Everyday knowledge for you
ข่าวการเงิน
02/12/2025
ดร.นิเวศน์ กูรู VI เปรียบเทียบการลงทุน “ทอง-บิตคอยน์” ที่ให้ผลตอบแทนสูงช่วงที่ผ่านมา เตือนอย่าลงทุนด้วยความโลภ-อย่าถึงขั้นจำนองบ้านมาลงทุนดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) เขียนบทความเรื่อง “ทอง VS บิตคอยน์” เผยแพร่ในเพจสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า โดยระบุว่า ช่วง 2-3 ปีนี้ นักลงทุนไทยโดยเฉพาะที่ยังหนุ่มสาวหันมาลงทุนในทองคำและบิตคอยน์เพิ่มขึ้นมาก เหตุผลเพราะทองคำในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนประมาณ 59% 5 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทน 134% หรือเท่ากับ 18.5% ต่อปีแบบทบต้นและ 20 ปีที่ผ่านมา 739% หรือเท่ากับผลตอบแทนทบต้น 11.2% ต่อปี ในช่วงเวลาที่ยาวนานมาก ซึ่งถือว่าดีเยี่ยมและไม่เคยเป็นมาในประวัติศาสตร์ของทองคำ และก็ดีกว่าหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นโลกในส่วนของบิตคอยน์นั้น ผลตอบแทน 1 ปีที่ผ่านมาติดลบ 5-6% แต่ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีนั้นอยู่ที่ 406% หรือให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 38.3% ซึ่งก็เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสุดยอดที่ไม่สามารถหาได้จากการลงทุนอื่นรวมถึงตลาดหุ้น Nasdaq ที่ว่าเป็นสุดยอดของการลงทุนในช่วงเวลานี้ที่ให้ผลตอบแทน 5 ปี ที่ประมาณ 13.6% ต่อปีแบบทบต้น และผลตอบแทน 20 ปีที่ปีละประมาณ 9.7% แบบทบต้นสรุปก็คือ ในระยะ “กลาง” คือ 5 ปี บิตคอยน์เป็นสุดยอดของการลงทุน ในระยะยาว 20 ปี ทองเป็นสุดยอดของการลงทุน ในขณะที่บิตคอยน์นั้น เป็นการลงทุนรูปแบบใหม่ที่เพิ่งจะ Active หรือเกิดขึ้นและคนเข้ามาเล่นกันประมาณ 8-9 ปีนี้เอง และก็เริ่มจะบูมเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาพร้อม ๆ กับการลงทุนแบบอื่น ๆ รวมถึงหุ้นที่วิ่งกันระเบิดผมคงไม่พูดถึงหุ้นที่มีการพูดถึงกันมากแล้วและเราก็ลงทุนกันมานาน ส่วนตัวผมเองก็ลงทุนมายาวนานถึง 30 ปีแล้วโดยที่ไม่เคยสนใจการลงทุนอื่นเลยรวมถึงทองคำที่ผมมีความเชื่อมาตลอดว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำแค่พอ ๆ กับเงินเฟ้อคือประมาณ 3% ต่อปี และบิตคอยน์ที่ผมคิดว่าเป็น “สินทรัพย์ในจินตนาการ” ที่ไม่มีพื้นฐานและประเมินมูลค่าไม่ได้ใช่แล้ว ผมกำลังจะเปรียบเทียบระหว่างทองคำกับบิตคอยน์ว่าคุณสมบัติมันเป็นอย่างไร และถ้าผมจะลงทุน จะเลือกตัวไหน แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าผมอาจจะเลือกไม่ลงทุนเลยก็ได้ถ้าผมไม่เชื่อว่าผลการลงทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานั้น จะดำเนินต่อไปในอนาคตอีก 5 ปีหรือยาวกว่านั้นผมคิดว่าช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้น ผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่าง ๆ อาจจะ “ไม่ปกติ” เพราะมีการเก็งกำไรในตลาดการลงทุนสูงมากจนทำให้ราคาทรัพย์สินเกือบทุกชนิดปรับตัวขึ้นไปสูง “เกินพื้นฐาน” ทางเศรษฐกิจไปมาก และถ้าการเก็งกำไรลดลงหรือหมดไป ราคาก็อาจจะตกลงไปมาก บางทีอาจจะกลายเป็น “หายนะ” ได้แต่นั่นก็อาจจะเป็นความเห็นที่ผิดได้ โดยเฉพาะกับทองและบิตคอยน์ซึ่งนักลงทุนโดยเฉพาะแนว VI บอกว่าเป็นสินทรัพย์ที่ “ไม่มีพื้นฐาน” เพราะมันไม่ได้สร้างอะไรหรือผลิตอะไรที่เป็นประโยชน์ในการใช้สอยและทำกำไรจ่ายปันผลให้เราได้ ถือเอาไว้มันก็ไม่เคยโต เหตุผลที่ราคาจะเพิ่มขึ้นก็เพราะ “มีคนมาซื้อต่อ” ถ้าคนไม่ซื้อ มันก็ไม่มีค่าแต่ผมคิดว่าเรื่องนี้คงต้องมาวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งและละเอียดขึ้น ทั้งทองและบิตคอยน์ ประการแรกก็คือ ทองที่ผมคิดว่ามีค่าแน่นอน เพราะมันถูกทำเป็นเครื่องประดับที่มีคุณค่าสูงในแง่ที่ว่า คนที่ใช้มันประดับร่างกายจะกลายเป็นคนที่ดูดีและที่สำคัญ “ดูรวย” ว่าที่จริงผมยังไม่เคยเจอใครที่บอกว่าทองนั้น “ไม่มีค่า” หรือมีค่าน้อย ทุกคนบอกว่าทองนั้น “เลอค่า” คล้าย ๆ เพชรที่ช่วงหนึ่งเมื่อซักหลาย ๆ ปีก่อนมีการโฆษณาว่า “เลอค่า” และผู้หญิงทุกคนต่างก็อยากใช้เป็นเครื่องประดับในวันแต่งงาน ว่าที่จริงทองนั้นมีค่าตั้งแต่สมัยอียิปต์รุ่งเรืองเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดนี้ได้จนถึงปัจจุบันบิตคอยน์นั้น มีน้อยคนมากในโลกที่คิดว่ามันมีค่า ว่าที่จริงคนส่วนใหญ่ไม่รู้จักมันด้วยซ้ำไป คนที่คิดว่าบิตคอยน์มีค่าส่วนใหญ่ก็คือคนที่เล่นบิตคอยน์หรือลงทุนบิตคอยน์เพราะเขาคิดว่าราคามันจะปรับตัวขึ้นไปอีกมากในเวลาอันสั้น พวกเขาเป็น “นักเก็งกำไร” ที่จ้องดูราคาของบิตคอยน์วันต่อวันส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจจะฉลาดมาก ซึ่งรวมถึงคนที่สร้างบิตคอยน์ขึ้นจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มองดูว่าบิตคอยน์นั้นมีคุณสมบัติที่สามารถแทน “เงินเฟียต” หรือเงินที่แบ้งค์ชาติของแต่ละประเทศพิมพ์ออกมาเป็น “กระดาษ” ที่เราใช้อยู่ และวันหนึ่ง บิตคอยน์ก็จะถูกใช้แทนเงินเฟียตทั่วโลก “ก็คงจะคล้าย