Everyday knowledge for you
ห้องแสดงนิทรรศการ
19/09/2025
ททท. เติมไฟเมืองอุดรธานี ชวนเช็กอินงาน Vijit @อุดรธานี “เสน่ห์แสง ศิลป์ ถิ่นอีสาน” วันนี้ – 31 ส.ค. นี้ ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติมหาราชินี วังมัจฉาหนองบัว จังหวัดอุดรธานีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับจังหวัดอุดรธานีและพันธมิตรทุกภาคส่วน สร้างปรากฏการณ์แสงสีสุดยิ่งใหญ่กับงาน Vijit @อุดรธานี “เสน่ห์แสง ศิลป์ ถิ่นอีสาน” ปรากฏการณ์แสงสีที่เนรมิตยามค่ำคืนของเมืองอุดรธานีให้เปล่งประกาย กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 22-31 สิงหาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 18.00-23.00 น. ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติมหาราชินี วังมัจฉาหนองบัว จังหวัดอุดรธานี นำเสนอภายใต้แนวคิด “เสน่ห์แสง ศิลป์ ถิ่นอีสาน” ถ่ายทอดเส้นทางการเดินทางจาก “แสงแห่งศรัทธา” สู่ “ศิลป์แห่งถิ่นอีสาน” ที่หลอมรวมความศรัทธา มรดกศิลป์ ธรรมชาติ และวิถีชีวิตพื้นถิ่น ผ่านการจัดแสดงแสงสีและงานออกแบบร่วมสมัย โดยใช้เทคนิคใหม่ ๆ ผสานเข้ากับบรรยากาศยามค่ำคืน แปรโฉมสวนสาธารณะให้กลายเป็นพื้นที่แห่งมนต์เสน่ห์ พร้อมตอกย้ำภาพลักษณ์ของอุดรธานีในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และเรื่องราว นักท่องเที่ยวจะได้ท่องไปในดินแดนแห่งจินตนาการผ่าน 11 จุดแสดงแสงสี แต่ละจุดสะท้อนเอกลักษณ์ที่แตกต่าง ดังนี้1. ถือกำเนิดเอ็งกอ ณ ดินแดนอุดรเมื่อชาวจีนโพ้นทะเลได้เดินทางมายังลุ่มน้ำอุดร พวกเขา ได้นำศิลปะ วัฒนธรรม และพิธีกรรม มาผสมผสานกับถิ่นใหม่ อย่างกลมกลืน จุดเริ่มต้นแห่งการตั้งถิ่นฐานนี้ จึงเต็มไปด้วย ศรัทธา และการเคารพบูชาธรรมชาติ และการถือกำเนิดการแสดง “เอ็งกอ” ที่ถูกขนานนามว่า “เหล่านักรบแห่งเขาเหลียงซาน” แสงสะท้อนผืนน้ำในจุดนี้จึงเป็นดั่งภาพจำลองจากกาลก่อน บอกเล่าการเริ่มต้นของวัฒนธรรมร่วมถิ่นที่งดงาม2. สะพานแห่งกาลเวลาสะพานคือทางเดินของกายและวิญญาณ กลุ่มเอ็งกอเชื่อว่าอดีตยังคงเดินเคียงข้างปัจจุบัน หากเรารู้จักเคารพ รากเหง้าแห่งวัฒนธรรมจุดนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยง ระหว่างบ้านเชียง แหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ กับ ความศรัทธาของผู้คนในยุคปัจจุบัน แสงที่สลับเคลื่อนไหว สื่อถึงการเคลื่อนไหวของศิลปะ ศรัทธา และกาลเวลาที่ยังไม่เคยหยุดนิ่ง3. บทเพลงวิถีเอ็งกอจากตำนานแห่งนักรบเอ็งกอ ดนตรีไม่ใช่เพื่อความบันเทิง แต่คือภาษาแห่งวิญญาณ และจังหวะจากธรรมชาติ ถูกใช้ในการ ประกอบพิธีกรรม และส่งผ่านเรื่องราวของบรรพชน พื้นที่นี้จึงจําลองลานวัฒนธรรมที่มีทั้ง แสงสีจังหวะดนตรี และ โชว์การเทิดทูนบทเพลงวิถีเอ็งกอ ที่สะท้อนหัวใจของเผ่า นี้อย่างแท้จริง4. ค่ำคืนแห่งการบูชาเมื่อแสงสุดท้ายของวันลับขอบฟ้า ความเงียบสงบที เปิดทางให้พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้นขึ้น ชาวอุดรธานีเชื่อว่า แสงจากดอกบัวศักดิ์สิทธิ์จะเชื่อมโยงมนุษย์กับพลังจักรวาล นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์และสิริมงคล แสงสีที่เปล่งประกายในพื้นที่นี้ จึงเป็นดั่งภาษาศรัทธา ที่เล่าขาน ความเชื่อผ่านการเคลื่อนไหวและเฉดสีของแสง ชวนให้ผู้ชม ดำดิ่งสู่โลกแห่งจิตวิญญาณ5. พญานาคาล่องทะเลบัวแดงในตำนานลุ่มน้ำโขง “พญานาค” คือผู้พิทักษ์แห่งสายนํ้า และเป็นสัญลักษณ์ของพลังชีวิตที่หลั่งไหลไม่สิ้นสุด พื้นที่ทะเลบัวแดงแห่งหนองหานในอุดรธานี ถือเป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ที่พญานาคเฝ้าดูแล การออกแบบพื้นที่ด้วยเส้นไฟ พญานาคและเสาดอกบัวเรืองแสง คือการชวนผู้คนออกเดิน บนเส้นทางแห่งศรัทธา ที่ยังคงมีชีวิตจนถึงปัจจุบัน6. แสงสนุกแห่งอนาคตแม้ผู้คนจะสืบทอดอดีต แต่อนาคตต้องเริ่มจากเด็ก สีสันความสนุก จึงเปรียบได้ดั่งอนาคตอันสดใสของชาว อุดรธานี พื้นที่แห่งนี้จึงเปรียบเสมือนสนามพลังงานของเยาวชน ผู้สืบทอดวัฒนธรรมต่อไปในวันหน้า เสียงหัวเราะ การเล่นสนุก และแสงไฟที่วิ่งพลิ้วไปมา จึงเป็นตัวแทนของ “อนาคตอุดร” ที่ลดใลและไม่หยุดเคลื่อนไหว7. คืนแห่งแสงกลางหนองบัวทะเลบัวแดงที่ “หนองหานกุมภวาปี” คือปาฏิหาริย์จาก