คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

ผลตอบแทนสูง 3 เดือน 15 ล้าน จุดอ่อนความโลภ ทำให้คนตาบอด ถูกหลอกลงทุน

30/04/2024

ขอย้ำอีกครั้งธุรกิจลงทุนน้อยให้ผลตอบแทนสูงในเวลาอันรวดเร็ว แบบรวยทางลัดราวกับธุรกิจมหัศจรรย์ไม่มีอยู่จริง หากมีใครมาเชิญชวนกระตุ้นความอยาก สะกิดต่อมความโลภให้ร่วมขบวนความร่ำรวย ผ่านหลายช่องทาง โดยเฉพาะการสร้างกระแสในโลกโซเชียลมีการเล่าเรื่องราวถึงความยากจนข้นแค้นแทบไม่มีข้าวกิน กัดฟันสู้ชีวิตในอดีต จนประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐีอายุน้อย 100 ล้าน มีการถ่ายรูปคู่กับเงินปึกใหญ่ๆ โชว์ให้เห็นการใช้ชีวิตหรูหราดั่งกับในนิยาย มีรถสปอร์ตสุดหรูขับ และถ่ายรูปคู่กับคนดังอย่างสนิทสนม ขอให้พึงตระหนัก อย่าเอาเงินก้อนโตมาแลกกับความเสี่ยง อย่างเรื่องของหญิงสาวรายหนึ่งกำลังเป็นกระแส ถูกตั้งข้อสงสัยถึงความร่ำรวยผิดปกติ และมีการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ หลังออกมาเชิญชวนลงทุน อ้างว่าเพียงแค่ 3 เดือนได้เงินหลักสิบล้าน จนตกเป็นผู้ต้องหาฐานความผิดโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน การหลอกลวงคนให้มาลงทุน ในลักษณะการสร้างสตอรี่เรื่องราวเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ มีให้เห็นอย่างต่อเนื่องไม่จบสิ้นในสังคมไทย ทำให้ “รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล” ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการ คณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ต้องออกมาเตือนสติคนไทยด้วยความเป็นห่วง และเท่าที่สังเกตพบว่า มีการหลอกลวงโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นสถานภาพทางสังคมด้วยการสร้างเรื่องราว เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการทำงานน้อย แต่ได้เงินเยอะๆ ให้เหมือนกับคนที่ออกมาชักชวนให้ลงทุน จากคนที่เคยสิ้นเนื้อประดาตัว แต่สามารถฟื้นขึ้นมาได้ “อยากให้คนไทยมีสติและให้ใช้ปัญญา ซึ่งก็เข้าใจว่าอยากรวย ตามรูปแบบวิธีการที่ออกมาเชื้อเชิญให้ลงทุน ด้วยเพราะปัจจุบันผู้คนในสังคมมีคุณธรรมน้อยลง จนทำให้บางคนต้องไปกู้เงินมาลงทุน จะต้องมีสติให้มากขึ้น คอยติดตามข้อมูลที่เผยแพร่ออกมา เพราะคนดีจะไม่ทำอย่างนี้ในการหลอกลวงคน” ตามทฤษฎีอาชญาวิทยาเรียกคนพวกนี้ว่า “คอปกขาว” เช่น  หลอกลวงลงทุนแชร์ลูกโซ่ เทรดค่าเงิน หรือลงทุนสกุลเงินดิจิทัล โดยคนมีความรู้ มีสถานภาพน่าเชื่อถือในสังคม มาหลอกลวงคนไทยด้วยกันเองเป็นหลักร้อยหลายพัน ซึ่งแตกต่างกับโจรข้างถนน หรือ Street Thief มีการวิ่งราวชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ และบางคนเมื่อมีความรู้มากขึ้น จะมีการเรียนรู้นำวิธีการมาก่อเหตุ เป็นพฤติกรรมเลียนแบบ และพฤติกรรมการหลอกลวงคนให้มาลงทุน จะไม่หายไปจากสังคม ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความโลภ และไม่มีคุณธรรม เป็นสิ่งที่น่าห่วงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หากสังคมไม่เน้นในเรื่องความดีงาม เน้นแต่ความร่ำรวย ซึ่งบางคนทำได้จริง แต่หลายคนไม่สามารถไปได้ และยอมรับความร่ำรวย ความหรูหรา จนทำให้เกิดความหลงใหลอยากจะร่ำรวยตาม และกรณีล่าสุดเป็นการหลอกคนทั่วไปให้ลงทุน เพราะไม่สามารถชี้แจงและตอบได้ในการลงทุนให้ได้ 15 ล้านบาท ภายในเวลาเพียง 3 เดือน “ในเรื่องกำไรผลประกอบการในช่วง 5 ปี ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท หากสามารถทำได้จริง 15 ล้านบาทใน 3 เดือน ก็ควรทำเองจะดีกว่า ไม่ต้องชักชวนใครมาลงทุน และอาศัยการสร้างเรื่องราวเคยสิ้นเนื้อประดาตัวมาก่อน และสร้างสตอรี่ถ่ายรูปกับรถหรู อยากให้คนไทยใช้ปัญญาใช้สติให้มากๆ ในการพิจารณา อีกทั้งในช่วง 2-3 ปี ต้องยอมรับโควิด ทำให้คนมีปัญหาเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่น่ากังวลมากๆ และยังไปหลอกลวงคนให้ลงทุน จนหมดเนื้อหมดตัว ถูกซ้ำเติมผีซ้ำด้ำพลอย” แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2608250

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสังคม

8 ข้อคิดก่อนปฏิเสธการทำประกันชีวิต

30/04/2024

1. ประกันชีวิตเปรียบเหมือนผ้าห่มแห่งความรัก ผ้าห่มผืนสุดท้ายที่แม่หม่ายสามารถจะใช้เพื่อจะได้ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาวแห่งชีวิต2. คนซื้อประกันไม่ใช่เพราะใครบางคนต้องตาย แต่เพราะใครบางคนต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป3. คุณจะได้รับการจดจำจากครอบครัวของคุณว่า คุณเป็นคนวิเศษสุด ซึ่งทิ้งความมั่นคงทางการเงินไว้ให้ หรือไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เลย เมื่อคุณต้องจากไป และรับรองว่าไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหนก็ตาม…พวกเขาจะไม่มีวันลืมคุณอย่างแน่นอน4. หากคุณเจ็บป่วยร้ายแรงขึ้นมา และมีแหล่งรายได้อยู่สี่แหล่ง สำคัญให้ครอบครัวของคุณ… จากญาติ , เพื่อน , จากสถานสงเคราะห์ และ จากประกัน คุณชอบแหล่งไหนมากกว่ากัน ?5. ความสามารถในการหารายได้ของคุณเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด…เมื่อเป็นเช่นนั้น มันสมควรจะได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่6. ทุกคนมีประกันอยู่แล้ว แต่ทางเลือก คือ คุณต้องการรับประกันตัวเองหรือรับประกันจากมืออาชีพ7. เมื่อวิเคราะห์กันจริงๆ แล้ว สิ่งสุดท้ายที่ชายคนหนึ่งสามารถทิ้งไว้ให้กับภรรยา ก็คือ ศักดิ์ศรีแห่งการมีทางเลือกเท่านั้น8. เหลือบางสิ่งบางอย่างไว้ให้กับภรรยาของคุณ เพื่อที่จะดูแลเธอ ไม่ใช่บางอย่างที่เธอจะต้องดูแลต่อไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับideaforumgrouphttps://ideaforumgroup.wordpress.com/insurance/8-%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%98%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9B/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ความเสี่ยง จุดเปราะบางคนรุ่นใหม่ เจเนอเรชันใด น่าห่วง เมื่อแก่ตัวลง

30/04/2024

•  คนวัยทำงานในช่วงกอบโกยเงินทองอย่าชะล่าใจ ต้องนึกถึงตัวเองรู้จักเก็บออม ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม เพื่อการใช้ชีวิตในอนาคตเมื่อสู่วัยสูงอายุ ไม่ให้เผชิญกับความยากลำบาก เพราะจากสถานการณ์การเตรียมพร้อมของคนรุ่นใหม่ เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ในการสำรวจปี 2564 ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 72% ของผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 18-59 ปี จำนวน 1,734 คน ทราบว่าประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุแล้ว   •  แสดงให้เห็นว่าประมาณ 1ใน 4 ของประชากรวัยทำงาน อาจยังไม่ได้ตระหนักถึงสถานการณ์การสูงวัยของสังคมไทย และ 1 ใน 5 ยังไม่ได้เตรียมตัวด้านสุขภาพเลย โดยเฉพาะกลุ่มเจน Z อายุ 18-26 ปี คิดว่าตัวเองสุขภาพดีเพียง 57.6% เท่านั้น ต่ำกว่าเจน X กลุ่มอายุ 42-59 ปี และ เจน Y กลุ่มอายุ 27-41 ปี แม้พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพมีทุกรุ่นทุกอายุ แต่กลุ่มเจน Y และ Z มีพฤติกรรมชอบกินอาหารรสจัด พักผ่อนและออกกำลังกายไม่เพียงพอ หลายคนนอกดึก เพราะดูซีรีย์ หรือเล่นเกม   •  มาดูเรื่องการเก็บออม กลุ่มเจน Z ออมแบบฝากธนาคารและเงินสด มากกว่าเจน X และ Y ซึ่งออมในรูปแบบประกันชีวิต กองทุนรวม กองทุนชุมชน หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากกว่า ขณะที่การสร้างครอบครัวไม่ใช่เป้าหมายของคนรุ่นใหม่ จึงไม่นิยมมีลูก โดยเจน Y และ Z ต้องการพึ่งพารัฐ หรือสถานสงเคราะห์ เพื่อให้ดูแลในช่วงท้ายของชีวิต สูงกว่าเจน X เมื่อช่วงท้ายของชีวิตในวัยสูงอายุไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องสุขภาพที่เสื่อมถอย อาจต้องนอนติดเตียง หรือไม่สามารถสื่อสารได้ เป็นชีวิตที่ไม่พึงปรารถนา ทุกคนจึงมีสิทธิแสดงเจตนาไม่รับบริการสาธารณสุขที่เป็นเพียง เพื่อการยืดการตายในวาระสุดท้าย หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย ตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 โดยพบว่าส่วนใหญ่ทุกรุ่นอายุ ไม่ต้องการเป็นภาระให้ครอบครัว ไม่ต้องการยื้อชีวิตหากอยู่ในภาวะโคม่า และต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการทำเอกสารแสดงเจตนา หรือชีวเจตน์ เพื่อวางแผนวิธีการรักษาพยาบาลล่วงหน้า หรือยุติการรักษา เป็นบทสรุปคร่าวๆ ในการเตรียมพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุของคนรุ่นใหม่ หรือคนวัยทำงาน นำไปสู่คำถามว่าน่าห่วงหรือไม่? ก็ได้คำตอบจาก ”รศ.ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์” สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล มีทั้งกลุ่มน่าห่วงและน่าจะเอาตัวรอดได้ โดยด้านการเงินในการดูแลตัวเองเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ แบ่งเป็น 3 แหล่ง 1.จากการพึ่งตัวเอง 2. ภาครัฐ ซึ่งมีระบบการคุ้มครองทางสังคม และ 3. คนในครอบครัว ในการพึ่งครอบครัว ดูเหมือนค่อนข้างจะแน่นอนในยุคก่อนๆ แต่เมื่อคนยุคปัจจุบันแต่งงานน้อยลง มีลูกน้อยลง ทำให้เห็นได้ชัดว่าการจะหวังพึ่งครอบครัว ให้ลูกหลานดูแลลดลงอย่างแน่นอน และการพึ่งภาครัฐ ก็มีการส่งเสริมการออมกับกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีค่อนข้างน้อย หรือแม้ประกันสังคม จะขยายอายุผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพจาก 55 ปี เป็น 60 ปี แต่เรื่องความเสี่ยงก็มีมาก เพราะผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จะทำให้การจ่ายเงินกรณีชราภาพ อาจไม่เพียงพอกลุ่มเจน X เจน Y หรือเจน Z น่าห่วงมากกว่ากัน เมื่อประเมินการพึ่งตัวเองในเรื่องการออมเงินและการลงทุน จากข้อมูลสถานการณ์เตรียมพร้อมของคนรุ่นใหม่ เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ จะเห็นว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญในการออม แต่ยังค่อนข้างต่ำท่ามกลางเงินเฟ้อขยับขึ้นสูง ขณะเดียวกันการลงทุน แม้มีความมั่นคงในการลงทุน แต่ก็ยังขาดทักษะ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นห่วง แต่หากยังสามารถทำงานได้ในวัยสูงอายุก็ดี “ในส่วนสวัสดิการภาครัฐ ต้องยอมรับว่าไม่เพียงพอ แต่ก็ไม่อยากให้ขยับเบี้ยยังชีพแบบก้าวกระโดดไปถึง 3 พันบาท เพราะจะกระทบภาระทางการคลัง ดังนั้นแนวทางในการเตรียมพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ ควรให้ความสำคัญกับการพึ่งตัวเองด้วยการออม ทั้งกลุ่มเจน X เจน Y เจน Z โดยเฉพาะเจน Z นอกจากออมเงินแล้ว ก็มีการลงทุน ด้วยการลงทุนบิตคอยน์ ซึ่งค่อนข้างเสี่ยง เพราะมีเป้าหมายอยากเกษียณอายุเมื่ออายุ 45-50 ปี” การพึ่งตัวเองสำคัญมาก แต่ตลาดการลงทุนต้องมีความปลอดภัยมากขึ้น และหน่วยงานของรัฐต้องมีการจัดการความเสี่ยง ควบคู่กับการคุ้มครองทางสังคมและมีระบบบำนาญ ต้องขยายให้ทั่วถึงมากที่สุดให้ครอบคลุมถึงแรงงานนอกระบบ เพราะคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ทำอาชีพอิสระกันมากขึ้น เป็นโจทย์ใหญ่ต้องสานต่อ ทั้งตัวบุคคลเองและภาครัฐ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่จะมองอนาคตของตัวเอง และให้ความสำคัญมากขึ้น ในการจัดการเรื่องการเงิน และจัดการความเสี่ยง ซึ่งภาครัฐต้องโฟกัสไปตลาดการลงทุน ไม่ให้โตเองโดยธรรมชาติ ควรมีการกำกับดูแลให้ชัดเจน กลุ่มเจน Z ก็น่าห่วง แต่อายุยังไม่มากยังมีเวลาเตรียมตัว แต่กลุ่มเจน X มีเวลาน้อยในการเตรียมตัวไม่ให้มีความเสี่ยงมากพอ ถือเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบาง เพราะยังมีสัดส่วนมากพอสมควรในการแต่งงานและมีลูก แม้ทำงานมีรายได้สูง แต่ก็มีภาระทั้ง 2 ฝั่งในการเลี้ยงดูพ่อแม่ รวมถึงลูกของตัวเอง ซึ่งกลุ่มนี้ต้องเตรียมตัวให้กับตัวเอง และยังคิดว่าเมื่อแก่ตัวลงจะมีลูกคอยดูแล แต่อาจตรงกันข้ามกับลูกๆ ที่คิดว่ามีพ่อแม่คอยดูแลให้การสนับสนุนโควิดกระทบคนรายได้น้อย ยิ่งเพิ่มความเปราะบาง “ทัศนคติการมีครอบครัวของเด็กรุ่นใหม่จะลดลงแน่ๆ อาจทำให้ความคิดเปลี่ยนไป และเชื่อว่ากลุ่มเจน X ตอนปลาย แม้มีลูก แต่อาจมีความคิดเปลี่ยนไปในการคิดถึงตัวเองมากขึ้น และไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเจนใด หากมีงานทำมีรายได้ ก็ไม่น่าห่วงเท่ากับกลุ่มวัยทำงานมีรายได้น้อย มีความเปราะบางมาก โดยเฉพาะช่วงโควิดระบาด ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มยากจนที่ได้รับผลกระทบ ยังมีกลุ่มใกล้ยากจน มีโอกาสสูงที่จะอยู่ภายใต้ความยากจน ซึ่งมีความเปราะบางค่อนข้างสูง รวมถึงคนทำกิจการเล็กๆ ต้องปิดกิจการไป” ในช่วงโควิด มีแรงงานเป็นจำนวนมากอายุ 45 ปีขึ้นไป ตกงานจากการเป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน ซึ่งกลุ่มนี้มีความยากลำบากจะกลับเข้ามาสู่ระบบการทำงาน หรือการจะเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ก็ยากลำบาก อาจกลายเป็นกลุ่มที่พึ่งภาครัฐมากขึ้น และหลังวิกฤติโควิดยังมีประเด็นปัญหาตามมาอีกมากมาย ยิ่งเพิ่มความเปราะบางมากขึ้น และการที่รัฐจะดูแลผู้สูงวัยและผู้สูงอายุ ขึ้นอยู่กับภาระทางการคลังว่าสามารถทำได้ครอบคลุมหรือไม่อีกทั้งกองทุนประกันสังคม ก็มีความเปราะบางในการจ่ายให้กับผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น ประเมินว่า 10-20 ปี อาจมีเงินไม่พอจ่ายในกรณีชราภาพ สุดท้ายต้องพึ่งตัวเอง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ แต่หากพ่อแม่เกิดในยุคเบบี้บูม ส่วนใหญ่ทำงานเพื่อซื้อทรัพย์สินให้กับลูก กลายเป็นสินทรัพย์สร้างแหล่งรายได้ในอนาคตให้กับลูก และเมื่อลูกเข้าสู่วัยสูงอายุ อาจนำสินทรัพย์ที่ได้มา เช่น บ้าน มาดูแลตัวเองเมื่อไม่มีลูกดูแล หรืออาจใช้วิธีขายบ้านล่วงหน้าให้กับธนาคาร ซึ่งเรียกว่า Reverse Mortgage หรือการจำนองแบบย้อนกลับ เหมือนในต่างประเทศ โดยสามารถอยู่อาศัยในบ้านได้ และทางธนาคารต้องจ่ายเงินค่างวดทุกๆ เดือน จนกว่าจะเสียชีวิต และธนาคารก็ได้บ้านนำเอาไปขายทอดตลาด ซึ่งภาครัฐควรมีนโยบายนี้ เพื่อช่วยเหลือและเป็นทางเลือกให้กับผู้สูงอายุ. ผู้เขียน : ปูรณิมา แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2607421