ๆ กับอะไรหลาย ๆ อย่างในโลกที่เอกสารที่เป็นกระดาษถูกแทนด้วยข้อมูลดิจิทัล” พวกเขาอาจจะคิดแบบนั้น และถ้าเงินกระดาษ “มีค่า” เงินที่เป็นดิจิทัลแบบบิตคอยน์ก็ต้อง “มีค่า” คนที่ “ทำมาหากิน” ทุกวันก็จะต้องอยากได้และยินดีขายของและรับบิตคอยน์แทนเงินเฟียตที่ใช้อยู่แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ผมยังไม่เห็นคนค้าขายที่ไหนรับบิตคอยน์เลยทั้ง ๆ ที่มันเกิดขึ้นมาและโด่งดังมาเกือบ 10 ปีแล้ว ในขณะที่ข้อมูลคอมพิวเตอร์แบบอื่นนั้น ได้เข้ามาแทนที่ข้อมูลบนกระดาษอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ เริ่มมีคนที่รับ “เงินบิตคอยน์” มากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน ซึ่งคนที่รับหรือคนที่ใช้ก็คือ คนที่ทำผิดกฎหมายและไม่ต้องการให้ผู้รักษากฎหมายตามเส้นทางการเงินได้ เช่น เจ้าหน้าที่ที่รับเงินสินบน คนโกงและมิจฉาชีพทั้งหลาย หรือโจรสลัดที่จี้เรือและเรียกเงินค่าไถ่ เป็นต้นดังนั้น สำหรับผมแล้ว บิตคอยน์ในขณะนี้เป็น “เงินเทา” ของโลกที่ใช้ในหมู่อาชญากร ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำให้มัน “มีค่า”เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า คุณค่าหรือมูลค่าที่เหมาะสมของทองและบิตคอยน์ควรเป็นเท่าไร? มีใครตอบได้ไหม? ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น ในระยะยาว ราคาของสินทรัพย์ทุกชนิดก็จะวิ่งเข้าหามูลค่าที่แท้จริงเป็นส่วนใหญ่ของเวลาทองคำนั้น เนื่องจากมีประวัติของราคายาวนานเป็นร้อย ๆ ปี คุณค่าหรือมูลค่าที่แท้จริงของมันที่เกิดจากการเป็นเครื่องประดับและต่อมาเป็น “ทุนสำรอง” ของความมั่งคั่งทั้งของบุคคลธรรมดาและรัฐชาติทั่วโลกจึงน่าจะเท่า ๆ กับราคาของทองในท้องตลาดเป็นส่วนใหญ่ของเวลา เหตุที่มูลค่ากับราคาไม่เท่ากันตลอดเวลาก็เพราะว่าในบางช่วงมีการ “เก็งกำไร” น้อย ราคาก็จะต่ำกว่ามูลค่า และในช่วงที่มีการเก็งกำไรมากอย่างช่วงเร็ว ๆ นี้ ราคาก็อาจจะสูงกว่าคุณค่ามากวิธีที่จะดูว่าราคาสูงเวอร์เกินไปหรือเปล่า ทางหนึ่งก็คือ ดูว่าเส้นกราฟราคาทองคำในระยะยาวนั้น ควรที่จะค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นประมาณปีละ 3-4% ตามอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในระยะยาว แล้วเปรียบเทียบกับราคาทองคำในปัจจุบัน ถ้าราคาสูงเกินเส้นนี้ไปมากก็ต้องระวังว่าทองอาจจะร้อนเกินไป อย่าเข้าไปแตะในกรณีของบิตคอยน์นั้น การดูประวัติของราคาแค่ 8-9 ปี คงบอกไม่ได้ว่าคุณค่าของมันคือเท่าไร? นับถึงวันนี้ที่ชัดเจนก็คือ มันมีค่าเพราะมันเป็นที่ต้องการของคนที่ต้องการปกปิดความมั่งคั่งของตนเองเป็นหลัก แต่หลายคน รวมถึงคนระดับผู้นำโลกอย่างอเมริกาหรือผู้นำทางด้านเทคโนโลยีอย่างอีลอน มัสก์ ก็เชื่อว่าอนาคตคนจะยอมรับบิตคอยน์มากขึ้น เช่น อาจจะนำเอาบิตคอยน์มาเป็น “ทุนสำรอง” ของความมั่งคั่งแบบเดียวกับทองคำหรือเงินดอลลาร์หรือเงินของประเทศชั้นนำอื่น ๆ ซึ่งนั่นก็จะทำให้ราคาบิตคอยน์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมากขนาดเป็นหลายสิบหรือร้อยเท่าจากปัจจุบันแต่อะไรก็ตามที่เป็นเรื่อง “คาดเดา” และ “ยังไม่เกิดขึ้นเลย” หรือเกิดและเจ๊งไปแล้วอย่างประเทศ เอลซันวาดอร์ ที่ประกาศรับบิตคอยน์เป็นเงินในปี 2022 ก็ไม่น่าจะมีผลต่อมูลค่าที่ควรจะเป็นของบิตคอยน์ในแง่ที่ว่ามันจะมาแทนที่เงินตราที่ประเทศทั้งโลกใช้อยู่ และดังนั้น ราคาบิตคอยน์ที่ขึ้นลงหวือหวาก็คือเรื่องของการ “เก็งกำไร” อย่างสูง และคนที่เข้าไปเล่นก็น่าจะมีโอกาสทั้งกำไร 10 เด้งและขาดทุน 90% ได้พอ ๆ กันและนั่นนำมาถึงประเด็นเรื่อง “ความเสี่ยง” ซึ่งสำคัญพอ ๆ กับ “ผลตอบแทน” ของทองและบิตคอยน์ มาดูประวัติการ “ขาดทุนมากที่สุด” หรือ “Maximum Drawdown” ของทองคำกับบิตคอยน์ในช่วงเวลาหนึ่งกันว่าเป็นอย่างไรทองคำในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมานั้นต้องถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับหุ้นหรือหลักทรัพย์ยอดนิยมอื่น ๆ เพราะมีเพียง 3 ช่วงเวลาที่ทองคำตกลงมาหนักเกิน 20% ขึ้นไปช่วงที่ 1 ในปี 2008 ที่เป็นช่วงซับไพร์มตกลงมา 7-8 เดือนและลดลงสูงสุดประมาณ 30%ช่วงที่ 2 เกิดในปี 2011 ตกลงไปยาวประมาณ 4 ปี 3 เดือน และลดลงมากที่สุดถึง 45.5% และนี่ก็คือช่วงที่ทองคำเหงาหงอยยาวนานแต่ก็ไม่ใช่ตกแรงทีเดียวจบและช่วงที่ 3 คือปี 2020 ในช่วงโควิด 19 ที่ตกลงมา 2 ปี 3 เดือน และตกลงมามากที่สุด 21%บิตคอยน์นั้นตรงกันข้ามกับทอง เพราะในช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมานั้น แทบจะเกือบทุกปี บิตคอยน์จะตกลงมาแรงมากขนาดที่ 20% นั้น กลายเป็นการ “ตกเล็กน้อย”เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2017 บิตคอยน์ตกลงมาแบบ “วิกฤติ” จนถึงปลายปี 2018 ที่ตกลงมาต่ำสุดถึง 83-84% ในเวลา 12 เดือน ก่อนที่จะฟื้นในปี 2019 ได้เพียงปีเดียว“วิกฤติ” ครั้งที่ 2 ก็เริ่มขึ้นอีกในช่วงต้นปี 2020 ที่บิตคอยน์ตกลงมาถึง 60-65% ในเวลาเพียง 1 เดือนและปรับตัวขึ้นได้แต่ก็อยู่ได้เพียงปีเดียวก่อนที่จะเกิด“วิกฤติ” ครั้งที่ 