Everyday knowledge for you
การวางแผนทางการเงิน
18/12/2024
การวางแผนเกษียณเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปี หรือเข้าสู่วัยเลขห้ามาได้หลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีเงินเก็บเพื่อใช้ยามเกษียณ ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นวางแผนเกษียณ เพราะคนส่วนใหญ่จะทำงานจนถึงอายุไม่เกิน 60 ปี จึงมีระยะเวลาเหลือสำหรับเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณไม่เกิน 10 ปี แต่ใครที่ยังมีร่างกายแข็งแรง และยังสามารถทำงานได้หลังอายุ 60 ปีไปแล้ว จะมีระยะเวลาทำงานเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณได้ยาวนานขึ้นเหตุผลที่การวางแผนเกษียณเป็นเรื่องสำคัญก็เพราะ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีอายุยืนยาวมากขึ้น จากการดูแลสุขภาพของตัวเอง และนวัตกรรมทางด้านการแพทย์ที่ทันสมัย ช่วยทำให้คนอายุขัยเฉลี่ยของคนส่วนใหญ่มีอายุยาวนานขึ้น ดังนั้นหากเกษียณไปแล้วและไม่มีเงินเก็บหรือรายได้เข้ามา คงต้องใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างยากลำบากแน่นอนการเริ่มต้นวางแผนเกษียณด้วยการเริ่มต้นเก็บเงินตอน 50 ปี ถือว่ายังไม่สายเกินไปและยังสามารถทำได้ หากมีการวางแผนที่ดี ส่วนจะมีวิธีเก็บเงินอย่างไรนั้น วันนี้เรามีคำแนะนำให้ลองไปทำตามกันดู6 วิธีวางแผนเกษียณ เก็บเงินตอนอายุ 50 ปี1. วางแผนเกษียณ สำรวจค่าใช้จ่ายสิ่งแรกที่ควรทำสำหรับการวางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี คือ การสำรวจค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในแต่ละเดือนว่ามีจำนวนเท่าไร ทั้งค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน และค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะต้องใช้ในอนาคตยามที่ต้องมีชีวิตภายหลังเกษียณการทำงานแล้ว และประเมินว่าแต่ละเดือนต้องใช้เงินจำนวนเท่าไร รวมถึงระยะเวลาที่จะใช้ชีวิตอยู่อีกนานเท่าไรการสำรวจค่าใช้จ่ายต่างๆ จะทำให้มองเห็นภาพกว้างๆ ว่า เราจำเป็นต้องมีเงินออมเท่าไร เพื่อใช้ในช่วงวัยเกษียณ การสำรวจค่าใช้จ่าย ยังช่วยทำให้เห็นภาพด้วยว่า อะไรคือสิ่งไม่จำเป็น อะไรเป็นค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย ซึ่งเราควรประหยัดหรือใช้จ่ายลดลง เพื่อมีเงินออมใช้ตอนเกษียณเพิ่มมากขึ้น2. วางแผนเกษียณ สำรวจหนี้สินการสำรวจหนี้สิน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นอย่างแรกๆ ในการวางแผนเกษียณ เพราะหากเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี ถ้ามีหนี้สินจำนวนมากการจะมีเงินเก็บก้อนโตคงทำได้ยาก เพราะรายได้ที่หามาต้องเอาไปใช้หนี้สินหมด การสำรวจหนี้สิน จะทำให้รู้ว่าเราจะเหลือเงินเพื่อเป็นเงินออมเท่าไรก่อนเริ่มวางแผนเกษียณ ควรจัดการหนี้สินให้หมดเสียก่อน เพื่อให้ใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างมีความสุข ภาพจาก iStockนอกจากรู้ว่ามีหนี้สินเท่าไรแล้ว ก็ต้องวางแผนการชำระหนี้สินให้หมดโดยเร็ว เพื่อจะได้มีระยะเวลาเก็บเงินมากขึ้น แต่หนี้สินหรือค่าใช้จ่ายบางอย่าง ก็ใช่ว่าจะเป็นภาระเสียอย่างเดียว อีกมุมหนึ่งก็เป็นการออมได้ด้วย เช่น หนี้จากการผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโด หรือการซื้อประกันชีวิตในรูปแบบเงินออม ที่มีเงินคืนเมื่อครบอายุกรรมธรรม์ เป็นต้น ในอนาคตหนี้สินรูปแบบนี้จะเปลี่ยนเป็นทรัพย์สิน และยังสามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนให้เราได้ เช่น นำบ้านหรือคอนโด ปล่อยเช่า เป็นต้น3. วางแผนเกษียณ เช็กทรัพย์สิน-ของมีค่าส่วนใครตอนทำงานอยู่ เอาแต่ช็อปปิ้งซื้อของใช้ ไม่ได้วางแผนเกษียณเก็บเงินออมไว้ใช้ในบั้นปลาย จนปัจจุบันอายุเข้าสู่วัยเลขห้าแล้ว คงต้องรีบกลับมาตั้งสติ และเริ่มวางแผนการเงิน เก็บออมเงิน ลดการใช้จ่ายซื้อของฟุ่มเฟือย เพื่อให้ชีวิตหลังเกษียณได้อยู่อย่างสุขสบายนอกจากการลดใช้จ่ายหรือซื้อของฟุ่มเฟือยแล้ว คงต้องหันมาดูว่าปัจจุบันเรามีทรัพย์สินหรือสิ่งของอะไรบ้างที่มีค่า สามารถนำมาแปลงเป็นเงินได้บ้าง โดยทรัพย์สินหรือของมีค่านั้นควรจะปลอดหนี้ที่ต้องชำระ เมื่อสำรวจดูแล้ว หากเป็นของใช้ที่ไม่ได้ใช้หรือไม่ต้องการเก็บไว้แล้ว ก็สามารถนำออกมาขายเพื่อแปลงเป็นเงินสดเก็บไว้ หรือนำเอาเงินสดไปลงทุนในรูปแบบอื่นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้ด้วย หรือแม้แต่ของใช้ภายในบ้านที่ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้แล้ว สามารถนำออกมาขายแปลงเป็นเงินได้ด้วย4. วางแผนเกษียณ หาทางเพิ่มรายได้การวางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี หากพึ่งพาเฉพาะรายได้ที่ได้จากการทำงานประจำเพียงอย่างเดียว ในปัจจุบันอาจจะไม่เพียงพอแล้ว เพราะอย่าลืมว่าเรามีหนี้สินและค่าใช้จ่ายประจำเดือนที่ต้องชำระด้วย และที่สำคัญคนที่ก้าวสู่วัยเลขห้า มีระยะเวลาเหลือในการเก็บเงินเพื่อใช้ในวัยเกษียณอีกไม่มากนัก การเพิ่มรายได้จากงานประจำที่ทำจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยต้องหารายได้เพิ่มนอกเหนือจากรายได้หลัก ไม่ว่าจะเป็นอาชีพเสริม หรืออาชีพที่ 2 ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้อย่างมากมาย และไม่รบกวนงานประจำด้วย แต่จะเป็นงานอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่แต่ละบุคคลว่ามีทักษะ หรือความสามารถด้านใดการมีอาชีพเสริม ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางหารายได้เพิ่ม เพื่อใช้ในการวางแผนเกษียณได้โดยไม่ต้องพึ่งพารายได้ทางเดียว ภาพจาก iStockนอกจากนี้ การหารายได้เพิ่ม ยังสามารถทำได้ด้วยการลงทุนรูปแบบต่างๆ ที่สร้างผลตอบแทน หรือสร้างรายได้จากทรัพย์สินที่มีอยู่ด้วย เช่น การปล่อยอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เป็นต้น ซึ่งความเป็นจริงแล้วรูปแบบการหารายได้เพิ่มปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายวิธีด้วยกัน ซึ่งไม่ใช่แค่การทำงานเสริม หรือการทำอาชีพที่ 2 เท่านั้น5. วางแผนเกษียณ เริ่มต้นเก็บเงินหลังจากเราได้ทำตามข้อ 1-4 แล้ว คงต้องเริ่มต้นการวางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงิน โดยทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และตั้งเป้าหมายว่าชีวิตหลังจากเกษียณต้องใช้เงินเท่าไร หรือต้องมีเงินออมจำนวนเท่าไร เพื่อจะได้วางแผนเก็บเงินได้ตามที่ต้องการ ซึ่งรูปแบบการวางแผนเก็บเงินนั้น อาจจะไม่ใช่ในรูปแบบเงินสดอย่างเดียว อาจจะเป็นการซื้อประกันชีวิตที่ได้เงินคืนเมื่อถึงอายุกรมธรรม์ การเก็บเงินในหุ้นกู้ ตราสาร หรือพันธบัตร เป็นต้น ก็สามารถทำได้ทั้งหมด6. วางแผนเกษียณ ดูแลสุขภาพกาย-สุขภาพใจนอกเหนือจากการวางแผนเกษียณด้านการเงินเพื่อใช้ตอนบั้นปลายแล้ว การดูแลสุขภาพร่างกาย และสุขภาพใจ เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน เพราะจะพบว่าค่าใช้จ่ายของคนในช่วงวัยผู้สูงอายุนั้น คือ ค่ารักษาพยาบาลจากโรคภัยไข้เจ็บสารพัดโรค การทำให้ร่างกายของเราแข็งแรง มีโรคภัยที่น้อยที่สุด เป็นหนทางช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในยามเกษียณได้อีกทางหนึ่ง แม้ว่าเราอาจจะมีเงินเก็บไม่มากนักก็ตามทั้งหมดนี้ ก็เป็น 6 วิธี วางแผนเกษียณเริ่มต้นเก็บเงินตอนอายุ 50 ปี เพื่อใช้บั้นปลายที่ทำได้ไม่ยากและทำได้ทุกคน แต่ทางที่ดีควรเริ่มต้นวางแผนการเงินตั้งแต่อายุน้อยๆ หรือตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน จะทำให้มีเงินเก็บจำนวนมาก และไม่ต้องรีบร้อนเก็บในช่วงระยะเวลาที่เหลือไม่มากก่อนที่จะเกษียณอายุการทำงานด้วยข้อมูลอ้างอิง : กองทุนการออมแห่งชาติ, ธนาคารแห่งประเทศไทยภาพ : iStockแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/lifestyle45plus/2756840