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

3 ธุรกิจรุ่ง ปี 2566

30/04/2024

ทำความรู้จักกับ 3 ธุรกิจดาวรุ่งปี 2566 ที่ผู้ประกอบต้องให้ความสำคัญและเล้งเห็นโอกาสของธุรกิจเหล่านี้ เพื่อนำองค์ความรู้ไปพัฒนาและต่อยอดได้ 1. ธุรกิจสุขภาพ กระแสใส่ใจสุขภาพคนไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยและความเจ็บป่วยด้วยโรคใหม่มีมากขึ้น คาดรายได้โรงพยาบาลเอกชน ปี 2566 ขยายตัว 6-8% 2. ธุรกิจสีเขียว (ESG) เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โซลาร์รูฟท็อป กิจการด้าน Carbon Credit พลาสติกรีไซเคิล อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน คาดยอดขาย EV Car เพิ่มเป็น 30,000 คันในปี 2566 จาก 12,000 คันในปี 2565 3. ธุรกิจท่องเที่ยว ใช้รถน้อยแต่จ่ายเบี้ยแพงอยู่ใช่ไหม? ประกันขับดีFlexiDrive ประหยัดกว่าประกันเหมาจ่ายทั่วไปกว่า70% เช็กราคา โรงแรม ร้านอาหาร ขนส่ง ค้าปลีก รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว คาดรายได้โรงแรมเติบโตกว่า 40% / รายได้ร้านอาหารเติบโต 7.4% จากปีก่อน ที่มา : ธนาคารกสิกรไทย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/smes/detail/9660000007298