3 ในช่วงต้นปี 2021 ที่ราคาบิตคอยน์ตกลงมา 50-55% ในเวลา 2-3 เดือน ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นจนถึงปลายปีหรือเป็น “ช่วงที่ดี” ของการลงทุนเพียงประมาณ 5-6 เดือนก่อนที่จะเกิดการถล่มครั้งใหม่ที่เป็น“วิกฤติ” ครั้งที่ 4 ในช่วงปลายปี 2021 ต่อเนื่องถึงปลายปี 2022 เป็นเวลา 12 เดือน ที่บิตคอยน์ตกลงไปเรื่อย ๆ จนขาดทุนถึง 75-78% ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ ค่อนข้าง “ยาวนาน” ถึงเกือบ 3 ปี จนทำให้ 1 บิตคอยน์มีราคากว่า 120,000 ดอลลาร์ หรือเกือบ 4 ล้านบาท ในเดือนตุลคม 2025 ที่ผ่านมาก่อนที่จะปรับตัวลงแรงประมาณ 25-28% อีกครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ที่ถือเป็นครั้งที่ 5 ที่ยังไม่รู้ว่าจะกลายเป็น “วิกฤติ” อีกหรือเปล่าและทั้งหมดนั้นก็คือข้อมูลเกี่ยวกับโปรไฟล์ของทองกับบิตคอยน์ที่คนคิดลงทุนจะต้องตระหนักและควรจะท่องจำไว้ว่า “ราคาทองนั้น 20 ปี อาจจะวิกฤติครั้งหนึ่ง หุ้นเกิดวิกฤตทุก 10 ปี แต่บิตคอยน์นั้น เกิดวิกฤติทุกปี” เพื่อที่จะเตือนตัวเองเสมอไม่ให้กล้าหรือโลภเกินไป และแน่นอนว่า ไม่ว่าจะเล่นอะไรก็ตาม อย่าจำนองบ้านมาลงทุนแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1929042
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
02/12/2025
คปภ.เปิดแนวปฏิบัติการเคลมประกันภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่ถูกน้ำท่วม เช็ก 5 ระดับความคุ้มครอง ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี)นายอาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการ ด้านกำกับธุรกิจประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า แนวปฏิบัติการเคลมประกันภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่ถูกน้ำท่วมเน้นเรื่องการเคลมเร็วและง่าย สามารถถ่ายรูปแจ้งเคลมได้ทันทีสำหรับรถยนต์การเคลมความเสียหาย มีเกณฑ์ 5 ระดับในการจ่าย ทั้งรถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี)ระดับ A – น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ : ค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 8,000-10,000 บาทระดับ B – น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง : ค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 15,000-20,000 บาทระดับ C – น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า : ค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 25,000-30,000 บาทระดับ D – น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า : ค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 30,000 บาทระดับ E – รถยนต์จมน้ำทั้งคันบริษัทจะคืนทุนประกันตามตารางกรมธรรม์เบื้องต้นเป็นเรตของรถสันดาป ถ้าเป็นไฮบริด จ่ายเพิ่ม 100,000 บาท ของแต่ละระดับ ส่วน EV ตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไป ให้บริษัทประเมินความเสียหายส่วนกรณีบ้านที่อยู่อาศัยที่มีความคุ้มครอง เรื่องภัยธรรมชาติ หรือน้ำท่วม จะจ่ายไม่ยาก เนื่องจากจะมีวงเงิน Sublimit อยู่แล้ว ประมาณ 20,000-30,000 บาท สามารถจ่ายได้ทันที“แนวทางคือผู้เอาประกันที่มีความเสียหาย ก็ถ่ายรูปแล้วส่งไปให้บริษัทประกัน ซึ่งเขาจะพิจารณาว่า ควรส่งคนออกมาดูอีกทีหรือไม่ เป็นกระบวนการของบริษัท หากรูปที่ถ่ายส่งไปมีความชัดเจน ทางเซอร์เวเยอร์ก็ไม่ต้องอะไรมาก แต่กรณีเป็นประกันชั้น 1 บริษัทประกันก็ต้องลากรถมาประเมิน มาซ่อมอยู่แล้ว โดยหากน้ำท่วมทั้งคันก็จะเป็น TotalLoss ที่ต้องจ่ายคืนทุนประกัน ส่วนที่อยู่อาศัยก็ถ่ายรูป แจ้งว่าบ้านอยู่ตรงไหน เลขที่เท่าไหร่ส่งไป”ด้านนางสาวกัลยา จุกหอม รองผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า เกณฑ์การจ่ายเคลมไม่น่าจะมีปัญหา เนื่องจากความเสียหายชัดเจน สำหรับการเคลมรถยนต์รอบนี้คาดจะทำเคลมง่าย เพราะหากจมมิดคันก็น่าจะเป็น Total Loss โดยเกณฑ์การจ่ายเคลมถ้าเป็นรถสันดาปท่วมถึงคอนโซลรถก็เป็น Total Loss ต้องจ่ายคืนตามทุนประกันขณะที่รถไฮบริดหากน้ำท่วมแบตเตอรี่ก็จะบวกค่าแบตเตอรี่อีก 100,000 บาท กรณีรถอีวี หากน้ำท่วมถึงแบตเตอรี่ซึ่งมีมูลค่าสูงเกิน 70% ของราคารถ ก็ต้องจ่าย Total Loss เช่นเดียวกันขณะนี้ยังประเมินความเสียหายทั้งหมดไม่ได้ เพราะรถที่ถูกน้ำท่วมไม่ได้มีแค่รถในพื้นที่ แต่มีรถคนข้างนอกที่เข้ามาในพื้นที่ด้วย คนไปเที่ยว ไปประชุมสัมมนา ตามโรงแรมต่าง ๆ มีรถที่อยู่ชั้นใต้ดินจำนวนมาก ยังไม่สามารถประเมินได้สำหรับทรัพย์สินอื่นอย่างที่อยู่อาศัย ทุนประกันน้ำท่วม 20,000 บาท บริษัทประกันก็คงจ่ายให้เต็มจำนวน เพราะความเสียหายน่าจะเกินกว่านั้นแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1929788
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
02/12/2025