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
17/12/2024
กรุงเทพฯ 17 ธันวาคม 2567 - เอไอเอ ประเทศไทย มีความยินดีที่จะประกาศการแต่งตั้ง คุณเอกรัตน์ ฐิติมั่น ให้ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ (Chief Healthcare Officer, CHO) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ทั้งนี้ คุณเอกรัตน์ จะยังคงดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารของเอไอเอ ประเทศไทย ต่อไปการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อดูแลและส่งเสริมธุรกิจประกันสุขภาพ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญและพันธกิจของเอไอเอในการมุ่งพัฒนาและสร้างความยั่งยืนในกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพอย่างครบวงจร ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจประกันสุขภาพ คุณเอกรัตน์จะรับผิดชอบในการบริหารงานที่เกี่ยวเนื่องกับประกันสุขภาพแบบองค์รวม ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาธุรกิจและการตลาด ไปจนถึงการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลพันธมิตร การจัดตั้งเครือข่ายโรงพยาบาล การบริหารประสบการณ์ลูกค้า และการพัฒนาเทคโนโลยีและความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้คนไทยเข้าถึงประกันสุขภาพได้มากขึ้นอย่างยั่งยืน คุณเอกรัตน์ เป็นผู้นำที่มากด้วยประสบการณ์และมีผลงานที่โดดเด่น เป็นที่ยอมรับในด้านการพัฒนาและการปรับเปลี่ยนธุรกิจ โดยได้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของเอไอเอมาตั้งแต่ปี 2561 ภายใต้การบริหารของคุณเอกรัตน์ ฝ่ายการตลาดได้ประสบความสำเร็จในด้านสำคัญต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการเติบโตของเอไอเอ ประเทศไทยคุณเอกรัตน์ ฐิติมั่น จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ จาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) และระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ จาก the Wharton School, University of Pennsylvaniaนอกจากนี้ เอไอเอ ประเทศไทย มีความยินดีที่จะประกาศการแต่งตั้ง คุณชลิดา นครชัย ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด แทนที่คุณเอกรัตน์ ที่ได้รับตำแหน่งใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งคุณชลิดาจะเข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของเอไอเอ ประเทศไทยด้วยเช่นกันคุณชลิดา เริ่มงานที่เอไอเอในปี 2559 โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่าย digital x รับผิดชอบในส่วนงานด้านการตลาดดิจิทัล การตลาดลูกค้า โครงการเอไอเอเพรสทีจสำหรับลูกค้าสินทรัพย์สูง การหาพันธมิตรด้านดิจิทัลแพลทฟอร์ม และเทคโนโลยีการตลาด (MarTech) ภายใต้บทบาทการทำงานในปัจจุบัน คุณชลิดาได้ยกระดับศักยภาพด้านการตลาดดิจิทัลให้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และแคมเปญต่าง ๆ ในรูปแบบใหม่ สร้างฐานลูกค้าผ่านช่องทางการตลาดต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ รวมทั้งพัฒนาการใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มด้านเทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าแบบรายบุคคล คุณชลิดา นครชัย จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมเคมี จาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) และระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ จาก Kellogg School of Management, Northwestern University
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
17/12/2024
ร่วมค้นหาตัวตนผ่านนิทรรศการศิลปะ ที่สะท้อนความสุขและแรงบันดาลใจ เมื่อ วัน แบงค็อก รีเทล (One Bangkok Retail) เปิดบ้านต้อนรับให้ทุกคนได้สัมผัสโลกแห่งศิลปะ ในนิทรรศการครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ “ครูปาน-สมนึก คลังนอก” ศิลปินผู้มีเอกลักษณ์โดดเด่นจากผลงานภาพวาดสไตล์ ‘Modern Portrait’ และผู้สร้างสรรค์คาแรกเตอร์สุดน่ารัก ‘โคคูน’ (Cocoon) ที่ครองใจคนรักงานศิลปะทั้งในไทยและต่างประเทศ กับนิทรรศการ “Someone Like You” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก การจัดนิทรรศการครั้งแรกของครูปานที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดแสดงผลงานในระดับนานาชาติถึงกว่า 20 ครั้ง ตลอดระยะเวลากว่า 12 ปีปัญญา จิตรมานะศักดิ์งานครั้งนี้ ครูปานจึงได้นำชื่อ “Someone Like You” กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อสร้างความรู้จักกับเพื่อนใหม่ในสถานที่ใหม่ใจกลางเมืองแห่งนี้ ที่ วัน แบงค็อก โซน Parade ชั้น Gโดยมีเหล่าคนดังผู้ชื่นชอบงานศิลปะมาร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ นันทมาลี ภิรมย์ภักดี, สงกรานต์ เตชะณรงค์, สุพรทิพย์ ช่วงรังษี, นิภาพรรณ สุขวิมล, กรองกาญน์ ชมะนันท์, บุษดี เจียรวนนท์, เจ-ภูษิตา-ภูวรัต เทพหัสดิน ณ อยุธยา, ถกลเกียรติ-กณิการ์-อมรพิมล วีรวรรณ, ปัญญา จิตรมานะศักดิ์, สิริรักษ์ ครูวัฒนเศรษฐ์, ปรียนันท์ มงคลศรี และอีกมากมายภายในงานครูปานยังได้โชว์วาดภาพ Live Painting สุดพิเศษ ‘โคคูน วัน’ (Cocoon One) พร้อมจับฉลากมอบให้ผู้โชคดีภายในงาน นิทรรศการครั้งนี้จัดแสดงไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 68นันทมาลี ภิรมย์ภักดีสุพรทิพย์ ช่วงรังษีชาลิดา วิจิตรวงศ์ทองกรองกาญน์ ชมะนันท์ครูปาน และถกลเกียรติ กับกณิการ์ วีรวรรณแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/celebonline/detail/9670000118764
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
17/12/2024
ทะเลสาบโกเซา (Gosau) นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติในภูมิภาคซาลซ์คัมเมอร์กุท (Salzkammergut) พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเทือกเขาแอลป์ในประเทศออสเตรียภาพ: Xinhua Newsที่นี่เป็นทะเลสาบน้ำแข็ง 3 แห่ง ได้แก่ Lake Gosau, Upper Lake Gosau และ Gosaulacke ซึ่งไม่ไกลจากฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตของออสเตรียสำหรับไฮไลต์ คือ Lake Gosau ทะเลสาบอันสวยงามรายล้อมไปด้วยเทือกเขาดัคสไตน์ (Dachstein) อันสง่างาม และยิ่งกลายเป็นความงามงดสะกดสายตาในฤดูหนาวเดือนธันวาคม ที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะ ทัศนียภาพน่าตื่นตาตื่นใจ และความงามของธารน้ำแข็งภาพ: Xinhua Newsโดยปกติแล้วในช่วงฤดูกาลอื่น ทะเลสาบและพื้นที่รอบๆเหมาะสำหรับการเดินเล่นพักผ่อน ปั่นจักรยานไปรอบๆ การเดินป่าหรือปีนเขาที่มีเส้นทางท้าทายน่าตื่นเต้น ว่ายน้ำ ปิกนิกในกระท่อมไม้แสนสบาย ที่จอดรถพร้อม เรียกว่ามีทุกสิ่งสำหรับนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบทิวทัศน์ทะเลสาบกับขุนเขาแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000120471