ธรรมชาติที่ทำให้ผู้มาเยือนได้เห็นศิลปะที่สร้างขึ้นโดยไม่ต้อง เติมแต่งแต้มสีใดๆ เมื่อแสงได้ตกกระทบดอกบัวในยามค่ำ จึงราวกับภาพวาด เคลื่อนไหวที่มีชีวิต การประดับไฟในจุดนี้เป็นการจำลองคืน มหัศจรรย์ที่บัวกลางน้ำเรืองแสงได้ราวต้องมนต์8. ลายเส้นศิลป์แห่งการเวลาเมื่อศิลปะและความเชื่อหลอมรวมกันทําให้ความงามจึง ไม่แยกจากศรัทธา ลวดลายความพริ้วไหวนั้นสื่อถึงความ สวยงามและลวดลายแห่งเส้นศิลป์ เส้นสายแห่งศิลป์นี้เชื่อมโยงอดีตสู่ปัจจุบันพร้อมสอดคล้องกับ ความเชื่อเรื่องพญานาคที่ฝังรากในจิตวิญญาณของผู้คนและ ในทุกการเคลื่อนไหวของแสงยังคงมีจังหวะของศรัทธาที่ไม่เคย เลือนหายไป9. ลมหายใจใหม่ของชนเผ่าศิลปะและวัฒนธรรมไหลเวียนดั่งสายน้ำสอดผสาน จากรุ่นสู่รุ่น แต่ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ที่เลอค่าจากบรรพชน พร้อมเปิดรับความสร้างสรรค์ของยุคสมัยใหม่นําเสนอเรื่องราวของบ้านเชียง วัฒนธรรมไทย-จีน และ มรดกของเมืองอุดรธานี และมรดกโลก พร้อมการแสดง ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่จะทำให้ค่ำคืนนี้อบอวลไปด้วย กลิ่นอายแห่งรากเหง้าและชีวิตใหม่10. สรวงสวรรค์บันดาลพรตำนานพื้นถิ่นเล่าว่า แสงจากฟากฟ้าเคยหยดลงกลาง หนองหาน ราวกับเป็นพรจากสวรรค์ที่หล่อเลี้ยงจิตใจของ ชาวอุดรให้เติบโตอย่างมั่นคง แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่า จึงถ่ายทอดออกมาเป็น “แสงจากฟากฟ้า” รายล้อมด้วยวงแสงสื่อถึงพรอันประเสริฐ ที่หล่อเลี้ยงจิตใจและความหวังของผู้คนเมืองอุดร11. ศูนย์กลางแห่งจิตวิญญาณอุดรใจกลางของดินแดนแห่งนี้ คือศูนย์รวมของความเชื่อวัฒนธรรม และศิลปะอันลึกซึ้ง ดอกบัวขนาดใหญ่เปรียบเสมือน ดั่งหัวใจของอุดร ที่เต้นอยู่เหนือกาลเวลาดอกบัวนี้ไม่ใช่เพียงงานศิลปะ แต่เป็นสัญลักษณ์ของศรัทธา วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของอุดร เป็นจุดรวมพลังที่ หลอมรวมอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน Vijit @อุดรธานี “เสน่ห์แสง ศิลป์ ถิ่นอีสาน” ตั้งแต่ – 31 สิงหาคม 2568 ณ สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติมหาราชินี วังมัจฉาหนองบัว จังหวัดอุดรธานี ตั้งแต่เวลา 18.00–23.00 น. เข้าชมงานฟรีแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000080430
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
19/09/2025
ชวนมารู้จัก “ตึกแฝดปิโตรนาส” อาคารที่เคยครองสถิติสูงที่สุดในโลก ที่ออกแบบงานสร้างโดยสถาปนิกชาวอาร์เจนตินา-อเมริกัน ซึ่งทุกวันนี้เปรียบเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของประเทศมาเลเซีย“ตึกแฝดปิโตรนาส” (Petronas Twin Towers) เริ่มสร้างขึ้นเมื่อเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1992 (พ.ศ.2535) และด้วยความสูงถึง 452 เมตร (1,483 ฟุต) จำนวน 88 ชั้น ทำให้เคยครองตำแหน่งอาคารที่สูงที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 - 2004ตึกสูงระฟ้าแห่งนี้ ออกแบบโดย "เซซาร์ เปลลี” (Cesar Pelli) สถาปนิกชาวอาร์เจนตินา-อเมริกัน มีแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมอิสลาม โครงสร้างเป็นรูปดาวแปดแฉกที่เกิดจากการซ้อนทับกันของรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสองรูป สื่อถึงหลักการสำคัญของอิสลาม ได้แก่ ความเป็นหนึ่งเดียว ความสามัคคี ความมั่นคง และเหตุผล ซึ่งกลายเป็นผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และเคยได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสาร TIME ให้เป็นหนึ่งในสถาปนิกที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกลักษณะเด่นคือสถาปัตยกรรมของอาคารหอคอย 2 อาคาร เชื่อมโดยสะพานลอยฟ้า (skybridge) แผนผังของแต่ละอาคารเหมือนกันหมด คือ โครงสร้างวงกลมแปดแฉกที่มีพื้นที่ใช้สอย 88 ชั้น และยอดแหลม รูปพีระมิดที่มียอด แหลมเหล็กเรียวแหลมอยู่เหนือยอดแหลมทั้งสองแต่ละอาคารรองรับด้วยเสาขนาดใหญ่ 16 ต้น ซึ่งเมื่อรวมโครงสร้างส่วนที่เหลือแล้วทำจากคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีความแข็งแรงสูงแทนที่จะเป็นเหล็กโครงสร้าง แผ่นปิดภายนอกทำจากสแตนเลสสตีลและกระจก