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสังคม

เช็ค 4 ข้อต้องรู้ ! เลือกซื้อประกันสุขภาพยังไง…ให้เหมาะกับตัวเอง

30/04/2024

“ประกันสุขภาพ” เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยบริหารความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพราะการรักษาพยาบาลทุกครั้งนำมาซึ่งค่าใช้จ่าย และอาจทำให้เงินเก็บหรือเงินที่เราสำรองไว้ใช้จ่ายลดลง ดังนั้น การซื้อประกันสุขภาพจึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการบริหารความเสี่ยงแต่การเลือกซื้อประกันแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย มีกรมธรรม์หลากหลายให้เราเลือกซื้อ ซึ่งเงื่อนไขความคุ้มครองก็แตกต่างกันไป และมักจะมีรายละเอียดยิบย่อยค่อนข้างมาก ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพ จึงควรศึกษาข้อมูลกรมธรรม์อย่างถี่ถ้วน วันนี้ Wealthy Thai ก็มี 4 ข้อควรรู้ เพื่อให้ผู้อ่านเช็คตัวเอง ก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพมาฝาก1. ประเมินความเสี่ยงของตัวเองสิ่งที่ต้องทำอย่างแรกคือประเมินความเสี่ยงของตัวเอง มีโรคทางพันธุกรรมและโรคประจำตัวหรือไม่ การใช้ชีวิตปัจจุบันเป็นอย่างไร สภาพการทำงาน สภาพแวดล้อม ที่อยู่อาศัย มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการเจ็บป่วยมากน้อยขนาดไหน และเมื่อเกิดการเจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจะต้องจ่ายค่ารักษาเท่าไหร่ เราสามารถรับความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้หรือไม่2. เช็คสวัสดิการที่มีในปัจจุบันลำดับถัดมาหลังจากประเมินความเสี่ยงของตัวเองแล้ว ให้กลับมาเช็คว่าปัจจุบันเรามีสวัสดิการอะไรบ้าง เช่น สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) สิทธิประกันสังคม หรือสิทธิประกันกลุ่มของบริษัทที่ทำงาน ซึ่งบางครั้งบริษัทขนาดใหญ่จะไม่มีประกันกลุ่ม แต่พนักงานสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ในวงเงินที่สูง ซึ่งเราต้องนำสวัสดิการที่มีเหล่านั้นมาประเมินว่าเพียงพอต่อความต้องการและครอบคลุมความเสี่ยงในชีวิตแล้วหรือยัง หากทุนประกันที่ประเมินจากสวัสดิการยังไม่เพียงพอ การซื้อประกันสุขภาพก็จะช่วยตอบโจทย์เราได้3. เลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมความคุ้มครองที่สูงมักมาพร้อมค่าเบี้ยประกันที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นเราควรประเมินค่าเบี้ยประกันที่สามารถจ่ายได้ในระยะยาว และควรเลือกกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองตรงกับความต้องการจริงๆ เช่น ประกันสุขภาพแบบจ่ายตามตารางความคุ้มครองที่กำหนด หรือประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายตามจริงที่มีการกำหนดวงเงินค่าห้องและค่ารักษาพยาบาลแต่ละครั้ง ซึ่งจะมีค่าเบี้ยประกันสูงกว่า และ วงเงินคุ้มครอง เช่น กรณีผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก จะมีการกำหนดวงเงินต่อครั้งต่อโรค วงเงินต่อปี หรือจำนวนครั้งสูงสุดในรอบปีกรมธรรม์ เป็นต้น4. ศึกษาเงื่อนไขกรมธรรม์และการเรียกร้องสินไหมสุดท้ายก่อนการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพทุกครั้ง เราต้องศึกษาข้อมูลต่างๆอย่างถี่ถ้วน เพราะบริษัทประกันแต่ละแห่งอาจมีเงื่อนไขในการรับประกันและเรียกร้องสินไหมที่แตกต่างกันไป เช่น ข้อยกเว้นในการไม่คุ้มครองโรคต่างๆ ระยะเวลาการรอคอยซึ่งประกันยังไม่คุ้มครองหลังจากกรมธรรม์อนุมัติ และช่องทางการเรียกร้องค่าสินไหมต่างๆ เป็นต้นปัจจุบันประกันสุขภาพในตลาดมีหลากหลาย เงื่อนไขและความคุ้มครองก็จะแตกต่างกันออกไป ดังนั้น Wealthy Thai อยากเน้นย้ำให้ผู้อ่านทุกท่านศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างละเอียด เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการทั้งด้านสุขภาพและการเงินมากที่สุดแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/insurance/12409

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

การลงทุน คือ การวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งแข่ง

30/04/2024

การลงทุน ไม่ใช่วิ่ง 100 เมตรที่ผู้ชนะจะต้องอัดพลังสุดๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ 10 กว่าวินาที เสียงปืนดัง มีเท่าไหร่ใส่ให้สุดแรง ใครเข้าเส้นชัยที่ท้ายๆ ดูไร้ความหมายแต่การลงทุนเหมือนการวิ่งมาราธอน (42 กม.)ที่ผู้ชนะ ต้องรู้จักผ่อนสั้น ผ่อนยาว ใช้เวลาอยู่ในสนามยาวนาน อย่าเจ็บ อย่าจุก เราวิ่งไปเรื่อยๆด้วยความเร็วของเราใครเข้าเส้นชัยได้ มีความหมายทุกคนไม่ซีเรียสใครจะแซงเราไป ไม่ลิงโลดเวลาเราแซงใครๆ เราวิ่งไปเรื่อยๆบางจังหวะก็วิ่งได้เร็ว บางจังหวะก็ต้องวิ่งช้า บางช่วงอาจต้องหยุดบ้าง เพื่อแวะกินน้ำ กินแตงโมเสียบไม้ การลงทุนนี่คล้ายกันมากเลย บางปีมันดีมากๆ บางปีก็งั้นๆ และบางปีก็ไม่ดีเลย และนักลงทุนต้องขยันซ้อมนะ อ่านๆๆ เก็บข้อมูลๆๆๆ ฟังคลิปๆๆ ดูOppDayๆๆ เอามาเลือกๆๆ แล้วค่อยทยอยใส่เงินจริงไม่มีทางลัด ไม่มีวิธีรวยเร็ว ไม่มีซื้อวันนี้แล้วพรุ่งนี้เขียวจัดทันใจทุ่มเทศึกษา สะสมความรู้และประสบการณ์ทำต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาหลายๆปี ผลตอบแทนที่ได้ จะแปรผันตาม ความขยันความทุ่มเท (ในการอ่านข้อมูล ฟังคลิป ดูOppDay วิเคราะห์และลงทุนซ้ำๆๆ) ที่เราพากเพียรใส่ความพยายามลงไปเหมือนกับวิ่ง ที่ต้องซ้อมวิ่งสม่ำเสมอ ทำซ้ำสม่ำเสมอ เบื่อก็ซ้อม ขี้เกียจก็ต้องซ้อม ขยันก็ยิ่งต้องซ้อมแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับstock2morrowhttps://stock2morrow.com/article/5205

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

‘ทีดีอาร์ไอ’ชี้คนไทยออมเงินต่ำ พบ‘เล่นพนัน’มากกว่า‘ลงทุน’