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
หุ้น
11/12/2024
“กลยุทธ์การซื้อหุ้น: ซื้อเมื่อไหร่ให้ได้เปรียบ” คอลัมน์: Investing Tactic โดย ศศิวรรณ พงศ์พลาญชัย (โค้ชโบลิ่ง) วิทยากรพิเศษ โครงการ SITUPสำหรับนักลงทุนมือใหม่ คำถามเรื่อง “ซื้อหุ้นตอนไหนดี” คงถือเป็นคำถามโลกแตก เพราะใคร ๆ ก็อยากซื้อแล้วทำกำไรโดยไม่ต้องรอนาน แต่ในความเป็นจริงไม่มีวิธีที่ง่ายหรือแน่นอนเช่นนั้น การซื้อหุ้นไม่มีสูตรสำเร็จ นักลงทุนจึงต้องสร้างระบบเทรดที่ตอบสนองต่อเป้าหมายและความต้องการของตนเองในบทความนี้ เราจะพูดถึงรูปแบบการซื้อหุ้นเชิงเทคนิคอล ซึ่งแต่ละรูปแบบมีข้อดี ข้อเสีย และจุดซื้อที่แตกต่างกัน ดังนี้: 1. ซื้อเมื่อราคาย่อตัวเหมาะสำหรับตลาดที่ไม่ Bullish หรือเป็น Sideway • ข้อดี: ความเสี่ยงต่ำ และสามารถตั้งจุด Stop Loss แคบได้ • ข้อเสีย: อาจต้องถือรอนาน เพราะไม่แน่ใจว่าราคาจะเริ่มวิ่งเมื่อไหร่ • จุดซื้อ: เมื่อเกิดสัญญาณแท่งเทียนกลับตัว หรือเมื่อราคายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น (EMA5)2. ซื้อเมื่อราคา Break Outเหมาะสำหรับตลาดที่มีแนวโน้ม Bullish ชัดเจน • ข้อดี: หากซื้อถูกจังหวะ หุ้นมักจะวิ่งต่อทันที ทำให้เห็นกำไรเร็ว • ข้อเสีย: ความเสี่ยงจาก False Break หรือการพักตัวของราคา • จุดซื้อ: เมื่อราคาทะลุแนวต้านสำคัญที่เคยเป็นจุดต้านก่อนหน้าปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกกลยุทธ์การซื้อ1. สภาวะตลาดโดยรวม (Bullish, Sideway, Bearish)2. พฤติกรรมของหุ้น เช่น หุ้นตัวนั้น ๆ มักเกิด False Break หรือไม่3. บุคลิกของนักลงทุนเอง เช่น ความถี่ในการเทรด เวลาที่มีในการติดตามตลาด และลักษณะไลฟ์สไตล์สิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกคนต้องมีไม่ว่าจะเลือกซื้อหุ้นตอนไหน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ “จุด Stop Loss” ไม่มีระบบเทรดหรือกลยุทธ์ใดที่ทำกำไรได้ 100% ตลอดเวลา จุด Stop Loss จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันพอร์ตโฟลิโอไม่ให้เสียหายเกินควบคุมจากคำถามว่า “ควรซื้อหุ้นตอนไหน?” คำตอบของผู้เขียนคือ ซื้อเมื่อคุณพร้อม และความพร้อมในที่นี้หมายถึง คุณมีจุดซื้อ จุดขาย และจุด Stop Loss ที่ชัดเจน พร้อมทั้งมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามระบบเทรดอย่างมีประสิทธิภาพแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับฐานเศรษฐกิจhttps://www.thansettakij.com/finance/stockmarket/612407
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
11/12/2024
คปภ.ยกเครื่อง “ประกันรถยนต์” ในรอบเกือบ 20 ปี ใช้ต้นแบบประกันรถอีวี บังคับระบุชื่อผู้ขับขี่ คิดค่าเบี้ยรายบุคคลตามพฤติกรรม-ประวัติขับขี่ เผย “ประวัติดี-ไม่มีเคลม” รับส่วนลดเบี้ยสูงสุด 40% ส่วนกลุ่มเคลมสูงเจอชาร์จเบี้ยสูงสุด 40% ดีเดย์นำร่อง 1 ม.ค. 68 สำหรับรถใหม่ป้ายแดง และปี’69 ใช้กับรถยนต์ทั้งประเทศ หวังสร้างจุดเปลี่ยนคนขับรถดีขึ้น-ลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุจากที่ติดอันดับโลก สมาคมประกันฯขานรับชี้ช่วยให้การกำหนดค่าเบี้ยในอนาคตเหมาะสมมากขึ้น ลุ้นเบี้ยรถยนต์ปี’68 โต 3-5% “วิริยะ-กรุงเทพ” เชื่อช่วยลดเคลมลงได้ 10%รื้อแบบ “ประกันรถ” รอบ 20 ปีนายอาภากร ปานเลิศ รองเลขาธิการด้านกำกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สำนักงาน คปภ. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น (เฮียริ่ง) เพื่อทบทวนเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ (สันดาป) ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ประเภท 2 และประเภท 3 ซึ่งจะเป็นการยกเครื่องกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ในรอบเกือบ 20 ปี หลังจากมีการทบทวนแก้ไขพิกัดอัตราเบี้ยใหม่ (Tariff Rate) ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ตั้งแต่ปี 2540 และต่อมาได้ปรับเงื่อนไขเพิ่มเติมอีกครั้งเมื่อปี 2550โดยครั้งนี้จะนำเอาเรื่องพฤติกรรมการขับขี่หรือนำความเสี่ยงในการขับขี่จริงของแต่ละบุคคลมากำหนดเบี้ยประกัน โดยจะใช้ต้นแบบเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่บังคับให้ต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ มาปรับใช้กับรถยนต์สันดาป เพื่อให้มีการโค้ดค่าเบี้ยประกันที่เหมาะสมต่อความเสี่ยงของผู้ขับขี่โดยสามารถระบุชื่อผู้ขับขี่ต่อกรมธรรม์ได้สูงสุด 5 ราย จากปัจจุบันกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไม่ต้องระบุชื่อผู้ขับขี่ และเพิ่มทางเลือกให้ซื้อกรมธรรม์แบบระบุชื่อผู้ขับขี่ได้ เพื่อให้ได้ค่าเบี้ยที่ถูกลง ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่จะระบุชื่อผู้ขับขี่อยู่ประมาณ 1-2 รายขับรถแย่เจอชาร์จเบี้ยเพิ่ม 40%นอกจากนี้ เงื่อนไขใหม่จะมีส่วนลดเบี้ยประกันอยู่ 2 ส่วน คือ 1.ส่วนของกรมธรรม์ ถ้าไม่มีเคลมลูกค้าจะได้รับส่วนลดสูงสุดถึง 40% แต่ตรงนี้จะไม่ติดตัวผู้ขับขี่ไป เพราะเป็นเงื่อนไขสัญญาระหว่างบริษัทประกันภัยและผู้เอาประกันภัย แต่ส่วนที่ 2.ประวัติการขับขี่ หากผู้ขับขี่มีประวัติขับรถดี ไม่มีเคลม จะได้ส่วนลดติดตัวไปสูงสุดถึง 40%ยกตัวอย่าง นาย A ขับรถดีมา 3 ปี ประวัตินี้จะติดตัวไปด้วย เมื่อไปทำประกันภัยรถยนต์กับบริษัทใหม่ ทางบริษัทประกันภัยนั้น ๆ จะนำประวัติ 3 ปีที่ขับดีมาคำนวณค่าเบี้ยประกัน แต่หากผู้ขับขี่เกิดอุบัติเหตุบ่อย/เคลมบ่อย บริษัทประกันภัยก็สามารถชาร์จเบี้ยประกันได้สูงสุดถึง 40% เช่นกันดีเดย์รถป้ายแดง 1 ม.ค. 68นายอาภากรกล่าวต่อว่า ไทม์ไลน์การบังคับใช้จะกำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป จะให้เริ่มบังคับใช้กับรถใหม่ (ป้ายแดง) ของรถสันดาปและรถไฮบริดก่อน และตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป จะให้บังคับใช้กับรถยนต์ที่ใช้งานอยู่ทั้งหมดในประเทศไทย“สาเหตุที่ คปภ. ต้องการปรับเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะให้เบี้ยประกันภัยสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ขับขี่แต่ละบุคคล ซึ่งต่อไป คปภ. สามารถเก็บพฤติกรรมการขับขี่รายบุคคลได้มากขึ้นและผู้ขับขี่รายใดที่ขับขี่แล้วเกิดอุบัติเหตุบ่อย ก็ควรจะต้องจ่ายค่าเบี้ยที่แพงขึ้น ขณะเดียวกันหากขับรถดี มีความระมัดระวังไม่เคยเกิดเหตุ หรือไม่ใช่ฝ่ายผิด ค่าเบี้ยประกันก็ควรจะถูกลงด้วย” นายอาภากรกล่าวโดยเมื่อมีการคิดค่าเบี้ยตามความเสี่ยงแต่ละบุคคล จะทำให้พฤติกรรมความเสี่ยงจะสอดคล้องกับเบี้ยประกันมากขึ้น และจุดสำคัญที่ คปภ. อยากจะเห็นจุดเปลี่ยน คือ คนในประเทศมีการขับรถที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุในประเทศไทยลงได้ จากวันนี้ประเทศไทยเกิดอุบัติเหตุสูงมากและติดอันดับโลกสมาคมรับลูกแนวคิดด้าน ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การทบทวนเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถของ คปภ.