สะพานลอยฟ้าสูงสองชั้นเชื่อมสองอาคารระหว่างชั้นที่ 41 กับ 42 ซึ่งสะพานแห่งนี้ ยังถือเป็นสะพานสองชั้นที่สูงที่สุดในโลกPhoto: Adly Hakimในด้านวัฒนธรรมร่วมสมัย ตึกแฝดแห่งนี้ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางอีกครั้งจากการเป็นหนึ่งในฉากของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด เรื่อง “Entrapment” (1999) ที่นำแสดงโดยนักแสดงระดับตำนานของวงการอย่าง “ฌอน คอนเนอรี” (Sean Connery) ร่วมกับ “แคทเธอรีน ซีตา โจนส์” (Catherine Zeta-Jones)ซึ่งเป็นนางเอกใหม่มาแรงในยุคนั้นสำหรับผู้ที่หลงใหลในเสน่ห์และความมีชีวิตชีวาของเมืองใหญ่ การมาเยือน ตึกแฝดปิโตรนาส ถือเป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง สิ่งที่ทำให้ตึกแฝดแห่งนี้โดดเด่น คือ การเป็นหนึ่งในตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก เปรียบเสมือนตัวแทนระดับสากลที่สะท้อนภาพลักษณ์ของกรุงกัวลาลัมเปอร์และประเทศมาเลเซียPhoto: Esmonde Yongข้อมูลเพิ่มเติม https://www.petronastwintowers.com.myแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000081589
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
21/08/2025
กลุ่มบริษัทเอไอเอ ประกาศผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2568 มูลค่าธุรกิจใหม่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษีต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกินต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และเงินปันผลระหว่างกาลต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 10ฮ่องกง, 21 สิงหาคม 2568 - กลุ่มบริษัทเอไอเอ (“บริษัท”) มีความยินดีที่จะประกาศผลประกอบการของกลุ่มบริษัทในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 โดยอัตราการเติบโตรายงานจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (นอกจากจะระบุไว้เป็นอย่างอื่น):ผลประกอบการของธุรกิจใหม่และการประเมินมูลค่าของธุรกิจ • มูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นร้อยละ 14(1) คิดเป็นมูลค่า 2,838 ล้านเหรียญสหรัฐ • กำไรของธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 3.4 จุด เป็นร้อยละ 57.7 • อัตราผลตอบแทนจากการดำเนินงานบนมูลค่าธุรกิจประกันภัย (Operating ROEV) แบบรายปีอยู่ที่ร้อยละ 17.8 เพิ่มขึ้น 290 จุด จากร้อยละ 14.9 ในปี 2567 • ส่วนทุนตามมูลค่าธุรกิจประกันภัย (EV Equity) อยู่ที่ 73.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ต่อหุ้นในช่วงครึ่งปีแรก โดยคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนจริง รายงานทางการเงิน (IFRS) และเงินกองทุนส่วนเกิน • กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) อยู่ที่ 3,609 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ต่อหุ้น • กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี (OPAT) ต่อหุ้นตามเป้าหมายอัตราการเติบโตแบบทบต้นต่อปี (CAGR) จากร้อยละ 9 เป็นร้อยละ 11 ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2569(2) • มูลค่าที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกิน (UFSG) อยู่ที่ 3,569 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อหุ้นเงินปันผลและเงินทุน • ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 3,710 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงครึ่งปีแรก ผ่านการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืน • เงินปันผลระหว่างกาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เป็น 49.00 เซนต์ฮ่องกงต่อหุ้น • อัตราส่วนเงินทุนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 219 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า: “เอไอเอมีผลการดำเนินงานและผลประกอบการทางการเงินที่ยอดเยี่ยมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเรามีการวางกลยุทธ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมในการต่อยอดโอกาสมหาศาลในตลาดประกันชีวิตและสุขภาพของเอเชีย เรามีอัตราการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ของกลุ่มบริษัท