30/04/2024

‘ทีดีอาร์ไอ’ พบสังคมสูงวัยกำลังมาถึง แต่ความพร้อมคนไทยยังต่ำ ชี้เงินออมถูกดูดเข้าสู่ เส้นทาง ‘การพนัน’ มากกว่า ‘ลงทุน’ พร้อมเปิดแนวทางพัฒนาเส้นทางการลงทุน ปรับโครงสร้าง ‘ผู้ออม-ธุรกิจ-ตัวกลาง-ภาครัฐ’ อย่างเป็นระบบและเท่าเทียม ดัน ‘นักลงทุนVI’ หนุนเทรดหุ้นไร้ค่าฟี สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ได้สำรวจการเตรียมความพร้อมด้านการออมของคนไทย ซึ่งพบว่า คนอายุ 20-30 ปี มองว่าเมื่อถึงวัยเกษียณต้องการเงินใช้ต่อเดือนเพียง 20,000-30,000 บาท แต่ถ้าสอบถามคนอายุ 40-50 ปี กลับพบว่าความต้องการเงินใช้ต่อเดือนจะเพิ่มเป็นเดือนละ 50,000 บาท ในขณะที่คนอายุ 60 ปี ยังคงต้องการทำงานต่อไป สะท้อนได้ว่า สังคมสูงวัยกำลังมาถึง แต่คนไทยเตรียมพร้อมต่ำ ขณะเดียวกันปัจจุบัน การสร้างเงินออมของคนไทย กลับมาเจอทาง 2 แพร่ง คือ “ เส้นทางการพนัน” มีคนไทยเล่นการพนันถึง 32 ล้านคน มีนักพนันหน้าใหม่เกิดขึ้นประมาณปีละ 800,000 คน การเติบโตของนักพนันเกิดขึ้นมากในกลุ่มการพนันออนไลน์ เนื่องจากสะดวก ง่าย เล่นได้ทุกที่ ทุกเวลา เฉพาะในบ่อนออนไลน์ มีเงินหมุนเวียนกว่า 100,000 ล้านบาท โดยมีนักพนันราว 2 ล้านคน ส่วนอีกเส้นทาง คือ “เส้นทางการลงทุน”  กลับมีนักลงทุนเปิดบัญชีเพียง 2-3 ล้านราย(ไม่นับซ้ำ) สมาชิกกองทุนต่างๆ 17-20 ล้านราย ลูกค้าที่ Active ซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต 400,000-600,000 คน มีมูลค่าเงินหมุนเวียน ประมาณ 1-1.5 ล้านล้านบาท นี่เป็นโจทย์สำคัญของประเทศไทย ที่ต้องมีการพัฒนา ก้าวสู่ “การมีบริการทางการเงินที่เท่าเทียม” โดยในงานเปิดตัวแพลตฟอร์มเทรดหุ้นไร้ค่าธรรมเนียม โดยบริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (มหาชน) ได้เชิญนักวิชาการและนักลงทุนเน้นมูลค่ามาพูดคุยถึงการแก้โจทย์ดังกล่าว  “นณริฏ พิศลยบุตร” นักวิชาการอาวุโสสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การพัฒนาเส้นทางการลงทุน ต้องปรับโครงสร้าง ทั้งในฝั่งผู้ออม  ต้องได้รับการปลูกฝังปัญหาลัทธิการบริโภคนิยม ความสำคัญของการออม และความรู้ด้านความเสี่ยงจากการลงทุน ขณะที่ฝั่งภาคธุรกิจ  ต้องมีผลิตภัณฑ์การออมที่หลากลาย ( Variety of product)  ทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง มีผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ อีกทั้ง ต้องมีผลิตภัณฑ์การออมแบบคุ้มค่ากับเงินที่จ่าย (Value for Money)   ฝั่งตัวกลาง มี 2 ประเภท คือ 1. ตัวกลางประเภท transaction เน้นค่าฟีถูก หรือไม่มีค่าฟี  และ2. ตัวกลางประเกทข้อมูล เน้นมีบทวิเคราะห์ และมีค่าฟีได้  มีประสิทธิภาพก มีกองทุนผ่านการแข่งขัน และผู้บริหารระดับโลก  “การเข้ามาของธุรกิจบล.ไร้ค่าธรรมเนียมเทรดหุ้น มองว่า ก็ไม่ได้มาดิสรับ ธุรกิจ บล. ดั่งเดิม แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อมีทางเลือก ตัวกลางไร้ค่าคอมเกิดแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนจะใช้โอกาสนี้หรือไม่”  ขณะที่ภาครัฐ ต้องมองภาพอย่างเป็นระบบทั้งเรื่องหวย กับ หุ้น  ต้องใช้ตลาดทุนเป็นเครื่องมือสร้างการลงทุนเพื่อการออม  ขณะที่มองการเก็บภาษีขายหุ้น เป็นการทำลายสภาพคล่องของตลาดทุน ไม่ถอนขนห่านทองคำ แต่ควรใช้ตลาดทุนเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งให้กับคนไทย มีเงินออมเตรียมพร้อมสู่วัยเกษียณ  “นณริฏ” กล่าวอีกว่า   “ธุรกิจหลักทรัพย์” มีความสำคัญมาก และยิ่งไม่มีค่าธรรมเนียม จะช่วยดึงคนเข้าสู่เส้นทางการลงทุนได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม เป็นการคนไทยเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยได้ และยังช่วยแก้ไขปัญหาสังคม ไม่ให้คนเอาเงินออมไปใช้ในเส้นทางการพนัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่บ่อนพนันออนไลน์และกลุ่มเยาวชน “เฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ” นายกสมาคมนักลงทุน เน้นคุณค่า (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนแนวใหม่สำหรับนักลงทุนเน้นคุณค่า คือ นักลงทุนที่เติบโตไปพร้อมกับตลาดทุน ด้วยการมีข้อมูลและมีความรู้การลงทุนของคนที่มีประสบการณ์ ทำให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้ด้วยตัวเองอย่างถูกวิธี เมื่อสามารถเทรดหุ้นโดยไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมมองว่า เป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุน ที่เปิดโอกาสให้กับคนหมู่มาก อีกเป็นสิบล้านๆคน เดินเข้าสู่เส้นทางการลงทุนในตลาดทุนไทยได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ย่อมส่งผลดีต่อทั้งอุตสาหกรรมที่จะมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และจะยิ่งเป็นตัวทวีคูณสร้างการเติบโตให้กับประเทศไทยในระยะข้างหน้า "นักลงทุนรายย่อยที่มีความรู้และประสบการณ์ลงทุนอยู่แล้ว น่าจะชอบการเทรดหุ้นเสรีไร้ค่าคอมฯ ขณะที่คนอีกเป็นจำนวนมาก ที่ไม่เคยรู้จักตลาดหุ้นมาก่อน มีโอกาสตัดสินใจเข้ามามากขึ้นแต่ธุรกิจบล. ก็ต้องมีการส่งข้อมูลการลงทุนให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรม ระหว่างนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยด้วย” ขณะที่การเก็บภาษีขายหุ้น ยังมองว่า “เป็นสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสีย” ควรเก็บให้ถูกที่ เพราะปัจจุบันตลาดทุนไทยเป็นเครื่องมือทำให้เกิดธุรกรรมนอกระบบลดลง บริษัทดีๆสามารถเข้ามาอยู่ในระบบ คือ ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ อย่างปีนี้มียื่นไฟลิ่งเป็นร้อยบริษัท บริษัทต่างๆสร้างการเติบโตได้เพิ่มขึ้น มีการจ่ายภาษีอย่างถูกต้องและมากขึ้น ทำให้ภาครัฐสามารถเก็บภาษีอื่นๆได้มากกว่าเก็บภาษีขายหุ้น อีกทั้งมองว่า การเก็บภาษีขายหุ้น เหมือนเก็บเล็กเก็บน้อย ยิ่งทำให้เสียเซ็นทริเม้นท์การลงทุนไปอีก คำแนะนำ สำหรับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ให้นักลงทุนยืนระยะและประสบความสำเร็จ ร่ำรวยได้นั้น  “ไม่ยากอย่างที่คิด”  แต่ต้องเริ่มจากการปรับมายเซ็ทของตัวเองก่อน คือ “ไม่ตกใจขาย ดีใจซื้อ” ต้องเลือกลงทุนเน้นหุ้นกิจการที่ดีและเติบโต “ซื้อสิ่งที่ดี ถือให้ขึ้นไป เอ็นจอยกับการเติบโต” แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/finance/stock/1048859

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ย้อนเหตุการณ์ เงินหายจากบัญชีไม่รู้ตัว เกิดอะไรขึ้น ป้องกันอย่างไร