“ถ้ำมองของกรมพระกำแพง” นิทรรศการภาพถ่ายฟิล์มกระจก 3 มิติ จากสายพระเนตร ‘เสด็จในกรมพระกำแพงเพ็ชรฯ’ นักบันทึกโลกเมื่อร้อยปีก่อนแกลเลอรี่ โอเอซิส ชวนเข้าชมงาน “ถ้ำมองของกรมพระกำแพง” นิทรรศการภาพถ่ายฟิล์มกระจก 3 มิติ ครั้งแรกของโลก หนึ่งในโปรเจ็กต์พิเศษภายใต้ “โครงการศิลปินในตู้” เปิดพื้นที่ให้ประวัติศาสตร์และศิลปะร่วมสมัยมาบรรจบกัน ผ่านผลงานภาพถ่ายฟิล์มกระจก 3 มิติของ พลเอก พระบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน (พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร) พระบรมวงศานุวงศ์ผู้สนใจการถ่ายภาพอย่างลึกซึ้ง และเป็นหนึ่งในผู้บันทึกสังคมโลกผ่านสายตาชาวสยามยุคต้นศตวรรษที่ 20นับเป็นครั้งแรกที่ภาพถ่ายฟิล์มกระจก 3 มิติ (Stereoscopic Glass Plate Photography) อันทรงคุณค่าและหาชมยาก ที่ได้รับการจัดเก็บอย่างหวงแหนในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ถูกนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะในบริบทงานศิลปะร่วมสมัย ผลงานภาพถ่ายกว่า 100 ภาพ ที่ทรงฉายระหว่าง พ.ศ. 2451 – 2464 เผยให้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในสยาม อินโดจีน จีน และดินแดนอาหรับ ผ่านมุมมองของบุคคลผู้ร่วมขับเคลื่อนการสร้างทางรถไฟหลวงยุคบุกเบิก ภาพถ่ายเหล่านี้ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญของสยาม หากยังสะท้อนแง่งามของการจัดองค์ประกอบภาพ ความเป็นธรรมชาติของการกดชัตเตอร์ และสายพระเนตรที่เปี่ยมด้วยมนุษยธรรมนิทรรศการจัดแสดงที่แกลเลอรี่ โอเอซิส เข้าชมได้ทุกวันอังคาร – อาทิตย์ เวลา 11.00 – 20.00 น. (ปิดวันจันทร์)แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000112912
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
02/12/2025
ชมภาพความงามของเดือนพฤศจิกายนในช่วงนี้ของ “อุทยานแห่งชาติ จิ่วจ้ายโกว” (Jiuzhaigou) หนึ่งในมรดกโลกทางธรรมชาติของ UNESCO และนับเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A ของประเทศจีนอุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน มีพื้นที่ทั้งหมด 720 ตารางกิโลเมตร โดยมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 1,996 - 4,764 เมตร และล้อมรอบด้วยพื้นที่คุ้มครองอีก 643 ตารางกิโลเมตร ชื่อ “จิ่วจ้ายโกว” แปลว่า “หุบเขาเก้าหมู่บ้าน” มาจากเก้าหมู่บ้านชาวทิเบตที่ตั้งอยู่บริเวณนี้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ ทะเลสาบบนภูเขาสูงและน้ำตกต่าง ๆ นอกจากนี้อุทยานยังเป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์รวมกว่า 3,634 ชนิด รวมถึงแพนด้ายักษ์ และสายน้ำในจิ่วไจ้โกว ยังเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำเจียหลิง ซึ่งเป็นสาขาหลักของแม่น้ำแยงซีความงดงามทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบสีฟ้า-เขียวมรกต น้ำตกสูงตระหง่าน ป่าไม้ต้นน้ำอันบริสุทธิ์ และหิมะบนยอดเขาในฤดูหนาว ทำให้อุทยานแห่งนี้มีชื่อเสียงในฐานะ “สวรรค์บนดิน” และ “โลกเทพนิยาย”แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000112157
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
01/12/2025
เอไอเอ ประเทศไทย เดินหน้าสร้างแรงบันดาลใจให้คนเมืองหันมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว “AIA Vitality รูปแบบใหม่” พร้อมแคมเปญกระตุ้นการขยับร่างกายในชีวิตประจำวัน ผ่านสื่อ Out Of Home (OOH) ทั่วกรุงเทพฯ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ “สุขภาพดี เริ่มได้ตั้งแต่ก้าวแรก”หนึ่งในไฮไลต์สำคัญ คือสื่อบิลบอร์ดยักษ์บริเวณสถานีรถไฟฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ ที่ได้ AIA Vitality Ambassador ‘หมาก ปริญ สุภารัตน์’ มาเติมพลังด้วยท่า “หัวใจสุขภาพดี” เพื่อชวนคนเมืองลุกขึ้นมาขยับแบบง่าย ๆ ในทุกวัน พร้อมส่งข้อความ “AIA Vitality รูปแบบใหม่ รวมสิทธิประโยชน์ให้คุณเลือกได้ทุกเดือน” ด้วย Monthly Rewards และ Vitality Bonus สูงสุด 20% ของเบี้ยประกันภัย* ให้คนไทยได้ทั้งความคุ้มค่าและสุขภาพดีไปพร้อมกัน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’นอกจากนี้ AIA Vitality ยังสร้างสีสันด้วย “บันไดสุขภาพ” ที่ปรากฏตัวตามจุดเดินเชื่อมรถไฟฟ้า นำเสนอจำนวนแคลอรีที่เผาผลาญได้ในแต่ละขั้น ชวนให้ทุกคนเลือกเดินมากขึ้น สนุกกับการขยับ และเห็นคุณค่าของการดูแลสุขภาพตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ ใกล้ตัว สะท้อนถึงแนวคิด ‘RETHINK HEALTHY’ สุขภาพดี ไม่ต้องยากอย่างที่คิด เพียงแค่เปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อยในแต่ละวัน สามารถสร้างสุขภาพที่ดีได้ทันทีทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย มุ่งมั่นต่อยอดสังคมสุขภาพดีของคนเมือง ด้วยโปรแกรม “AIA Vitality รูปแบบใหม่” สำหรับผู้ที่สนใจศึกษารายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ https://www.aia.co.th/th/health-wellness/vitality หรือติดต่อตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอหมายเหตุ: * สิทธิประโยชน์กรมธรรม์และเงื่อนไขขึ้นอยู่กับแบบประกันที่เข้าร่วมโครงการ AIA Vitality หากไม่มีการเคลม
