Everyday knowledge for you
ประกันภัย
14/08/2025
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร. ประมวล จันทร์ชีวะ อาจารย์พิเศษ ประจำคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้เขียนบทความถึง" War Risks and Ex gratia payment"ว่า ปัจจุบัน ประเด็นปมขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาจนถึงขั้นมีการใช้กำลังทหารและอาวุธ (armed force) ประหัตประหารกันทำให้เกิดความเสียหายต่อทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารของทั้งสองประเทศ ได้กลายเป็นปัญหาที่วิพากษ์วิจารณ์กันเกี่ยวกับเรื่องความคุ้มครองข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันวินาศภัยจาก War Risks (“ภัยสงคราม”) และ การจ่ายสินไหมแบบ Ex gratia payment (“สินไหมกรุณา”) ซึ่งมีผู้ให้ความเห็นที่แตกต่างกันภัยสงคราม (War Risks) ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยเนื่องจากเป็นภัยที่มักปรากฏอยู่ในกรมธรรม์ประกันวินาศภัยและกรมธรรม์ประกันภัยทางทะเลที่ใช้กันเป็นสากล เมื่อพูดถึงภัยสงคราม ควรที่จะต้องทำความเข้าใจว่าภัยนี้ไม่ใช่ภัยโดดเดี่ยว แต่เป็นชื่อของกลุ่มของภัยที่มีลักษณะคล้ายกันหรือควรจัดอยู่ในกลุ่มภัยเดียวกัน เช่น สงคราม (ไม่ว่าจะได้มีการประกาศหรือไม่ก็ตาม) การรุกราน การกระทำของศัตรูต่างชาติ การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ หรือการปฏิบัติการเยี่ยงสงคราม และสงครามกลางเมือง ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของกลุ่มภัยนี้จาก War Risks Exclusion ที่ใช้อยู่ในต่างประเทศโดยผ่านทางรูปแบบของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน เช่น ABI Form ดังนั้น การที่จะทราบเจตนารมย์ที่แท้จริงของคำเหล่านี้จึงสามารถที่จะสืบรู้ได้โดยการเทียบเคียงกับต้นตอที่มาของคำเหล่านี้ที่นำมาจากภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ภัยบางภัยในกลุ่มของภัยสงคราม ศาลต่างประเทศเคยใช้ความหมายของภัยนั้นตามพจนานุกรม ดังนั้น การหาความหมายตามพจนานุกรมของภัยในกลุ่มนี้จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสืบทราบถึงความหมายและศาลฎีกาของไทยก็เคยใช้วิธีการนี้มาก่อนในการแปลความคำที่มีปัญหาในกรมธรรม์ประกันภัย เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2544คำว่า สงคราม (ไม่ว่าจะมีการประกาศหรือไม่ก็ตาม) ถ้อยคำที่ใส่ไว้ในวงเล็บนี้ได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์สงครามระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่นในเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นโจมตีอ่าว Pearl Harbor ในปี ค.ศ. 1941 โดยที่ไม่ได้มีการประกาศสงครามก่อน การใส่ข้อความเช่นนั้นไว้ได้ช่วยสร้างความชัดเจนว่า สงครามที่ไม่ได้มีการประกาศสงครามก็ตกอยู่ในข้อยกเว้นและรวมถึง “การปฏิบัติการเยี่ยงสงคราม” ส่วน “การรุกราน” “การกระทำของศัตรูต่างชาติ” “การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์” มีความหมายที่กว้างขวางจนอาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ที่มีผู้เรียกว่า “การปะทะระหว่างไทย - เขมร” ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “การเยี่ยมเยียน” “การกระทำของมิตรต่างประเทศ” และ “การกระทำอันเป็นพันธมิตร” แต่แท้จริงก็คือ “การรุกราน” “การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์” และ “การกระทำของศัตรูต่างชาติ” ที่มีความมุ่งหมายส่วนหนึ่งที่จะบุกยึดดินแดนส่วนหนึ่งของผืนแผ่นดินไทยโดยใช้อาวุธสงครามและกองกำลังทหาร ที่สำคัญก็คือ ข้อยกเว้นภัยสงครามมักจะนิยมใช้หลัก Causation ที่กว้าง คือ “ไม่ว่าจะเป็นผลโดยตรงหรือโดยอ้อม จากหรือเป็นผลสืบเนื่องจากหรือเกี่ยวเนื่องมาจาก......”ในอีกมุมมองหนึ่ง แนวคิดที่จะขอให้มีการช่วยเหลือจากฝ่ายผู้รับประกันภัยเพื่อบรรเทาความเสียหายต่อผู้ประสบภัยในบริเวณที่เกิดเหตุตามความเหมาะสมและเท่าที่ควรจะทำได้ ก็เป็นสิ่งที่ดีและสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของคนไทยที่เรามักจะช่วยเหลือกันในยามยากและการช่วยเหลือเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลากหลายเหตุการณ์อย่างไรก็ตาม การที่จะขอให้ผู้รับประกันภัยพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนในลักษณะที่เป็น Ex gratia payment (สินไหมกรุณา) อาจก่อให้เกิดประเด็นข้อกฎหมายว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้เพราะมาตรา 31 (11) พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 บัญญัติห้ามไม่ให้บริษัทประกันภัย “ให้ประโยชน์เป็นพิเศษแก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย” ทั้งนี้เพราะ Ex gratia payment ก็คือ “เงินที่ผู้รับประกันภัยจ่ายให้แก่ผู้เรียกร้องค่าเสียหาย แม้จะมีความเห็นว่าไม่ต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม” และในบางประเทศมีพจนานุกรมกำหนดความหมายของคำนี้ไว้ในลักษณะเดียวกันว่า เป็นการจ่ายเงินโดยผู้รับประกันภัยสำหรับการเรียกร้องที่ไม่อาจเรียกร้องได้ตามกฎหมายภายใต้กรมธรรม์ประกันภัย และตามกฎหมายไทย การกระทำความผิดตามมาตรา 31 (11) มีโทษทางอาญาตามมาตรา 88 ของกฎหมายฉบับเดียวกันโดยปรับไม่เกินห้าแสนบาท ดังนั้น การช่วยเหลือของผู้รับประกันภัยจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า Ex gratia payment หรือ สินไหมกรุณาแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/642003
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
14/08/2025
เสียงกลองเอวแห่งอันไซดังกึกก้องจากการแสดงกลองเอวต้อนรับคณะสื่อเอเชียและแอฟริกาที่มาเยือน ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแห่งอันไซเพื่อเรียนรู้รากเหง้าศิลปะแห่งที่ราบสูงดินเหลือง สำหรับที่ราบสูงดินเหลืองที่เกิดจากการทับถมของฝุ่นดินที่ลมพัดพามาเป็นเวลานานและเป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำเหลืองหรือหวงโหนี้เป็นลักษณะภูมิประเทศของแถบภาคเหนือจีน และเมืองเหยียนอัน ถือเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของที่ราบสูงดินเหลือภาพประวัติศาสตร์การแสดงกลองเอวแห่งเมืองอันไซในพิธีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ปี 1949อันไซ (安塞/Ansai) เป็นอำเภอหนึ่งในเหยียนอัน เป็นสถานที่ปฏิบัติการที่สำคัญแห่งหนึ่งระหว่างการต่อสู้ปฏิวัติจีน ผู้นำการปฏิวัติของพรรคฯได้เข้ามายังอันไซหลายครั้งหลังจากที่มาถึงเขตภาคเหนือจีนในช่วงปี 1935 อันไซเป็นทั้งสถานที่พำนัก วางพื้นฐานแนวคิดการปฏิวัติ ปฏิบัติการต่างๆจนถึงปี 1947 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลพรรคคก๊กมินตั่งรุกโจมตีอย่างหนักหน่วงด้วยกองกำลังที่เหนือกว่าจากความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาจนเข้ายึดเมืองเหยียนอันได้ระหว่างที่เหมาเจ๋อตงได้วางแผนถอนกำลังออกจากเหยียนอัน ได้มาบัญชาการสงครามปลดแอกประชาชนที่อันไซเป็นเวลานาน 58 วัน ด้วยความเชื่อมั่นว่าแม้รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งยึดได้เมืองเหยียนอันไป หากการต่อสู้ปฏิวัติจีนของพรรคฯจะต้องบรรลุถึงชัยชนะและปกครองแผ่นดินจีนการตัดกระดาษของอันไซ ถือเป็นผลงานศิลปะที่ประณีตงดงามที่สุดในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งต่อมาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของจีนชีวิตการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มิได้มีแต่การเผชิญหน้าสู้รบด้านเดียว ยังได้หลอมรวมเข้ากับประชาชนในท้องถิ่นและศิลปะวัฒนธรรมพื้นถิ่นอย่างกลมกลืน ทำให้ชีวิตการต่อสู้ที่ต้องฝ่าฟันความยากลำบากนานา มีสีสันของศิลปะวัฒนธรรมที่จรรโลงจิตใจในการมาเยือนอันไซ คณะสื่อได้เรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรมพื้นถิ่นที่มีชื่อเสียงในระดับชาติและระดับโลก ซึ่งผู้เขียนขอยกตัวอย่างแบบพอสังเขปขณะที่เดินชมภาพในห้องนิทรรศการศิลปะวัฒนธรรมแห่งอันไซ และฟังการบรรยายภาพนิทรรศการ จากโซนการแสดงศิลปะกระดาษตัดแบบจีน การตัดกระดาษของอันไซ ถือเป็นผลงานศิลปะที่ประณีตงดงามที่สุดในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งต่อมาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของจีนภาพวาดแบบพื้นถิ่นของอันไซภาพวาดพื้นถิ่น ถูกยกเป็นอัญมณีของที่ราบสูง ชาวอันไซรุ่มรวยศิลปะขนาดไหน ดูจากวิวัฒนาการของภาพวาด ซึ่งมีที่มาจากภาพวาดตกแต่งข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน เตาให้ความร้อนในบ้านแบบเก่าของจีน หม้อ และตู้ ฯลฯ ศิลปะเหล่านี้เป็นที่นิยมมากในช่วงทศวรรษที่ 60 ของศตวรรษที่ 20 ต่อมาได้หลอมรวมกับธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและการพัฒนาสังคม ภาพวาดพื้นถิ่นของอันไซ ยังได้ซึมซับศิลปะกระดาษตัด การปักลวดลายบนผ้าและรูปแบบศิลปะอื่นๆนอกจากนี้ คณะสื่อฯยังได้ฟังเพลงพื้นถิ่น ที่ทรงพลังเสียงอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้... นับเป็นศิลปะการขับร้องที่โดดเด่นของท้องถิ่น ผู้เขียนได้นำเสนอคลิปในเพจโซเชียลของ MGR CHINAกลองเอวแห่งอันไซกลับมาที่เรื่องเกี่ยวกับกลองเอวแห่งอันไซที่ได้กล่าวถึงในตอนเปิดเรื่อง...กลองเอวแห่งอันไซถือเป็นจิตวิญญาณของประชาชาติจีนกลองเอวแห่งอันไซเป็นศิลปะวัฒนธรรมการแสดงระบำพื้นบ้านของเกษตรกรที่เก่าแก่กว่า 2,000 ปี และเป็นผลผลิตจากการต่อสู้สงครามยุคโบราณเสียงกลองจากระบำกลองเอวอันไซนี้ ยังดังกึกก้องในวันประกาศชัยชนะของการต่อสู้ปฏิวัติและการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 อีกทั้งได้เป็นประจักษ์พยานคำประกาศของเหมาเจ๋อตง “นับจากนี้ไปประชาชนจีนได้ยืนขึ้นแล้ว” (中国人从此站立起来了)ภาพประวัติศาสตร์การแสดงกลองเอวแห่งเมืองอันไซ ณ จัสตุรัสเทียนอันเหมิน ในพิธีฉลองครบรอบ 60 ปี ของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน (ปี 2009)คณะระบำกลองเอวอันไซยังได้เข้าร่วมการแสดงในพิธีเฉลิมฉลองวาระครบรอบปีของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือวันชาติจีนคือวันที่ 1 ตุลาคม ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในวาระครบรอบปีหลักหมายสำคัญๆ ได้แก่ ปีที่ 50 (1999) และปีที่ 60 (2009) นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมการแสดงในพิธีฉลองเหตุการณ์สำคัญของจีนคือ เกาะฮ่องกงกลับสู่การปกครองจีนในปี 1997ปี 1986 ระบำกลองเอวอันไซ ได้เข้าร่วมการประกวดการแสดงระบำกลองพื้นบ้านจากทั่วประเทศครั้งที่หนึ่งและได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งระหว่างช่วงการปฏิรูปและเปิดประเทศจีน 40 กว่าปี ยุคที่ประเทศจีนมั่งคั่งขึ้น คณะระบำกลองอันไซ ได้เปิดการแสดงทั้งในประเทศและต่างประเทศนับเป็นร้อยๆครั้ง จนได้รับการยกย่องเป็น “ยอดกลองเอวแห่งโลกตะวันออก” และ “ราชากลองแห่งจีน”ในปี 2006 ระบำกลองอันไซ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กลองเอวแห่งอันไซ จึงเป็นจิตวิญญาณหนึ่งของประชาชาติจีนจากยุคที่จีนลุกขึ้นยืน (站起来) สู่ยุคมั่งคั่ง(福起来) ถึงยุคแข็งแกร่ง (强起来) ในปัจจุบัน…แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/china/detail/9680000074909
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
14/08/2025
ชมภาพนักท่องเที่ยวจีนแห่ชมมหาน้ำตกหูโข่วคึกคักในยามฤดูร้อน เกิดเป็นภาพความอลังการธรรมชาติที่ทำให้คนตัวเล็กจิ๋วราวกับมดสํานักข่าวซินหัว น้ำตกหูโข่ว (Hukou Waterfall) ตั้งตระหง่านบนพรมแดนระหว่างมณฑลซานซีและส่านซี ประเทศจีน น้ำไหลเชี่ยวกรากจากแม่น้ำเหลืองผ่านช่องแคบแคบยิ่งกว่าปากกาน้ำ ก่อนตกลงหน้าผาสูงกว่า 20 เมตร กลายเป็น “น้ำตกสีทอง” ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและใหญ่เป็นอันดับสองของจีน จุดเด่น น้ำตกหูโข่ว คือเสียงน้ำดังกึกก้องเหมือนฟ้าครืน และในช่วงฤดูน้ำหลากปากน้ำกว้างถึง 50 เมตร พร้อมสายรุ้งระยิบระยับในแสงแดดภาพจาก xinhuathai.comแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกระปุก.คอมhttps://travel.kapook.com/view293622.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การทำงาน
11/08/2025
โลกที่หมุนเร็วในปัจจุบัน คุณเคยกังวลไหมว่างานที่ทำอยู่จะหายไปด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดทั้ง AI, ระบบอัตโนมัติ และการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล กำลังเข้ามาปรับโฉมอุตสาหกรรมทั่วโลกอย่างรวดเร็ว การปรับตัวและพัฒนาทักษะอยู่เสมอจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคนี้จากข้อมูลของ World Economic Forum ชี้ว่างานที่จะเติบโตเร็วที่สุดจนถึงปี 2030 จะอยู่ในสายเทคโนโลยี วิศวกรรม ความปลอดภัย และความยั่งยืน โดยใครที่กำลังมองหาลู่ทางอาชีพใหม่ๆ ที่มีอนาคตสดใส ลองมาดูกันว่า 10 อาชีพสุดฮอตเหล่านี้มีอะไรบ้าง และต้องเรียนอะไรเพื่อเตรียมความพร้อม1. นักเจาะขุมทรัพย์ข้อมูล (Big Data Specialist) เริ่มต้นจากโลกของข้อมูลที่เปรียบเสมือน "ขุมทรัพย์" ของธุรกิจยุคใหม่ Big Data Specialist หรือนักเจาะขุมทรัพย์ข้อมูล คือผู้ที่เปลี่ยนข้อมูลดิบอันซับซ้อนให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีค่า ทำหน้าที่รวบรวมและจัดการชุดข้อมูลขนาดใหญ่ จากนั้นจึงวิเคราะห์เพื่อค้นหาแนวโน้ม ความต้องการของลูกค้า และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ก่อนจะสร้างเป็นรายงานที่เข้าใจง่ายเพื่อให้ฝ่ายบริหารใช้ตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ สำหรับผู้ที่สนใจเส้นทางนี้ ควรศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science), การวิเคราะห์ธุรกิจ (Business Analytics) หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์2. FinTech Engineer จากข้อมูลสู่โลกการเงินยุคใหม่ วิศวกรฟินเทค คือผู้สร้างนวัตกรรมที่ทำให้ทุกธุรกรรมง่ายแค่ปลายนิ้ว ตั้งแต่แอปธนาคาร, การจ่ายเงินผ่านมือถือ, ไปจนถึงแพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซี พวกเขาผสมผสานความรู้ด้านการเงินเข้ากับทักษะการเขียนโปรแกรม เพื่อออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันทางการเงินที่รวดเร็วและเข้าถึงง่าย โดยทำงานใกล้ชิดกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและระบบชำระเงิน พร้อมทั้งทดสอบและปรับปรุงระบบให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด เส้นทางสู่อาชีพนี้ต้องอาศัยความรู้ด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech), วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และวิทยาการคอมพิวเตอร์3. ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learningหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดคือ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning หรือ "คนสอนให้คอมพิวเตอร์คิดเป็น" พวกเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Siri, ระบบแนะนำหนังใน Netflix และรถยนต์ไร้คนขับ โดยมีหน้าที่หลักในการพัฒนาโมเดล AI และอัลกอริทึมให้เครื่องจักรเรียนรู้ จากนั้นจึงฝึกฝนระบบด้วยข้อมูลจำนวนมากเพื่อให้จดจำรูปแบบและคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ ก่อนจะนำโซลูชัน AI ไปประยุกต์ใช้จริงในอุตสาหกรรมต่างๆ ผู้ที่อยากเป็นผู้สร้างอนาคตด้วยเทคโนโลยีนี้ควรเรียนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI), การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และวิทยาศาสตร์ข้อมูล4. นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันเบื้องหลังทุกเทคโนโลยีที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันคือ นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน ผู้สร้างสรรค์ที่เปลี่ยนความต้องการของผู้ใช้ให้กลายเป็นโค้ดที่ใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย, เกมมือถือ หรือโปรแกรมทำงานต่างๆ งานของพวกเขาคือการเขียนโค้ดและทดสอบเพื่อสร้างแอปพลิเคชันใหม่ๆ ออกแบบหน้าตาโปรแกรมให้ใช้งานง่าย (User-Friendly) และคอยแก้ไขข้อผิดพลาด (Bugs) เพื่อปรับปรุงซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ให้ดีขึ้นเสมอ สาขาที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ วิศวกรรมซอฟต์แวร์, วิทยาการคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ5. ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) เมื่อทุกอย่างเป็นดิจิทัล ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์ เปรียบเสมือน "อัศวินผู้พิทักษ์ข้อมูล" ในยุคที่ข้อมูลมีค่าดั่งทองคำ หน้าที่ของพวกเขาคือการปกป้องระบบขององค์กรให้รอดพ้นจากแฮกเกอร์และภัยคุกคามต่างๆ โดยจะทำการประเมินความเสี่ยงและวางแผนป้องกัน, ตรวจสอบระบบเพื่อหาช่องโหว่ และรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจมตี การเตรียมตัวสำหรับอาชีพนี้ต้องศึกษาด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) หรือการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลโดยตรง6. ผู้เชี่ยวชาญด้านคลังข้อมูล (Data Warehousing)การจะปกป้องหรือวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องเริ่มจากการจัดเก็บที่เป็นระบบ ผู้เชี่ยวชาญด้านคลังข้อมูล คือ "สถาปนิกผู้สร้างห้องสมุดดิจิทัล" ให้กับองค์กร พวกเขามีหน้าที่ออกแบบและจัดการระบบคลังข้อมูลส่วนกลาง (Data Warehouse) ทำการรวมข้อมูลจากหลายแหล่งมาไว้ที่เดียวกัน และดูแลความปลอดภัยและความถูกต้องของข้อมูลในคลัง เพื่อเป็นรากฐานสำคัญให้ธุรกิจดึงข้อมูลไปใช้ขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างรวดเร็ว ผู้สนใจสามารถเรียนด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ระบบสารสนเทศ หรือคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing)7. ผู้เชี่ยวชาญยานยนต์ไร้คนขับและ EVเทคโนโลยีไม่ได้เปลี่ยนแค่โลกออนไลน์ แต่ยังปฏิวัติการเดินทางบนท้องถนนด้วย ผู้เชี่ยวชาญยานยนต์ไร้คนขับและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) พวกเขาคือคนสร้างอนาคตของการเดินทางให้สะอาด ปลอดภัย และชาญฉลาดขึ้น โดยจะออกแบบระบบขับขี่อัตโนมัติและส่วนประกอบของรถยนต์ไฟฟ้า ทดสอบประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและการใช้พลังงาน และทำงานร่วมกับทีมวิศวกรและนักออกแบบเพื่อสร้างรถยนต์แห่งอนาคต สาขาที่เกี่ยวข้องมีหลากหลาย ตั้งแต่วิศวกรรมยานยนต์, วิศวกรรมไฟฟ้า, หุ่นยนต์ ไปจนถึงวิทยาการคอมพิวเตอร์8. นักออกแบบ UI/UXแม้ว่าเทคโนโลยีจะล้ำสมัยแค่ไหน หากใช้งานยากก็อาจไร้ความหมาย นักออกแบบ UI/UX จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ พวกเขาคือคนที่ทำให้แอปพลิเคชันและเว็บไซต์ต่างๆ "สวยงาม" (UI - User Interface) และ "ใช้งานง่าย" (UX - User Experience) โดยจะออกแบบหน้าตาแอปฯ ให้ดึงดูดสายตา, วิจัยพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อทำความเข้าใจความต้องการอย่างลึกซึ้ง และสร้างแบบจำลองเพื่อทดสอบการออกแบบให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ผู้ที่รักการออกแบบและสนใจจิตวิทยาผู้ใช้ควรศึกษาด้านการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX Design) และการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI Design)9. พนักงานขับรถขนส่ง (Delivery Driver)ขณะที่โลกดิจิทัลเติบโต อาชีพที่จับต้องได้ในโลกจริงอย่าง พนักงานขับรถขนส่ง ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน พวกเขาคือฟันเฟืองสำคัญในยุค E-commerce ที่ขาดไม่ได้ หน้าที่หลักคือการขนส่งสินค้าจากคลังไปยังธุรกิจและลูกค้าอย่างปลอดภัยและตรงเวลา โดยต้องวางแผนเส้นทางให้มีประสิทธิภาพ และดูแลรักษายานพาหนะให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ แม้จะเน้นทักษะและประสบการณ์เป็นหลัก แต่ความรู้ด้านโลจิสติกส์และการจัดการห่วงโซ่อุปทานจะช่วยให้เติบโตในสายงานได้เป็นอย่างดี10. ผู้เชี่ยวชาญด้าน IoT (Internet of Things)เทรนด์แห่งอนาคตคือการเชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกันผ่าน ผู้เชี่ยวชาญด้าน IoT หรือ "คนเชื่อมทุกสิ่งเข้ากับอินเทอร์เน็ต" พวกเขาคือผู้พัฒนาและจัดการอุปกรณ์อัจฉริยะ ตั้งแต่สมาร์ทวอทช์ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเซ็นเซอร์ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีหน้าที่ออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์ IoT ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย และจัดการโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดเพื่อสร้างระบบอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกวงการ สาขาที่ต้องเรียนรู้คือ อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT), วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศข้อมูล : globaladmissions, worldeconomicforumแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2875965
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
สุขภาพ
11/08/2025