ในครั้งนี้ ถือเป็นแนวความคิดที่ดีมากเพราะจริง ๆ แล้วความเสี่ยงของรถยนต์ไม่ได้อยู่ที่ตัวรถแต่อยู่ที่ผู้ขับขี่ ดังนั้นการบังคับระบุชื่อผู้ขับขี่จะทำให้บริษัทประกันภัยรู้ว่าใครเป็นคนที่มีพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลให้การกำหนดค่าเบี้ย (Pricing) ในอนาคตจะนำไปสู่ Pricing ที่เหมาะสมได้มากสำหรับตลาดประกันภัยรถยนต์ในปี 2568 ถ้าประเมินจากปี 2567 ที่ยอดขายรถยนต์โดยเฉพาะรถใหม่ที่เป็นรถสันดาปหดตัวลงอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันยอดขายรถอีวีก็มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่มีหลายแบรนด์เข้ามาแข่งขันจึงยังมองว่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาพรวมปีหน้ายังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นได้ประมาณ 3-5% แต่สำหรับสิ้นปีนี้ภาพรวมไม่น่าจะโต เพราะสิ่งที่เจอคือการหดตัวของยอดขายรถสันดาป และรถมือสองก็ขายได้ยากขึ้น ส่งผลจำนวนรถที่จะเข้าสู่ระบบประกันภัยใหม่ ๆ ก็ลดน้อยลงวิริยะลุ้นเบี้ยรถ 3.8 หมื่นล้านขณะที่นายสยม โรหิตเสถียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เจ้าตลาดประกันรถยนต์ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวทาง คปภ.เป็นเรื่องที่ดี เชื่อว่าความเสี่ยงการเคลมประกันรถยนต์ในอนาคตจะลดลงแน่นอน ทำให้ค่าเบี้ยประกันภัยก็จะเปลี่ยนตามไปโดยช่วง 10 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีการรับประกันภัยรถยนต์อยู่ประมาณ 1.5 ล้านคัน เบี้ยกว่า 3 หมื่นล้านบาท เติบโต 1.2% YOY รวมพอร์ตประกันรถอีวีที่รับประกันอยู่ 49,000 คัน คิดเป็นเบี้ยประกัน 1,130 ล้านบาท แม้ว่าปีนี้รถป้ายแดงจะชะลอตัวลงมากแต่บริษัทยังลุ้นช่วงเดือน ธ.ค.นี้ ที่มีงาน Motor Expo 2024 และเป็นช่วงพีกการต่ออายุประกันรถ จะทำให้สิ้นปีบริษัทจะมียอดเบี้ยประกันรถยนต์ถึงเป้า 3.8 หมื่นล้านบาทได้ โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราการต่ออายุประกันรถยนต์สูงถึง 80% สะท้อนว่าจะยังรักษายอดต่ออายุได้ในระดับที่ดีมากสำหรับอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) ในการเคลมประกันรถยนต์ของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 57% ยังมีกำไรอยู่ได้ ดังนั้นคงยังไม่ปรับเบี้ยประกัน แม้ว่าปัจจุบันจะมียอดเคลมประกันรถยนต์เพิ่มขึ้น 6% YOY หรือประมาณ 6 แสนเคลม มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท แต่ถ้าเมื่อไหร่ Loss Ratio เกิน 60% บริษัทก็อาจจำเป็นต้องปรับเบี้ยขึ้นบ้างกรุงเทพเชื่อลดเคลมลงได้ 10%ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประสบการณ์ของผู้ขับขี่รถจะมีผลต่อเรื่องการเกิดอุบัติเหตุ ผู้ที่มีอายุอยู่ในระดับที่มีวุฒิภาวะค่อนข้างสูง ความถี่การเกิดอุบัติเหตุก็จะน้อยลง ซึ่งมองว่าประกันภัยรถรูปแบบใหม่จะช่วยลด Loss Ratio ลงมาได้สัก 10%อย่างไรก็ตาม จากนโยบายซ่อมห้าง (ซ่อมศูนย์) ขณะที่ค่าแรงและค่าอะไหล่ที่สูงมาก ส่งผลให้ Loss Ratio ของเคลมประกันรถยนต์ของรถป้ายแดงยังสูงเกินกว่า 65%สำหรับพอร์ตประกันรถยนต์ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรก สืบเนื่องจากกิจกรรมทางสังคมที่กลับมาเป็นปกติแล้วจากช่วงโควิด ส่งผลให้อุบัติเหตุสูงขึ้น กดดันอัตราความเสียหายของประกันภัยรถยนต์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 3% จากระดับ 56% เป็น 59%หั่นเป้าเบี้ยเหลือ 3.2 หมื่นล้านดร.อภิสิทธิ์กล่าวว่า บริษัทได้ปรับลดประมาณการเป้าเบี้ยรับรวมปีนี้ลงมาที่ 32,000 ล้านบาท เหลือโต 7% จากเดิมที่ตั้งไว้ 32,400 ล้านบาท โต 8% สาเหตุจากตลาดประกันวินาศภัยไทยที่มีความเปราะบาง ภาพรวมประกันวินาศภัย 9 เดือนแรกไม่ค่อยดี ทั้งตลาดมีเบี้ยรับรวมติดลบ 0.5%สาเหตุหลักเพราะยอดขายรถยนต์ใหม่ปีนี้ที่หดตัวแรง มีการปรับลดเป้าตั้งแต่ต้นปีเรื่อยมา จากต้นปีตั้งเป้า 8-9 แสนคัน ปรับลดลงเหลือ 7.5 แสนคัน และตอนนี้ปรับใหม่น่าจะเหลือแค่ 5.5 แสนคันโดยไตรมาส 4/2567 ภาคธุรกิจจะเป็นการแข่งขันเพื่อแย่งชิงปลาในบ่อเดิม เพราะยอดขายรถใหม่ไม่ค่อยมี และส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถอีวี ทั้งนี้ ไม่ใช่ว่าบริษัทจะไม่เข้าไปรับประกันรถอีวี แต่จะรับด้วยราคาเบี้ยประกันที่สะท้อนความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งเมื่อเทียบราคาคู่แข่งจะสูงกว่าหลายบริษัท ทำให้พอร์ตประกันอีวีของบริษัทไม่โตมาก แต่รถสันดาปยังมั่นใจว่าลูกค้าจะให้ความมั่นใจในเรื่องของคุณภาพและบริการ เพราะฉะนั้น การโยกพอร์ตจะยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง“ช่วง 9 เดือนแรก พอร์ตประกันรถยนต์ของบริษัทโต 9.9% คิดเป็นเบี้ยราว 13,000 ล้านบาท และคาดว่าปิดปีพอร์ตประกันภัยรถยนต์ของบริษัทน่าจะโตได้ 10% โดยประกันรถของบริษัทมีอัตราการต่ออายุ 86% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบอุตสาหกรรม”ปีหน้าโอกาสเบี้ยรถขยับ 3-5%ดร.อภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า สำหรับปี 2568 มองว่ายอดขายรถใหม่ยังไม่น่ากระเตื้อง จากความเปราะบางของเศรษฐกิจ ขณะที่หนี้ครัวเรือนก็ยังไม่มีแนวโน้มจะลดลง คาดการณ์ว่า GDP ก็ไม่น่าจะโตมากไปกว่าปีนี้ สังเกตจากนโยบายการปล่อยสินเชื่อของธุรกิจไฟแนนซ์และธนาคาร ที่ค่อนข้างเข้มงวดเพื่อลดอัตราการเกิดหนี้เสีย (NPL) นั่นแปลว่าจำนวนรถที่เข้าสู่ระบบไฟแนนซ์ลีสซิ่ง หรือยอดขายรถยนต์ใหม่ไม่น่าจะกระเตื้องได้มาก ซึ่งจะกดดันการเติบโตของเบี้ยประกันรถยนต์ตามมาส่วนแนวโน้มอัตราความเสียหายของประกันรถยนต์ ในปีหน้ามองว่ายังอยู่ใกล้เคียงเดิม ถ้าไม่มีความเสี่ยงจากเรื่องภัยธรรมชาติ แต่หากเกิดภาวะ Rain Bomb โดยเฉพาะหากเกิดในกรุงเทพฯ อาจมีความเสี่ยงรถยนต์ที่จอดอยู่ชั้นในคอนโดมิเนียมชั้นใต้ดินจะได้รับความเสียหายมาก ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นกังวลที่อาจจะส่งผลให้ Loss Ratio รถยนต์สูงขึ้นกว่าปีนี้ได้“อย่างไรก็ดี ปีหน้าก็มีรถบางรุ่นของบริษัทที่อาจต้องมีการขยับเบี้ยขึ้นบ้าง เช่นเดียวกับภาพรวมอุตสาหกรรมที่จะต้องขึ้นเบี้ยให้สะท้อนภาพความเสี่ยงที่แท้จริง เทียบกับราคาค่าซ่อม ค่าอะไหล่ ที่สูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งการขยับเบี้ยขึ้นน่าจะประมาณ 3-5% ซึ่งหลัก ๆ จะเป็นรถใหม่ที่ซ่อมจากศูนย์ซ่อมตัวแทนจำหน่าย (Dealer Garage)” ดร.อภิสิทธิ์กล่าวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1711047
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