ที่แข็งแกร่งถึงร้อยละ 14(1) โดยมีการเติบโตเชิงบวกใน 13 ตลาดจากทั้งหมด 18 ตลาดพรีเมียร์ เอเจนซี่ ของเราถือเป็นเสาหลักสำคัญของกลยุทธ์การเติบโตซึ่งช่วยส่งมอบมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) ได้ถึงร้อยละ 17 จากการผสมผสานระหว่างจำนวนตัวแทนที่ยังคงสร้างผลงานและประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น โดยตัวแทนของเราได้รับประโยชน์มากขึ้นจากพลังการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ และการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่อง ขนาดและคุณภาพของพรีเมียร์ เอเจนซี่ของเราทำให้เอไอเอโดดเด่น และเรายังเป็นบริษัทข้ามชาติอันดับ 1 ที่มีจำนวนสมาชิกล้านเหรียญโต๊ะกลม (MDRT) มากที่สุดในโลกตลอด 11 ปีที่ผ่านมา โดยเรามีจำนวนผู้ได้รับคุณวุฒิ MDRT มากกว่าคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดถึงสองเท่า ช่องทางพันธมิตรธุรกิจของเราช่วยเสริมศักยภาพของตัวแทนของเราได้เป็นอย่างดี โดยเราทำงานใกล้ชิดกับธนาคารชั้นนำและตัวกลางทางการเงินเพื่อนำเสนอแนวทางที่ตอบโจทย์ลูกค้า ช่องทางนี้ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วและได้สร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ (VONB) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8 ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งต่อยอดจากความสำเร็จที่โดดเด่นในปีที่ผ่านมาเราได้กล่าวย้ำมาโดยตลอดว่าการต่อยอดธุรกิจใหม่ที่สร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มการเติบโตของผลกำไรและการสร้างกระแสเงินสดในระยะยาว ซึ่งสิ่งนี้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในครึ่งปีแรก โดยกำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษีต่อหุ้น (OPAT) เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของเงินกองทุนส่วนเกินต่อหุ้น (UFSG) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10ภายใต้นโยบายการจ่ายเงินปันผลที่รอบคอบ ยั่งยืน และก้าวหน้า คณะกรรมการจึงมีมติประกาศเพิ่มเงินปันผลระหว่างกาลร้อยละ 10 เป็น 49.00 เซ็นต์ฮ่องกงต่อหุ้นธุรกิจประกันชีวิตและประกันสุขภาพในภูมิภาคเอเชียน่าจับตาสูงสุด ปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น ระดับการถือครองประกันที่ยังต่ำ และความคุ้มครองด้านสวัสดิการสังคมที่ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมในระยะยาวของเอไอเอ ผมมั่นใจว่าการกระจายการลงทุนในหลากหลายภูมิภาคและการมุ่งเน้นการดำเนินงานตามลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์อย่างมีวินัยของเราจะยังคงสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้นทุกคนของเราต่อไป”
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
20/08/2025
กรุงเทพฯ 20 สิงหาคม 2568 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต พร้อมคณะผู้บริหารและพลังตัวแทน เดินหน้าจัดโครงการ AIA CI SHARE AND CARE ด้วยความร่วมมือกับสภากาชาดไทย โดยนางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย ให้เกียรติเข้าร่วมงาน ซึ่งโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อมุ่งส่งมอบความคุ้มครองโรคร้ายแรงให้แก่คนไทยทั่วประเทศ พร้อมกับระดมเงินสมทบโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคร้ายแรงยากไร้ผ่านสภากาชาดไทย ซึ่งทุก ๆ การซื้อกรมธรรม์ผลิตภัณฑ์ประกันโรคร้ายแรง ลูกค้าเอไอเอจะได้มีส่วนร่วมในการส่งมอบความห่วงใยให้แก่ผู้ป่วยยากไร้ โดยเอไอเอ ประเทศไทย จะร่วมบริจาคเงินจำนวน 30 บาทต่อ 1 กรมธรรม์ ให้แก่สภากาชาดไทย รวมบริจาคเป็นเงินมูลค่าถึง 3,000,000 บาท เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ที่เป็นโรคร้ายแรง อาทิ โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดทางสมอง ให้ได้รับโอกาสในการเข้าถึงการรักษาและส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอ ในการเป็นผู้นำด้าน ESG ด้วยการดำเนินธุรกิจโดยยึดมั่นถึงการตอบแทนคืนสู่สังคมอย่างแท้จริง ผ่านโครงการเพื่อสังคมต่าง ๆ ทั้งในด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล มาอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 87 ปีของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
