คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ข่าวการเงิน

เปิด 7 ทริค ออมเงินซื้อบ้าน ฉบับมนุษย์เงินเดือน

30/04/2024

“เก็บเงินซื้อบ้าน” น่าจะเป็นท็อปลิสต์แห่งปีของใครหลายคน ที่พร้อมตั้งเป้าหมายเพื่อเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ให้ชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มมีการพูดคุย แลกเปลี่ยน วางแผนการใช้ชีวิตกันมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มมองไปถึงอนาคตของการมีบ้านเป็นของตัวเอง แต่ด้วยยุคเศรษฐกิจในปัจจุบันที่เงินทองหายาก ข้าวของแพงขึ้น จึงทำให้หลายคนมองว่าการออมเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งบ้านในฝันและอนาคตที่มั่นคง จึงเป็นเรื่องยาก GEN HEALTHY LIFE ได้รวบรวม 7 ทริค “ออมเงินซื้อบ้าน” สานฝันให้เป็นจริง วิธีแรก เริ่มจากเคลียร์หนี้(สิ้น) หากอยากขออนุมัติสินเชื่อแบบไม่ยาก เครดิตทางการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นมองย้อนกลับมาดูที่หนี้สินของเราดูว่า ตอนนี้มีภาระอยู่เท่าไหร่ และวางแผนพยายามเคลียร์หนี้สินก้อนนั้นให้หมดสิ้นโดยเร็ว เมื่อไม่มีพันธะผูกมัดเกี่ยวกับหนี้แล้ว แน่นอนว่าเครดิตการขออนุมัติสินเชื่อกับธนาคารก็จะผ่านได้อย่างง่ายดาย ต่อมา ใช้ประโยชน์จากโครงการที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้ งบประมาณในการซื้อบ้านถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญลำดับต้น ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า การลงทุนกับบ้านหลังแรกนั้นค่อนข้างมีข้อได้เปรียบสูง อาทิ ได้รับอัตราดอกเบี้ยการผ่อนที่ต่ำ การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อง่าย และได้เปรียบในการต่อรองจากโครงการในการขอสิทธิพิเศษ เป็นต้น และ ตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง โปรดจำไว้ว่าบ้านหลังแรก ไม่ได้มีเพียงแค่ค่าผ่อนบ้าน ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งค่าส่วนกลาง ค่าตกแต่ง ค่าประกัน ค่าดูแลรักษา ดังนั้น การตั้งเป้าหมายให้เป็นจริงได้นั้นจำเป็นต้องวางแผนทางการเงินให้ครอบคลุม เพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถทำตามเป้าหมายนั้นได้จริง และจะทำให้เกิดแรงผลักดันในการไปถึงเป้าหมายได้สำเร็จ ดังนั้นเมื่อได้บ้านในฝันแล้ว ก็เข้าสู่การวางแผนทางการเงิน เริ่มจาก หักเงินออมอัตโนมัติ ด้วยการแบ่งเงินจากรายรับต่อเดือนออกเป็นกอง เช่น กองเงินออม กองค่าใช้จ่ายประจำวัน กองค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน เป็นต้น เพราะการเงินออมแต่ละกองนั้นจะช่วยให้สถานะทางการเงินสมดุลมากยิ่งขึ้น ข้อถัดมา คือ จัดทำงบประมาณและลดค่าใช้จ่าย ในทุกช่วงต้นเดือนการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย จะทำให้ทราบว่าค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ของเราแต่ละเดือนนั้นหมดไปกับค่าอะไรบ้าง ปัจจุบันนี้มีแอปพลิเคชันที่จะช่วยให้เราคำนวณรายจ่ายของแต่ละเดือนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการจัดทำงบประมาณแต่ละเดือนจะทำให้เห็นค่าใช้จ่ายที่แท้จริงและสามารถจัดการได้ถูกวิธี ต่อมาเพื่อให้ไปถึงฝันได้เร็วขึ้นจำเป็นต้อง หางานเสริม ในยุคที่ข้าวยากหมากแพง ส่งผลให้การประกอบอาชีพเดียวไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงมากขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นการหาอาชีพเสริมจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเพิ่มรายได้อย่างดีที่สุด สุดท้าย ขายสิ่งของที่มีอยู่ ขายของเพื่อเพิ่มรายได้ หากมีสิ่งของที่ไม่ต้องการใช้แล้ว เราไม่ควรทิ้งไว้อย่างเปล่าประโยชน์เพราะสามารถนำมาแปลงให้เป็นเงินสดได้ ไม่ว่าจะเป็น รถคันเก่า กระเป๋าใบเก่า หรือแม้แต่สิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถขายเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ การเก็บออมเงินเพื่อซื้อบ้านหลังแรกนั้น ควรค่อยเป็นค่อยไปอย่ารีบร้อนเหมือนการวิ่งแข่งขันระยะสั้น เพราะหากทำแบบนั้นจะทำให้เราเหนื่อยง่าย ท้อเร็ว ลองนำ 7 ทริคนี้ไปปรับใช้ดู นอกจากจะได้บ้านหลังใหม่แล้ว ยังมีวินัยทางการออมเพิ่มขึ้นด้วย สำหรับใครที่ต้องการศึกษาเคล็ดลับในการออมเงิน หรือ บทความที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย สามารถเข้าไปติดตามบทความดี ๆ ได้ที่ Gen Healthy Life แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/prachachat-wealth/news-1174892

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันสุขภาพ

5 เทคนิค เลือกประกันสุขภาพ ยังไงให้คุ้ม แบบฉบับพนักงานเงินเดือน

30/04/2024

โดยปกติแล้วพนักงานบริษัทจะได้รับสวัสดิการประกันกลุ่มที่คุ้มครองด้านสุขภาพและอุบัติเหตุอยู่แล้ว แต่บางครั้งอาจมีเหตุทำให้ค่ารักษาพยาบาลไม่เพียงพอและครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดจนทำให้เราต้องควักเงินส่วนตัวออกมาบ้าง จะดีกว่าไหมหากวันนี้เราตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพเพิ่มจากสวัสดิการ เพราะอย่างน้อยหากเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่ต้องใช้เงินรักษาเป็นจำนวนมากก็ยังมีประกันที่คอยช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย เนื่องจากประกันสุขภาพส่วนใหญ่ครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง ค่ายา ค่าแพทย์ และค่าอุปกรณ์อื่น ๆวันนี้เราเลยขออาสามารวบรวม 5 เทคนิคในการเลือกประกันภัยสุขภาพให้คุ้มค่าแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน รับรองได้เลยว่าไม่ว่าจะสถานการณ์ไหนคุณก็สามารถอุ่นใจได้อย่างเต็มที่เลย1. วงเงินความคุ้มครองเทคนิคแรกของการเลือกประกันสุขภาพก็คือ การเลือกวงเงินความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง โดยอาจเช็กก่อนว่าสวัสดิการด้านค่ารักษาพยาบาลที่ได้รับจากประกันกลุ่มของบริษัทเดิมครอบคลุมเท่าไหร่ แล้วค่อยพิจารณาเลือกแผนประกันสุขภาพเพื่อมาเติมเต็มส่วนที่ขาด เพื่อให้สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระดับที่เหมาะสมกับบริการทางการแพทย์ที่ต้องการยกตัวอย่างเช่น หากมีอาการเจ็บป่วยและต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด 100,000 บาท แต่ประกันกลุ่มมีวงเงินคุ้มครองเพียง 30,000 บาท หมายความว่าส่วนต่างที่เหลืออีก 70,000 บาท เราต้องเป็นคนออกเอง ซึ่งถือว่าเป็นเงินที่ค่อนข้างสูงและอาจกระทบต่อการใช้จ่ายในเดือนนั้นๆ ได้ แต่หากคุณมีประกันสุขภาพเพิ่มเติม สามารถนำมายื่นเพื่อหักจากส่วนต่างที่เหลือตามวงเงินความคุ้มครองได้เลย2. ประเมินความเสี่ยงสุขภาพส่วนตัวสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับถัดมาก็คือ การเช็กและประเมินร่างกายตนเองว่ามีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงหรือไม่ โดยอาจเริ่มจากการตรวจสอบโรคทางกรรมพันธุ์ของคนในครอบครัว อาทิ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน หรือโรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของตนเองที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรง เช่น การดื่มสุรา หรือ สูบบุหรี่ อย่างเป็นประจำซึ่งสำหรับพนักงานออฟฟิศอาจเสี่ยงเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม ความเครียด หรือโรคอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ดังนั้นหากทำประกันสุขภาพในช่วงอายุนี้ ราคาเบี้ยอาจจะไม่ได้สูงเท่าช่วงอายุที่มากขึ้น เนื่องจากประสุขภาพแต่ละฉบับให้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมไม่เหมือนกัน หากคุณรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคร้ายแรงในอนาคต ก็ซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมโรคนั้นตั้งแต่เนิ่น ๆ เอาไว้ด้วยเลย3. เบี้ยประกันสุขภาพที่เหมาะสมหลังจากที่เช็กแล้วว่าตนเองมีสวัสดิการอะไรบ้าง และมีความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงหรือไม่ สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับถัดมาเลยก็คือ การพิจารณาจากเบี้ยประกัน หรือเงินที่เราจ่ายให้บริษัทประกันเพื่อรับความคุ้มครอง โดยอาจคำนึงถึงงบประมาณของตนเองก่อนว่าสามารถชำระได้มากน้อยเพียงใด สะดวกชำระแบบรายเดือน หรือรายปี เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเงินของตนเองมากจนเกินไป ซึ่งค่าเบี้ยประกันภัยสุขภาพที่เหมาะสมควรจ่ายไม่เกิน 10-15% ของรายได้รวมทั้งปี4. การคุ้มครองแน่นอนว่าสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามและต้องให้ความสำคัญอย่างละเอียดเลยก็คือ ความคุ้มครองของแผนประกัน โดยประกันสุขภาพที่ดีควรคุ้มครองทั้งในผู้ป่วยภายใน (IPD) ที่รักษาในโรงพยาบาลไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และผู้ป่วยนอกที่ไม่ได้นอนพักฟื้นในโรงพยาบาล (OPD) เช่น การเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ไข้หวัด หรือโรคตามฤดูกาลที่สามารถรับยาและกลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ นอกจากนี้ควรเลือกความคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่ไม่จำกัดค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะครอบคลุมค่ารักษาทั้งอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ตลอดไปจนถึงโรคร้ายเเรงนั่นเอง5. โรงพยาบาลที่รักษาได้เทคนิคสุดท้ายที่ต้องศึกษาก่อนตัดสินใจเลือกแผนประกันภัยสุขภาพเลยก็คือ โรงพยาบาลที่สามารถรักษาได้ โดยเราแนะนำให้เลือกซื้อประกันที่มีโรงพยาบาลในเครือข่ายหลากหลายพื้นที่ เพื่อสามารถเข้ารักษาและใช้ในการเรียกร้องค่าสินไหมกับบริษัทประกันได้ทุกเมื่อในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินนอกจากนี้อาจพิจารณาเลือกแผนประกันที่ให้สิทธิกับผู้ถือกรมธรรม์เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ทันที โดยที่ไม่ต้องสำรองจ่าย เพราะบางครั้งค่ารักษาอาจมีจำนวนสูงและกระทบต่อการเงินของคุณได้ทั้งหมดนี้ก็เป็น 5 เทคนิคในการเลือกซื้อประกันสุขภาพอย่างไรให้คุ้มค่าที่พนักงานมนุษย์เงินเดือนสามารถนำไปพิจารณาเบื้องต้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อแผนประกันจากบริษัทต่างๆ เพื่อความเหมาะสมกับความต้องการของตนเองอย่างสูงสุด เพราะการทำประกันสุขภาพก็เปรียบเสมือนการมีหลักประกันความมั่นคงในอนาคตที่เราไม่ควรมองข้าม และควรทำไว้ตั้งแต่อายุยังน้อยนั่นเองขอบคุณข้อมูลจาก TQM ประกันสุขภาพแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9650000123324