11/12/2024
นิทรรศการ Red mud, Green Shoots จัดแสดงผลงานศิลปะหลากหลายเทคนิคของศิลปิน ‘แม่ญิง’ 28 คน สะท้อนความรู้สึก ความทรงจำ ของเหตุการณ์มหาอุทกภัย ส่งต่อกำลังใจ พลิกฟื้นให้ชีวิตดำเนินต่อไปกันได้ ท่ามกลางความผันผวนไม่แน่นอนของสภาพอากาศและทุกอย่างรอบๆ ตัวในน้ำท่วมเราพบน้ำใจ ท่ามกลางโคลนตมที่กลืนกินพื้นที่ไปทั่วเมือง เราเห็นความหวังที่ยังผลิบาน โลกมีสองด้านให้เราเรียนรู้เสมอพจวรรณ พันธ์จินดา หนึ่งในสมาชิกศิลปินแม่ญิง (Maeying Artists Collective) กล่าวถึงที่มาของนิทรรศการ Red mud, Green Shoots ที่กำลังจัดแสดงอยู่ที่บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ไปจนถึง 21 ธันวาคม ศกนี้ ให้ฟังว่า“ศิลปินแม่ญิง แสดงผลงานร่วมกันในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 2560 แต่ปีนี้เกิดน้ำท่วมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ของ เชียงราย สมาชิกในกลุ่มเรามีทั้งผู้ประสบภัยและอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงอยากถ่ายทอดมุมมองของแต่ละคนในนิทรรศการ Red mud, Green Shoots ท่ามกลางโคลนสีแดงเต็มเมือง ก็ยังมีหน่อเล็ก ๆสีเขียวงอกขึ้นมาใหม่ แม้จะอยู่ท่ามกลางภัยพิบัติเรายังมีความหวัง”ศิลปินแม่ญิง (Maeying Artists Collective)(ภาพ : บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย)หอยทากบนผนัง ตัวแทนของผู้รอดชีวิต ผลงานดินปั้นโดย พจวรรณ พันธ์จินดาผลงานศิลปะในนิทรรศการครั้งนี้ ได้รับการตีความผ่านความรู้สึกและประสบการณ์ของศิลปินแต่ละคน ทำให้ผู้ชมได้เห็นมุมมองที่หลากหลายพจวรรณ เจ้าของคาแรกเตอร์ PoyPoy เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชอบแฝงตัวอยู่ในท้องฟ้ากว้างๆ ชอบชวนเพื่อนๆออกไปผจญภัย นำเสนอเรื่องราวของหอยทากที่พากันหนีน้ำขึ้นไปอยู่บนกำแพงและผนังของบ้าน ด้วยการปั้นดินเป็นรูปหอยทากระบายสีราวลูกกวาดแล้วนำมาเกาะอยู่ตามผนังกระจายอยู่ภายในห้องจัดแสดงงานศิลปะ“เล่าถึงเรื่องราวของผู้รอดชีวิต” เจ้าของผลงานตอบสั้นๆเพราะอยากให้เราจินตนาการต่อเรือกระดาษ สะท้อนภาพความช่วยเหลือจากเรือกู้ภัยที่แล่นผ่านหน้าบ้านทุกวันผลงานของ ภัทรพร สิทธิศักดิ์ในขณะที่ ภัทรพร สิทธิศักดิ์ หยิบรูปทรงของเรือกระดาษมาบอกเล่าถึงขบวนเรือกู้ภัยที่แล่นผ่านหน้าบ้านซึ่งอยู่บนเส้นทางผ่านระหว่างอำเภอแม่สายและอำภอเมืองเชียงราย แทนความทรงจำที่ได้เห็นความช่วยเหลือที่เกิดขึ้นในทุกวันภาพเขียนสีจากดินโคลนน้ำท่วม ผลงานของ ธนันท์ ใจสว่างธนนันท์ ใจสว่าง นำดินโคลนที่มากับน้ำท่วมในบ้านมาผสมน้ำแล้วใช้แทนสีวาดภาพสะท้อนความโกลาหลที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์น้ำท่วมส่วน กิตติ์สินี ธันวรักษ์กิจ สร้างสรรค์ผลงานศิลปะจัดวางด้วยการนำดินโคลนมาใส่ในถุงดำแล้วปลูกดอกเดซี่ สื่อถึงความหวังและการเริ่มต้นใหม่ และดอกทานตะวัน สะท้อนถึงความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ “ถึงแม้ว่าเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นจะทิ้งร่องรอย สร้างบาดแผลและความเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่ขออย่าสิ้นหวัง หมดพลัง และสิ้นศรัทธา เหมือนดอกไม้ที่เติบโตหลังพายุฝน” โดยต้นไม้ในถุงดำนี้ผู้เข้าชมสามารถซื้อกลับบ้านได้ รายได้จะนำไปสมทบทุนช่วยเหลือ“ซ้อนสู้สู่ความหวัง” โดย จตุพร เทพนิลประกาศยกของขึ้นที่สูงเป็นคำเตือนที่คุ้นหู จตุพร เทพนิล นำดินโคลนน้ำท่วมมาสร้างสรรค์เป็นงานเซรามิคที่ชื่อว่า ซ้อนสู้สู่ความหวัง สะท้อนถึงความพยายามในการปกป้องสิ่งของจากภัยน้ำท่วมด้วยการซ้อนวางสิ่งของอย่างมุ่งมั่นตั้งใจและระมัดระวัง จนเกิดเป็นความสูงจากการสู้เพื่อให้สิ่งของพ้นระดับน้ำ อีกทั้งการซ้อนสู้นี้แฝงด้วยความหวังให้เกิดความปลอดภัย พร้อมชีวิตที่รอวันผลิบานกับการเริ่มต้นใหม่ที่สดใสยิ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ชวนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้มสำหรับผลงานที่ดูเหมือนว่าจะเก็บรายละเอียดของเหตุการณ์และเรื่องราวของผู้คนได้เอาไว้ได้มากมาย ต้องยกให้ผลงานจิตรกรรมในบรรยากาศเหนือจริง “อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” ของ ชรินรัตน์ สิงห์หันต์ เจ้าของฉายา หลานหวัน หรือหลานของ ‘ถวัลย์ ดัชนี’ ศิลปินแห่งชาติชาวเชียงราย ที่รุ่นพี่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ตั้งให้เพราะความที่เป็นคนเชียงรายที่มีความบ้าพลังทำงานศิลปะชิ้นเล็ก ๆไม่ค่อยถนัดถึงแม้ว่าผลงานในครั้งนี้จะมีขนาดเล็กอยู่สักหน่อย แต่ถือว่าเป็นงานชิ้นเล็กแบบตะโกนเลยทีเดียว“อยากเขียนภาพที่บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดของปีนี้เอาไว้ ตอนต้นปีเขาบอกว่าเชียงรายจะแล้งแต่ปรากฏว่ามีฝนตกหนัก นอกจากนี้การเผาข้าวโพดทำให้หน้าดินแข็งไม่สามารถอุ้มน้ำได้ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดน้ำท่วมเรามานั่งดูเชียงรายปีนี้ว่าเกิดประสบภัยพิบัติเกือบทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นฝนตก น้ำท่วม หรือฝุ่นละออง เลยอยากจะบันทึกเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปีนี้เอาไว้ถอดบทเรียนสำหรับการไขปัญหาให้ดีขึ้น”“อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต” โดย ชรินรัตน์ สิงห์หันต์หลานหวัน นำเสนอรูปบุคคลที่มีหัวเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยม สื่อความหมายของสภาวะที่หลีกหนีไม่ได้ ร่องรอยบูดเบี้ยวแทนประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในขณะที่สีหน้าบ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายที่ชาชิน งานเก็บกวาดยังคงเป็นงานหนักหลังน้ำลด ท่ามกลางความโกลาหลอาหารและข้าวกล่องลำเลียงส่งมาทางเฮลิคอปเตอร์ ดังที่เห็นเป็นข่าว อาสาสมัครกู้ภัย และน้ำใจที่หลั่งไหลจากทั่วสารทิศ ล้วนเป็นเรื่องราวที่บันทึกไว้ในผลงานชิ้นนี้ข้าวกล่อง คือ ของสำคัญในยามนั้นในดีมีร้าย ในร้ายมีดี ทุกเรื่องราวล้วนมีมุมมองคู่ขนานกันอยู่เสมอ เช่นเดียวกับเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเชียงรายเมื่อเดือนสิงหาคม กันยายน ต่อเนื่องมาจนถึงตุลาคมที่ผ่านมา“บนโคลนตมสีแดงที่หลากท่วมไปทั่วเมือง ความหวังยังผลิบาน”ถ้าไม่เป็นผู้ประสบภัยเองก็จะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ ผลงานของ อิ่มบุญ อินยาศรีนิทรรศการ Red mud, Green Shoots จัดแสดง 16 พฤศจิกายน -21 ธันวาคม 2567 ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย เปิดให้เข้าชมฟรี เวลา 10.00-16.00 น. (หยุดวันจันทร์) และติดตามกิจกรรมของทางกลุ่มศิลปินได้ที่ เฟซบุ๊ก กลุ่มศิลปินแม่ญิง Maeying Artists Collectiveภาพ : บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย , แม่ญิงแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1156900
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
11/12/2024