19/08/2025
เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ (ที่ 3 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก มอบสินไหมทดแทนมรณกรรม จำนวน 100,000 บาท ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ของ นายศักดา ปาจันทึก พนักงานราชการทั่วไป หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขญ.5 (กม.80) ในสังกัดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นความคุ้มครองอุบัติเหตุกลุ่มภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือตามโครงการมอบความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุกลุ่มสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าและบุคลากรประเภทสัญญาจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติ โดยเอไอเอ ประเทศไทย ได้สนับสนุนกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุกลุ่มฟรี แก่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าประเภทสัญญาจ้างในพื้นที่มรดกโลกครอบคลุมทั้งสิ้น 3 แห่ง ได้แก่ 1) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ - ห้วยขาแข้ง 2) กลุ่มป่าดงพญาเย็น - เขาใหญ่ และ 3) กลุ่มป่าแก่งกระจาน (“พื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติ”) เพื่อมอบเป็นสวัสดิการและส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่มีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุอย่างครบถ้วนและจำเป็นในการปฏิบัติงาน พร้อมร่วมแสดงความเสียใจ และเป็นกำลังใจให้ครอบครัวปาจันทึก ให้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปให้ได้ ทั้งนี้ ยังมี นางสาวยามีรา นันลา (ที่ 3 จากซ้าย) นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ ทำหน้าที่ หัวหน้าเขตการจัดการอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่ 2 และนางสาวอมรรัตน์ ศิรินันธกุล (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการสำนักงาน คปภ.จังหวัดนครราชสีมา เป็นสักขีพยาน ณ ที่ตั้งหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ขญ.5 (กม.80) จ.นครราชสีมา
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ธุรกิจ
14/08/2025
คอลัมน์ : Smart SMEsผู้เขียน : ดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ กรุงศรี SMEในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เทคโนโลยีที่ทำลายตลาดเดิม พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน ไปจนถึงวิกฤตที่ไม่คาดคิดอย่างโควิด-19 หรือสงครามการค้า ธุรกิจ SMEs ส่วนใหญ่เริ่มเรียนรู้ว่าจะต้องเตรียมตัวรับมือ โดยมีแผนสำรองเตรียมไว้แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ยังคงมีธุรกิจหลายแห่งที่ต้องปิดตัวลงทั้งที่มีแผนสำรองอยู่ แต่เหตุใดแผนเหล่านั้นจึงกลับไม่ได้ผลตามที่คาดไว้ ในขณะที่บางแห่งไม่เพียงรอดพ้น แต่ยังเติบโตได้ หลังจากได้คุยกับเจ้าของธุรกิจหลายคน เริ่มเข้าใจว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การวางแผน แต่อยู่ที่วิธีคิดและการตัดสินใจของเราเองในช่วงที่กดดัน การเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ในยามวิกฤตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสิ่งแรกที่ทำให้แผนสำรองไม่ได้ผลคือ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมองแต่ข้อมูลที่ดู “ปกติ” เวลายอดขายเริ่มลดลง จะบอกตัวเองว่าเป็นเพราะช่วงฝนตก หรือคู่แข่งลดราคาแต่จริง ๆ แล้วอาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าตลาดกำลังเปลี่ยน นี่คือสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “การหาเหตุผลสนับสนุนความคิดเดิม” ธุรกิจที่รอดได้มักจะทำสิ่งที่ดูแปลก ๆ คือให้คนที่ไม่ใช่เจ้าของมาดูแผนธุรกิจ เช่น เจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งให้ลูกค้าประจำมาแนะนำว่าควรปรับอะไรบ้างผลก็คือเปลี่ยนจากร้านกาแฟธรรมดา เป็นร้านที่ขายเมล็ดกาแฟและอุปกรณ์ชงกาแฟด้วย