30/04/2024

ย้อนเหตุการณ์ “เงินหายจากบัญชีไม่รู้ตัว” คนไทยเจอแบบไหนมาแล้วบ้าง และมีวิธีป้องกันอย่างไร แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หนึ่งในมิจฉาชีพที่สังคมไทยเจอมาโดยตลอด ตั้งแต่ยุคของการเริ่มต้นเทคโนโลยี มาจนถึงวันนี้ที่เทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ยิ่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา วิธีการหลอกลวงของเหล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งโทรศัพท์สมาร์ตโฟนที่คอยอัพเดตตัวเองให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ วิ่งตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปด้วย แม้ว่าทุกภาคส่วนจะพยายามช่วยเหลือให้ความรู้ เพื่อรู้ทันกลโกงมากขึ้น แต่ในทุก ๆ วัน ยังมีผู้เสียหายจากการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ตลอด และเราทุกคนจะป้องกันได้อย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” ชวนย้อนดูรูปแบบกลโกง เงินหายไม่รู้ตัว พร้อมวิธีการป้องกัน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อคนต่อไป ทำแอปฯ ปลอม เพื่อดูดเงินจริง กลลวงมิจฉาชีพที่อาศัยการทำแอปพลิเคชั่นหนึ่งขึ้นมา ซึ่งอาศัยการส่งลิงก์ให้ดาวน์โหลดเท่านั้น ไม่มีการให้ดาวน์โหลดใน App Store บนมือถือ โดยไส้ในของแอปฯ นี้ ไม่ได้มีแค่หน้าตาของแอปฯ ที่มีความคล้ายคลึงกับแอปฯ ตัวจริง หรืออาจเป็นหน้าตาใหม่ที่ดูไม่คุ้นเคย ประหนึ่งว่านี่คือแอปพลิเคชั่นใหม่ และยัดไส้แอปฯ ไว้ด้วยไวรัสต่าง ๆ ที่เจาะข้อมูลตัวเครื่องได้ เมื่อเจาะเข้าระบบเครื่องได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มิจฉาชีพก็จะอาศัยจังหวะเข้าแอปฯ ต่าง ๆ ภายในเครื่อง ระหว่างที่เราอาจจะละสายตาจากสมาร์ตโฟน หรือชาร์จแบตเตอรี่สมาร์ตโฟนทิ้งไว้ โดยเข้าสู่ระบบ Mobile Banking ของธนาคารและเข้าไปแก้ข้อมูลต่าง ๆ โดยเฉพาะวงเงินการโอนเงินไปบัญชีธนาคารต่าง ๆ ให้มีจำนวนที่สูงขึ้น ก่อนจะโอนเงินออกจากบัญชีในที่สุด และเหลือไว้เพียงยอดเงินหลักหน่วยจนถึงไม่เหลือเลย กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีผู้เสียหายมีรายการโอนเงินไปสู่คนอื่นเป็นจำนวนสูง และไม่รู้จักกับบัญชีปลายทางแต่อย่างใดและไม่มีธุรกรรมอะไรที่ต้องทำ เช่น โอนเงินเพื่อซื้อของ โอนเงินจ่ายค่าอาหาร เป็นต้น สวมเว็บปลอม หลอกเอาข้อมูล (ตบท้ายด้วยดูดเงิน) การทำเว็บไซต์ปลอม หนึ่งในวิธีคลาสสิกที่เจอได้บ่อย ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของระบบอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยอาศัยการออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้ดูเหมือนว่าเป็นเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐ หรือเว็บไซต์ของธนาคารต่าง ๆ จริง เมื่อเหยื่อเชื่อว่าเป็นเว็บไซต์จริงของหน่วยงานนั้น ๆ ก็กลายเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพดักเอาข้อมูลสำคัญต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็น Username Password เลขบัตรประจำตัวประชาชน เลข Laser ID หลังบัตรประชาชน เป็นต้น เมื่อมิจฉาชีพได้ข้อมูลสำคัญเหล่านี้แล้ว ก็จะจบด้วยการที่เข้าไปเว็บไซต์จริง เพื่อโอนเงินออกจากบัญชีเหยื่อ หรือมิจฉาชีพเอง อาจสวมรอย นำข้อมูลต่าง ๆ ไปทำธุรกรรมต่าง ๆ เอง ซึ่งเจ้าของข้อมูลตัวจริงไม่ทราบเรื่อง และอาจทำให้โดนหางเลขความผิดต่าง ๆ ไปด้วย ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ เลย ทำตัวเนียน อ้างเป็นแอป/บริการต่าง ๆ การปลอมเป็นแอปพลิเคชั่นหรือบริการต่าง ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่พบได้บ่อย โดยมิจฉาชีพจะอ้างเป็นบริการต่าง ๆ ส่งอีเมลหรือข้อความเพื่อให้เข้าไปทำธุรกรรม โดยอาศัยอุบายว่า มีปัญหาเรื่องการชำระค่าบริการ และขอให้ลูกค้ากรอกข้อมูลบัตรเครดิต/บัตรเดบิต เพื่อให้ทำรายการให้สำเร็จ หากมีข้อความ OTP ส่งเข้ามา แต่ไม่ได้กรอก ก็ถือเป็นความโชคดีที่ไม่ตกเป็นเหยื่อ แต่หากให้รหัส OTP ไปแล้ว ก็กลายเป็นเหยื่อที่ถูกดูดเงินไปโดยปริยาย หนึ่งในจุดที่หลายคนอาจไม่ได้สังเกต คือ ข้อมูลผู้ส่ง (Sender) โดยเฉพาะผู้ที่ได้ข้อความทางอีเมล อาจสังเกตแค่ชื่อผู้ส่งว่ามาจากแอปพลิเคชั่นหรือผู้ให้บริการต่าง ๆ แต่ไม่ทันสังเกตอีเมลผู้ส่งว่า ไม่ใช่ E-Mail Address ตัวจริงของผู้ให้บริการรายที่ถูกกล่าวอ้าง ใช้ Remote Access อาศัยช่อง ดูดเงินในบัญชี กลลวงนี้ ถือเป็นกลลวงที่ยุคใหม่เป็นอย่างมากสำหรับการโจรกรรม ต่อยอดจากการหลอกลวงปกติที่เคยทำ อย่างการส่งข้อความอ้างว่ามีการกระทำความผิด ให้ติดต่อที่บัญชีไลน์ (LINE Account) ของหน่วยงานที่อ้างขึ้นมา และมิจฉาชีพจะแนะนำให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Remote Access หรือแอปพลิเคชั่นที่ช่วยในการควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล เมื่อทำตามขั้นตอนที่มิจฉาชีพแนะนำแล้ว มิจฉาชีพก็จะทำขั้นตอนต่อไป คือ การพูดคุยกับเหยื่อ ชวนคุยไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ผู้เสียหายหลุดโฟกัสจากการดูโทรศัพท์มือถือของตัวเอง และมิจฉาชีพก็จะอาศัยช่วงเวลานี้ เข้าถึงหน้าจอมือถือและทำรายการต่าง ๆ โดยที่เราอาจไม่ทันสังเกต นับเป็นอีกหนึ่งกลโกงของมิจฉาชีพที่น่ากลัวไม่น้อย เพราะข้ามขั้นจากการดักเอาข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการทำธุรกรรม ขยับขึ้นมาเป็นการเข้าถึงมือถือและเข้าไปทำธุรกรมด้วยตัวเองแทน อาศัยบอทสุ่มเลขบัตร ตัดเงินไม่ทันตั้งตัว สำหรับกลโกงนี้ นับเป็นกลโกงที่ล้ำสมัยจนใครก็ไม่ทันตั้งตัว เพราะมิจฉาชีพจะอาศัยระบบบอทในการสุ่มเลขบัตรเดบิต/เครดิต และข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะการซื้อของออนไลน์ วิธีการนี้ ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่ถูกนำข้อมูลไปใช้กับเว็บไซต์ที่สามารถตัดเงินได้เลยโดยไม่ต้องเข้าระบบ 3D-Secure แต่อย่างใด และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้บัตรเฉพาะในประเทศไทย มีมูลค่ามากถึงหลักร้อยล้านบาท และทำธนาคารต่าง ๆ ร้อน ๆ หนาว ๆ หาวิธีการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับความเสียหายครั้งนี้โดยด่วน วิธีรับมือภัยไซเบอร์ใกล้ตัวคนไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยวิธีการรับมือ 3 กลุ่มกลลวงของมิจฉาชีพที่คนไทยพบบ่อยและใกล้ตัวคนไทยมากที่สุด ดังนี้ 1. มิจฉาชีพบน Social Media     1. อย่าหลงเชื่อข้อความผ่านแชทเพื่อขอให้โอนเงินหรือขอข้อมูลใด ๆ หาก ผู้ส่งข้อความเป็นเพื่อน ควรติดต่อเพื่อนโดยตรงผ่านช่องทางอื่นเพื่อยืนยัน ตัวตนและจุดประสงค์ก่อน     2. ควรตรวจสอบสลิปโอนเงินจากผู้โอนให้มั่นใจก่อนยืนยันการโอนเงิน ทุกครั้ง 2. อีเมลหลอกลวง (Phishing) ตรวจสอบผู้ส่ง เนื้อหาและลิงก์ภายในอีเมลโดยละเอียดก่อนตอบกลับหรือให้ข้อมูลใด ๆ ทุกครั้ง โดยใช้หลัก S.U.R.G.E     1. S (Sender) – สังเกตชื่อผู้ส่ง หากเขียนผิดหรือไม่สอดคล้อง ให้สงสัยไว้ก่อน     2. U (Unusual Activity) – หากมีคนหรือหน่วยงานที่เราติดต่อด้วย ส่งข้อความมาในรูปแบบหรือมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ ต้องระวัง     3. R (Relationship) – อย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้าที่ส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือ     4. G (Grammar) – หากเนื้อความมีการพิมพ์ผิดหลายคำ หรือแปลไม่ตรงหลักภาษา ต้องระวัง     5. E (External Link) – ตรวจสอบลิงก์ที่แนบมากับอีเมลที่ได้รับ 3. การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล (Data Theft)     1. ไม่ให้ข้อมูลสำคัญกับเว็บไซต์หรือบริการใด ๆ หากไม่จำเป็น     2. หมั่นติดตามข่าวสารด้าน Cybersecurity อย่างสม่ำเสมอ หากพบว่ามีข่าวเว็บไซต์หรือบริการที่ท่านใช้งานอยู่ถูกขโมยข้อมูลไป ควรรีบเปลี่ยนรหัสผ่านหรือดำเนินการต่าง ๆ เพื่อป้องกันหรือลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น อายัดบัตรเครดิตทันที นอกจากวิธีการเหล่านี้แล้ว สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ คือ การใช้อุปกรณ์ที่มีการอัพเดตเวอร์ชั่นของอุปกรณ์อยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยจากภัยไซเบอร์อื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตด้วย และต้องไม่ทำพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อภัยไซเบอร์ และไม่เกิดความเสียหายอื่น ๆ ที่จะตามมาด้วย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1180540