เมื่อก้าวไปตามเส้นทางบนสะพานสกายวอล์กที่โอบล้อมความร่มรื่นเขียวขจีของพันธุ์ไม้หลากชนิดรอบตัว คงชวนให้ผู้หลงใหลในพันธุ์พฤกษารู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่น้อย โดยเฉพาะ “ต้นเปือย” หรือต้นตะแบกที่สูงชะลูดจนต้องแหงนคอมองแผ่ใบเขียวครึ้มเป็นร่มเงากระจัดกระจายอยู่เกือบร้อยต้นบรรยากาศชวนรื่นรมย์ชมธรรมชาตินี้ หากไม่บอกกล่าวกันมาก่อน คงไม่รู้ว่าเป็นป่าช้าเก่ามานับร้อยปี แต่ขอให้ตัดจินตนาการความคิดที่รบกวนจิตใจออกไป แล้วสัมผัสสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ที่มีความสวยงามของผืนป่า ย่อมยากที่จะปฏิเสธได้ว่า “ดอนป่าเปือย” เป็นแหล่งท่องเที่ยวชมธรรมชาติที่น่าประทับใจ สมกับฉายาที่ชาวบ้านตั้งให้เป็นแดนมหัศจรรย์ต้นเปือยหลายสิบต้นร่มรื่นไปทั่วบริเวณป่าช้าเก่า สู่แหล่งท่องเที่ยวแดนมหัศจรรย์“ดอนป่าเปือย” หรือบางคนเรียกว่า “ป่าช้าบ้านหม้อ” เป็นป่าช้าเก่าของชาวไทพวนในตำบลบ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ซึ่งทุกวันนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยม เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง “อันซีนหนองคาย” เป็นจุดหมายไม่ควรพลาดทั้งผู้สนใจเรื่องพืชพันธ์ุต่างๆ ตลอดจนนักเดินทางที่มีความเชื่อสายมู ที่มักไม่พลาดพ่วงมาด้วยความเชื่อเรื่องการเสี่ยงดวง แถมยังสมหวังกันไปอีกหลายรายด้วยศาลตาโฮม-ยายจำลองอาณาเขตราว 36 ไร่ของดอนป่าเปือย เป็นผืนป่าที่มีลักษณะสวนป่าผสมผสานเพื่อการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ระบบนิเวศและศึกษาพืชพรรณในท้องถิ่น ต้นไม้ชูโรงที่เป็นไฮไลต์ ต้องยกให้ “ต้นเปือย” หรือต้นตะแบก จำนวน 92 ต้น ซึ่งว่ากันว่ามีจำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย สูงตระหง่านกระจัดกระจายแผ่ความร่มรื่นไปทั่วบริเวณ โดยมีอายุราว 300-400 ปี และมีต้นที่ใหญ่ที่สุด วัดรอบวงได้ถึง 5.3 เมตรทางเดินไปชมต้นเปือยยักษ์ความสำคัญของต้นไม้ใหญ่ที่สุด ยังมีความเชื่อมโยงกับพระเกจิชื่อดังของภาคอีสาน เพราะเป็นสถานที่ปักกลดของ “หลวงปู่ฝั้น อาจาโร” เมื่อปี พ.ศ. 2475 ซึ่งทางเดินไปยังจุดที่พระเกจิเคยปักกลด ประดับเป็นเส้นทางเสาไม้ไผ่เรียงรายสวยงามได้บรรยากาศคล้ายเสาโทริอิแบบญี่ปุ่นผืนป่าที่นี่นับเป็นป่าโบราณ นอกจากต้นเปือยยักษ์แล้ว ยังมีพืชหลายชนิดที่เติบโตตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น กล้วยป่า ต้นบอน ตาว อ้อยช้าง ต้นบุก ดูกใหญ่ พืชสมุนไพรนานาชนิด ต้นตะเคียนทอง 200 ปี ฯลฯ ที่เบียดเสียดกันเติบโต สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ได้เป็นอย่างดีตกแต่งคล้ายเสาโทริอิสถานที่ถ่ายทำหนังดังของค่าย GTHในด้านวัฒนธรรมร่วมสมัย ดอนป่าเปือย ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดังของค่าย GTH ในสมัยที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ เรื่อง “15 ค่ำเดือน 11” (2545) อันเป็นผลงานแจ้งเกิดเรื่องแรกของ “จิระ มะลิกุล” ด้วยภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องเล่าตำนานพื้นบ้านกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นในคืนวันออกพรรษาของทุกปีในพื้นที่จังหวัดหนองคายมูลเจดีย์รูปแบบการท่องเที่ยวดอนป่าเปือยสำหรับการเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้ เป็นรูปแบบเดินชมเอง หรือมีไกด์ท้องถิ่นนำชม ไปตามเส้นทางเดินแบบสะพานยกสูง ผสมกับสกายวอล์ก ความยาวรวมประมาณ 400 เมตร โดยมีไฮไลต์ต่างๆกระจายอยู่หลายจุด ได้แก่ จุดบริเวณที่เคยใช้ถ่ายทำภาพยนตร์, สระอโนดาด พญานาคา, นางพญาตาเปือย, หอฆ้องกลองโบราณ, จุดชมพื้ชพรรณไม้หายาก, มุมถ่ายภาพสวยๆกับป่าอันร่มรื่น ฯลฯส่วนด้านนอกเส้นทางเดิน ก็ยังมีจุดเช็กอินที่ผสมผสานศรัทธากับความเชื่อ เช่น สถูปพระทองคำ, มูลเจดีย์, ศาลตาโฮม-ยายจำลอง, ถ้ำปู่ศรีสุทโธ - ย่าศรีปทุมมา, ตามรอยเส้นทางหลวงปู่ฝั้นที่ต้นเปือยใหญ่ที่สุด เป็นต้นจุดถ่ายภาพตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิจกรรมประจำปีนอกจากการเที่ยวชมธรรมชาติแล้ว ในส่วนของการสัมผัสวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ต้องลองแวะมาช่วงเทศกาลประจำปี ที่มีการจัดกิจกรรมวัฒนธรรมที่สำคัญเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน ได้แก่ ก่อนวันสงกรานต์ (9 เมษายน ของทุกปี) มีกิจกรรมทำบุญตักบาตรอุทิศให้บรรพบุรุษ การบิณฑบาตบนสะพานในป่า พระสงฆ์เดินออกมาด้านนอก เป็นอันซีนแห่งเดียวในจังหวัดหนองคาย และในช่วงกลางคืน ยังมีกิจกรรมฉายหนังให้ผีดู ส่วนในช่วงวันสงกรานต์ มีการสรงน้ำพระพุทธรูปทองคำ ตลอด 3 วันอีกหนึ่งไฮไลต์คืนวันออกพรรษา (15 ค่ำ เดือน 11) จะมีการจุดเทียน 1,511 เล่ม บนราวสะพาน สวยงามอลังการ เพื่อย้อนรอยภาพยนตร์เรื่องดังที่เคยมาถ่ายทำต้นบอนขนาดใหญ่ดอนป่าเปือย บ้านหม้อต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคายติดต่อ เข้าชมได้ทุกวัน 09-3429-9351, 08-1601-6232เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติข้อมูลต้นเปือย“ต้นเปือย” เป็นชื่อภาษาถิ่น หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ “ตะแบก” ไม้ยืนต้นขนาดกลางและใหญ่ ลำต้นสูงประมาณ15-30 เมตร มีทรงพุ่มใหญ่กว้าง ทรงพุ่มหนา ทำให้เป็นร่มเงาได้ดี และยังมีความเชื่อคนโบราณว่าเป็นต้นไม้มงคล ด้วยชื่อของ “ตะแบก” จะช่วยค้ำจุนครอบครัวให้ร่มเย็นเป็นสุข มั่นคง ช่วยแบกรับไม่ให้ตกต่ำตามชื่อที่เรียกแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000118804
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
06/12/2024
เปิดเส้นทางที่มาของภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยตั้งแต่เริ่มต้น สู่แผนปฏิรูปภาษีขึ้น VAT มากกว่า 7% ลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 15% และภาษีบุคคลธรรมดา 15% กลายมาเป็นประเด็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรง ทั้งภาคประชาชน ธุรกิจเอกชน และฝ่ายการเงิน สำหรับการขึ้นภาษี VAT มากกว่า 7% ถูกปลุกขึ้นมาจากการประกาศผ่านงานปฐกถาพิเศษของ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อ 3 ธันวาคมที่ผ่านมาเขาระบุว่า กำลังเร่งพิจารณาเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อสนับสนุนเรื่องการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล และปรับให้สอดคล้องกับหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเก็บอยู่ที่ 7% จากเพดานที่ให้เก็บได้ 10% ซึ่งถือว่าน้อย เมื่อเทียบต่างประเทศทั่วโลกที่มีการเก็บภาษี VAT เฉลี่ยที่ 15-25% จนทำให้ประชาชนต่างมีข้อกังวลสำหรับรายจ่ายของตนที่จะเพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้ยังเท่าเดิมภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่น้อยคนนักจะรู้ว่ามันมีที่มา เส้นทางและหน้าที่แบบใด ?VAT 10% ตั้งแต่เริ่ม‘ภาษีมูลค่าเพิ่ม’ หรือที่เรารู้จักกันในนาม ‘VAT’ ย่อมาจาก Value Added Tax ซึ่งคำว่า มูลค่าเพิ่ม หมายถึง ค่าเงินที่เพิ่มขึ้นของแต่ละขั้นตอนการผลิตไปจนถึงการจำหน่ายสินค้าและบริการ เปรียบเทียบได้จากราคาสินค้าและบริการที่ผลิต หรือจำหน่าย กับราคาสินค้าและบริการที่ซื้อมาเพื่อใช้ในการผลิตโดย VAT เป็นภาษีที่รัฐบาลเรียกเก็บจากมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนการผลิตสินค้า หรือบริการ และการจำหน่ายสินค้าหรือบริการชนิดต่าง ๆ โดยผู้ประกอบการมีหน้าที่เก็บจากผู้บริโภค แล้วนำไปชำระให้แก่รัฐบาล ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร หมวด 4 ภาษีมูลค่าเพิ่ม มาตรา 80 ระบุว่า ให้ใช้อัตราภาษีร้อยละ 10.0 ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการดังต่อไปนี้ • การขายสินค้า • การให้บริการ • การนำเข้าทั้งนี้เว้นแต่กรณีที่กำหนดไว้ในมาตรา 80/2อัตราภาษีตามวรรคหนึ่งให้ลดลงได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา แต่ต้องกำหนดอัตราภาษีให้เป็นอัตราภาษีเดียวกันสำหรับการขายสินค้า การให้บริการ และการนำเข้าทุกกรณีด้วยข้อความข้างต้นเป็นที่มาของพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 236 พ.