รพ.จุฬาภรณ์ เตือน! ผู้ที่เกิดก่อนปี 2535 ให้เข้ารับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 2–3 ล้านคน เพิ่มความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป 100 เท่าโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดกิจกรรมบริการวิชาการพร้อมบริการทางการแพทย์ Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้….ลดมะเร็งตับ เนื่องในวันตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชันษา 68 ปี เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงเจริญพระชันษา 68 ปีกิจกรรมบริการวิชาการพร้อมบริการทางการแพทย์ Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้นพ.ดำรงค์ สุกิจปัญญาโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นพ.วรวัฒน์ แสงวิภาสนภาพร หัวหน้างานอายุรกรรมทางเดินอาหาร แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ และทีมแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ นำโดย พญ.กันต์สุดา ปัญจชัยพรพล พญ.อัญญา เกียรติวีระศักดิ์ นพ.สพล วิวัฒน์พัฒนกุล และ นพ.สพล เทพวิวัฒน์จิต พร้อมด้วย นพ.กฤต หมัดแสละ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว นพ.ธนกร เจริญธนดล แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา นพ.กฤตรัตน์ ชัยจิรวิวัฒน์ แพทย์เฉพาะทางสาขารังสีร่วมรักษาส่วนลำตัว พญ.ชัณษา บางยี่ขัน ศัลยแพทย์ตับ ตับอ่อน และทางเดินน้ำดี เข้าร่วมงาน ณ โถงชั้น 1 โซน บี อาคารกรมพระศรีสวางควัฒน โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568นพ.ดำรงค์ กล่าวว่า “กิจกรรมบริการวิชาการสุขภาพและบริการทางการแพทย์เนื่องในวันตับอักเสบโลก (World Hepatitis Day) ประจำปี 2568 จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระกุศลแด่ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชันษา 68 ปี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ทั้งนี้ โรคไวรัสตับอักเสบ ซึ่งยังคงเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตมากกว่า 1 ล้านคนต่อปีทั่วโลก สำหรับประเทศไทย คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 2–3 ล้านคน และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง ประมาณ 350,000 ราย ทั่วประเทศ โรคไวรัสตับอักเสบมิได้เพียงเป็นโรคติดเชื้อธรรมดา แต่เป็นสะพานนำไปสู่มะเร็งตับ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ในฐานะสถาบันการแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและรักษาอย่างจริงจัง ตามพระปณิธานขององค์ประธานผู้ทรงจัดตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้ เพื่อการช่วยเหลือและบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย ข่าวดีในปัจจุบัน คือเราสามารถชนะโรคนี้ได้ เนื่องจากวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี มีประสิทธิภาพสูงถึง 95% ในการป้องกันการติดเชื้อ ส่วนไวรัสตับอักเสบซี สามารถรักษาให้หายขาดได้ถึง 99% ด้วยยาสมัยใหม่ที่ใช้เวลาเพียง 8-12 สัปดาห์ นี่คือความหวังที่เราจับต้องได้ การบรรลุเป้าหมายในการกำจัดไวรัสตับอักเสบให้ได้ในปี พ.ศ. 2573 ตามเป้าหมายขององค์การอนามัยโลกและประเทศสมาชิก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย จึงไม่ไกลเกินเอื้อม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จึงได้จัดโครงการขึ้น เพราะการป้องกันที่แท้จริงเริ่มต้นจากความรู้และการลงมือทำ เราเชื่อมั่นว่า หากทุกคนได้รับการตรวจคัดกรองและป้องกันอย่างเหมาะสม เราจะสามารถลดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งตับได้อย่างมีนัยสำคัญ”กิจกรรมบริการวิชาการพร้อมบริการทางการแพทย์ Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ จัดกิจกรรม Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้….ลดมะเร็งตับ ขึ้นเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในการป้องกัน คัดกรอง และดูแลรักษาโรคตับอักเสบ รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างครอบคลุม ซึ่งถือเป็นแนวทางหนึ่งในการลดการเสียชีวิตจากโรคตับ และสร้างสุขภาวะที่ดีให้แก่ประชาชน อีกทั้ง ยังเป็นการให้บริการวิชาการความรู้สุขภาพเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบ และการให้บริการตรวจหาเชื้อและภูมิไวรัสตับอักเสบบีพร้อมฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับ ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ได้มาตรฐานภายในงาน จัดให้มีการเสวนาให้ความรู้เริ่มที่หัวข้อ “ไวรัสตับอักเสบบี ศัตรูเงียบที่ต้องรู้จักก่อนจะสายเกินไป” โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ พญ.อัญญา เกียรติวีระศักดิ์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ กล่าวว่า “ไวรัสตับบี คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เป็น DNA virus ที่มีความแข็งแรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน เป็นเชื้อทำให้ก่อโรคตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่สำคัญของตับ หากเกิดภาวะตับอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ในระยะยาว โดยไวรัสตับบีประมาณ 90% ติดจากแม่สู่ลูกตอนคลอด แต่ก็สามารถมาติดตอนโตได้ โดยการติดเชื้อผ่านเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ โดยการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เช่น ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกัน การรับเลือด หรือการปลูกถ่ายอวัยวะ ดังนั้น สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อหรือถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกัน จึงขอแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี หากเราเป็นพาหะของโรคนี้ ก็ควรหลีกเลี่ยงการบริจาคเลือดดังนั้น คนไทยทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่เกิดก่อนปี 2535 เพราะก่อนหน้านั้นยังไม่มีการฉีดวัคซีนไวรัสตับบีในเด็กแรกเกิดอย่างทั่วถึง และยังไม่มีวัคซีนในวัยเด็ก โดยเฉพาะกลุ่ม คนดังต่อไปนี้ • คนในครอบครัวเป็นพาหะไวรัสตับบี • กลุ่มคู่สมรสหรือคู่นอนของผู้ติดเชื้อ • กลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV หรือไวรัสตับซี • หญิงตั้งครรภ์ควรตรวจทุกคน ในช่วงฝากครรภ์ เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก • กลุ่มที่อาชีพเสี่ยงสัมผัสเลือด อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ ผู้ดูแลผู้ป่วย และคนที่เคยได้รับเลือด หรือทำหัตถการ เช่น สัก เจาะ ในที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้นด้าน นพ.สพล กล่าวเสริมว่า กรณีตรวจพบว่าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ผู้ป่วยจะได้รับยาต้านไวรัสเฉพาะผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้เท่านั้น โดยแบ่งผู้ป่วยเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรก ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีฉับพลัน ส่วนใหญ่กลุ่มนี้ภูมิคุ้มกันร่างกายมักต่อสู้เชื้อโรคมีโอกาสที่หายเองได้มากกว่ากลุ่มเรื้อรัง เกณฑ์การให้ยาในผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงจะให้เมื่อมีอาการรุนแรงมาก โดยประเมินจากอาการร่วมกับผลเลือด กลุ่มสอง ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง กลุ่มสาม กลุ่มผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ข้อบ่งชี้พิเศษ สำหรับการติดเชื้อไวรัสจะหายขาดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเป็น “ไวรัสระยะเฉียบพลัน” พบในผู้ที่เพิ่งติดเชื้อใหม่ 80–90% ของผู้ติดเชื้อสามารถหายได้เอง หลังหายแล้วร่างกายจะมีภูมิคุ้มกัน การติดเชื้อแบบเรื้อรัง” เป็นระยะที่พบเยอะที่สุด ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน อย่างไรก็สามารถควบคุมโรคได้ ด้วยการกินยาต้านไวรัสเมื่อมีข้อบ่งชี้ ส่วนการติดเชื้อไวรัสไม่จำเป็นต้องเป็นมะเร็งตับทุกคน แต่มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป 100 เท่า ดังนั้นต้องมีการคัดกรองมะเร็งตับ คือ การตรวจหามะเร็งตับตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ด้วยวิธีมาตรฐาน คือการทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบนเพื่อดูตับทุก 6 เดือน บางครั้งอาจจะทำการตรวจเลือดดูสารบ่งชี้มะเร็งตับ หรือ ค่า AFP ร่วมด้วยกิจกรรมบริการวิชาการพร้อมบริการทางการแพทย์ Let’s break it down รู้เร็ว รักษาไว ป้องกันได้หัวข้อเสวนา “รู้ให้ไว ป้องกันทัน วัคซีนไวรัสตับอักเสบ B สำคัญแค่ไหน” โดยแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหารและตับ ร่วมกับแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว โดย พญ.