พอโควิดมาร้านปิด แต่ขายออนไลน์ได้ เพราะมีสินค้าที่คนอยากซื้อไปชงที่บ้าน ซึ่งการเปิดรับเสียงจากภายนอก ช่วยให้มองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนกว่าการมองด้วยสายตาของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว เป็นต้นปัญหาที่สองคือ ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมาก่อนมักจะคิดว่าตัวเองจัดการได้เสมอ ซึ่งบางครั้งก็อันตราย ความมั่นใจเกินจริงนี้ทำให้มองข้ามสัญญาณเตือนและปฏิเสธที่จะปรับเปลี่ยนแผน เคยอ่านเรื่องบริษัทใหญ่ ๆ มีทีมที่ทำหน้าที่ “โจมตี” แผนของตัวเอง เพื่อหาจุดอ่อนที่อาจมองไม่เห็น ซึ่ง SMEs เราอาจทำไม่ได้ขนาดนั้น แต่ทำได้โดยการหาเพื่อนที่เป็นผู้ประกอบการด้วยกันมาช่วยกันดูโดยให้แต่ละคนมาท้าทายแผนของอีกคน เคยเห็นกลุ่มผู้ประกอบการใน Coworking Space แห่งหนึ่งทำแบบนี้ ผลก็คือหลายคนเจอจุดอ่อนที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน การมีคนที่คิดต่างมาช่วยดูจะทำให้เราเห็นมุมอื่นที่ปกติมองไม่เห็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่หลายคนมองข้ามคือ การเตรียมตัวสำหรับเรื่องที่ “คาดไม่ถึง” เราชอบวางแผนสำหรับปัญหาที่คิดว่าจะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ทำลายธุรกิจจริง ๆ มักเป็นเรื่องที่เราไม่เคยคิดถึง เหมือนโควิด หรือสงครามการค้ามีงานเขียนหลายชิ้นที่กล่าวถึงหลักคิดนี้ว่า แทนที่จะเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้น ควรทำให้ธุรกิจ “ยืดหยุ่น” มากกว่า ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Netflix ตอนช่วงที่โรงภาพยนตร์ปิด กลับได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น หรือบริษัทขนส่งที่เปลี่ยนมาส่งอาหารแทน หลักคิดคือ ทำให้ธุรกิจสามารถ “แยกชิ้นส่วน” และ “ประกอบใหม่” ได้ง่าย เช่น ร้านอาหารที่ครัวทำได้หลายเมนู ก็สามารถเปลี่ยนจากร้านอาหารไทยเป็นร้านขายอาหารข้าวกล่องได้ ประเด็นคือการสร้างโครงสร้างธุรกิจที่ “ปรับตัวได้” มากกว่าการเตรียมแผนสำหรับทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้อีกเรื่องที่สำคัญแต่คนมักลืม คือจิตใจของทีมงาน ช่วงวิกฤตคนจะเครียด กลัว และทำงานไม่เต็มที่ หลายธุรกิจที่รอดมาได้เพราะทีมงานเป็นหนึ่งเดียว วิธีที่เขาทำคือ เปิดใจคุยกันทุกเช้า แบ่งปันข่าวดีเล็ก ๆ น้อย ๆ แม้แต่เรื่องที่ลูกค้าชมอาหารอร่อย หรือมีออร์เดอร์เข้ามา บอกความจริงแม้ว่าจะไม่ดีเพราะการไม่รู้จะทำให้คนกลัวมากกว่าความจริงที่แย่ และสำคัญที่สุดคือ อย่าไปตำหนิใครเวลาเกิดปัญหา แต่ให้ช่วยกันหาทางแก้ไขการเตรียมตัวรับความไม่แน่นอน ที่แท้จริงไม่ใช่แค่การมีแผนสำรองบนกระดาษ แต่เป็นการสร้าง “วิธีคิดและนิสัยการปรับตัว” ของทั้งทีม เป็นการฝึกให้ตัวเองและคนรอบข้างคิดแบบ “ถ้าเกิด…จะทำยังไง” เป็นประจำ เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่คนกล้าพูดความจริง และกล้าทดลองแนวทางใหม่แม้จะยังไม่รู้ผลลัพธ์ แต่เป็นการเตรียมจิตใจให้พร้อมเปลี่ยนแปลงเมื่อจำเป็น มากกว่าการเตรียมแผนสำหรับสถานการณ์ที่เราคิดว่าจะเกิดขึ้นในท้ายที่สุด ธุรกิจที่อยู่รอดและเติบโตได้ในยุคนี้ ไม่ใช่ธุรกิจที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นธุรกิจที่ปรับตัวได้เร็วที่สุดและดีที่สุด การลงทุนในการสร้างความยืดหยุ่นและการเรียนรู้จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอนแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/columns/news-1859732
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
14/08/2025