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

ยื่นภาษี 2565 คิดค่าลดหย่อนกลุ่มประกัน กองทุน และการลงทุนอย่างไร

30/04/2024

ยื่นภาษี 2565 คิดค่าลดหย่อนกลุ่มประกัน กองทุน และการลงทุนอย่างไรเพื่อลดหย่อนภาษีตามสิทธิ การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2565 นั้น เป็นหน้าที่ของผู้มีรายได้ทุกคนที่ต้องยื่นแสดงรายได้ให้กับกรมสรรพากร สำหรับปีนี้ เราสามารถยื่นแบบเอกสาร ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาทุกแห่ง ภายในวันที่ 31 มี.ค. 66 หรือจะยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th ได้เช่นกัน ซึ่งหากยื่นแบบออนไลน์จะสามารถยื่นได้จนถึงวันที่ 8 เม.ย. 66 โดยบุคคลที่ต้องเสียภาษีมีดังนี้ - กรณีที่โสด มีรายได้ และได้เงินเกิน 120,000 บาทต่อปี หรือ เฉลี่ยรายเดือนละ 10,000 บาท ต้องมีหน้าที่ยื่นเสียภาษี - กรณีที่สมรส มีรายได้ และได้เงินเกิน 220,000 บาทต่อปี หรือ เฉลี่ยรายเดือนละ 18,333 บาท ต้องมีหน้าที่ยื่นเสียภาษี สำหรับการลดหย่อนภาษีนั้น มีทั้ง ค่าลดหย่อนกลุ่มค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าลดหย่อนภาษีตามมาตรการรัฐ รวมค่าลดหย่อนในกลุ่มเงินบริจาค แต่ที่เราจะโฟกัสได้แก่กลุ่ม ค่าลดหย่อนกลุ่มประกัน และการลงทุน โดย fintips by ttb ได้แนะนำและขยายความไว้ดังนี้ 1. ประกันสังคมสูงสุด 9,000 บาท แต่เนื่องจากในปี 2565 รัฐบาลมีการลดอัตราเงินสมทบประกันสังคม มาตรา 33 ลง 2 ครั้ง ในรอบเดือน พ.ค. - ก.ค. และ ต.ค. - ธ.ค. ทำให้ค่าลดหย่อนประกันสังคมเหลือเพียง 6,300 บาท 2. ค่าเบี้ยประกันสุขภาพพ่อแม่ตัวเอง และของคู่สมรส ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท 3. ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (กรมธรรม์อายุ 10 ปีขึ้นไป) ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท 4. ค่าเบี้ยประกันสุขภาพตัวเอง ลดหย่อนตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับประกันชีวิตแล้ว (ข้อ 3 + ข้อ 4) ต้องไม่เกิน 100,000 บาท 5. เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และอาจจะลดหย่อนได้สูงสุด 300,000 บาท ถ้ายังไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป โดยมีเงื่อนไขดังนี้   •  ระยะเวลาเอาประกัน 10 ปีขึ้นไป   •  จ่ายผลตอบแทนให้ผู้เอาประกันตั้งแต่อายุ 55 ปี ต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 85 ปี หรือมากกว่านั้น 6. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ / กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) / กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน ลดหย่อนได้ 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท 7. RMF คือ กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้   •  ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก นับเฉพาะปีที่มีการซื้อหน่วยลงทุน คือ ปีใดไม่ลงทุนจะไม่นับว่ามีการลงทุนในปีนั้น   •  ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี หรืออย่างน้อยปีเว้นปี   •  ขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ 8. SSF คือ กองทุนรวมเพื่อการออม ลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีเงื่อนไขดังนี้   •  ต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ   •  ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ และไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี 9. กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ลดหย่อนได้ตามจริง สูงสุด 13,200 บาท ทั้งนี้ กองทุน RMF, กองทุน SSF, กบข., กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมด ต้องไม่เกิน 500,000 บาท อย่างไรก็ตาม การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากมีกาวางแผนภาษีตั้งแต่ต้นปี และหาตัวช่วยเพื่อลดหย่อนภาษีตามสิทธิ เช่น รายการด้านบน จะทำให้สามารถเสียภาษีน้อยลง หรือไม่เสียภาษีเลยได้. แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/business/economics/2601206

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ก่อน "ออมทอง" ต้องรู้ แฉ 5 พฤติกรรมที่แก๊งมิจฉาชีพชอบหลอกเหยื่อลงทุน

30/04/2024

  •  ออมทองอย่างไรไม่ให้โดนโกง แฉ 5 พฤติกรรมที่แก๊งมิจฉาชีพชอบหลอกเหยื่อลงทุน   •  พบส่วนใหญ่จะอ้างว่า ราคาทองต่ำกว่าราคาตลาด แต่ให้ผลตอบแทนสูงเกินความเป็นจริง   •  เน้นเปิดรับตัวแทน มีแม่ข่าย สร้างเครือข่ายคล้ายแชร์ลูกโซ่ ต้องยอมรับว่า กระแสการลงทุนในทองคำ ไม่ว่าจะเป็นการออมทอง การผ่อนทอง การซื้อทองสะสม รวมไปถึงการเทรดทองออนไลน์ทั้ง Gold Spot และ Gold Future แต่ก็มีนักลงทุนเป็นจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพที่หลอกลวงให้ร่วมลงทุนก่อนจะหอบเงินหนีหายไปในกลีบเมฆ  โดย บุษบา กุลศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC บอกกับเราว่า การลงทุนทองคำทั้งรูปแบบ "ทองคำแท่ง" และ "ทองรูปพรรณ" ยังคงเป็นการเลือกลงทุนที่ได้รับความนิยมในการออมเพื่อทรัพย์สินหมุนเวียนและใช้เป็นเครื่องประดับมาอย่างต่อเนื่องสำหรับคนไทย ขณะเดียวกันพบผู้บริโภคหลายกลุ่มมองทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย มีมูลค่าไม่ลดน้อยลงมากนัก หรือมีความผันผวนต่ำ แม้ในยามวิกฤติยุคเศรษฐกิจผันผวน ทำให้การลงทุนทองเป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากผู้บริโภค โดยเป็นการลงทุนทองเพื่อเก็บออมสินทรัพย์เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ หรือแม้แต่การเตรียมของขวัญล่วงหน้าสำหรับเทศกาลตรุษจีนในช่วงต้นปี 2566 ทองคำจึงนับเป็นของขวัญที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ในการเลือกซื้อ หรือลงทุนสะสมทองเพื่อเป็นของขวัญให้กับตัวเองและสมาชิกในครอบครัว แต่ด้วยรูปแบบการผ่อนทองปัจจุบันที่หลากหลาย เพื่อให้ตอบโจทย์และเข้าถึงผู้บริโภคหลายกลุ่ม จึงกลายเป็นช่องโหว่ให้มิจฉาชีพใช้กลโกงล่อลวงประชาชนร่วมผ่อนทองหรือออม จนสูญเงินกันไปจำนวนมาก ทั้งรูปแบบแชร์ลูกโซ่ หรือจูงใจด้วยโปรโมชั่นราคาถูก และให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง ทั้งบนแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมทั้งในโซเชียลมีเดีย พฤติกรรมที่เข้าข่ายและเป็นกลโกงของแก๊งมิจฉาชีพที่พบหลายรูปแบบในปัจจุบัน 1. ปิดบังไม่ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับหน่วยงาน คุณสมบัติเปิดกว้างให้ทุกเพศ ทุกวัย เข้าร่วมลงทุนได้โดยไม่จำกัดวงเงิน 2. ราคาทองต่ำกว่าราคาตลาด แต่ให้ผลตอบแทนสูงเกิดความเป็นจริง เพื่อล่อลวงให้คนมาลงทุนจำนวนมาก 3. ลักษณะการออม เป็นการเปิดรับตัวแทน มีแม่ข่าย เน้นสร้างเครือข่าย รับผลตอบแทนเพิ่มเมื่อสามารถเพิ่มเครือข่ายได้จำนวนมาก กระบวนการคล้ายแชร์ลูกโซ่ 4. ช่วงแรกจ่ายปันผล ได้ทองจริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และจูงใจให้ใส่เงินลงทุนหาเครือข่ายเพิ่มมากขึ้น 5. เมื่อจำนวนสมาชิกเพิ่ม เงินลงทุนมากขึ้นก็จะเริ่มติดต่อยาก และหนีหายติดต่อไม่ได้ หากพบพฤติกรรมต้องสงสัยตั้งแต่ข้อแรกให้ระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อเข้าร่วมลงทุน เพราะไม่มีการลงทุนใดที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงเกินความเป็นจริง แนะ 3 วิธีรู้เท่าทันมิจฉาชีพก่อนเลือกลงทุนผ่อนทอง บุษบา กล่าวอีกว่า SGC ในฐานะผู้ให้บริการธุรกิจสินเชื่อชั้นนำ และให้บริการสินเชื่อ CLICK2GOLD บริการสินเชื่อผ่อนทองรูปพรรณ พร้อมการันตีได้ทอง 100% เมื่อผ่อนครบสัญญา ในราคาที่ยุติธรรมตรงตามจริง ณ วันเริ่มสัญญา โดยเราได้จับมือกับผู้นำธุรกิจค้าทองคำและเครื่องประดับเพชรชั้นนำ ให้บริการผ่อนทองบนแพลตฟอร์มไลน์ LINE Official ในรูปแบบของการผ่อนเพื่อเก็บออม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ไม่ได้มีรายได้ประจำ อาชีพพ่อค้า แม่ค้า รับจ้าง คนรุ่นใหม่ที่ประกอบอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ ให้สามารถเป็นเจ้าของทอง เพื่อสะสมทรัพย์ที่ปลอดภัย ซึ่งเรามี วิธีที่ผู้บริโภครู้เท่าทันมิจฉาชีพและเลือกลงทุนผ่อนทองที่คุ้มค่า ความปลอดภัย ไม่เสี่ยงสูญเงิน มีดังนี้ 1. เลือกผ่อนทองกับผู้ให้บริการที่มีชื่อเสียง เชื่อถือได้ มีประวัติให้บริการมานาน 2. เลือกลงทุนกับแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดีย เฉพาะกับผู้ประกอบการที่มีความน่าเชื่อถือ มีตัวตนและที่อยู่ชัดเจน เปิดดำเนินธุรกิจมานาน และมีสภาพคล่องทางการเงินที่มั่นคง หรือเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 3. เลือกลงทุนกับผู้นำเข้าทองคำที่มีความน่าเชื่อถือ ให้บริการมานาน และควรรีเช็กทุกครั้งว่าเว็บไซต์ หรือโซเชียลมีเดียดังกล่าวที่เปิดให้บริการลงทุนทองคำเป็นของผู้ประกอบการรายนั้นจริง ไม่ใช่เป็นเพียงเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพปลอมแปลงขึ้นเพื่อหลอกลวง สุดท้ายนี้ ก่อนจะลงทุนอะไรควรศึกษารายละเอียดให้ดี โดยเฉพาะพวกที่ชอบโปรโมตโฆษณาเกินจริงว่า ลงทุนน้อยๆ ได้เงินเยอะๆ หากสงสัยว่าเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ก็ลองสอบถามไปที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ผู้เขียน : กมลทิพย์ หิรัญประเสริฐสุข kamonthip.h@thairathonline.co.th แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/business/feature/2595006