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

ไขข้อสงสัย “เงินปันผลกับการเสียภาษี” จ่ายยังไง แล้วได้คืนไหม?

30/04/2024

ไขข้อสงสัย “เงินปันผลกับการเสียภาษี” จ่ายยังไง แล้วได้คืนไหม? เมื่อกิจการมีผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น หรือเรียกว่า "เงินปันผล" การจ่ายเงินปั่นผลให้กับผู้ถือหุ้นนั้นควรต้องทำจ่ายภายในระยะเวลา 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ประชุมหรือกรรมการลงมติ วิธีการจ่าย “เงินปันผล” ให้กับผู้ถือหุ้นมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง เมื่อกิจการมีผลประกอบการดีมีผลกำไรที่จะต้องจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น หรือที่เรียกว่า “เงินปันผล” นั่นเอง ซึ่งการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นนั้นควรต้องทำจ่ายภายในระยะเวลา  1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ประชุมใหญ่หรือกรรมการลงมติ ขั้นตอนการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นมีรายละเอียดดังนี้ จ่ายเงินปันผลยังไง จ่ายช่วงไหนได้บ้าง   การปันผลกำไรที่ได้ของบริษัทคืนแก่ผู้ถือหุ้นทุกคนตามสัดส่วนของเงินลงทุน เรียกว่า “เงินปันผล”  โดยสามารถนำจ่ายได้ 2 ลักษณะ คือ 1. เงินปันผลระหว่างกาล เมื่อคณะกรรมการสามารถลงมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งคราว และหากมีข้อบังคับของบริษัทกำหนดไว้ให้ทำได้ ทั้งนี้บริษัทต้องมีกำไรสมควรพอที่จะทำเช่นนั้นได้ และจำเป็นต้องรายงานให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นทราบในการประชุมครั้งต่อไปด้วย  2. เงินปันผลประจำปี เป็นเงินปันผลที่ประกาศโดยบริษัทช่วงหลังปิดงบประจำปี โดยต้องผ่านมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น จึงจะประกาศจ่ายเงินปันผลได้ เป็นการจ่ายเงินปันผลวาระปกติ   “เงินปันผล” ที่ได้ ต้องเสียภาษีอย่างไร ก่อนการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ทางกิจการจะนำกำไรที่ได้ในส่วนนี้ซึ่งเป็นเงินหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้วมาปันผล จากนั้นก่อนที่จะมีการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น กิจการจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ก่อนที่จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นอีกด้วย และส่งแบบยื่นเพื่อชำระภาษีภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป แบบยื่นภาษีที่ต้องนำส่งและอัตราที่ต้องจ่าย มีรายละเอียดดังนี้ - นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ภ.ง.ด.2) หักภาษี ณ ที่จ่าย 10%  - นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (ภ.ง.ด.2) ได้รับยกเว้น ไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย  - คนไทย (ภ.ง.ด.2) หักภาษี ณ ที่จ่าย 10%  - นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ รวมถึงชาวต่างชาติ (ภ.ง.ด.2/ภ.ง.ด.54) หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ผู้ถือหุ้นขอคืนภาษีได้หรือไม่  จากข้อมูลที่กล่าวแล้วในตอนต้นเกี่ยวกับอัตราการ หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ของเงินปันผลนั้น ซึ่งในส่วนของผู้ถือหุ้นที่ได้รับเงินปันผลนั้น ยังต้องพิจารณาทางเลือกในการเสียภาษีบุคคลธรรมดา โดยสามารถเลือกปฏิบัติได้ 2 แบบ คือ 1. หากเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% แล้ว ไม่จำเป็นต้องนำเงินปันผลมารวมคำนวณภาษีบุคคลธรรมดาของหุ้นส่วนตอนสิ้นปี โดยใช้สิทธิ Final tax 2. สามารถนำภาษีเงินปันผลที่ถูกหักไว้แล้วยื่นขอคืนภาษีได้ ต่อเมื่อนำเงินปันผลที่ได้รับมารวมคำนวณภาษีบุคคลธรรมดาตอนสิ้นปี    ข้อควรจำหากใช้เครดิตภาษีเงินปันผลแล้ว จะต้องนำเงินปันผลทุกรายการที่ได้รับมาคำนวณทุกรายการ ไม่สามารถเลือกเพียงบางรายการได้  ศึกษาเรื่อง “เงินปันผล” ให้ดี เพื่อประโยชน์ของตนเอง จากข้อมูลด้านบนเป็นหลักการจ่ายเงินปันผล ซึ่ง “เงินปันผล” ที่ได้ คือ รายได้จากผลกำไรของกิจการนั้นๆ  และเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นได้รับนั้นจะถูกหักภาษีไว้ตามกฎหมายข้อบังคับ ทั้งนี้ ยังสามารถนำภาษีที่ยื่นจ่ายทั้งหมดมาคำนวณเพื่อเรียกคืนภาษีได้อีกด้วย  ฉะนั้นผู้ถือหุ้นควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเงินปันผล เพราะทุกอย่างล้วนแต่เป็นผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นทั้งสิ้น แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ทูเดย์ออนไลน์ https://www.posttoday.com/columnist/689434