กันต์สุดา ปัญจชัยพรพล ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับกล่าวว่า “วัคซีนไวรัสตับบี (Hepatitis B vaccine) ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้สามารถ ต่อต้านเชื้อไวรัสในอนาคต โดยผู้ที่จะควรได้รับวัคซีนไวรัสตับบี ได้แก่ ทารกแรกเกิด ผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน หรือไม่มีภูมิคุ้มกัน บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่มีคู่นอนหลายคน ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านกับผู้ติดเชื้อไวรัสบี ผู้ที่ต้องรับเลือดบ่อย ผู้ป่วยเบาหวาน, ไตวาย, หรือภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น”นพ.กฤต กล่าวเสริมเกี่ยวกับวัคซีนว่า “กรณีฉีดวัคซีนไม่ครบ หรือฉีดนานแล้ว ขอแนะนำให้ฉีดเข็มที่เหลือให้ครบ ไม่ต้องเริ่มใหม่ ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 10 ปีแล้ว ภูมิอาจลดลงแต่ยังมีความจำภูมิ ไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำ เว้นแต่ว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง และไม่แน่ใจว่าเคยฉีดหรือไม่ ทั้งนี้ ขอแนะนำตรวจเลือด HBsAg + Anti-HBs ก่อนวางแผนฉีดวัคซีน ส่วนผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ A ซึ่งโรคนี้ติดจากการดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส หากเราจะป้องกันตับอักเสบจากเชื้อไวรัส A ซึ่งอาจรุนแรงในคนที่มีโรคตับอยู่เดิม ขอแนะนำให้ฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน ส่วนวัคซีนไวรัสตับอักเสบ B สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนที่ทำให้ตับอักเสบรุนแรงขึ้นตรวจภูมิก่อน ถ้าไม่มีภูมิ แนะนำฉีด 3 เข็ม วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ตับแย่ลง แนะนำฉีดปีละ 1 ครั้ง วัคซีนไข้เลือดออก ที่มีสาเหตุมาจากยุงลาย หากติดเชื้อมีความเสี่ยงทำให้ตับวายได้ ขอแนะนำฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 เดือน วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ ลดความเสี่ยงปอดติดเชื้อรุนแรง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยตับเรื้อรัง ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนมีแนวทางการฉีดหลายรูปแบบ จึงแนะนำว่าควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ วัคซีนโควิด-19 ผู้ป่วยตับเรื้อรังอาจมีอาการรุนแรงจากโควิด-19 ควรฉีดตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข และวัคซีนงูสวัด ป้องกันการเกิดงูสวัดรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ที่อายุมากหรือภูมิคุ้มกันต่ำ สำหรับอายุ 50 ปี หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง”นพ.วรวัฒน์ เปิดเผยถึงอุบัติการณ์ไวรัสตับอักเสบและมะเร็งตับ (Global vs Thailand) ว่า “ข้อมูลล่าสุด ปี 2022 มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ทั้งไวรัสตับอักเสบบีและซีเรื้อรังสะสมอยู่ประมาณ 300 ล้านคน ในประชากรเหล่านี้เป็นไวรัสตับอักเสบบีประมาณ 250 ล้านคน พบผู้ป่วยรายใหม่กว่า 2 ล้านรายต่อปี (ข้อมูลจาก GLOBOCAN 2022) พบบ่อยในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนและในประเทศไทย คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังอยู่ประมาณ 2-4% ของประชากรไทย อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคน และไวรัสตับอักเสบซีอยู่ที่ประมาณ 0.3-0.6% หรือประมาณ 300,000 กว่าคน โดยมีแนวทางการกำจัดไวรัสตับอักเสบบี (HBV Elimination Goals) โดยเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งเป้าลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลง 90% ลดอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสตับลง 65% ลดทุกอุปสรรคทางสังคม ระบบการเข้าถึงการป้องกัน คัดกรอง และการรักษา ซึ่งมีกลยุทธ์หลัก คือ การฉีดวัคซีนไวรัสตับบี การตรวจคัดกรอง (Screening) การให้ยาต้านไวรัส (Tenofovir, Entecavir) และการเฝ้าระวังมะเร็งตับในผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรัง ส่วนภาพรวมการรักษาโรคมะเร็งตับ (Liver Cancer Treatment) ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ ระยะของโรค (Early vs Advanced) สภาพตับ (เช่น ตับแข็งหรือไม่) ภาวะสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย”ด้าน พญ.ชัณษา กล่าวว่า“การรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นการผ่าตัดเนื้องอกรวมถึงเส้นเลือดที่มาเลี้ยงตัวก้อนออกให้หมด แต่ก็ต้องประเมินสภาพการทำงานของตับและปริมาณเนื้อตับที่เหลือเพื่อป้องกันภาวะตับวายหลังผ่าตัด ซึ่งการประเมินอาจต้องคำนึงถึง จำนวน ขนาด ตำแหน่งของก้อน การทำงานของตับ และปริมาตรตับที่เหลือ ซึ่งถ้าหากไม่เพียงพอ เราอาจจะต้องทำหัตถการเพิ่มเติมก่อนผ่า เพื่อให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดอย่างปลอดภัย เช่น การอุดเส้นเลือดเพื่อเพิ่มปริมาตรตับฝั่งที่เก็บ โดยในปัจจุบันเทคโนโลยีการผ่าตัดได้พัฒนามากขึ้น มีทั้งผ่าตัดแบบเปิด ผ่าตัดแบบส่องกล้อง การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ สำหรับการผ่าตัดในแต่ละแบบ อาจจะต้องประเมินผู้ป่วยเป็นราย ๆ เนื่องจากปัจจัยในตัวโรค ตำแหน่ง และการทำงานของตับแตกต่างกันนพ. กฤตรัตน์ ได้กล่าวเสริมความรู้เกี่ยวกับแนวทางการรักษามะเร็งตับ: Ablation + TACE + Y-90ว่า“การรักษามะเร็งตับแบบไม่ผ่าตัด แผลขนาดเล็กเท่าเข็มเจาะเลือด สามารถคาดหวังผลการรักษาได้ทั้งแบบหายขาดและแบบประคับประคอง เช่น Ablation (RFA/MWA) การจี้ทำลายก้อนมะเร็ง เหมาะสมกับก้อนมะเร็งตับขนาดน้อยกว่า 3 ซม. ไม่ควรเกิน 3 ก้อน ส่วนTACE (Transarterial Chemoembolization) การฉีดยาเคมีบำบัดผ่านสายสวนหลอดเลือด มะเร็งตับหลายก้อน หรือก้อนเดี่ยวขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ เพิ่มโอกาสในการผ่าตัดโดยการทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงจนปลอดภัยต่อการผ่าตัด และ Y-90 Radioembolization (Selective Internal Radiation Therapy, SIRT) การฉีดสารเภสัชรังสีผ่านสายสวนหลอดเลือด สำหรับ มะเร็งตับระยะกลางถึงระยะลุกลามก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ หรือ มีการลุกลามเข้าหลอดเลือดดำ (PVTT) เพิ่มโอกาสในการผ่าตัดโดยการทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลงจนปลอดภัยต่อการผ่าตัด เป็นต้นนพ.