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร. ประมวล จันทร์ชีวะ อาจารย์พิเศษ ประจำคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้เขียนบทความถึง" War Risks and Ex gratia payment"ว่า ปัจจุบัน ประเด็นปมขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาจนถึงขั้นมีการใช้กำลังทหารและอาวุธ (armed force) ประหัตประหารกันทำให้เกิดความเสียหายต่อทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารของทั้งสองประเทศ ได้กลายเป็นปัญหาที่วิพากษ์วิจารณ์กันเกี่ยวกับเรื่องความคุ้มครองข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันวินาศภัยจาก War Risks (“ภัยสงคราม”) และ การจ่ายสินไหมแบบ Ex gratia payment (“สินไหมกรุณา”) ซึ่งมีผู้ให้ความเห็นที่แตกต่างกันภัยสงคราม (War Risks) ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยเนื่องจากเป็นภัยที่มักปรากฏอยู่ในกรมธรรม์ประกันวินาศภัยและกรมธรรม์ประกันภัยทางทะเลที่ใช้กันเป็นสากล เมื่อพูดถึงภัยสงคราม ควรที่จะต้องทำความเข้าใจว่าภัยนี้ไม่ใช่ภัยโดดเดี่ยว แต่เป็นชื่อของกลุ่มของภัยที่มีลักษณะคล้ายกันหรือควรจัดอยู่ในกลุ่มภัยเดียวกัน เช่น สงคราม (ไม่ว่าจะได้มีการประกาศหรือไม่ก็ตาม) การรุกราน การกระทำของศัตรูต่างชาติ การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ หรือการปฏิบัติการเยี่ยงสงคราม และสงครามกลางเมือง ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของกลุ่มภัยนี้จาก War Risks Exclusion ที่ใช้อยู่ในต่างประเทศโดยผ่านทางรูปแบบของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน เช่น ABI Form ดังนั้น การที่จะทราบเจตนารมย์ที่แท้จริงของคำเหล่านี้จึงสามารถที่จะสืบรู้ได้โดยการเทียบเคียงกับต้นตอที่มาของคำเหล่านี้ที่นำมาจากภาษาอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ภัยบางภัยในกลุ่มของภัยสงคราม ศาลต่างประเทศเคยใช้ความหมายของภัยนั้นตามพจนานุกรม ดังนั้น การหาความหมายตามพจนานุกรมของภัยในกลุ่มนี้จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสืบทราบถึงความหมายและศาลฎีกาของไทยก็เคยใช้วิธีการนี้มาก่อนในการแปลความคำที่มีปัญหาในกรมธรรม์ประกันภัย เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2544คำว่า สงคราม (ไม่ว่าจะมีการประกาศหรือไม่ก็ตาม) ถ้อยคำที่ใส่ไว้ในวงเล็บนี้ได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์สงครามระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่นในเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นโจมตีอ่าว Pearl Harbor ในปี ค.ศ. 1941 โดยที่ไม่ได้มีการประกาศสงครามก่อน การใส่ข้อความเช่นนั้นไว้ได้ช่วยสร้างความชัดเจนว่า สงครามที่ไม่ได้มีการประกาศสงครามก็ตกอยู่ในข้อยกเว้นและรวมถึง “การปฏิบัติการเยี่ยงสงคราม” ส่วน “การรุกราน” “การกระทำของศัตรูต่างชาติ” “การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์” มีความหมายที่กว้างขวางจนอาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ที่มีผู้เรียกว่า “การปะทะระหว่างไทย - เขมร” ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “การเยี่ยมเยียน” “การกระทำของมิตรต่างประเทศ” และ “การกระทำอันเป็นพันธมิตร” แต่แท้จริงก็คือ “การรุกราน” “การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์” และ “การกระทำของศัตรูต่างชาติ” ที่มีความมุ่งหมายส่วนหนึ่งที่จะบุกยึดดินแดนส่วนหนึ่งของผืนแผ่นดินไทยโดยใช้อาวุธสงครามและกองกำลังทหาร ที่สำคัญก็คือ ข้อยกเว้นภัยสงครามมักจะนิยมใช้หลัก Causation ที่กว้าง คือ “ไม่ว่าจะเป็นผลโดยตรงหรือโดยอ้อม จากหรือเป็นผลสืบเนื่องจากหรือเกี่ยวเนื่องมาจาก......”ในอีกมุมมองหนึ่ง แนวคิดที่จะขอให้มีการช่วยเหลือจากฝ่ายผู้รับประกันภัยเพื่อบรรเทาความเสียหายต่อผู้ประสบภัยในบริเวณที่เกิดเหตุตามความเหมาะสมและเท่าที่ควรจะทำได้ ก็เป็นสิ่งที่ดีและสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของคนไทยที่เรามักจะช่วยเหลือกันในยามยากและการช่วยเหลือเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลากหลายเหตุการณ์อย่างไรก็ตาม การที่จะขอให้ผู้รับประกันภัยพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนในลักษณะที่เป็น Ex gratia payment (สินไหมกรุณา) อาจก่อให้เกิดประเด็นข้อกฎหมายว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้เพราะมาตรา 31 (11) พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 บัญญัติห้ามไม่ให้บริษัทประกันภัย “ให้ประโยชน์เป็นพิเศษแก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย” ทั้งนี้เพราะ Ex gratia payment ก็คือ “เงินที่ผู้รับประกันภัยจ่ายให้แก่ผู้เรียกร้องค่าเสียหาย