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

ยื่นภาษีออนไลน์ ต้องทำอะไรบ้าง ? ดูเลย

30/04/2024

ถึงรอบการยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.91) กันอีกแล้ว ซึ่งเป็นรอบรายได้ที่เกิดขึ้นในปี 2565 ที่จะต้องยื่นแบบฯ ในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 2566 นี้ หรือหากยื่นออนไลน์จะขยายให้ถึงวันที่ 10 เม.ย. 2566 ยื่นภาษีออนไลน์ ทำอย่างไร ? โดยการยื่นแบบฯ ภาษีทางออนไลน์ สะดวกสบาย และไม่ยากอย่างที่หลายคนกังวล เพียงแค่เข้าไปหน้าเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th แล้วเลือกที่ “ยื่นแบบออนไลน์” จากนั้นกดเข้าไป “สมัครสมาชิก e-Filing” ซึ่งจะมีให้กรอกเลขประจำตัวประชาชน หรือเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร 13 หลัก และจะต้องคลิปเลือก “ฉันไม่ใช่โปรแกรมอัตโนมัติ” จากนั้นเลือก “ความประสงค์” ว่าลงทะเบียนเพื่ออะไร ซึ่งจะมีให้เลือกระหว่าง “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” และ “ภาษีอื่น ๆ จากการประกอบกิจการ” โดยกดเลือก “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ซึ่งระบบจะขึ้นมาให้กรอกข้อมูลผู้เสียภาษี ก็กรอกไปให้ครบถ้วน แล้วก็คลิกที่ “ตรวจสอบ” พร้อมกรอก “ที่อยู่” ที่ติดต่อได้ในปัจจุบัน แล้วเลือกวิธีการยื่นยันตัวตน ว่าจะยืนยันด้วย “เบอร์โทรศัพท์” หรือ “อีเมล” ซึ่งระบบจะส่งรหัส OTP มาให้ เพื่อรับหมายเลขมากรอกยืนยันตัวตน เมื่อกรอก OTP แล้ว คลิกต่อไป ระบบจะให้ “ตั้งรหัสผ่าน” ซึ่งต้องมีความยาว 8-16 ตัวอักษร ประกอบด้วย อักษรภาษาอังกฤษ ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก และตัวเลข 0-9 อย่างน้อยหนึ่งตัวอักษร สุดท้าย ระบบจะให้เลือก “คำถาม” และ “คำตอบ” ที่มีแต่เราที่รู้ เสร็จแล้วกด “ถัดไป” จะมีการให้ตรวจสอบความถูกต้องอีกรอบ หากมีข้อผิดพลาดก็คลิกย้อนกลับไปแก้ไขให้ถูกต้อง แต่หากถูกต้องแล้ว ก็คลิก “ยอมรับ” และ คลิก “ยืนยันการลงทะเบียน” อีกครั้ง เป็นอันจบกระบวนการสมัครสมาชิก e-Filing จากนั้น ก็เข้าไปยื่นแบบฯ แสดงรายได้-รายจ่าย รวมถึงรายการลดหย่อนต่าง ๆ ได้เลย แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ https://www.prachachat.net/finance/news-1166713

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เปิดไทม์ไลน์เศรษฐกิจโลก กางแผนการลงทุนปีเถาะ