ธนกร เจริญธนดล แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา กล่าวเสริมว่า“การรักษาด้วยยา เป็นการรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะลุกลาม หรือมีการกระจายของโรคไปยังอวัยวะนอกตับ ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ และไม่สามารถฉีดยาหรือสารเภสัชรังสีไปที่หลอดเลือดตับโดยตรงได้ เป็นการรักษาที่ไม่หายขาด แต่หากมีการตอบสนองที่ดีต่อยา จะสามารถทำให้ก้อนยุบลง และควบคุมโรคได้นานขึ้น ระยะเวลารอดชีวิตสูงขึ้น สำหรับยาที่ใช้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ • ยามุ่งเป้าชนิดกิน เป็นยามุ่งเป้าที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของหลอดเลือดที่เลี้ยงก้อนมะเร็งตับ เป็นยากลุ่มเดียวที่สามารถเบิกจ่ายได้ในระบบกรมบัญชีกลาง • ยาภูมิคุ้มกันบำบัด หรือยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน เป็นกลุ่มยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้แข็งแรงมากขึ้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ในการรักษามะเร็งตับมักใช้เป็นยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน 2 ชนิดร่วมกันหรือใช้ร่วมกับยาฉีดมุ่งเป้าหลอดเลือด วิธีนี้เป็นการรักษามะเร็งตับที่ดีที่สุดในปัจจุบัน”แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ pptvhd36https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/254550
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
11/08/2025
ท่ามกลางความสงบและงดงามของวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร หนึ่งในวัดหลวงชั้นเอกของกรุงเทพมหานคร ยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และพระพุทธศาสนาซ่อนตัวอยู่ นั่นคือ “พิพิธภัณฑ์ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (แพ)” สถานที่ที่เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 12 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์หากย้อนเวลากลับไปตำหนักแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชแพ รวมเป็นเวลาถึง 44 ปี ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสลำดับที่ 4 ของวัดสุทัศน์ใน พ.ศ.2443 และดำรงพระยศเป็นพระสังฆราชในสมัยรัชกาลที่ ๘ จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.2487 และที่นี่แต่เดิมยังเป็นที่อยู่ของอดีตเจ้าอาวาสรูปก่อนๆ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ เป็นต้นมา ต่อมาทางวัดได้จัดเก็บรักษาโบราณวัตถุไว้เป็นจำนวนมาก และได้สร้าง “คลังเก็บโบราณวัตถุ” บริเวณใต้ถุนตำหนักและยาวไปจนถึงหอไตรภายในพิพิธภัณฑ์ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (แพ)การสร้างพระกริ่งและพระพิมพ์บางรุ่นเพียงก้าวแรกที่ได้ย่างเข้ามาในบริเวณพิพิธภัณฑ์ฯ จะสัมผัสได้ถึงความร่มเย็นและความขรึมขลังของสถานที่แห่งนี้ ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี บอกเล่าเรื่องราวในอดีตผ่านข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และเครื่องอัฐบริขาร ที่สะท้อนถึงสมณศักดิ์และวัตรปฏิบัติอันงดงามของสมเด็จพระสังฆราช (แพ) รวมถึงจัดแสดงพระพุทธรูปโบราณวัตถุ ศิลปะวัตถุสำคัญๆ ที่มีคุณค่าและความงดงามทางพุทธศิลป์ เชื่อมโยงกับวัดสุทัศน์ที่เก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองและเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเรื่องราวและสิ่งของทุกชิ้น ล้วนเป็นองค์ความรู้และเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาสู่คนรุ่นหลังภาพต้นแบบของพระสุนทรีวาณีพระนิรโรคันตรายสำหรับพิพิธภัณฑ์ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 1,800 ตารางเมตร และแบ่งการจัดแสดงออกเป็น 5 โซน บริเวณตำหนักที่ประทับ จัดแสดงพระประวัติสมเด็จพระสังฆราชแพ สิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และงานพุทธศิลป์ฝีพระหัตถ์ รวมถึงศิลปวัตถุที่ได้รับถวายจากพระบรมวงศานุวงศ์ในโอกาสสำคัญต่างๆ ถัดมาเป็น หอพระกรรมฐาน ประดิษฐานพระพุทธรูปและปูชนียวัตถุสำคัญของวัด ส่วนบริเวณ หอไตร จัดแสดงตาลปัตร ย่าม และผ้ากราบ กุฏิเรือนแถวทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ได้รับการบูรณะเพื่อจัดแสดงเอกสารโบราณ เครื่องโต๊ะ เครื่องกระเบื้อง ที่ชา และเครื่องมุกครอบน้ำมนต์แก้วเจียระไน ลายหนามขนุนและยอดฝาครอบแกะสลักเป็นรูปพระสุนทรีวาณีสิ่งของจัดแสดงภายในตำหนักที่ประทับบริเวณกลางของโถงตำหนักเป็นที่ประทับประดิษฐานพระรูปของสมเด็จพระสังฆราชแพ และมีจอทัชสกรีนให้ผู้ชมสามารถศึกษาพระประวัติ พระเกียรติคุณ รวมถึงคอลเลกชันการสร้างพระกริ่งของพระองค์ที่ทรงหล่อรุ่นแรกชื่อว่า “พระกริ่งเทพโมฬี” ใน พ.ศ.2441 และทรงหล่อเรื่อยมาจนถึงรุ่นสุดท้ายคือ “พระกริ่งเชียงตุง” ใน พ.ศ.2486 พร้อมกับมีการใช้เทคโนโลยี AR (augmented reality) เข้ามาเสริมตามจุดต่างๆ ทำให้การชมพิพิธภัณฑ์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อสิ่งของจัดแสดงภายในตำหนักที่ประทับสิ่งของจัดแสดงภายในตำหนักที่ประทับถัดมาจะพบกับการจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและสิ่งของใช้ส่วนพระองค์ เช่น เตียง ชุดทรงอักษร ผ้าไตรไหมและย่ามที่ได้รับพระราชทานในวันเฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ใน พ.ศ.2482 รวมไปถึงศิลปวัตถุที่ทางวัดได้รับพระราชทานจากพระบรมวงศานุวงศ์ในโอกาสสำคัญต่างๆ เช่น บาตรที่ระลึกงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ ๕ ใน พ.ศ.2416 เครื่องเขียนประดับมุกที่ระลึกงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของรัชกาลที่ ๖ ใน พ.ศ.2454 เป็นต้นตำหนักที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราชแพบริเวณใกล้กันจะพบกับห้องขนาดเล็กซึ่งเป็นหอพระกรรมฐาน โดยมีความยาวของห้องพอเหมาะสำหรับเดินจงกรม คือ ระยะ 10 ก้าว เป็นสถานที่ที่สมเด็จพระสังฆราชแพใช้นั่งสมาธิและเดินจงกรมเป็นวัตรปฏิบัติ และปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อดำ” พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางมารวิชัยศิลปะเชียงแสนในซุ้มเรือนแก้วซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์และตั้งในการสวดนพเคราะห์วันครบรอบวันประสูติและพิธีพุทธาภิเษกหล่อพระกริ่งทุกปีจัดแสดงตาลปัตร ซึ่งเป็นของพระราชทานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5ห้องจัดแสดงตาลปัตรห้องจัดแสดง ตาลปัตร ย่าม ผ้ากราบภายในห้องเดียวกันยังเป็นที่ประดิษฐาน “พระนิรโรคันตราย” พระพุทธรูปกะไหล่ทองปางสมาธิที่รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2468 ในคราวที่หายประชวรจำนวนทั้งสิ้น 16 องค์ โดยองค์ที่วัดสุทัศน์เป็นลำดับที่ 7 จึงถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของวัดสุทัศน์ที่ต้องอัญเชิญพระนิรโรคันตรายเป็นพระประธานของโต๊ะหมู่บูชาในการเสด็จฯ มาถวายผ้าพระกฐินทุกครั้งการจัดเครื่องโต๊ะอย่างสยามแจกันลายนักปราชญ์ ชิ้นโปรดของรัชกาลที่ ๕อีกหนึ่งโบราณวัตถุที่น่าสนใจของวัดสุทัศน์คือ “พระสุนทรีวาณี” โดยภาพต้นแบบของพระสุนทรีวาณีจัดแสดงอยู่ที่หอพระกรรมฐาน โดยเป็นรูปเปรียบดั่งพระรัตนตรัยที่เขียนขึ้นตามนิมิตของสมเด็จพระวันรัตแดง เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์รูปที่ 3 