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

สัญญาเพิ่มเติมคืออะไร แล้วมีอะไรบ้าง

30/04/2024

จากบทความ “จะซื้อประกันชีวิตเจ้าไหนดี มีวิธีเลือกอย่างไร” ที่ได้กล่าวถึงแบบประกันชีวิตว่ามีทั้งหมด 5 แบบ คือ ประกันตลอดชีพ ประกันแบบชั่วระยะเวลา ประกันแบบสะสมทรัพย์ ประกันแบบบำนาญ และประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit Linked)ทั้ง 5 แบบนี้จะเรียกว่าสัญญาหลัก แต่นอกเหนือจากสัญญาหลักทั้ง 5 แบบนี้แล้วยังมีสัญญาเพิ่มเติมที่เราสามารถซื้อเพิ่มเติมได้ยกตัวอย่างเช่นประกันสุขภาพ ซึ่งต้องซื้อพ่วงกับสัญญาหลัก แล้วสัญญาเพิ่มเติมมีอะไรบ้าง มีข้อแตกต่างจากสัญญาหลักอย่างไร ติดตามได้จากบทความนี้สัญญาเพิ่มเติมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆดังนี้1. สัญญาเพิ่มเติมกลุ่มสุขภาพสัญญาเพิ่มเติมกลุ่มสุขภาพนี้หลายๆท่านน่าจะคุ้นเคยกันดีกับคำว่าประกันสุขภาพ นั่นคือความคุ้มครองด้านสุขภาพนั่นเอง ซึ่งแบ่งย่อยๆ ได้เป็น 3 ประเภทดังนี้  •  คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล จะเป็นความคุ้มครองด้านค่ารักษาพยาบาลไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยใน (IPD) หรือ ผู้ป่วยนอก (OPD) แล้วแต่ว่าเราจะเลือกทำแบบไหนหรือทั้งสองแบบ ซึ่งจะมีวงเงินสูงสุดสำหรับความคุ้มครองในแต่ละครั้งของการรักษา  •  คุ้มครองโรคร้ายแรง จะเป็นความคุ้มครองโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น กลุ่มมะเร็ง, กลุ่มโรคหัวใจ, กลุ่มโรคเกี่ยวกับระบบประสาท โดยแต่ละบริษัทประกันจะระบุว่าคุ้มครองโรคร้ายแรงอะไรบ้าง เมื่อผู้ทำประกันเป็นโรคร้ายแรงบริษัทประกันจะจ่ายค่ารักษาตามค่ารักษาจริงแต่ไม่เกินค่าสูงสุดที่ระบุไว้ หรือในบางแบบจะเป็นแบบ เจอ จ่าย จบ คือเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแรงตามที่ระบุจะจ่ายเป็นเงินก้อนมาเลย และสัญญาเพิ่มเติมเป็นอันสิ้นสุด  •  คุ้มครองค่าชดเชยรายวัน เป็นความคุ้มครองในกรณีที่นอนพักที่โรงพยาบาลหรือเป็นผู้ป่วยใน (IPD) นั่นเอง โดยจะจ่ายเงินชดเชยเป็นรายวันตามที่เราเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในตามจริงสูงสุดตามจำนวนเงินที่เราทำประกันไว้ในส่วนของค่าชดเชยรายวัน2. สัญญาเพิ่มเติมกลุ่มอุบัติเหตุเป็นสัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ โดยจะคุ้มครองใน 4 ลักษณะคือ  •  เสียชีวิต คุ้มครองในกรณีที่เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ เพิ่มเติมจากแบบสัญญาหลัก  •  สูญเสียอวัยวะ คุ้มครองในกรณีเสียอวัยวะเนื่องจากอุบัติเหตุ โดยสัญญาจะระบุมาเลยว่าเป็นอวัยวะใดบ้าง เช่น มือ, เท้า, ตา, นิ้ว  •  ทุพพลภาพ คุ้มครองในกรณีทุพพลภาพเนื่องจากอุบัติเหตุ จะแบ่งเป็น ทุพพลภาพชั่วคราวบางส่วน และทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร  •  ค่ารักษาพยาบาล คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากการอุบัติเหตุ โดยจะมีวงเงินสูงสุดสำหรับการรักษาในแต่ละครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ  •  อื่นๆ3. สัญญาเพิ่มเติมอื่นๆ นอกเหนือจากสุขภาพและอุบัติเหตุ ดังนี้  •  สัญญาเพิ่มเติมยกเว้นเบี้ยประกันเมื่อผู้เอาประกันหรือผู้ชำระเบี้ยเป็นผู้ทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวรเป็นสัญญาเพิ่มเติมที่จะยกเว้นเบี้ยประกันภัยสำหรับสัญญาหลักในกรณีผู้เอาประกันภัยตกเป็นบุคคลทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร โดยจะยกเว้นเบี้ยเฉพาะแบบสัญญาหลักเท่านั้น ไม่ได้ยกเว้นเบี้ยสัญญาเพิ่มเติมด้วย  •  สัญญาเพิ่มเติมประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาเป็นสัญญาเพิ่มเติมที่เหมือนกับประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ในกรณีที่เราต้องการเพิ่มวงเงินคุ้มครองประกันชีวิตในช่วงเวลาหนึ่ง เช่นผู้เอาประกันต้องไปทำงานต่างประเทศเป็นเวลา 1 ปี จึงอยากเพิ่มวงเงินคุ้มครองในช่วงเวลานี้เมื่อเราได้ทราบถึงสัญญาเพิ่มเติมว่ามีอะไรบ้างไปแล้ว ทีนี้เรามาดูว่าความแตกต่างระหว่างสัญญาหลักกับสัญญาเพิ่มเติมกันบ้างว่ามีอะไรบ้าง1. สัญญาหลักที่ไม่ใช่แบบชั่วระยะเวลาจะมีมูลค่ากรมธรรม์ แต่สัญญาเพิ่มเติมจะไม่มีมูลค่ากรมธรรม์หรือพูดง่ายๆคือ สัญญาเพิ่มเติมถ้าไม่มีการเคลมจะไม่มีเงินคืนนั่นเอง2. สัญญาหลักเบี้ยจะเท่ากันทุกปีจนครบสัญญา แต่สัญญาเพิ่มเติมจะมีการปรับเบี้ยตามอายุที่สูงขึ้น3. สัญญาหลักเป็นสัญญาระยะยาว แต่สัญญาเพิ่มเติมจะเป็นสัญญาแบบปีต่อปี ถ้าปีไหนไม่ต้องการทำสามารถยกเลิกได้จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าสัญญาเพิ่มเติมช่วยเพิ่มความคุ้มครองในส่วนที่เราต้องการเพิ่มจากสัญญาหลักในหลายๆรูปแบบ สิ่งที่อยากเน้นย้ำคือสัญญาเพิ่มเติมเป็นสัญญาแบบปีต่อปี ถ้าปีไหนไม่ต้องการทำก็สามารถยกเลิกได้ แต่ข้อควรระวังคือในกรณีถ้าเรายกเลิกไปแล้วเราอยากกลับมาทำใหม่บริษัทประกันอาจจะมีการพิจารณาการรับประกันใหม่เช่น สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพอาจจะต้องมีการตรวจร่างกายใหม่และถ้าเราเกิดสุขภาพไม่ดี มีโรค บริษัทประกันอาจไม่รับหรือยกเว้นโรคที่เราเป็นใหม่ได้ ดังนั้นก่อนที่เราจะทำสัญญาเพิ่มเติมหรือถ้าทำแล้วจะยกเลิกเราควรพิจารณาถึงความพร้อมในการจ่ายเบี้ยและความเสี่ยงของเราให้ดีก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ทุกกรมธรรม์ที่เราได้ทำ ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoon bloghttps://www.noon.in.th/blog/what-is-rider/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X