30/04/2024

ถึงเวลาต้องอำลาปีเก่า 2565 มุ่งหน้าสู่วันใหม่ ปีใหม่กันแล้ว วันแห่งความหวังที่รอเราอยู่ ความสำเร็จต่างๆ ที่จะมาจากมันสมองและสองมือริเริ่มและลงมือทำครับ วันนี้ผมจะมาคุยเรื่องไทม์ไลน์ ปี 2566 ที่เราได้สแกนหาความเสี่ยงที่จะรอเราอยู่ข้างหน้าบ้างครับ แน่นอนว่า ปี 2566 เรายังหนีไม่พ้นวังวนของความเสี่ยงที่จะต้องผจญภัยกันต่อเนื่องจากปี 2565 ปีที่แล้วต้องยกให้เป็นปีแห่งการช็อกโลก นั่นเพราะ จู่ๆ ต้นปีโลกก็มีสงครามรัสเซีย-ยูเครน มาเหนือคาด ราคาน้ำมันพุ่งติดจรวด ตามด้วยเงินเฟ้อขึ้นกระฉูดเร็วเกินคาด และต่อด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยถี่ และแรงฟ้าผ่าตลอดทั้งปี นำโดยสหรัฐฯ เป็นภาพฝันร้ายว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศหลักๆ ของโลก นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตต่างๆ ตามมาอีก โดยเฉพาะวิกฤต Zero Covid ในจีน วิกฤตอาหาร ความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน-ไต้หวันที่ร้อนระอุ สถานการณ์ต่างๆ ล้วนเป็นตัวแปรที่กดดันตลาดการลงทุน ราคาสินทรัพย์ทั่วโลกร่วงระเนระนาด นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ดัชนี S&P500 ปรับลดลงมาแล้ว -14.39% ดัชนี NASDAQ -26.70% ขณะที่ดัชนี CSI300 ของจีนปรับลดลง -22.01% ดัชนีเวียดนาม -30.03% Photo : Shutterstock ส่วนดัชนี MSCI World -15.81%ตามด้วยดัชนี TOPIX สะท้อนตลาดหุ้นญี่ปุ่น -0.34% ตลาดหุ้นที่บวกได้ยกให้กับ ดัชนี SET 50 ของไทยที่บวก 0.31% ปี 2565 ถือเป็นปีที่นักลงทุนล้วนบาดเจ็บกันถ้วนหน้า มากน้อย ก็ขึ้นกับต้นทุนการลงทุนและฝีมือการรับมือโลกที่มีความผันผวนสูง ที่เรียกกันว่า VUCA (Volatility Uncertainty Complexity and Ambiguity) ปี 2566 เราก็ยังเผชิญหน้ากับตัวแปรต่างๆ เหล่านี้ต่อไปอีกปีครับ ที่เพิ่มเติมคือ ความผันผวนที่เข้มข้นขึ้นไปอีก จากผลข้างเคียงของฤทธิ์ยา ‘ดอกเบี้ยขาขึ้นปราบเงินเฟ้อ’ นั่นคือ อาการเศรษฐกิจถดถอยในฝั่งตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป หากถามว่าจะเกิดขึ้นนานไหม ผมมีคำตอบครับ สหรัฐฯ เจอเศรษฐกิจถดถอย ดอกเบี้ยทรง ต้องตราสารหนี้ หุ้น ‘เมกะเทรนด์’ ฝ่ามรสุมผันผวน ผมขอขยายภาพของสหรัฐฯ เศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งของโลก ล่าสุด อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 3 ปี 2565 อยู่ที่ 3.2% ดีกว่าที่มีการประมาณการณ์ในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่ขยายตัว 2.6% และ 2.9% ตามลำดับ ที่สำคัญ GDP โตดีขึ้นจากที่หดตัว 0.6%ในไตรมาส 2 และหดตัว 1.4% ในไตรมาสแรกด้วยครับ ประเด็นต่อมา เงินเฟ้อสหรัฐฯ ได้ผ่านจุด Peak แล้ว โดยในเบื้องต้น Consensus คาดว่า PCE Price Index เดือนพฤศจิกายน 2565 ลดลงแตะระดับ 5.5% จาก 6% เดือนตุลาคมก่อนหน้า เช่นเดียวกับ Core PCE คาดว่าจะลดลงมาที่ 4.6% จาก 5% ด้วย นอกจาก GDP แข็งแกร่งแล้ว ยังพบว่า ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกน้อยกว่าคาดอีก นี่คือภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2565 หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถี่และแรงติดต่อกัน 7 ครั้งในปีนี้ ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.25-4.5% สูงสุดรอบ 15 ปี จากต้นปีที่ดอกเบี้ยอยู่ระดับ 0.00-0.25% ไทม์ไลน์ที่สำคัญในปี 2566 ของสหรัฐฯ อยู่ที่ ‘เศรษฐกิจจะถดถอยแค่ไหน’ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับไทม์ไลน์ของ ‘ดอกเบี้ยขาขึ้น แล้วจะเข้าสู่ขาลงเมื่อไหร่’ ครับ ภาพจาก Shutterstock ก่อนหน้านี้ ตลาดประเมินว่า ในช่วงต้นปี Fed จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย และคาดจะขึ้นดอกเบี้ยอีกแค่ 2 ครั้ง ดอกเบี้ยน่าจะสิ้นสุดที่ระดับ 5.00-5.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในช่วงกลางปี และอาจจะกระทบกับเศรษฐกิจถดถอยอย่างที่กลัวกันได้ ด้านเงินเฟ้อที่ผ่อนคลาย ก็หวังจะเห็นเฟดส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยลงได้ในปลายปี 2566 ‘ราคาน้ำมันดิบโลก’ ได้ปรับตัวลงมาระดับช่วงก่อนสงครามรัสเซีย-ยูเครนแล้ว รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัวที่ปรับตัวลดลง เช่น ทองแดง นิกเกิล รวมถึงค่าระวางเรือ จะเป็นตัวแปรให้อัตราเงินเฟ้อผ่อนคลายได้ในปี 2566 หลังจากเดือนมิถุนายน ปี 2565 เงินเฟ้อพุ่ง 9.1% สูงสุดรอบ 41 ปี ขณะที่ตัวเลขภาคแรงงานที่แข็งแกร่งตลอดทั้งปี 2565 และการท่องเที่ยวโลกฟื้นตัว แต่ทุกอย่างมีความไม่แน่นอน เรื่องอาจไปไม่ได้สวยที่คาดกันไว้ก็ได้ครับ เพราะล่าสุด ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งในปี 2565 อาจจะทำให้เฟดต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายนานกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ นั่นหมายถึงแรงกดดันภาคธุรกิจ และแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยอาจไม่ใช่แค่ช่วงสั้นๆ ตื้นๆ ก็เป็นได้ครับ แต่ในวิกฤตก็มีโอกาสลงทุนในสหรัฐฯ ปี 2566 ผมแนะนำตราสารหนี้ รับโอกาสภาวะดอกเบี้ยทรงตัว ปัจจุบันผลตอบแทนดอกเบี้ยกองทุน ETF ตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้คุณภาพดี สูงถึง 5-6% ส่วนตลาดหุ้นของสหรัฐฯ อาจจะดูไม่ได้หวือหวามากนัก แต่ยังมีหุ้นบางกลุ่มที่สามารถต่อสู้กับเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอยได้ อย่างหุ้นกลุ่มสุขภาพ (Healthcare) ที่ให้ผลตอบแทนโดดเด่น หรือหุ้นเมกะเทรนด์อย่างกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับลดลงมามากในปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2656 ดัชนี Nasdaq ปรับลดลงมาแล้ว -26.70% จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะเข้าลงทุนเพื่อรับเมกะเทรนด์ในอนาคต ท่ามกลางภาวะตลาดผันผวน จีนเปิดประเทศ เศรษฐกิจพุ่ง ข่าวดีหุ้นเทคในสหรัฐฯ หุ้นจีนรอดีดล่วงหน้า มาดูฝั่งเอเชียที่มีพี่เบิ้ม ‘จีน’ เศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก เป็นความหวังสดใสของโลกในปีกระต่าย เพราะไทม์ไลน์สำคัญที่มาแน่ๆ คือ การผ่อนคลายมาตราการ ZERO COVID ด้วยการเปิดประเทศของจีน ที่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคม 2566 ดังนั้น ภาพผลพวงต่างๆ ที่จะเกิดต่อเนื่อง คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจจีนในประเทศพุ่งขึ้นมากแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคการบริโภค การลงทุนทั้งธุรกิจและประชาชนจับจ่ายใช้สอย และเดินทางท่องเที่ยวกันอย่างเต็มที่ ล้วนเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ส่วนการแก้ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ฟองสบู่แตกในจีน ขณะนี้ภาครัฐได้ออกมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ การให้สินเชื่อพิเศษและการปรับลดดอกเบี้ย นอกจากนี้รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการอัดฉีดเศรษฐกิจหลายล้านล้านหยวนในปี 2565 ซึ่งเป็นแรงส่งคอยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเกิดการขยายตัวได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลจีน ไทม์ไลน์การเปิดประเทศของจีน ถือเป็นแรงหนุนสำคัญให้เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวได้ในภาพรวม ระบบห่วงโซ่อุปทานโลกจะฟื้นตัวดีขึ้น ภาวะเงินเฟ้อโลกจะผ่อนคลายมากขึ้น ภาคท่องเที่ยวทั่วโลกฟื้นตัวโดยเฉพาะเอเชีย จะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศจีน เพราะนักท่องเที่ยวจากจีนพร้อมเดินทางทั่วโลก Photo : Shutterstock เขตปกครองพิเศษฮ่องกงกลายเป็นพื้นที่ล่าสุดของโลกที่ได้ยกเลิกมาตรการควบคุม Covid-19 โดยผู้ที่เดินทางเข้าฮ่องกงไม่จำเป็นต้องกักตัวอีกต่อไปเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี หลังจากการใช้มาตรการ Zero Covid อย่างเข้มงวดสอดคล้องกับจีนแผ่นดินใหญ่ การเปิดเมืองครั้งนี้สร้างความหวังให้กับประชาชนอย่างมาก นักธุรกิจและนักท่องเที่ยวในฮ่องกงสามารถเข้าเดินทางเข้าออกฮ่องกงได้อย่างอิสระ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์จะมีมุมมองว่าอาจใช้เวลาเป็นปีในการฟื้นตัวกลับไปจุดเดิมก่อน Covid แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี การเปิดเมืองฮ่องกงที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของจีนในการค้าขายกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก เป็นเหมือนการ ‘ชิมลาง’ ก่อนที่จีนจะเดินหน้าเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ การเปิดประเทศจะทำให้ตลาดหุ้นจีนที่ปรับลดลงไปกว่า -22.01% ในปี 2565 ก็จะกลับมาผงาดได้อีกครั้งในปี 2566 และยังจะส่งอานิสงส์ไปถึงตลาดหุ้นทั่วโลกให้ฟื้นกลับมาได้ด้วย ดังนั้นนักลงทุนควรเริ่มสะสมหุ้นจีนตั้งแต่วันนี้ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสการลงทุนครั้งใหญ่ได้ Photo : Shutterstock ข่าวดียิ่งไปกว่านั้น คือ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 คณะกรรมการกำกับดูแลบัญชีบริษัทมหาชนของสหรัฐฯ (PCAOB) ออกมาชี้แจงว่า หน่วยงานสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แล้ว ถือเป็นข่าวที่ลดความกดดันที่หุ้นจีนจะถูกถอดถอนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ความเสี่ยงในการถูกถอดถอนยังไม่ได้หายไปโดยสิ้นเชิง เพราะ PCAOB ยังต้องตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีต่อไปอีก 3 ปี แต่สถานการณ์ต่างๆ ดูดีขึ้นมาก การที่จีนพยายามให้ความร่วมมือกับทางการสหรัฐฯ มากขึ้น การอนุญาตให้สหรัฐฯ เข้าถึงข้อมูลสำคัญทางบัญชีได้ถือเป็นก้าวสำคัญในการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ช่วยลดแรงกดดันความเสี่ยงที่บริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่งจะถูกถอดถอนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากที่กดราคาหุ้นเหล่านี้ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น หากความเสี่ยงด้านนี้คลี่คลายลง การลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนก็ดูน่าสนใจมากขึ้น ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ท่องเที่ยวฟื้นแรงเกินต้าน ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัว เศรษฐกิจญี่ปุ่น ขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก หลังจากที่เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 ประเดิมด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่ง 50,000 ราย เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากเดือนกันยายน นอกจากนี้ Trip.com เผยสถิติการค้นหาเกี่ยวกับตั๋วเครื่องบิน โรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น จากประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่า 100% ทีเดียว ขณะที่สกุลเงินเยนที่อ่อนค่าในรอบ 32 ปี ยิ่งส่งผลดีต่อบริษัทญี่ปุ่นหลายแห่งที่มีแหล่งรายได้จากต่างประเทศ ภาพจาก Shutterstock ไทม์ไลน์ในปี 2566 อาจจะต้องติดตามการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มข้นของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม BOJ ได้ประกาศขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลญี่ปุ่น ให้เคลื่อนไหวในช่วง -0.5% ถึง +0.5% จากเดิมอยู่ในกรอบ -0.25% ถึง+0.25% ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด โดยยังคงรักษาจุดยืนในการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ (Ultralow Rate Policy) มาเป็นเวลานาน การปรับนโยบายการเงินครั้งนี้ ทำให้นักลงทุนมองว่า BOJ กำลังหันไปใช้นโยบายการเงินคุมเข้มตามทิศทางธนาคารกลางทั่วโลกที่พากันปรับขึ้นดอกเบี้ยไปก่อนหน้าหลายครั้งในปี 2565 ขณะที่บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นก็เด้งขึ้นเกือบ 70% สะท้อนการรับรู้จุดเปลี่ยนนี้ อย่างไรก็ตาม โอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังมีครับ เพราะกำลังเริ่มฟื้นตัวหลังเปิดประเทศเมื่อปี 2565 ภาคท่องเที่ยวจะเป็นตัวผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจญี่ปุ่น อีกทั้งการที่เงินเฟ้อแม้จะอยู่ในระดับสูง แต่ก็ยังต่ำกว่าสหรัฐฯ และนโยบายการเงินยังมีช่องว่างให้ดำเนินการได้อยู่ เนื่องจากเป็นประเทศเดียวในโลกที่ยังใช้ดอกเบี้ยติดลบ -0.1% ที่สำคัญภาคธุรกิจได้ประโยชน์จากค่าเงินเยนอ่อนค่า จะหนุนผลประกอบการด้วย จุดเด่นไทยไปต่อ ท่องเที่ยว-ต่างชาติย้ายฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ส่องลงทุนหุ้นไทย ผมขอขายของดี ‘ประเทศไทย’ ปี 2566 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจได้รับอานิสงส์จากภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวแรงเต็มๆ ปี ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อน GDP เติบโตโดดเด่นในภูมิภาคนี้ หลังจากที่เราเปิดประเทศตั้งแต่กลางปีหลังเป็นต้นมา ทำให้ภาคท่องเที่ยว โรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ได้กลับมาคืนชีพอีกครั้ง จนทำให้ GDP ไตรมาส 3 ปี 2565 ขยายตัวถึง 4.5% ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวสะสม 11 เดือนแรก ทะลุกว่า 10 ล้านคนแล้ว เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 60-70 เท่าจากช่วงเดียวกันปี 2564 ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อก็เริ่มลดลง หลังทำสถิติสูงสุดที่ 7.86% เมื่อเดือนกรกฎาคม และไหลลงต่อเนื่องล่าสุด 5.55% ในเดือนพฤศจิกายนแล้ว ลดแรงกดดันการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ไทม์ไลน์ใหญ่ของไทยคือ เรื่องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในกลางปี 2566 เพราะการเลือกแต่ละครั้ง ย่อมมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมาก เมื่อเงินสะพัด ก็เป็นแรงหนุนกำลังซื้อในประเทศให้ฟื้นตัวทั่วถึงรากหญ้ากลับขึ้นมาได้ดีกว่าปีก่อนแน่นอนครับ ที่สำคัญ วันนี้ บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าได้เข้ามาลงทุนสร้างฐานการผลิตในประเทศไทยมากขึ้น อาทิ BYD และบริษัทร่วมทุนระหว่าง ปตท. และ Foxcome สะท้อนการยกระดับของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต จึงไม่ต้องแปลกใจที่ปี 2565 ตลาดหุ้นไทยบวกสวนตลาดโลก ในปี 2566 ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับมาคึกคักอีกครั้ง หุ้นที่มองว่าได้รับประโยชน์เด่นๆ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว นิคมอุตสาหกรรม และโลจิสติกส์ ผมให้น้ำหนักในตลาดหุ้นไทยและญี่ปุ่นถือเป็นแหล่งลงทุนที่มีเสถียรภาพ เหมาะที่จะนำมาสร้างสมดุลให้กับพอร์ตลงทุนได้ ‘เวียดนาม’ พื้นฐานเศรษฐกิจแกร่ง แหล่งโรงงานผลิตของโลก เฟ้นหาหุ้นดีราคาถูก สุดท้ายดาวเด่นของโลก ‘เวียดนาม’ ยังโชว์ศักยภาพทางเศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่ง ช่วง 3 ไตรมาสปี 2565 GDP ขยายตัว 8.83% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สถาบันการเงินระดับโลกหลายแห่ง คาดการณ์เศรษฐกิจเวียดนาม ปี 2565 เติบโตสูงเกิน 7% จากภาคการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวสูงถึง 11% ทีเดียว และยังเป็นแลนด์มาร์กของนักลงทุนทั่วโลกที่หลั่งไหลเข้าลงทุนโดยตรง (FDI) จากช่วงแรกนำโดยสัญชาติเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น ตอนนี้สัญชาติฝรั่งตะวันตกก็มา ทั้งสหรัฐฯ และล่าสุดเยอรมัน รายชื่อบริษัทระดับโลกที่เข้าลงทุน ได้แก่ Lego, Samsung, Foxxconn, Xiaomi, Apple เวียดนามเป็นประเทศที่ได้อานิสงส์จากปัญหาความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะมวยคู่ยักษ์ของโลก ‘สหรัฐฯ-จีน’ ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่นักธุรกิจจีน ต้องย้ายฐานการผลิตออกจากจีน และเลือก ‘เวียดนาม’ เป็นแหล่งผลิตแทน และเริ่มทำการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มเสียด้วย ยิ่งทำให้พื้นฐานเศรษฐกิจเวียดนามแข็งแกร่งและมีศักยภาพการเติบโตสูง ปี 2566 ผมมองว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามน่าจะพลิกฟื้นดีขึ้น หลังจากที่ปี 2565 เกิดปัญหาต่างๆ นำโดย การจับปั่นหุ้น ตรวจสอบพบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนทุจริต เป็นต้น ตามด้วยธนาคารกลางเวียดนาม ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้เงินไหลออกจากตลาดหุ้นอย่างรวดเร็ว ดัชนี VNI ร่วงกว่า 30% Photo : Shutterstock ขณะนี้แรงกดดันตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มผ่อนคลาย รัฐบาลได้เข้ามาออกมาตรการช่วยเหลือพร้อมเริ่มยกระดับมาตรฐานความโปร่งใสในตลาดหุ้นเวียดนามบ้างแล้ว และปี 2566 เศรษฐกิจยังมีโอกาสได้ไปต่อแรงกว่าปีก่อนหน้า ถือเป็นประเทศที่เศรษฐกิจโตแรงสุดทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลก ผมมองว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็นอีกตลาดที่นักลงทุนห้ามพลาดในการกระจายพอร์ตลงทุน ด้วยราคาหุ้นที่ปรับลดลงตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ปรับลดลงไปแล้ว -30.03% ทำให้ P/E Ratio อยู่ที่ 10.8 ถือว่าราคาค่อนข้างถูก เมื่อพิจารณาจากความต้องการลงทุนเพื่อย้ายฐานการผลิต ด้วยค่าแรงต่ำ และประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมหาศาล จะทำให้เวียดนามมีเสน่ห์ และเป็นดาวเด่นได้ในระยะยาว อ่านมาถึงตรงนี้ คุณจะเห็นได้ว่าในแต่ละช่วงเวลาของปี 2566 จะมีโอกาสการลงทุนที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก หากที่ผ่านมาเราเสียเวลาไปกับการรอ นั่นเท่ากับเรากำลังพลาดโอกาสที่เงินจะงอกเงย ผมขอแนะนำว่า การลงทุนที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องรอจับจังหวะที่ดีที่สุด เพราะเราจะไม่มีทางทายถูก ได้ตลอดว่าจุดต่ำสุด จะอยู่ที่จุดไหน ดังนั้น ‘ฤกษ์ที่ดีที่สุด’ สำหรับการลงทุนคือ ‘เลิกรอ’ เพราะฉะนั้นอย่ารอจนลืมคว้าโอกาสการลงทุนกันนะครับ  สุขสันต์ปีใหม่ 2566 ขอให้ทุกท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง พอร์ตเติบโตมั่นคงครับ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpositioningmag https://positioningmag.com/1414469

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

การลงทุนเป็นเรื่องยาก

30/04/2024

"การลงทุนตอนนี้มันยากจริงๆๆๆ (เหมือนเราไปต่อยกับบัวขาว) ... การลงทุนตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก ยากกว่าในอดีตมากๆ ครับ แต่ก่อนมีหุ้นสัก 300 ตัว ง่ายกับการติดตาม ตามศึกษา  แต่ตอนนี้มีหุ้นร่วมนับพันตัว งบออกมาที เต็มไปหมด  ยากในการ Focus เราต้องพยายามมากกว่าเดิมมากๆ ครับ แต่ก่อน 30 ปีที่เเล้วผู้เล่นยังไม่เยอะ  นักเตะระดับภูธร นับตัวได้ รู้จักกันเกือบหมด  จำได้ว่า บางวันซื้อขายวันละ 1,000 ล้านตอนช่วงตลาดไม่ดี มาวันนี้ มีนักเตะระดับโลกเลย ระดับประเทศ ตัวทีมชาติ ข้ามชาติเทรด online ก็มี  สามารถเล่น real time รายวินาทีเหมือนเรา ข้อมูลข่าวสารทันกันหมด ความรู้ ความสามารถ เทคนิค วิธีการ mindset เลียนแบบ เรียนรู้ได้ง่ายมาก มีการสอนกันเป็นระบบ จับกลุ่มกันแบ่งกันไปศึกษา แล้วนำกลับมาแชร์กัน เปรียบเหมือนกับการเรียนกอล์ฟ มีการสอนแบบละเอียดมาก ถ่ายเป็นวีดีโอเลย ว่าเราผิดพลาดตรงไหน  ไม่เหมือนเมื่อก่อนใช้ความรู้สึก ความชำนิชำนาญ สอนกัน มีการเรียนรู้ พัฒนาการ เอาชนะกัน เอาโปรแกรมมาใช้ หาจุดอ่อนของคู่แข่งขัน  เช่นเมื่อก่อนถ้ากราฟส่งสัญญาณซื้อ คนส่วนใหญ่จะซื้อพร้อมๆกัน คนจะขายก็ไม่ขาย เหมือนเป็นการสมยอมกัน มันเลยง่าย แต่มาตอนนี้คอมพิวเตอร์จะจับว่า จุดนี้ คนส่วนใหญ่เรียกว่าสวย น่าซื้อ เป็นจุดซื้อ เขาจะจัดฉากให้เราซื้อ  แล้วคอมพิวเตอร์ตั้งระบบขายใส่เรา เขาใช้ AI มาช่วย เขาใช้ปริมาณมากๆ แต่กินคำเล็กๆ  คือพอเราเข้าไปรุมซื้อ AI จะขายใส่เราเลย เเล้วจบ ไม่เอาหุ้นกลับบ้าน พอเราโดนบ่อยๆ เราก็เข็ดสิครับ  คนไม่เข็ด ก็ค่อยๆตายไป เมื่อก่อนห้องค้ามีการรวมกลุ่มกัน ห้องหนึ่ง 20 คน ตอนนี้แทบจะไม่เหลือแล้วครับ ตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ เป็นศูนย์รวมแชร์ลูกโซ่ที่ถูกกฎหมาย คืออะไรกัน ?  เต่ก่อนปั่นกัน ก็เป็นแบบตรงๆ ซื่อๆ ซื้อให้เห็น ขายให้เห็น  ตอนนี้มีนักบัญชีระดับประเทศ โดดลงมาเล่นด้วย  เขารู้วิธีการลงบัญชีเพื่อหลอกนักลงทุนว่ากำไรโตมากๆ แต่ดูไส้ในแล้วมันเป็นเทคนิคการลงบัญชี  แต่ของจริงกำไรจากการดำเนินงาน ไม่มีเลย หรือมีน้อยมากซึ่งไม่ผิดกฎหมาย (ตลาดจะปล่อยให้เป็นแบบนี้หรือ ? ) ไม่แปลกเลยที่นักลงทุนรายย่อยหายไปเรื่อยๆ ในสัดส่วนที่น้อยลงเรื่อยๆ ย้อนกลับมา เราต้องปรับปรุงตัวเอง และหาวิธีเอาชนะนะครับ ใช้ท่าแบบเดิมๆไม่ได้แล้วครับ ยังมีอีกหลายท่าๆๆๆ ท่าพิสดารต่างๆมากมายที่เราอาจจะตามไม่ทัน สังคมมันเป็นแบบนี้แหล่ะ อย่าเป็นปูนิ่มโดยเด็ดขาด จะกลายเป็นแต่อาหาร เราต้องสร้างเปลือกให้เเข็งแกร่งนะครับ ยกตัวอย่างเช่นหุ้นที่พูดถึงกันเป็น talk of the town ในเวลานี้ ที่มีการตั้งคำสั่งซื้อขายช่วงเปิดตลาดในปริมาณมาก  ถ้าเราหลงเป็นเหยื่อซื้อตามเข้าไป ตอนนี้ยังไม่รุ้เลยว่าจะขายได้หรือเปล่า   ผู้อยู่เบื้องหลังคงจะมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี  นักลงทุนรายย่อยอย่างเราถ้าไม่ระวังจะบาดเจ็บได้ง่ายและบาดเจ็บได้หนักมาก รายย่อยอย่าหลงระเริงดีใจไปกับหุ้นที่ได้กำไรที่ซื้อตามเขาบอกจนเป็นนิสัย อย่าคิดว่าการลงทุนนั้นง่ายโดยเด็ดขาดครับ  อย่าคิดว่าเราพึ่งเข้ามาแล้วจะไปต่อยกับบัวขาว เราน๊อคตั้งแต่หมัดแรกเลยนะครับ การลงทุนตอนนี้มันยากมากจริงๆ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับstock2morrow https://stock2morrow.com/article/5073