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
27/11/2025
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เป็นตัวแทนเข้ารับมอบรางวัล “Corporate Social Impact Award 2025 – ระดับ Platinum” จากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AmCham Thailand) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 จากโครงการเอไอเอ แชร์ริ่ง อะ ไลฟ์ (AIA Sharing A Life) ครั้งที่ 12 หรือวันทำดีร่วมกันของชาวเอไอเอ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Healthier You เริ่มต้นที่การฉีดวัคซีน” โดยได้มอบวัคซีนไข้หวัดใหญ่จำนวน 10,000 เข็ม ให้แก่บุคลากรของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงจากการปฏิบัติงานในพื้นที่ชุมชน ครอบคลุมทั้ง 50 เขตทั่วกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความรุนแรงของโรค รางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ประเทศไทย ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน พร้อมทั้งส่งเสริมความยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การดำเนินชีวิต
21/11/2025
กฎ 1% มีความหมายว่า "ชีวิตเราไม่ต้องทำอะไรพิเศษมาก แค่ทำตัวให้ดีเพิ่มขึ้นเพียงวันละ 1% เพียง 1 ปี คุณภาพตัวเราจะเป็น 37.78 เท่าของคุณภาพเราตอนต้นปีเลยทีเดียว"หากถามว่า “คนชาติไหนมีคุณภาพมากที่สุด?” คำตอบก็คงหลากหลาย แต่เชื่อนะว่าคำตอบหนึ่งที่คนตอบกันเยอะ คือ “คนญี่ปุ่น” เพราะไม่ว่าการฟื้นตัวจากภาวะสงคราม จากภัยธรรมชาติ รวมถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีต่างๆ อีกทั้งคนที่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่น ต่างก็ประทับใจในความสะอาด ความมีระเบียบเรียบร้อย การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเดินทาง ฯลฯ หลายคนถึงบอกว่า “เที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวเองก็ได้ ปลอดภัย”สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ “อะไรคือเหตุผลของความมีคุณภาพของคนญี่ปุ่น?” คำตอบหนึ่งก็น่าจะเป็น “การอบรมสั่งสอน” เราจึงมักได้ยินปรัชญาการดำเนินชีวิตของคนญี่ปุ่นมากมาย เช่น • Oubaitori (โอบาอิโทริ) – การไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใคร ถ้าอยากทำให้ตัวเองมีความสุขอย่าเปรียบเทียบกับคนอื่น และตั้งจุดมุ่งหมายหนึ่งอย่างให้ตัวเราเพื่อให้โฟกัสในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่เอาสิ่งนั้นไปเปรียบเทียบกับคนอื่น • Kaizen (ไคเซ็น) – พัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้นทุกวัน ทุกอย่างดีขึ้นได้ในทุกๆ วัน ค่อยๆ เชื่อในการเปลี่ยนแปลงตัวเองทีละนิดจนกลายเป็นสิ่งที่มั่นคงและถาวร • Mottainai (มต-ไต-น่าย) – ไม่มีใครหรืออะไรที่ไร้ค่า มองข้อดีของสิ่งรอบตัว ทุกอย่างล้วนมีข้อดี ไม่มีสิ่งใดไร้ค่าบนโลกนี้ นาฬิกาตายแต่ก็ยังบอกเวลาได้ตรงถึงสองครั้งต่อวัน ดังนั้น จงมองเห็นข้อดีที่แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่อยู่รอบตัวเราจะช่วยพัฒนาจิตใจเราได้ • Wabi-Sabi (วาบิ ซาบิ) – ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต ทุกคนในโลกไม่มีใครที่มีชีวิตที่สมบูรณ์ ให้ยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบในชีวิตและเอาเวลาไปคิดปรับปรุงส่วนอื่นเพื่อให้เรามีคุณค่า • Kintsugi (คินสึงิ) – ซ่อมรอยร้าวด้วยทอง ความงดงามของบาดแผลในชีวิตเกิดขึ้นจากประสบการณ์ และสุดท้ายความผิดพลาดต่างๆ ในชีวิตจะทำให้เราสวยงามขึ้นเอง เหมือนการใช้ทองคำมาซ่อมแซมรอยร้าวของแจกันทำให้กลับมาสวยงามได้อีกครั้ง • Gaman (กะ-มัง) – ยึดมั่นในศักดิ์ศรีของตัวเอง เมื่อถึงวันที่เราลำบาก ท้อแท้ หมดกำลัง ให้เชื่อว่าเรามีศักดิ์ศรีและเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราสามารถทำสิ่งที่เป็นไม่ได้ให้เป็นไปได้ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ตาม • Yuugen (ยูเก็น) – มองเห็นความงามที่ซ่อนอยู่ ให้เรามองถึงคุณค่าที่อยู่ภายในตัวเอง ด้วยการฝึกสัมผัส ชื่นชม และเห็นความงดงามในตัวเรา คนรอบข้าง และธรรมชาติรอบตัว • Ikigai (อิคิไก) – หาเหตุผลของการตื่นขึ้นมาในทุกเช้า การตื่นขึ้นมาและรู้ว่าเราต้องทำอะไรในทุกๆ วัน เพื่อให้มีความสุข และมีความสุขในทุกๆ อย่างที่เราทำในแต่ละวัน • Shikata ga nai (ชิกะตะกาไน่) – ยอมรับและปล่อยวางกับบางเรื่อง บางเรื่องที่เกิดขึ้นก็ควบคุมไม่ได้ หรือหมดปัญญาหาทางแก้ไข ก็ให้ปล่อยวางและก้าวต่อไป • Omoiyari (โอะโมยยะริ) – ให้ความสำคัญกับผู้อื่น ใจเขาใจเรา ให้เกียรติกับทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา มีความห่วงใยใส่ใจกับคนรอบข้างอีกหนึ่งปรัชญาที่น่าสนใจ คือ กฎ 1% กฎนี้มีความหมายว่า “ชีวิตเราไม่ต้องทำอะไรพิเศษมาก แค่ทำตัวให้ดีเพิ่มขึ้นเพียงวันละ 1% เพียง 1 ปี คุณภาพตัวเราจะเป็น 37.78 เท่าของคุณภาพเราตอนต้นปีเลยทีเดียว ในทางกลับกัน เพียงเราทำตัวแย่ลงแค่วันละ 1% เพียง 1 