อันมีลักษณะเป็นรูปเทพธิดาประทับขัดสมาธิบนดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายทรงแก้ววิเชียร พระหัตถ์ขวาแสดงอาการกวัก ทางวัดสุทัศน์ได้เชิญภาพพระสุนทรีวาณีออกประดิษฐานในการรับเสด็จกฐินหลวงทุกปีนอกจากนี้ยังมีการจัดแสดง “ตาลปัตร” ซึ่งเป็นของพระราชทานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา รวมถึง “ย่ามและผ้ากราบ” ที่เก่าแก่และสำคัญทางประวัติศาสตร์ชุดถ้วยลวดลายต่างๆการจัดเครื่องโต๊ะอย่างสยามกุฏิเรือนด้านฝั่งตะวันตกจัดแสดงเครื่องพุทธบูชา ประกอบด้วย เครื่องโต๊ะ เครื่องกระเบื้อง เครื่องมุก และ ที่ชา ในห้องเครื่องโต๊ะจัดแสดง “การจัดเครื่องโต๊ะอย่างสยาม” โดยเครื่องลายครามทุกชิ้นเป็นลายสิงโตเปลวที่ตั้งตามธรรมเนียมการตั้งแต่งเครื่องโต๊ะภายใต้พระราชบัญญัติตรวจตัดสินชิ้นเครื่องโต๊ะที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ รวมถึงเครื่องถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของวัดสุทัศน์ คือ “จานลายครามลายเครือเถาดอกไม้” ผลิตในสมัยจักรพรรดิหย่งเจิ้น จากนั้นมาที่ห้องชา จัดแสดงการจัดชุดน้ำชารูปแบบต่างๆ มากกว่า 300 ชุดชุดถ้วยลวดลายต่างๆห้องจัดแสดงที่ชาของวัดสุทัศน์กว่า 300 ชุดส่วนกุฏิเรือนแถวฝั่งตะวันออกเป็นห้องจัดแสดงเอกสารโบราณ ประกอบด้วย “คัมภีร์ใบลาน” จารด้วยอักษรขอมเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา และชมผ้าห่อคัมภีร์ของ วัดสุทัศน์ ส่วนมากเป็นผ้านำเข้าจากอินเดีย ซึ่งเคยเป็นเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงเป็นผ้ายศพระราชทานแด่ขุนนางในราชสำนักสยามสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อเจ้าของเสียชีวิต ทายาทมักนำมาถวายวัดห้องจัดแสดงเอกสารโบราณห้องจัดแสดงเอกสารโบราณนอกเหนือจากการได้ชมโบราณวัตถุและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แล้ว การได้มาเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ศึกษาพระจริยาวัตรอันงดงาม พระปัญญาบารมี และคุณูปการที่สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ทรงมีต่อพระพุทธศาสนาและประเทศชาติจัดแสดงผ้าห่อคัมภีร์พิพิธภัณฑ์ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) ณ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ เปิดให้เข้าชมในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 9.30-16.30 น. ค่าเข้าชม คนไทย 50 บาท และ ชาวต่างชาติ 200 บาทบริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช (แพ)แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000042552
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
11/08/2025
การเดินทางด้วยเครื่องบินในปัจจุบันสะดวกสบายมากขึ้น แต่ก็มีข้อกำหนดบางอย่างที่เราต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเรื่อง พาวเวอร์แบงค์ หรือแบตเตอรี่สำรอง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่หลายคนพกติดตัวตลอดเวลา แต่รู้หรือไม่ว่าพาวเวอร์แบงค์บางชนิดก็ ห้ามนำขึ้นเครื่องบิน Sanook จะมาอัปเดตข้อมูลล่าสุดปี 2568 เพื่อให้ทุกคนเดินทางได้อย่างสบายใจและปลอดภัยทำไมพาวเวอร์แบงค์ถึงมีข้อจำกัดบนเครื่องบิน?พาวเวอร์แบงค์เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งอาจเกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้ได้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขณะอยู่บนเครื่องบิน การแก้ไขสถานการณ์อาจทำได้ยาก ดังนั้นจึงมีข้อกำหนดที่เข้มงวดเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้โดยสารทุกคนพาวเวอร์แบงค์แบบไหนที่ "ห้าม" นำขึ้นเครื่องบินเด็ดขาด?เพื่อให้คุณเข้าใจง่ายขึ้น เราได้สรุปประเภทของพาวเวอร์แบงค์ที่ ห้ามนำขึ้นเครื่องบิน ดังนี้1. ห้ามโหลดใต้ท้องเครื่องทุกกรณี!นี่คือกฎเหล็กที่คุณต้องจำให้ขึ้นใจ! พาวเวอร์แบงค์ทุกก้อนจะต้องพกติดตัวขึ้นเครื่องบินเท่านั้น ไม่ว่าจะใส่ในกระเป๋าสัมภาระพกพา (Carry-on) หรือกระเป๋าสะพายข้างตัว ก็ต้องนำขึ้นห้องโดยสารเสมอ ห้ามนำใส่กระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่องบินเด็ดขาด หากฝ่าฝืนอาจถูกยึดหรือต้องทิ้งไป2. พาวเวอร์แบงค์ที่มีความจุเกิน 160 Wh (วัตต์-ชั่วโมง)ความจุของพาวเวอร์แบงค์เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพิจารณาว่านำขึ้นเครื่องได้หรือไม่ โดยสายการบินส่วนใหญ่จะใช้หน่วย Wh (วัตต์-ชั่วโมง) ในการกำหนด หากพาวเวอร์แบงค์ของคุณมีหน่วยเป็น mAh (มิลลิแอมป์-ชั่วโมง) สามารถแปลงค่าโดยประมาณได้ดังนี้ (โดยประมาณ 100 Wh = 20,000 mAh และ 160 Wh = 32,000 mAh ที่แรงดันไฟฟ้ามาตรฐาน 5V): • พาวเวอร์แบงค์ความจุไม่เกิน 100 Wh (ประมาณ 20,000 mAh): สามารถนำขึ้นเครื่องได้ ไม่จำกัดจำนวน (แต่บางสายการบินอาจมีข้อจำกัดเรื่องจำนวนสูงสุด เช่น เที่ยวบินภายในประเทศจีนอาจจำกัด 20 ชิ้นต่อคน) • พาวเวอร์แบงค์ความจุเกิน 100 Wh แต่ไม่เกิน 160 Wh (ประมาณ 20,000 – 32,000 mAh): สามารถนำขึ้นเครื่องได้ ไม่เกิน 2 ชิ้นต่อคน และบางสายการบินอาจต้องแจ้งเจ้าหน้าที่หรือขออนุญาตก่อนเดินทาง • พาวเวอร์แบงค์ความจุเกิน 160 Wh (ประมาณ 32,000 mAh ขึ้นไป): ห้ามนำขึ้นเครื่องบินในทุกกรณี! ไม่ว่าจะพกติดตัวหรือโหลดใต้ท้องเครื่องก็ไม่ได้รับอนุญาตวิธีดูค่า Wh บนพาวเวอร์แบงค์: มักจะระบุไว้บนฉลากของพาวเวอร์แบงค์ หากไม่พบ ให้ดูค่า mAh และค่า Voltage (V) แล้วนำมาคำนวณ: Wh = (mAh x V) / 10003. สำหรับเที่ยวบินไปจีน: พาวเวอร์แบงค์ที่ไม่มีเครื่องหมาย “CCC”ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป สำหรับ เที่ยวบินภายในประเทศจีน และ เที่ยวบินที่เดินทางเข้า-ออกประเทศจีน พาวเวอร์แบงค์ทุกก้อนที่นำขึ้นเครื่องจะต้อง มีเครื่องหมาย “CCC” (China Compulsory Certification) ที่มองเห็นชัดเจน ไม่ซีดจาง หรือหลุดลอก หากไม่มีเครื่องหมายดังกล่าว อาจถูกยึดที่สนามบินทันที4. พาวเวอร์แบงค์ที่ชำรุดเสียหายพาวเวอร์แบงค์ที่มีร่องรอยความเสียหาย แตก บวม บุบ หรือมีกลิ่นผิดปกติ รวมถึงรอยไหม้ต่างๆ ห้ามนำขึ้นเครื่องบินโดยเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายและเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ได้ ควรทิ้งและซื้อใหม่เพื่อความปลอดภัยข้อควรรู้อื่นๆ เพื่อการเดินทางที่ราบรื่น • ห้ามชาร์จหรือใช้งานพาวเวอร์แบงค์บนเครื่องบิน: สายการบินหลายแห่งมีข้อกำหนดห้ามใช้หรือชาร์จพาวเวอร์แบงค์ขณะอยู่บนเครื่องบิน ควรปิดการทำงานและถอดสายชาร์จออกตลอดการเดินทาง • ตรวจสอบกฎสายการบินของคุณ: กฎระเบียบอาจแตกต่างกันไปในแต่ละสายการบินและประเทศปลายทาง ดังนั้น ควรตรวจสอบข้อกำหนดของสายการบินที่คุณจะเดินทางด้วย ก่อนวันเดินทางเสมอ • เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบ: เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบ ควรเก็บใบเสร็จหรือกล่องบรรจุภัณฑ์ของพาวเวอร์แบงค์ไว้ เผื่อเจ้าหน้าที่ต้องการตรวจสอบข้อมูลความจุการปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณเดินทางได้อย่างราบรื่น แต่ยังช่วยให้ผู้โดยสารท่านอื่นๆ ปลอดภัยด้วย ขอให้คุณสนุกกับการเดินทางนะคะแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/travel/1452483/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
