหน่วยลงทุนให้ครบทุกแห่งภายในวันทำการสุดท้ายของปี เพื่อให้ บลจ. นำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรโดยตรง แทนการที่เราต้องยื่นเอกสารเอง ทั้งนี้ หากเราไม่แจ้งความประสงค์ก็อาจใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีไม่ได้ แต่เรื่องดีก็คือ เราแจ้งเพียงครั้งเดียวก็สามารถใช้ได้ตลอดไป ไม่ต้องแจ้งทุกปี อย่างไรก็ตาม การซื้อกองทุนรวม RMF มีประโยชน์เรื่องการลดหย่อนเป็นสิ่งที่เสริมเข้ามา แต่ประโยชน์ที่แท้จริงคือ เรากำลังเก็บเงินสำหรับไว้ใช้เมื่อเกษียณกันอยู่ ฉะนั้น แค่ซื้อเพื่อลดหย่อนยังไม่พอ โดยก่อนที่จะซื้อกองทุนรวม RMF อาจจะต้องเลือกกองทุนที่มีนโยบายที่ดี มีอนาคตที่จะเติบโต เพื่อให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อไว้ใช้ยามเกษียณได้แบบชิว ๆ ที่มา : ก.ล.ต. พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับbeartaihttps://www.beartai.com/brief/1335329

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X