ปี คุณภาพตัวเราจะเหลือเพียง 0.03 เท่าของคุณภาพเราตอนต้นปีเลยทีเดียวเช่นกันนั่นคือ ชีวิตเราจะ “ดีขึ้น” หรือ “แย่ลง” ขึ้นอยู่กับคำเพียง 2 คำ คือ“เลือก” เราเลือกทางไหน ถ้าเราเลือกทางที่ดี ทางที่ถูกต้อง สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ก็จะดี“มีวินัย” ลำพังแค่ “เลือก” แต่ไม่ทำ ก็เหมือนการ “นิ่ง” ไม่ก้าวเดิน แม้จะหันหน้าถูกทิศ แต่ถ้าไม่เดิน เราก็ไม่มีทางสำเร็จตามที่หวัง เหมือนหลายคนอยากเป็นคนเก่ง ซื้อหนังสือ How to มาอ่านจนเต็มบ้าน แต่ไม่เคยทำตามหนังสือเลย ความรู้ที่มีก็มีประโยชน์แค่ไว้คุยเท่านั้น การจะสำเร็จได้ต้องทำ และทำอย่างต่อเนื่องด้วย ความสำเร็จทำได้ยาก หากขาดวินัยที่จะทำอย่างต่อเนื่อง เราก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จกฎหนึ่งที่มีความหมายในทำนองเดียวกัน คือ กฎ 5/25 ของ Warren Buffett ซึ่งเขาเคยกล่าวไว้ว่า“กฎ 5/25 คือกุญแจสู่ความสำเร็จของเขา ซึ่งเริ่มต้นจากการทำอย่างต่อเนื่อง และทำอย่างเคร่งครัด เพื่อสะสม ‘ความรู้’ ทีละเล็กทีละน้อย เสมือนกับดอกเบี้ยทบต้น แล้วสิ่งเหล่านี้เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอมันจะกลายเป็นข้อได้เปรียบของชีวิต!”กฎ 5/25 คือเครื่องมือที่เราจะต้องระบุ 25 สิ่งที่สำคัญที่สุด โดยทำออกมาเป็น Checklist ง่ายๆ แล้วจัดลำดับความสำคัญ โดยมุ่งเน้นไปที่ 5 อันดับแรกที่สำคัญที่สุด! เทคนิคนี้จะช่วยให้เราโฟกัสไปที่เรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะในชีวิตจริง เรามักจะมีเป้าหมายมากมาย ทั้งเป้าหมายที่สำคัญ กับเป้าหมายที่อยากทำ ของฟรีไม่มีในโลก หากเราเสียเวลา เสียทรัพยากรไปกับเป้าหมายที่ไม่สำคัญ เรากำลังเสียสละเวลา ทรัพยากรที่ควรใช้กับเป้าหมายที่สำคัญเสมอการเลือกเป้าหมายที่สำคัญ 5 อย่างจะช่วยให้เรากลั่นกรองเป้าหมายให้เหลือแต่ที่สำคัญจริง ช่วยให้เราจดจ่อ มีสมาธิ และจัดสรรเวลา ทรัพยากรเพื่อเป้าหมายนั้นได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้เป้าหมายในชีวิตประสบความสำเร็จกับก้าวเล็กๆ ซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่วันนี้ เราลองมาทำ checklist ดูนะว่า ทุกวันนี้ เราเสียเวลาไปกับสิ่งที่ควรเสียหรือเปล่า?แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับthairathhttps://www.thairath.co.th/money/experts_pool/columnist/2876055
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
21/11/2025
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงินผู้เขียน : พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่)ผมทำประกันไว้ ถ้าเป็นอะไรไปครอบครัวจะได้ความคุ้มครอง 150 เท่า ซึ่งประโยคนี้ของ คมสันต์ แซ่ลี ผู้ก่อตั้ง Flash Express ที่ได้พูดบนเวที Bitkub Summit 2025 ได้กลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงกันเยอะมากในธุรกิจประกันชีวิตในช่วงนี้Premium Financing คืออะไรในมุมของบริษัทประกันชีวิต เราเรียกวิธีนี้ว่า Premium Financing ซึ่งก็เป็นที่นิยมกันมากในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฮ่องกงหรือสิงคโปร์แนวคิด “เงินต่อเงิน” นี้นำมาจากแนวคิดของวงการอสังหาริมทรัพย์ เช่นเดียวกับการกู้ซื้อบ้าน ที่ดิน หรือคอนโดฯ ที่ผู้กู้วางเงินดาวน์บางส่วนและใช้ตัวสินทรัพย์ที่ได้มานี้เป็นหลักค้ำประกัน โดยวงเงินกู้ที่ได้ขึ้นอยู่กับราคาประเมินของสินทรัพย์และความสามารถชำระหนี้ของผู้กู้ และปัจจัยที่สำคัญก็คือดอกเบี้ยของ “สินทรัพย์” นั้นจะสูงหรือจะต่ำ ก็ขึ้นกับประเภทของสินทรัพย์นั้น ที่คิดว่าจะ “สร้างมูลค่า” หรือ “เสื่อมค่า” มากกว่ากันเราจึงเห็นกลยุทธ์ “เงินต่อเงิน” ในการกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เน้น “สร้างมูลค่า” แต่กลยุทธ์นี้มันจะไม่ได้ผลกับการกู้ซื้อรถยนต์ หรือสินทรัพย์ที่เสื่อมมูลค่าการประยุกต์ใช้กับกรมธรรม์ประกันชีวิตถ้าเรานำกลยุทธ์นี้มาประยุกต์กับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เป็นสินทรัพย์สร้างมูลค่า เมื่อระยะเวลาผ่านไป ก็ได้เช่นเดียวกัน โดยหลักคิดเดียวกันนี้ ถูกนำมาใช้กับ “กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบชำระเบี้ยครั้งเดียวแต่คุ้มครองตลอดชีวิต (Single Premium Whole Life)” โดยผ่านเทคนิค “Premium Financing” ที่มีธนาคารเป็นตัวกลางทำให้มันเกิดขึ้นมาได้ตัวอย่างของ คมสันต์ แซ่ลี คือชำระเบี้ยบางส่วน และกู้เงินจากธนาคารเพื่อจ่ายส่วนที่เหลือ โดยนำ “มูลค่าเวนคืนเงินสด” ของกรมธรรม์มาค้ำประกัน ตัวอย่างเช่น ผู้ชายอายุ 35 ปี ซื้อกรมธรรม์ทุนประกัน 7,000 ล้านบาท เบี้ยประกัน 500 ล้านบาท แต่กู้ได้ถึง 90% หรือประมาณ 450 ล้านบาท ใช้เงินสดเพียง 50 ล้านบาท ก็ถือกรมธรรม์มูลค่าหลายพันล้านได้เงื่อนไขของ Premium Financingแนวคิดนี้เหมาะกับผู้มีฐานะทางการเงินที่มีเงินเย็น และไม่ต้องมีสภาพคล่อง- กรมธรรม์ประกันชีวิตที่ชำระเบี้ยครั้งเดียวคุ้มครองตลอดชีวิตจะมีมูลค่าตั้งแต่วันแรก และนำไปเดินเรื่องกับธนาคารเพื่อขอค้ำกู้ได้ก่อนที่จะซื้อ ซึ่งกระบวนการก็เหมือนกับการกู้ซื้อบ้าน ที่ต้องคุยกับธนาคารก่อนแล้วค่อยไปซื้อ- ธนาคารยอมปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยใช้กรมธรรม์เป็นหลักประกัน ซึ่งแปลว่าผู้กู้ก็ยังคงต้องชำระดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับธนาคารอยู่ดี- ถ้าผู้กู้นำเงินกู้ก้อนนั้นมาลงทุนกับสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำที่ให้ดอกเบี้ยระยะยาว ก็กลายเป็นว่าผู้กู้ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเลย หนำซ้ำในแต่ละปีก็จะได้ส่วนต่างของดอกเบี้ยมาอีกด้วยทำไมฮ่องกงหรือสิงคโปร์จึงทำให้เงื่อนไขของ Premium Financing มันลงตัวได้ต่อที่ 1 – สภาพแวดล้อมในการออกแบบเบี้ยประกันต้นทุนเบี้ยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ชำระเบี้ยครั้งเดียวคุ้มครองตลอดชีวิตนั้นต่ำ เนื่องจาก 2 ปัจจัยหลักคือ อัตรามรณะที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน (สมมติว่าคนตายน้อย) และอัตราการลงทุนที่กระจายถึงทั่วโลก ทำให้ได้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและสูงกว่าเพื่อนบ้าน (บริษัทประกันสร้างผลตอบแทนจากเงินของเรา ให้เงินทำงานให้เราได้เยอะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเก็บเบี้ยมาก)นอกเหนือจากนี้ เพราะมันเป็นกรมธรรม์ที่เก็บเงินก้อนมาครั้งเดียวตอนแรก และกว่าจะจ่ายเงินให้ก็ตอนที่ตาย จึงทำให้ระยะเวลาในการลงทุนนั้นนานมาก ทำให้ดอกเบี้ยทบต้นมีกำลังสูงมากที่สุดในโครงสร้างกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบนี้ ตัวอย่างเช่น ผู้ชายอายุ 30-35 ปี จะได้ความคุ้มครองสูงถึง 15 เท่าของเบี้ยในกรมธรรม์ลักษณะนี้ (และถ้า Leverage เงินกู้ได้อีก ก็จะทำให้ทุนคุ้มครองสูงถึง 150 เท่า)อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำในทางตรงข้ามกับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เข้าถึงการลงทุนในอัตราดอกเบี้ยทั้งสูงและทั้งยาวได้ ในขาของการกู้ยืมเงิน กลับมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัวที่ต่ำ และต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการนำกรมธรรม์ประกันชีวิตมาค้ำประกันก็ยิ่งทำให้ต่ำเข้าไปอีก เพราะถ้าผู้กู้จ่ายเงินต้นหรือจ่ายดอกเบี้ยให้ไม่ได้ ธนาคารก็สามารถยึดกรมธรรม์ประกันชีวิต หรือรอเอาทุนประกันชีวิตจากการตายของผู้กู้มาชดใช้ได้ ซึ่งกลไกของแนวคิดนี้ก็ไม่ต่างกับการปล่อยสินเชื่อบ้านนั่นเองผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวเมื่อได้เงินกู้แล้ว เลือกที่จะเอาเงินกู้กลับไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวที่สูง เพื่อมากลบกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายให้ธนาคารอีกได้ ยิ่งถ้าใครชอบความเสี่ยงต่ำ ก็ไปซื้อพันธบัตรระยะยาว ซึ่งในฮ่องกงและสิงคโปร์ก็มีพันธบัตรระยะยาวให้เลือก และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ซึ่งนั่นแปลว่าเราได้เงินกู้มาฟรี ๆ แต่ก็ต้องยอมแลกกับ “สภาพคล่อง”ตัวอย่างการทำ Premium Financingเพื่อให้เห็นภาพจริงมากขึ้น ขอสมมติเป็นตัวอย่างที่พบเห็นได้อยู่ทั่วไปตัวอย่างที่หนึ่ง เช่น มีเงิน 3-5 ล้านบาทก็ติดต่อกับธนาคารขอทำ Premium Financing และเมื่อธนาคารโอเค ผู้กู้ก็จะจ่ายเงินดาวน์ก้อนนั้นที่ 3-5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลืออีก 90% ก็จะกลายเป็นเงินกู้ที่ธนาคารออกให้ และธนาคารจะเดินเรื่องกับบริษัทประกันให้ เพื่อซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เบี้ยประกัน 30 ล้านบาท จนได้กรมธรรม์ออกมา ส่วนผู้กู้ก็คอยทำหน้าที่จ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารทุกปีตัวอย่างที่สอง คือมีเงิน 30 ล้านบาทไว้จ่ายเบี้ย แต่ไม่อยากใช้เงินตัวเอง ก็เลยติดต่อกับธนาคารขอทำ Premium Financing และเมื่อธนาคารโอเค ผู้กู้ก็จะจ่ายเงินดาวน์ก้อนนั้นที่ 3-5 ล้านบาท ส่วนเงินที่เหลืออีก 90% ก็จะกลายเป็นเงินกู้ที่ธนาคารออกให้ และธนาคารจะเดินเรื่องกับบริษัทประกันให้ เพื่อซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เบี้ยประกัน 30 ล้านบาท จนได้กรมธรรม์ออกมา ส่วนผู้กู้ก็จะมีเงินเหลือนำไปลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ ก็เท่ากับว่าเงิน 30 ล้านบาทนั้นเอาเงินมาต่อเงินได้อีกทีสรุปกลยุทธ์ “เงินต่อเงิน” ของกรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นไม่ต่างอะไรกับกลยุทธ์ “เงินต่อเงิน” ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นั่นเพราะสินทรัพย์ทั้งสองชนิดนี้เป็นสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าและไม่เสื่อมราคา ทำให้ธนาคารปล่อยกู้ได้ง่าย แต่ทั้งนี้ จะคุ้มค่าแค่ไหนก็ต้องขึ้นกับปัจจัยสภาพแวดล้อมของประเทศนั้น ๆ และก็ต้องแลกมาด้วยสภาพคล่องในการจ่ายดอกเบี้ยลอยตัว และนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนระยะยาวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1922293