ศ. 2534 พ.ร.ฎ. ฉบับแรกที่กำหนดให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มและจัดเก็บในอัตราร้อยละ 6.3 และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแทนราชการส่วนท้องถิ่นในอัตราร้อยละ 0.7 ของอัตราภาษีที่จัดเก็บทำให้กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งสิ้นร้อยละ 7 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2535 เป็นครั้งแรก ก่อนจะตามมาด้วยพระราชกฤษฎีกาฯ อีกหลายฉบับที่ขยายเวลาในการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อาทิ • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 479 พ.ศ. 2551 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 549 พ.ศ. 2555 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 592 พ.ศ. 2558 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 646 พ.ศ. 2560 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 669 พ.ศ. 2561 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 684 พ.ศ. 2562 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 715 พ.ศ. 2563 • พระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 724 พ.ศ. 2564แม้ว่าจะมีการลดอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยปรับเพิ่มขึ้นเลย ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ ‘ต้มยำกุ้ง’ จนต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)ไทยปฏิบัติตามข้อเสนอในการรัดเข็มขัดและรักษาวินัยทางการเงินจาก IMF เพื่อให้สถานะการคลังแข็งแกร่งขึ้น ด้วยการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 กลับมาเป็นร้อยละ 10 เมื่อปี 2540 ก่อนจะปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มกลับมาเป็นร้อยละ 7 ดังเดิมตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2542เพิ่มเปอร์เซ็นต์ VAT เพิ่มรายได้รัฐ ?ข้อมูลจากกระทรวงการคลังระบุว่า ปีงบประมาณ 2567 ภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ถือเป็นแหล่งรายได้อันดับ 2 ของรัฐ รองจากรายได้จากกลุ่มรัฐวิสาหกิจ กลายมาเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐในการดำเนินกิจการต่าง ๆ อาทิ ระบบสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ รวมถึงการเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมความเติบโตทางเศรษฐกิจ และควบคุมการบริโภคของประชาชน รวมถึงการรักษาเสถียรภาพในทางเศรษฐกิจตรงกับจุดประสงค์ของรัฐบาลที่ รมว.พิชัย กล่าวไว้ว่า การปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อสนับสนุนเรื่องการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล เงินกองกลางหรือที่หมายถึงเงินในคลังใหญ่ขึ้น ก็จะเป็นการส่งมอบโอกาสกับคนที่มีรายได้น้อย ผ่านมาตรการต่าง ๆ ของรัฐในการอำนวยความสะดวก และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวยขณะที่ความเห็นจำนวนมากทั้งระดับผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและภาคประชาชน ระบุว่า อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ลดลงมาเหลือร้อยละ 7 ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา อาจทำให้ประชาชนเคยชิน และรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตที่พิชัยแง้มมานั้น อาจส่งผลกระทบต่อรายจ่ายของตนเองที่จะเพิ่มมากขึ้นโยนหินถามทางรอบ 2แต่สำหรับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มของไทยนั้น ดูเหมือนจะไม่มีวี่แวว เนื่องจากมีการลดอัตราคงไว้ที่ร้อยละ 7 มานานหลายปี แต่เมื่อย้อนกลับไปปี 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ เวลานั้น เคยเปรยการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกัน โดยกล่าวว่า หากเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1 จะทำให้รายได้ประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านบาทสวนทางกับการวิเคราะห์ของ ศ.ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ให้สัมภาษณ์กับทาง BBC ว่า การปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 1 จะเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทยเพียง 70,000-80,000 ล้านบาทเท่านั้นแม้ว่าจบวาระของรัฐบาลประยุทธ์ การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเพียง 1% จะไม่ได้เกิดขึ้น แต่ปัญหารายรับของภาคการคลังที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังเผชิญ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่รัฐบาลนี้จะต้องการปรับภาษีมูลค่าเพิ่มให้สอดคล้องกับหลายประเทศทั่วโลก เพื่อให้คลังมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นมา ประกอบกับเหตุผลที่พิชัยกล่าวว่า การเก็บสูงขึ้นถือเป็นความเหมาะสม และทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนจะลดลงจากการที่คนรวยและคนฐานะปานกลางจ่ายเพิ่มขึ้น เงินกองกลางเพิ่มขึ้น ส่งผลให้คนรายได้น้อยได้รับโอกาสในการดำรงชีวิตที่สูงขึ้นผ่านมาตรการรัฐ อาทิ สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล สถานศึกษา นอกจากนี้ยังสามารถนำเงินกองกลาง ที่หมายถึงรายได้รัฐไปเพิ่มความสามารถให้กับนักธุรกิจภายในประเทศ ทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจต่ำลง เป็นผลดีต่อการส่งออกจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามพิชัยเองก็ทราบดีว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่อนไหว และภายหลังไม่นานกระแสจากทุกภาคส่วนก็มุ่งเป้ามาที่ทุกฝั่งของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหตุให้แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต้องออกมาชี้แจงเพื่อลดความกังวลใจของประชาชนผ่านโซเชียลมีเดีย ว่า“จากข้อกังวลใจของพี่น้องประชาชน ต่อเรื่อง VAT 15% วันนี้ได้พูดคุยหารือในประเด็นดังกล่าว กับท่านรองนายกรัฐมนตรี พิชัย