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

มารู้จัก 7 อาชีพจับเสือมือเปล่า ยุคที่การลงทุนมีความเสี่ยง ในปี 2023

30/04/2024

ถ้าพูดจับเสือมือเปล่า น่าจะเหมาะที่สุดในยุคนี้ เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง หลายคนไม่กล้าลงทุน และหลายคนก็ไม่มีทุน แต่ทุกชีวิตยังต้องเดินต่อไป และในปี 2023 อาชีพอะไรบ้าง ที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุน แต่ทำให้เป็นเศรษฐีเงินล้านได้ ผ่านการวิเคราะห์ ของกูรู ชื่อดัง ด้านแนะนำการลงทุน แพลตฟอร์มออนไลน์ รู้จักกันในชื่อ “ต้องนารา” หรือ “นายสุกฤษฎิ์ นรากรพิจิตร์” นายสุกฤษฎิ์ เล่าว่า ปัจจุบันการหาเงินหลักแสน หลักล้าน ทำได้ไม่ยากแล้ว ในยุคนี้ ต้องบอกก่อนว่า ยุคนี้เป็นยุคออนไลน์ โอกาสหาเงินได้ในทุกพื้นที่ วันนี้ คัด 7 อาชีพ ที่ทำเงินได้มหาศาล จากการจับเสือมือเปล่า โดยไม่ต้องลงทุนเลยแม้แต่บาทเดียว มาแนะนำ สำหรับคนที่กำลังคิดว่าจะเริ่มต้นหาเงิน หารายได้ อย่างไรในปี 2023 แบบไม่ต้องลงทุน ซึ่งทั้ง 7 อาชีพ จับเสือมือเปล่าที่นำมาแนะนำในครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่อาชีพใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นแต่เป็นอาชีพที่หลายคนทำแล้วรวย พลิกชีวิตจากคนธรรมดา กลายเป็นเศรษฐี มาแล้วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อาชีพที่หนึ่ง นายหน้าบนโลกออนไลน์ แน่นอนจะเป็นอาชีพอะไรไปไม่ได้บนโลกออนไลน์ในเวลานี้ ต้องอาชีพ การทำนายหน้า บนโลกออนไลน์ ปัจจุบันมีคนทำอาชีพนายหน้าบนโลกออนไลน์และสามารถทำเงินหลักแสน หลักล้านได้เป็นจำนวนมาก โดยไม่ต้องลงทุนเองสักบาท ซึ่งอาชีพนายหน้าบนโลกออนไลน์ คือ การเป็นตัวแทนขายสินค้า เป็นการนำสินค้าจากเจ้าของสินค้า ผู้ประกอบการ หรือ โรงงานผู้ผลิตมาจำหน่าย โดยการครีเอท คอนเทนต์ดีขึ้นมา และนำไปเผยแพร่ทางแพลตฟอร์มต่างบนโลกโซเชียลฯ ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง Tiktok Facebook Youtube ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันนี้ ไม่ต้องกังวลว่าแล้วจะทำคอนเทนต์ เล่นโซเชียลฯเป็นไหม เพราะมีกูรูที่เปิดสอนมากมาย ที่สำคัญ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น สามารถดูได้จากรายการทีวีดิจิทัลที่มีคนมาพูดถึงการสอนออนไลน์ แทบจะทุกช่อง สอนให้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆเลย ไม่มีสินค้า เค้าก็มีสินค้ามาให้คุณขาย ในช่วงปีที่ผ่านมา อาชีพนี้ กำลังมาแรง สร้างนักขายกันเป็นจำนวนมาก อาชีพที่สอง นายหน้าอสังหาริมทรัพย์ อาชีพสุดคลาสสิคทำกันมานาน เรียกว่าเป็นอาชีพเก่าแก่ ทำเงินมหาศาล นั่นคือ อาชีพเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ กลายเป็นมหาเศรษฐีกันเป็นจำนวนมาก แม้จะเป็นอาชีพที่คลาสสิคเก่าแก่ แต่เป็นอาชีพที่ดีมากๆ เลย ในยุคโลกออนไลน์แบบนี้ การสื่อสารเข้าถึงทุกคนแล้ว ทำให้สามารถหาคนที่มีกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ ค่อนข้างง่าย เพราะโลกออนไลน์ช่วยให้เข้าถึงคนได้วงกว้างมาก โอกาสการขายก็เลยมีมากกว่า การขายอสังหาริมทรัพย์ในยุคเก่า ที่ไม่ใช่การทำออนไลน์ และการทำนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ในยุคใหม่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ถ้าเราทำได้ ด้วยมูลค่าจำนวนเงินมหาศาลในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์แต่ละครั้ง ทำให้นายหน้าได้ผลประโยชน์แบบเป็นกอบเป็นกำ อาชีพที่สาม บริการเอเยนซี่ออนไลน์ เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก นั่นคือ การรับให้บริการเอเยนซี่ทางออนไลน์ เช่น บริการรับทำมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การรับถ่ายทำวีดีโอ เพื่อนำไปลงคลิปทางช่องยูทูป เฟสบุ๊ก หรือ Tiktok ฯลฯ การรับถ่ายภาพนิ่งสินค้าและอื่นๆ ซึ่งในสมัยก่อน ค่าบริการหรือ ค่าตัวช่างภาพไม่ได้สูงขนาดนี้ ปัจจุบันนี้ ช่างภาพคนไหนฝีมือดีถ่ายภาพสวย ค่าตัวอัปขึ้นไปเยอะมากเลย เพราะทุกคนต้องการรูปสวยเพื่อนำไปใช้ในการขายสินค้า หรือทำคอนเทนต์ และนอกจากตากล้องค่าตัวที่สูงขึ้นแล้ว อีกอาชีพหนึ่งที่ทำเงินได้ดีในตอนนี้ คือ การรับเป็นแอดมิน จะเห็นว่ามีหลายกิจการประกาศรับแอดมิน ซึ่งถ้าใครสามารถบริหารจัดการเวลาได้ดี และสามารถรับดูแลเป็นแอดมินเพจได้หลายๆ ที่ บางคนสามารถรับดูแลเป็นแอดมินเพจได้ 4-5 ราย สร้างรายได้หลักแสนบาทต่อเดือนเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยิ่งถ้าใครมีการวางแผนยิงแอดโฆษณาได้ดี ได้ติด ช่วยสร้างรายได้ให้กับเจ้าของกิจการ ก็จะยิ่งเป็นที่ต้องการเจ้าของสินค้า ค่าตัวก็จะอัปสูงมาก โดยสามารถเรียกค่าตัวหลักแสนหลักล้านได้เลยทีเดียว อาชีพที่สี่ การเป็นครูสอนออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันไม่จำเป็นจะต้องเป็นครูที่เรียนจบครูมา แต่เป็นครูที่สอนอะไรก็ได้ ที่คนอยากรู้อยากเรียน ใครๆก็เป็นครูได้บนโลกออนไลน์ เช่น ครูสอนทำอาหาร ครูสอนดนตรี ฯลฯ เพียงแต่ต้องรู้ว่าเรามีความรู้มากกว่าคนอื่นๆ ในอาชีพนั้น เราก็มาเปิดคอร์สสอนบนโลกออนไลน์ได้ สร้างเงินสร้างรายได้จำนวนมหาศาลเช่นกัน อาชีพที่ห้า อินฟูลเอนเซอร์ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นอาชีพที่หลายคนให้ความสนใจกันมาก เพราะที่ผ่านมา การแพลนงบโฆษณาของแบรนด์ใหญ่สมัยก่อน งบก็จะต้องไปลงทีวี ลงช่องทางสื่อหลัก ๆ แต่วันนี้ไม่ใช่ งบส่วนหนึ่งมันกระจายมาลงที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ ทั้งที่มีชื่อเสียง หรือแม้แต่อินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ ตัวเล็กๆ แค่มีคนติดตามหลักหมื่น ขอเพียงแค่ต้องมีคอนเทนต์ที่เจ๋งพอและทำได้ดี เจ้าของสินค้ายอมจ่ายเงินจ้างแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ทำง่าย รวยเร็ว สร้างรายได้หลักแสน หลักล้านได้เช่นกัน และเป็นอาชีพที่ยั่งยืน ถ้าทำได้ดี อาชีพหก การโอนโซไซตี้ อาชีพที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึง กับอาชีพนี้ แต่ทำรายได้มหาศาล เช่นกัน อาชีพการโอนโซไซตี้ คือการที่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่ที่คนเก่ง ๆ เค้ามารวมตัว สร้างคอนเทนต์เจ๋ง และมีคนติดตามจำนวนมากๆ เพียงเท่านี้ ก็จะมีคนเข้ามาเพื่อฝากขายสินค้า ซึ่งการที่เราเป็นแอดมินเพจหรือเป้นเจ้าของเพจสามารถลงฝากขายอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องทำคอนเทนต์ อะไรก็สามารถขายได้ เพราะจะมีคนทำคอนเทนต์ดีให้เราอยู่แล้ว ซึ่งถ้าคอนเทนต์ดี และเป็นการรวมตัวกันของคนเก่งๆ เท่านี้ก็จะมีคนเข้ามาติดตามคนเก่งที่มารวมตัวกันทำคอนเทนต์เจ๋ง ๆกันอยู่แล้ว อาชีพเจ็ด นักไลฟ์ MCN เชื่อว่าจะเป็นกระแสอย่างแน่นอนในปี 2023 นั่นคือ การเป็นนักไลฟ์ ใน MCN หรือ การเป็นนักไลฟ์ในค่ายที่มีการบริหารจัดการ การซื้อขายสินค้าให้กับเหล่า พ่อค้า แม่ค้า บนโลกออนไลน์ เป็นการทำแบบครบวงจร ตั้งแต่การสอน การบริหารจัดการสินค้า เรียกว่าต่อจากนี้ไป คนที่ตั้งใจ จะขายสินค้าออนไลน์ หรือ อยากเป็นเจ้าของสินค้าบนโลกออนไลน์ ไม่ต้องใช้เงินสักบาท มีเพียงแค่ความตั้งใจก็เป็นเจ้าของสินค้า และมีแบรนด์สินค้าบนโลกออนไลน์ได้ ผ่าน ระบบ MCN ได้ นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สสว. ชี้เทรนด์ ธุรกิจดาวรุ่ง และดาวร่วง ปี 2566 จากการวิเคราะห์ข้อมูลผลสำรวจยอดขายรายไตรมาส ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ร่วมกับฐานข้อมูล SME ของ สสว. รวมทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง สามารถแยกกลุ่มธุรกิจที่จะมีอนาคตสดใสเป็นดาวรุ่ง กลุ่มธุรกิจที่กลับมาฟื้นตัว และกลุ่มธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง ในปี 2566 ได้ดังนี้ ธุรกิจดาวรุ่ง  ปี 2566 ธุรกิจขายของ Online การดำเนินธุรกิจขายของ Online ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อน Covid -19 จากความคุ้นเคยของผู้บริโภคในการใช้งานแพลตฟอร์มต่าง ๆ ความสะดวกในการชำระเงิน ช่องทางการส่งสินค้าที่หลากหลายและครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้ SME ในกลุ่มนี้ถึง 20,461 ล้านบาท ธุรกิจร้านโชห่วย โดยเฉพาะการจำหน่ายอาหารสดและยาสูบที่กำลังซื้อในธุรกิจนี้กลับมาเติบโตในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจากการที่ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าที่สามารถต่อรองราคา ขอเชื่อหรือเลือกซื้อในปริมาณน้อยได้ คาดว่าธุรกิจนี้ทำรายได้ให้กับ SME ถึง 1.25 ล้านล้านบาท ธุรกิจจัดงานแข่งขันกีฬา เช่น งานวิ่ง งานแข่งจักรยาน มวย ที่เติบโตอย่างมากภายหลังประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ คาดว่าจะสร้างรายได้ให้ SME กลุ่มนี้ 1,504 ล้านบาท ธุรกิจฟื้นตัว จากโควิด-19 สำหรับธุรกิจ SME เริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์ Covid 19 โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและสันทนาการ ทั้งเกสต์เฮ้าส์ บังกะโล ร้านขายของที่ระลึก ผับ บาร์ ร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ศูนย์อาหาร บริการจัดเลี้ยง ธุรกิจและ Event ด้านกีฬา ธุรกิจขายของมือสองและธุรกิจให้เช่า ธุรกิจโหราศาสตร์และความเชื่อ ธุรกิจต้องเฝ้าระวัง ส่วนธุรกิจที่ต้องเฝ้าระวัง เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน เช่น ธุรกิจให้เช่าที่พัก หอพัก ฟิตเนสแบบ Indoor เป็นต้น แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์ https://mgronline.com/smes/detail/9660000000188