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
21/11/2025
“อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน” น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ “สมเด็จพระพันปีหลวง” เปิดให้เข้าชมฟรีตลอดเดือนพฤศจิกายน 2568อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้เรื่อง “โขน” ชั้นเยี่ยมของเมืองไทย ที่นี่จัดแสดงนิทรรศการเรื่องราว ความเป็นมาเกี่ยวกับโขนของไทยใต้พระบารมีสมเด็จพระพันปีหลวงภายในมีสิ่งน่าสนใจอาทิ องค์ความรู้เรื่องโขน งานศิลปกรรมและประณีตศิลป์ที่ใช้ประกอบการแสดงโขน เช่น หัวโขน พัสตราภรณ์หรือเครื่องแต่งกาย กำไล สร้อย ผ้ายกเนินธัมมัง เป็นต้นห้องจัดแสดงหัวโขนตัวละครต่าง ๆนอกจากนี้ยังมีไฮไลต์ห้ามพลาด คือ เครื่องประกอบฉาก และฉากต่าง ๆ ที่ใช้ในการแสดงโขนพระราชทาน หรือ โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ อันงดงามอลังการ ซึ่งมีการจัดแสดงครั้งแรกที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2550 ด้วยชุด “ศึกอินทรชิต ตอนพรหมาศ” ต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ (2568) ในตอน “สัตยาพาลี”ฉากของโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เป็นการผสมผสานงานศิลปกรรม 3 แขนงหลัก คือ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ถูกออกแบบและสร้างสรรค์ออกมาอย่างวิจิตรตระการตาด้วยฝีมือของ อาจารย์ “สุดสาคร ชายเสม” ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ. 2566 (ประณีตศิลป์ - เครื่องประกอบฉาก) กับทีมงานและลูกศิษย์อาจารย์สุดสาคร ชายเสม ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ. 2566 (ประณีตศิลป์ – เครื่องประกอบฉาก) หัวหน้าทีมผู้ออกแบบและสร้างสรรค์ฉากต่าง ๆ ในการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯหลายฉากสามารถเคลื่อนไหว ส่องแสง หรือสร้างเซอร์ไพร์สให้กับผู้ชมได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็น ฉากเรือสำเภาหลวงลงกากับนางยักษ์ผีเสื้อสมุทร, ฉากท้องพระโรงกรุงลงกา, ฉากหนุมานอมพลับพลา และฉากหนุมานเนรมิตกาย เป็นต้นอาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน ตั้งอยู่ในศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดวันพุธ-อาทิตย์ (หยุดทุกวันจันทร์และอังคาร) เวลา 09.30-16.00 น. เพื่อเป็นการถวายความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระพันปีหลวง อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมฟรีตลาดเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้หมายเหตุ : วันพุธ ที่ 19 พฤศจิกายน 2568อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขน ปิดทำการชุดโขนตัวละครเอกในรามเกียรติ์ฉากหนุมานอมพลับพลา อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขนหัวโขนตัวละครต่าง ๆ ในรามเกียรติ์เครื่องประดับที่ใช้ในการแสดงโขนฉากหนุมานเนรมิตกายประติมากรรมนูนสูงฉากหนุมานเนรมิตกายฉากอันงดงามวิจิตรที่ออกแบบและสร้างสรรค์โดย อาจารย์สุดสาคร ชายเสม ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ พ.ศ. 2566 (ประณีตศิลป์ – เครื่องประกอบฉาก) กับทีมงานประติมากรรมบริเวณด้านหน้าทางเข้า อาคารเรียน-รู้-เรื่องโขนแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000107882
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
21/11/2025
รู้จักเมืองคยองจู (Gyeongju) ในประเทศเกาหลีใต้ ดินแดนที่เคยเป็นราชธานีของ “อาณาจักรชิลลา” (Silla) ซึ่งมีอายุยาวนานถึง 992 ปีภาพ: สำนักข่าวซินหัวประวัติศาสตร์ของคยองจู หรือที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า ซอราโบล (Seorabeol) จึงเปรียบเสมือนประวัติศาสตร์ของอาณาจักรชิลลาอันรุ่งเรืองที่ดำรงมากว่าพันปีภาพ: สำนักข่าวซินหัวคยองจูเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์เด่นทั้ง พุทธศิลป์ วิทยาการ และวัฒนธรรมอันงดงามของยุคโบราณ ที่ผลิบานขึ้นจากความสามารถด้านศิลปะของชาวชิลลา รวมถึงจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า ฮวารังโด (Hwarangdo) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรวมสามอาณาจักรให้เป็นหนึ่งเดียวภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวด้วยเหตุนี้ “คยองจู” จึงได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นเมืองที่ควรค่าแก่การรักษาไว้เพื่อมวลมนุษยชาติ โดยจิตวิญญาณอมตะแห่งชิลลา ยังคงสืบทอดอยู่ ณ ที่แห่งนี้มานานเกือบหนึ่งศตวรรษ และด้วยพลังแห่งประวัติศาสตร์นั้นเอง คยองจูจึงเป็นเมืองที่มีแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโกมากที่สุดในเกาหลีใต้ และได้รับการขนานนามให้เป็น “พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง”ภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000109724
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
01/04/2024
30/04/2024
02/08/2024
30/04/2024
29/04/2024