ร่วมกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อความชัดเจน ดังนั้นขอสรุปเพื่อชี้แจงต่อพี่น้องประชาชน1. ไม่มีการปรับ VAT เป็น 15%2. กระทรวงการคลัง กำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ3. การปรับโครงสร้างภาษีของประเทศอื่น ๆ ใช้เวลาศึกษาและปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ปี4. นโยบายหลักของรัฐบาล คือการลดรายจ่ายของประชาชน ลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐ ควบคู่ไปกับการหาโอกาสจากการสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน ทั้งหมดนี้ เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพี่น้องประชาชนคนไทยพร้อมยืนยันขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า การทำงานของรัฐบาล เราดำเนินการด้วยความรัดกุม รับฟังทุกภาคส่วน และยึดประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยของเราทุกคน”ข้อมูลจาก กรมสรรพากร, สำนักนโยบายภาษีและ ธนาคารแห่งประเทศไทยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1709906
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันควบการลงทุน
06/12/2024
คอลัมน์ : คุยฟุ้งเรื่องการเงินผู้เขียน : Actuarial Business Solutions [ABS]ช่วงนี้มีคนพูดถึงเรื่องประกันพ่วงการลงทุน หรือยูนิตลิงค์ บ่อยมาก รวมถึงกระแสของธุรกิจประกันชีวิตก็มาทางด้านนี้กันมาก ทางผมจึงอยากหยิบยกเรื่องราวนี้มาวิเคราะห์ให้ผู้อ่านดูบ้างครับยูนิตลิงค์เป็นประกันชีวิตที่ถูกออกแบบเพื่อเป็นเครื่องมือวางแผนการเงินระยะยาวที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามจังหวะและสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดช่วงชีวิต และมีส่วนของการลงทุนเพิ่มเข้ามาในตัวกรมธรรม์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่อยากให้ความคุ้มครอง หรือผลประโยชน์ของกรมธรรม์โตตามผลการดำเนินงานของตลาดผู้ถือกรมธรรม์สามารถเลือกเน้นที่ความคุ้มครองระยะยาว (เช่น ตลอดชีวิต หรืออย่างน้อย 20-30 ปี เป็นต้นไป) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญเสียทางการเงินต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยหรือการสูญเสียชีวิตก็ได้ หรือเลือกเน้นที่การสะสมทรัพย์ระยะยาว เพื่อวางแผนเงินที่คาดว่าจะจำเป็นในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการวางแผนหลังเกษียณ การวางแผนการศึกษาบุตร หรือการวางแผนมรดกให้คนที่เรารัก โดยยูนิตลิงค์เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนามาจากประกันชีวิตแบบดั้งเดิม โดยมุ่งเน้นที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการ1. ความยืดหยุ่นในการนำเบี้ยประกันไปลงทุน โดยสามารถเลือกรูปแบบการลงทุนตามความต้องการของผู้ถือกรมธรรม์ในแต่ละช่วงจังหวะชีวิต และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยการนำเบี้ยประกันที่ได้รับส่วนใหญ่ไปลงทุนในกองทุนซึ่งมีระดับความเสี่ยง และความคาดหวังต่อผลตอบแทนที่หลากหลายกว่า2. ความยืดหยุ่นในด้านความคุ้มครอง สะสมทรัพย์ และการเข้าถึงเงินของผู้ถือกรมธรรม์ โดยสามารถปรับเพิ่มหรือลดทุนประกัน ปรับเพิ่มหรือลดเบี้ยประกัน ถอนเงินบางส่วน หรือหยุดจ่ายเบี้ยบางช่วงเวลา เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการตามแต่ละช่วงชีวิตในระยะยาว ที่อาจมีความไม่แน่นอนดังที่วางแผนทางการเงินไว้ในตอนต้น3. ความโปร่งใสในกลไกการทำงานของผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยเฉพาะเรื่องการจัดสรรเบี้ยประกัน มูลค่ากรมธรรม์ และผลประโยชน์ ณ ช่วงต่าง ๆ เพื่อที่ผู้ถือกรมธรรม์สามารถตัดสินใจต่อเหตุการณ์ที่อาจส่งผลต่อสถานะทางการเงิน หรือความคุ้มครองได้ง่ายดายและเป็นเหตุเป็นผล รวมถึงรับรู้ว่าเงินที่ตนจ่ายนั้นถูกนำไปใช้จ่าย และส่งผลต่อผลประโยชน์ของตนอย่างไรเพราะยูนิตลิงค์มีการแบ่งมูลค่าทางบัญชีออกเป็นส่วนของการประกันชีวิตและส่วนของการลงทุนที่นำเบี้ยไปจัดสรรลงในกองทุนรวม จึงทำให้ผู้บริโภคบางส่วนนำยูนิตลิงค์ไปเปรียบเทียบกับกองทุนรวม หรือมีความต้องการที่จะซื้อยูนิตลิงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวม ซึ่งจริง ๆ แล้ววัตถุประสงค์ของยูนิตลิงค์และกองทุนรวมนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงโดยยูนิตลิงค์จะถูกออกแบบให้มีความคุ้มครองขั้นต่ำกำหนดไว้เพื่อสนองตอบต่อผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มครอง และการวางแผนการเงินระยะยาว ซึ่งไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องมือการลงทุน หรือการเก็งกำไรอย่างกองทุนรวม หากพิจารณาด้วยหลักการแล้วยูนิตลิงค์และกองทุนรวมจึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและวัตถุประสงค์ทางการเงินที่แตกต่างกันเนื่องจากยูนิตลิงค์เป็นผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่มีความยืดหยุ่นสูงและมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค เช่น ในกรณีที่เบี้ยประกันที่ถูกนำไปลงทุนนั้นงอกเงยได้เร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้ ผู้ถือกรมธรรม์สามารถจ่ายเบี้ยประกันน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยยังคงความคุ้มครองไว้เท่าเดิมที่ตั้งไว้ หรือสามารถจ่ายเบี้ยเท่าที่ตั้งเป้าไว้แต่ได้รับความคุ้มครองที่สูงขึ้น ความเข้าใจของผู้บริโภคก็เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะลูกค้าควรจะเข้าใจลักษณะและคุณสมบัติต่าง ๆ ของยูนิตลิงค์ รวมถึงผลกระทบของการเลือกใช้คุณสมบัติเหล่านั้นต่อกรมธรรม์ เพื่อให้แน่ใจว่าความยืดหยุ่นที่ตนแลกมานั้นมีความเสี่ยงและส่งผลกระทบต่อแผนการเงินของตนอย่างไร ซึ่งสามารถเห็นได้ในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ที่ผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันพยายามส่งเสริมความเข้าใจของลูกค้าไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนนั้น ยูนิตลิงค์จะถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใหม่สำหรับประเทศไทยและยังอยู่ในระยะเริ่มต้น โดยความเข้าใจของตัวผลิตภัณฑ์ยังไม่สูงนักและยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมของผู้บริโภค การส่งเสริมความเข้าใจต่อยูนิตลิงค์ให้แก่ประชาชนจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อที่ประชาชนจะได้เข้าใจวัตถุประสงค์ของยูนิตลิงค์ที่ถูกออกแบบเพื่อการวางแผนการเงินระยะยาว ไม่ใช่การลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทน ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์ของยูนิตลิงค์อย่างแท้จริง และยังเป็นการวางรากฐานต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตใหม่ ๆ ในวันข้างหน้าที่จะช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้นอีกด้วยแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1707859
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
30/04/2024
05/09/2024
29/04/2024
29/04/2024
30/04/2024