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

อวสานยุคเฟื่องฟู ‘ฟินเทค’ เมื่อเงินถูกกำลังหมดลง จับตาปี 66 ปิดตัวอีกอื้อ

30/04/2024

  •  เหล่าสตาร์ตอัปโดยเฉพาะ ‘ฟินเทค’ เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดหลังวิกฤติการเงินปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกเบี้ยโลกลดต่ำลง นักลงทุนพยายามแสวงหากำไรในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์  •  การเติบโตของเหล่าสตาร์ตอัปดูเหมือนจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในปี 2564 โดยบริษัทฟินเทคทำเงินรวมกันได้มากกว่า 1.3 แสนล้านดอลลาร์ จนเกิดยูนิคอร์นใหม่ทั่วโลกรวมกว่า 100 แห่ง   •  บริษัทฟินเทคส่วนใหญ่ที่เคยระดมเงินได้เยอะๆ ในปี 2563-2564 เริ่มเผชิญกับความเลวร้าย หลายบริษัทไม่เคยมีกำไร เนื่องจากตั้งสมมติฐานผิดพลาด ทำให้ไม่สามารถเติมเงินใหม่เข้ามาได้  •  ปี 2566 นับเป็นอีกปีที่ท้าทายสำหรับสตาร์ตอัปและฟินเทคต่างๆ ดอกเบี้ยโลกที่มีแนวโน้มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ยุคเงินถูกที่เคยมีมาเกือบสิบปีกำลังหมดลง เหล่าฟินเทคกำลังเข้าสู่วังวนแห่งความตาย ไม่สามารถของเงินทุนเพิ่มได้ พนักงานที่ดีจะเริ่มลาออกเพราะทุนของพวกเขากำลังหมดลง"บิล แฮร์ริส" อดีตซีอีโอเพย์พาลและผู้ประกอบการมากประสบการณ์ ขึ้นเวทีลาสเวกัสช่วงปลายเดือน ต.ค.เพื่อประกาศว่า ธุรกิจสตาร์ตอัปของตนอาจช่วยแก้ไขความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานด้านการเงินของชาวอเมริกันได้แฮร์ริส กล่าวกับซีเอ็นบีซีในช่วงนั้นว่า “ผู้คนประสบปัญหาเรื่องเงิน เราจึงพยายามนำเงินเข้าสู่ยุคดิจิทัล เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ให้คนเหล่านั้นสามารถควบคุมการเงินของตนเองได้ดีขึ้น”แต่หลังจากเปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘Nirvana Money’ ที่รวบบัญชีธนาคารดิจิทัลเข้ากับบัตรเครดิตไม่ถึงหนึ่งเดือน แฮร์ริส ก็ปิดบริษัทในไมอามีทันที พร้อมทั้งปลดพนักงานออกหลายสิบคน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงและ “เศรษฐกิจถดถอย” ซึ่งการกลับลำดังกล่าวเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงจุดสิ้นสุดที่จะเกิดขึ้นในโลกเทคโนโลยีทางการเงิน หรือฟินเทคนักลงทุน ผู้ประกอบการและวาณิชธนากรหลายราย บอกว่า บริษัทฟินเทค โดยเฉพาะบริษัทที่ติดต่อโดยตรงกับผู้กู้รายย่อย อาจต้องปิดบริษัทหรือขายบริษัทในปี 2566 เนื่องจากธุรจกิจสตาร์ตอัปไม่มีเงินทุนเหลืออีกแล้ว บริษัทอื่น ๆ อาจจะยอมรับเงินทุน ด้วยการลดมูลค่าที่สูงชันลง หรือรับเงื่อนไขที่ยุ่งยากมากขึ้นเพื่อเพิ่มทางเลือก แต่ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นตามมาด้วย“พีท คาเซลลา” หุ้นส่วนบริษัท Point72 Ventures ซึ่งเป็นกองทุนรวมด้านฟินเทค ระบุว่า สตาร์ตอัปตัวท็อปที่มีเงินทุน 3-4 ปี พอจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคไปได้ ส่วนบริษัทอื่น ๆ ที่มีแนวทางทำกำไรน่าเชื่อถือ จะได้เงินทุนจากนักลงทุนหน้าเดิม และบริษัทที่เหลือจะหมดเงินทุนภายในปี 2566“ท้ายที่สุดแล้ว บริษัทฟินเทคจะเข้าสู่วังวนแห่งความตาย ไม่สามารถขอเงินทุนได้อีกและพนักงานที่ดีที่สุดก็จะเริ่มลาออก เพราะทุนของพวกเขาเริ่มหมด” คาเซลลา กล่าวเรื่องวุ่น ๆ ในโลกฟินเทคบริษัทสตาร์ทอัปหลายพันแห่งผุดขึ้น หลังเกิดวิกฤติการเงินปี 2551 เนื่องจากนักลงทุนทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทเอกชน กระตุ้นผู้ประกอบการเพื่อขัดขวางอุตสาหกรรมที่ไม่เป็นที่นิยม โดยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำนักลงทุนพยายามหาผลกำไรที่เหนือกว่าบริษัทมหาชน และนายทุนดั้งเดิมเริ่มแข่งขันกับบริษัทเกิดใหม่จากกองทุนบริหารความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) รวมถึงกองทุนเพื่อการลงทุนของของรัฐและครอบครัวความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เนื่องจากกระแสการยอมรับระบบดิจิทัลเพิ่มขึ้น และธนาคารกลางทำให้โลกเต็มไปด้วยเงิน เกิดบริษัทฟินเทคใหม่ ๆ เช่น โรบินฮูด, ไชม์ (Chime) และสไตรป์ (Stripe) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีมูลค่ามหาศาลแต่การเติบโตเดินมาถึงจุดสูงสุดในปี 2564 เมื่อบริษัทฟินเทคทำเงินได้มากกว่า 130,000 ล้านดอลลาร์ และเกิดบริษัทยูนิคอร์นใหม่มากกว่า 100 แห่ง หรือเกิดบริษัทที่มีมูลค่าอย่างน้อย 1,000 ล้านดอลลาร์หลายแห่ง“สจ๊วต ซอปป์” ผู้ก่อตั้งและซีอีโอแพลตฟอร์มธนาคารดิจิทัลเคอร์เรนต์ กล่าวว่า “20% ของเงินทุนในรูปดอลลาร์ทั้งหมด ไหลเข้าธุรกิจฟินเทคในปี 2564 คุณไม่สามารถทุ่มเงินทุนจำนวนมากไปกับบางสิ่งบางอย่างในเวลาอันสั้น โดยไม่เจอเรื่องวุ่น ๆ ได้เลย”จำนวนเงินทุนมหาศาลในระบบ ทำให้บริษัทฟินเทคหลายแห่งได้รับเงินทุนทุกครั้งที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ จากแอปบัญชีเดินสะพัดที่เรียกว่า‘นีโอแบงก์’ (Neobank) หรือธนาคารดิจิทัลผู้ก่อตั้งบริษัทฟินเทคคนหนึ่ง ที่ผันตัวมาเป็นผู้ลงทุน กล่าวอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า “เราให้เงินสนับสนุนฟินเทคมากเกินไป เราไม่ต้องการนีโอแบงก์ที่แตกต่างกันถึง 150 แห่ง เราไม่ต้องการผู้ให้บริการด้านธนาคารต่างกันถึง 10 แห่ง แต่ผมก็ลงทุนในธุรจกิจสองประเภทนี้”ตั้งสมมติฐานให้ถูกต้องก่อนรอยร้าวแรกเริ่มปรากฎให้เห็นในเดือน ก.ย.ปี2564 เมื่อหุ้นของบริษัทเพย์พาลถูกระงับการซื้อขาย และจำนวนบริษัทฟินเทคอื่น ๆ เริ่มลดลงเรื่อย ๆ จนถึงจุดพีค มูลค่าเพย์พาลและเจพีมอร์แกนมากกว่าสถาบันการเงินส่วนใหญ่  โดยมูลค่าทางการตลาดของเพย์พาลเป็นรองแค่เจพี มอร์แกนเท่านั้นประกอบกับความน่ากลัวของอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงและสิ้นสุดยุคเงินถูกที่ดำเนินมานานร่วมสิบปี  สิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้หุ้นบริษัทฟินเทคตกต่ำ โดยกองทุนสเปนเซอร์ กรีน หุ้นส่วนจากทีเอสวีซี บอกว่า บริษัทเอกชนหลายแห่งที่ก่อตั้งในช่วงสองสามปีมานี้ โดยเฉพาะบริษัทที่ให้บริการกู้ยืมเงินแก่ผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็ก เริ่มปรับเปลี่ยนทัศนะเดิมๆที่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะต่ำตลอดกาล“บริษัทฟินเทคส่วนใหญ่สูญเงินตลอดการดำเนินงาน แต่ด้วยคำมั่นสัญญาที่ว่า ‘พวกเราจะดึงรายได้กลับมาและสร้างกำไรให้ได้’ นั่นคือ มาตรฐานโมลเดลธุรกิจสตาร์ตอัป ซึ่งเหมาะสมกับเทสลาและอเมซอน แต่ฟินเทคหลายแห่งไม่เคยมีกำไรเลย เนื่องจากตั้งสมมติฐานผิดพลาด” กรีนกล่าว และเสริมว่า “เราเห็นบริษัทหนึ่งที่เพิ่มเงินทุน 20 ล้านดอลลาร์ ทั้งที่ไม่สามารถกู้เงินได้ถึง 300,000 ดอลลาร์ด้วยซ้ำ เนื่องจากนักลงทุนไม่ลงทุนด้วยอีกแล้ว”วัฏจักรธุรกิจสู่ขาลงนักลงทุนหลายคน กล่าวว่า ตลอดวัฏจักรธุรกิจเอกชน ตั้งแต่ธุรกิจสตาร์ตอัปไปจนถึงบริษัทที่เตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์ ตกต่ำลงอย่างน้อย 30%-50% ซึ่งเป็นไปตามการปรับตัวลงของราคาหุ้นบริษัทมหาชนขณะนี้กลุ่มการลงทุนเจอกับกฎใหม่และนักลงทุนพากันถอนการลงทุนออกจากตลาด สิ่งสำคัญอยู่ที่บริษัทจะสามารถแสดงให้เห็นถึงเส้นทางที่ชัดเจนในการทำกำไรได้หรือไม่"ทอมมาโซ ซาโนบินี" วาณิชธนกิจผู้ช่ำชองการลงทุนฟินเทคจากบริษัทโมเอลิส (Moelis) บอกว่า นอกจากข้อกำหนดการเติบโตในตลาดขนาดใหญ่ที่เข้าถึงได้แล้ว อัตราผลกำไรขั้นต้น ยังต้องเผชิญบททดสอบที่แท้จริงอยู่ นั่นคือ บริษัทเชื่อว่าจะมีสภาพคล่องลดลงภายใน 1 ปี จึงทำให้สตาร์ตอัปปลดพนักงานและกลับมาใช้การตลาดเพื่อขยายธุรกิจ ซึ่งผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ตอัปหลายคนหวังว่า การลงทุนจะดีขึ้นในปีหน้า แม้อาจเป็นไปไม่ได้นีโอแบงก์อาจไปไม่รอดขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงและเข้าสู่ภาวะถดถอยตามคาดการณ์ บริษัทที่ปล่อยเงินกู้ให้กับลูกค้าและธุรกิจขนาดเล็ก อาจประสบปัญหาขาดทุนมากขึ้นเป็นครั้งแรก แม้แต่นักลงทุนที่ทำกำไรได้อย่างโกลด์แมนแซคส์ ก็ยังไม่สามารถรับมือกับการสูญเสียได้“เปกาห์ เอบราฮิมี” หุ้นส่วนผู้จัดการของกองทุนเอฟพีวีและอดีตผู้บริหารมอร์แกน สแตนลีย์ กล่าวว่า “นีโอแบงก์ในหลายประเทศกำลังไปไม่รอด ทุกคนคิดว่าพวกเขาเป็นธนาคารใหม่ที่อาจมีเทคโนโลยีมากมาย แต่ก็ยังเป็นแค่ธนาคาร”“โอเดด เซฮาวี” ซีอีอีโอเมชเพย์เมนต์ เผยว่า นอกจากนีโอแบงก์แล้ว บริษัทฟินเทคส่วนใหญ่ที่เพิ่มเงินทุนในปี 2563 และ 2564 และเงินทุนมีมูลค่าสูงกว่ารายได้ 20-50 เท่า กำลังเผชิญหน้ากับสถานกรณ์เลวร้าย แม้บริษัทมีรายได้สองเท่าจากครั้งก่อน แต่ก็มีแนวโน้มต้องระดมทุนใหม่ด้วยการเสนอลดราคาหุ้นจำนวนมาก ซึ่งอาจทำลายธุรกิจสตาร์ตอัปได้“การเติบโตที่รวดเร็ว นำไปสู่การลงทุนมหาศาลด้วยมูลค่าที่ไม่อาจประเมินได้ ซึ่งบริษัทประเภทนี้ทั่วโลก กำลังประสบปัญหาและพวกเขาต้องขายบริษัทหรือปิดตัวลงในปีนี้” เซฮาวี กล่าวจะเกิดการควบกิจการในฟินเทคหรือไม่?ก็เหมือนกับช่วงวัฏจักรธุรกิจขาลงก่อนหน้านี้ ธุรกิจฟินเทคยังคงมีโอกาส โดยบริษัทที่แข็งแกร่งในตลาดจะแย่งชิงส่วนแบ่งจากคู่แข่งที่อ่อนแอกว่า ด้วยการเข้าซื้อกิจการ และหลุดจากจุดต่ำสุดสู่จุดที่แข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะมีคู่แข่งน้อยลงและค่าใช้จ่ายจะมีต้นทุนต่ำ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการตลาดด้วย"เคลลี โรดลิเกส" ซีอีโอฟอร์จ (Forge) แพลตฟอร์มซื้อขายหุ้นบริษัทเอกชน กล่าวว่า "แนวทางการแข่งขันเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในช่วงที่เกิดความกลัว ความไม่แน่นอนและเมื่อเกิดความเคลือบแคลงใจ”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1045792