06/08/2025
เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมออกบูธจัดนิทรรศการในโครงการเตรียมความพร้อมสู่วัยทำงานด้วยการประกันภัย OIC : Be Smart First Jobber ปีที่ 4 จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ซึ่งจัดขึ้น 2 แห่ง ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาโดยในงานได้รับเกียรติจาก นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และ นายธานี ทรงธนเจริญกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน เอไอเอ ประเทศไทย ในนามประธานคณะอนุกรรมการระบบบัญชีและภาษี สมาคมประกันชีวิตไทย ร่วมเป็นหนึ่งในวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยผู้แทนจากสำนักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย และหน่วยงานของภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ซึ่งได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “เส้นทางสายอาชีพด้านการประกันภัย” ถ่ายทอดประสบการณ์การก้าวเข้าสู่เส้นทางสายอาชีพด้านการประกันภัยให้แก่กลุ่มนิสิต นักศึกษา ในระดับอุดมศึกษาของคณะวิทยาการจัดการและคณะอื่น ๆ รวมถึงผู้เริ่มต้นทำงาน (First Jobber) เพื่อทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนของระบบประกันภัยในฐานะเป็นเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ โดยงานจัดขึ้น ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์นอกจากนี้ นพ. โสภณ นันทาภรณ์ศักดิ์ ผู้จัดการภาค ทริปเปิ้ล เอ และ Top District Manager Up of the Year 2024 ยังได้ร่วมบรรยายในหัวข้อ Be Inspired บอกเล่าเรื่องราวเส้นทางสายอาชีพตัวแทนประกันชีวิตที่น่าสนใจ พร้อมทั้งสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจประกันภัยเป็นหนึ่งในธุรกิจแห่งโอกาส และเป็นตลาดแรงงานที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่เริ่มต้นเข้าสู่สายอาชีพ (First Jobber) ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยภายในงานทั้ง 2 แห่งมีนิสิตนักศึกษาให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่าพันคน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
05/08/2025
พลังงาน-คปภ. เร่งช่วยเจ้าของปั๊มน้ำมัน อ.กันทรลักษ์ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิด BM21พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน ได้รับมอบหมายจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายคณานุสรณ์ เที่ยงตระกูล ผู้ช่วยเลขาธิการสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้รับหนังสือขอความอนุเคราะห์และขอความเป็นธรรม จากนางกมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ตำบลบ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการยิงลูกระเบิด BM21 ที่ถูกยิงจากฝั่งกัมพูชา เป็นผลให้ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากโดย พ.อ.เฟื่องวิชชุ์กล่าวว่า แม้กระทรวงพลังงานจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องโดยตรง แต่กระทรวงพลังงาน โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้ดูแลและเป็นตัวกลางในการประสานงานและหารือกับทาง คปภ. และผู้บริหารของ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ (OR) ในการหาแนวทางแก้ไขและช่วยเหลือเจ้าของสถานีบริการน้ำมันผมขอแสดงความเสียใจกับเจ้าของสถานีบริการน้ำมันและผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด หลังจากที่ได้ลงพื้นที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้เห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งผมก็ได้รับมอบหมายจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้ติดตามช่วยเหลือประชาชน ซึ่งในส่วนของสถานีบริการน้ำมันที่ได้รับผลกระทบนั้น ผมได้หารือกับทาง คปภ.“เบื้องต้นทาง คปภ.ได้ยืนยันว่า บริษัทประกันต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการปะทะ ไม่ใช่ภัยสงคราม รวมทั้งจะประสานกับทางบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ (OR) ในการหาแนวทางการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว” พ.อ. เฟื่องวิชชุ์กล่าวด้านนายคณานุสรณ์ เที่ยงตระกูล ผู้ช่วยเลขาธิการสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ คปภ. กล่าวว่า จากการตรวจสอบกรมธรรม์ที่ทางเจ้าของสถานีบริการได้ทำไว้กับบริษัทประกันนั้น แม้ในกรมธรรม์จะระบุว่าไม่คุ้มครองภัยจากภัยสงครามหรือการรุกราน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ยังไม่ใช่ภัยจากสงคราม เป็นเพียงการปะทะเท่านั้น จึงถือว่ากรมธรรม์ยังต้องคุ้มครองและจ่ายค่าสินไหมให้กับผู้ได้รับความเสียหายนางกมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ แต่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะสถานีบริการน้ำมันและร้านสะดวกซื้อของตนได้รับผลกระทบอย่างมาก ต้องปิดสถานีบริการมากกว่า 3 เดือน มูลค่าความเสียหายกว่า 21 ล้านบาท ซึ่งสถานีบริการน้ำมันดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการผ่อนชำระเงินกู้กับธนาคารแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1858525
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
05/08/2025
นิทรรศการที่ชวนสำรวจความหมายของ “หน้ากาก” ที่เป็นมากกว่าวัตถุที่ใช้พรางใบหน้า แต่ยังเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงศิลปะ ความเชื่อ จิตวิญญาณ และอัตลักษณ์ของผู้คนเข้าไว้ด้วยกันจากวัตถุที่ใช้ในพิธีกรรม.. สู่สัญลักษณ์แห่งการแสดงออกทางวัฒนธรรม หน้ากากในภูมิภาคเอเชียอุษาคเนย์ไม่เพียงแต่สะท้อนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ แต่ยังเผยให้เห็นรากเหง้าทางความคิด ความศรัทธา และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติกระทรวง อว. โดย สำนักงานปลัดกระทรวง อว.ฯ ร่วมกับสมาคมเพื่อการพัฒนาศิลปะและหัตถศิลป์ไทย และมหาวิทยาลัยศิลปากร ขอเชิญร่วมชมงานนิทรรศการ“Who Wears Whom: The Masks of Southeast Asia” ที่ชวนมุ่งศึกษาความหมาย บทบาท และคุณค่าของ “หน้ากาก” ในบริบทวัฒนธรรมร่วมระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และภูมิภาค อันสะท้อนให้เห็นถึงพลวัตของการถ่ายทอดองค์ความรู้ การสืบทอดรูปแบบเชิงพิธีกรรม และการตีความหน้ากากใหม่ในบริบทสังคมร่วมสมัยภายในนิทรรศการประกอบด้วย• การจัดแสดงหน้ากากจากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนมีเรื่องราวเฉพาะถิ่น• ผลงานศิลปะร่วมสมัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหน้ากาก โดยศิลปินจากทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งตีความหน้ากากในบริบทใหม่ในสังคมร่วมสมัยขอเชิญร่วมชม “Who Wears Whom: The Masks of Southeast Asia” ระหว่างวันที่ 5 – 17 สิงหาคม 2568เวลา 10:00 – 20:00 น. ณ ผนังโค้ง ชั้น 3 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) โดยพิธีเปิดนิทรรศการจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 17:00 น.แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000073928
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
15/02/2024
30/04/2024
30/04/2024
20/08/2024
15/11/2024