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

เท่าทันกลเม็ดฉ้อฉล วงจรธุรกิจชวนลงทุนเข้าข่าย "แชร์ลูกโซ่"

30/04/2024

ตลอดปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามักจะมีข่าวความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการหลอกลวง โดยเฉพาะในรูปแบบแชร์ลูกโซ่กิดขึ้นมากมาย และได้สร้างความเสียหายในวงกว้างเป็นจำนวนมาก และเหล่านั้นมักจะมีการใช้เครื่องมืออย่างการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งก็จะมีการหลอกลวงที่อัปเกรดไปตามยุคสมัยในอดีตอาจจะเป็นในรูปแบบของการเล่นแชร์ ต่อมาเป็น Forex จนปัจจุบันที่พบเห็นกันบ่อยครั้ง คือ Cryptocurrency ซึ่งต้องบอกว่าการเกิดขึ้นของสินทรัพย์ใดๆ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะถือเป็นทางเลือกใหม่ๆ ของการลงทุนให้กับผู้คน แต่ที่ต้องระวังคือ คนที่นำไปใช้ในทางที่ผิด และสรรหาวิธีการมาหลอกลวง Thairath Money จึงได้พูดคุยกับคุณณัฐ เหลืองนฤมิตรชัย ผู้ช่วยผู้จัดการหัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศ สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุนถึงลักษณะของรูปแบบธุรกิจที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ เพื่อเป็นการสร้าง Financial Literacy ขั้นพื้นฐานให้รู้เท่าทันกลโกงก่อนที่จะตกเป็นเหยื่อลงทุน คุณณัฐ อธิบายว่า คอนเซปต์ของแชร์ลูกโซ่จริงๆ เลยคือ คนที่เข้าไปใหม่ไปจ่ายเงินให้คนเก่า กล่าวคือ เงินใดๆ ก็ตามที ที่คนใหม่ใส่เข้าไป มันจะถูกนำไปจ่ายให้คนเก่า แต่ในทางกลับกันหากเป็นการลงทุนอย่าง การซื้อหุ้น สมมติว่า มีคนซื้อที่ราคา 10 บาท และวันต่อมาขายได้ 20 บาท เพราะคิดว่าจะได้ปันผลเท่านี้ ต่อมาผลการดำเนินงานดีขึ้น คนคาดหวังว่าผลตอบแทนในอนาคตดีขึ้น เขาเลยยอมซื้อ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งราคาลดลง อาจเป็นเพราะพื้นฐานเปลี่ยน แต่ถ้าซื้อมาแล้วคนอื่นถือต่อไม่ได้ อาจเพราะไม่มีสภาพคล่อง ต้องเทขายจนกระทั่งราคามันถูก แต่ถ้าผลประกอบการออกมาเป็นอย่างที่เขาคาดหวัง เขาก็สามารถรอเงินปันผลได้ ตรงนี้เขาไม่ได้เจ๊ง แต่เขาอาจจะขาดทุนกำไร ขาดช่องทางว่าไม่สามารถออกได้ แต่ว่าจริงๆ เขาไม่ได้เสียเงินไป เพราะจริงๆ เขาสามารถรอผลตอบแทนในอนาคตได้ เหล่านี้เรียกว่าเป็นพื้นฐานของการลงทุน ขณะที่อีกคอนเซปต์ คือ การพนัน ซึ่งเป็นการมาตกลงกันว่าจะพนันกัน (bet on) เรื่องอะไร ถ้าทายถูกก็ได้เงิน ทายผิดก็เสียเงิน ส่วนการปั่นหุ้น ก็คือ การปั่นราคาของบางอย่างให้สูงเกินจริง หรือต่ำเกินจริง เพื่อที่จะทำกำไรในรูปแบบบางอย่าง นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า การเก็งกำไร ซึ่งเป็นรูปแบบที่อยู่ตรงกลางระหว่างการลงทุน และการพนัน คือ การที่เราเข้าไปซื้อบางอย่าง เพราะมองว่าจะมีคนอื่นมาซื้อจากเราในราคาที่สูงกว่า โดยที่ไม่สนใจพื้นฐานใดๆ ขณะที่ความแตกต่างของการพนัน และการเก็งกำไรนั้น ความน่าสนใจ คือ เมื่อไหร่ที่พนันมีคนหนึ่งได้คนหนึ่งเสีย ส่วนการเก็งกำไร มันดูเหมือนบางช่วงว่าทุกคนได้ เช่น ถ้าหากเราซื้อหุ้น 10 บาท โดนปั่นไปขายในราคา 20 บาท เราได้กำไร 10 บาท แต่ละคนซื้อไป เขายังคิดว่ามูลค่าของเขายัง 20 บาทอยู่ เพราะฉะนั้นตราบใดที่มีการปั่นราคาขึ้นไปเรื่อยๆ ดูเหมือนทุกคนได้ คนใหม่อยากเข้ามาทันที เพราะอยากเป็นอีกหนึ่งคนที่เป็นทุกคนในนั้น แต่สำหรับแชร์ลูกโซ่ เป็นอีกคอนเซปต์ที่อยู่นอกกรอบตรงนี้ เพราะคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับวงจรตรงนี้ หนึ่ง คนจะไม่สนว่าของที่เราจะซื้อคืออะไร ไม่สนใจพื้นฐาน ไม่สนใจว่าจ่ายเงินกับอะไรลงไป แต่สนใจอย่างเดียวคือ ทำอย่างไรฉันถึงจะรวย สอง มันมีช่องทางรวย โดยหนึ่งในคาแรกเตอร์ คือ การชักชวนคนอื่นมาร่วมกิจการด้วย ไม่ว่าจะได้ผลตอบแทนทางตรง คือ ค่าคอมมิชชั่น หรือทางอ้อม โดยของที่ถืออยู่มูลค่าสูงขึ้น ดังนั้นมีแรงจูงใจ (incentive) ทันทีว่าให้คนอื่นมาร่วมด้วย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คนอยากจะชวนคนรอบข้างเข้ามานั้น มีดังนี้   •  ข้อแรก ไม่รู้ว่าของนี้ดีจริงหรือไม่ แต่คนอื่นบอกมันดี เลยเข้าไปด้วย เชื่อมั่นจากคนที่เล่าให้ฟัง เลยชวนคนรอบข้างมาทำด้วย เพราะหวังดี   •  สอง ลงทุนแล้ว รวยแล้ว อยากแบ่งปันความรวยให้กับคนรู้จักบ้าง   •  สาม รู้ทั้งรู้ว่าผิดกฎหมาย หลอกลวง แต่อยากชวนคนอื่นมาลงทุน เพราะยิ่งชวนคนมาลงทุนเยอะ ตัวเองยิ่งรวย ลักษณะเฉพาะของแชร์ลูกโซ่ที่เลวร้ายที่สุด คือ ยิ่งจ่ายผลตอบแทนสูง ที่จะคุ้มทุนเร็วที่สุด ซึ่งจะทำให้คนกระหายที่จะหาคนใหม่เข้ามาในระบบอย่างรวดเร็ว และยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งอันตราย มีความเสี่ยงมาก และจะระเบิดเร็ว สำหรับวิธีการแยกแยะ (identify) ว่าลักษณะแบบไหนที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่นั้น ที่สหรัฐอเมริกาได้มีการเรียกว่าเป็น Pyramid Scheme ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ที่มีการหลอกลวงให้ลงทุน และสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูง โดยมีลักษณะดังนี้   •  หนึ่ง ให้ความสนใจกับการหาคนเป็นอย่างมาก เป็นการหาลูกข่ายเข้ามาร่วม และเมื่อเข้ามาแล้วจะต้องมีการเสียเงินเกิดขึ้นให้ได้ อาจจะเป็นในรูปแบบของค่าธรรมเนียมเป็นอย่างน้อย เพื่อที่เงินนั้นจะนำไปแจกจ่ายให้กับต้นสายคนอื่นๆ   •  สอง ไม่มีสินค้าและบริการที่มีมูลค่าจริงๆ ซึ่งอาจมาให้ของที่มีลักษณะเหมือนมีค่า แต่ไม่มีมูลค่าจริง และไม่สามารถตีมูลค่าได้   •  สาม มีการสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้น   •  สี่ มีจะมีการพูดถึงการได้เงินมาอย่างง่ายๆ เมื่อทำไปถึงจุดหนึ่งจะได้เงินมาง่าย ที่เป็นไปตามบรรทัดฐานเลยคือ การมี Passive Income ซึ่งเป็นรายได้ที่เข้ามาโดยไม่ต้องทำงานแลกเงิน   •  ห้า ไม่มีรายได้ชัดเจนที่มาจากการขายเลย โมเดลธุรกิจที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตรงนั้น   •  หก มักจะมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นที่ซับซ้อน มักจะมีต้นสายหลายสาย มีการจ่ายผลตอบแทนในลักษณะที่เป็น Complex Structure และสิ่งที่น่าสนใจของ Pyramid Scheme นี้คือ ถ้าหากในคนหนึ่งคนจะต้องหาลูกข่ายให้ได้ 6 คน ทำลงไป 13 ลำดับชั้น ธุรกิจก็ไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะมันเกินจำนวนประชากรทั้งโลก นอกจากนี้ คุณณัฐยังได้ยกตัวอย่าง และตั้งข้อสงสัยถึงกรณีของโปรเจกต์ MetFi ที่อาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ใช้วิธีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาเกี่ยวแล้วไปหลอกคน โดยมีการกล่าวอ้างถึงเทคโนโลยีแห่งอนาคต ให้กับประชาชนที่ไม่ได้มีพื้นฐานความรู้ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งต้องระมัดระวัง รวมถึงประชาชนต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนที่จะลงทุน มิเช่นนั้นจะเกิดความเสียหายขึ้นได้ไม่ช้าก็เร็วในอนาคต แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์ https://www.thairath.co.th/business/feature/2590520

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X