แม้จะมีความเห็นว่าไม่ต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม” และในบางประเทศมีพจนานุกรมกำหนดความหมายของคำนี้ไว้ในลักษณะเดียวกันว่า เป็นการจ่ายเงินโดยผู้รับประกันภัยสำหรับการเรียกร้องที่ไม่อาจเรียกร้องได้ตามกฎหมายภายใต้กรมธรรม์ประกันภัย และตามกฎหมายไทย การกระทำความผิดตามมาตรา 31 (11) มีโทษทางอาญาตามมาตรา 88 ของกฎหมายฉบับเดียวกันโดยปรับไม่เกินห้าแสนบาท ดังนั้น การช่วยเหลือของผู้รับประกันภัยจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า Ex gratia payment หรือ สินไหมกรุณาแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับสยามรัฐออนไลน์https://siamrath.co.th/n/642003
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
14/08/2025
เสียงกลองเอวแห่งอันไซดังกึกก้องจากการแสดงกลองเอวต้อนรับคณะสื่อเอเชียและแอฟริกาที่มาเยือน ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแห่งอันไซเพื่อเรียนรู้รากเหง้าศิลปะแห่งที่ราบสูงดินเหลือง สำหรับที่ราบสูงดินเหลืองที่เกิดจากการทับถมของฝุ่นดินที่ลมพัดพามาเป็นเวลานานและเป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำเหลืองหรือหวงโหนี้เป็นลักษณะภูมิประเทศของแถบภาคเหนือจีน และเมืองเหยียนอัน ถือเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของที่ราบสูงดินเหลือภาพประวัติศาสตร์การแสดงกลองเอวแห่งเมืองอันไซในพิธีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ปี 1949อันไซ (安塞/Ansai) เป็นอำเภอหนึ่งในเหยียนอัน เป็นสถานที่ปฏิบัติการที่สำคัญแห่งหนึ่งระหว่างการต่อสู้ปฏิวัติจีน ผู้นำการปฏิวัติของพรรคฯได้เข้ามายังอันไซหลายครั้งหลังจากที่มาถึงเขตภาคเหนือจีนในช่วงปี 1935 อันไซเป็นทั้งสถานที่พำนัก วางพื้นฐานแนวคิดการปฏิวัติ ปฏิบัติการต่างๆจนถึงปี 1947 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลพรรคคก๊กมินตั่งรุกโจมตีอย่างหนักหน่วงด้วยกองกำลังที่เหนือกว่าจากความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาจนเข้ายึดเมืองเหยียนอันได้ระหว่างที่เหมาเจ๋อตงได้วางแผนถอนกำลังออกจากเหยียนอัน ได้มาบัญชาการสงครามปลดแอกประชาชนที่อันไซเป็นเวลานาน 58 วัน ด้วยความเชื่อมั่นว่าแม้รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งยึดได้เมืองเหยียนอันไป หากการต่อสู้ปฏิวัติจีนของพรรคฯจะต้องบรรลุถึงชัยชนะและปกครองแผ่นดินจีนการตัดกระดาษของอันไซ ถือเป็นผลงานศิลปะที่ประณีตงดงามที่สุดในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งต่อมาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของจีนชีวิตการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มิได้มีแต่การเผชิญหน้าสู้รบด้านเดียว ยังได้หลอมรวมเข้ากับประชาชนในท้องถิ่นและศิลปะวัฒนธรรมพื้นถิ่นอย่างกลมกลืน ทำให้ชีวิตการต่อสู้ที่ต้องฝ่าฟันความยากลำบากนานา มีสีสันของศิลปะวัฒนธรรมที่จรรโลงจิตใจในการมาเยือนอันไซ คณะสื่อได้เรียนรู้ศิลปะวัฒนธรรมพื้นถิ่นที่มีชื่อเสียงในระดับชาติและระดับโลก ซึ่งผู้เขียนขอยกตัวอย่างแบบพอสังเขปขณะที่เดินชมภาพในห้องนิทรรศการศิลปะวัฒนธรรมแห่งอันไซ และฟังการบรรยายภาพนิทรรศการ จากโซนการแสดงศิลปะกระดาษตัดแบบจีน การตัดกระดาษของอันไซ ถือเป็นผลงานศิลปะที่ประณีตงดงามที่สุดในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งต่อมาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของจีนภาพวาดแบบพื้นถิ่นของอันไซภาพวาดพื้นถิ่น ถูกยกเป็นอัญมณีของที่ราบสูง ชาวอันไซรุ่มรวยศิลปะขนาดไหน ดูจากวิวัฒนาการของภาพวาด ซึ่งมีที่มาจากภาพวาดตกแต่งข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน เตาให้ความร้อนในบ้านแบบเก่าของจีน หม้อ และตู้ ฯลฯ ศิลปะเหล่านี้เป็นที่นิยมมากในช่วงทศวรรษที่ 60 ของศตวรรษที่ 20 ต่อมาได้หลอมรวมกับธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและการพัฒนาสังคม ภาพวาดพื้นถิ่นของอันไซ ยังได้ซึมซับศิลปะกระดาษตัด การปักลวดลายบนผ้าและรูปแบบศิลปะอื่นๆนอกจากนี้ คณะสื่อฯยังได้ฟังเพลงพื้นถิ่น ที่ทรงพลังเสียงอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้... นับเป็นศิลปะการขับร้องที่โดดเด่นของท้องถิ่น ผู้เขียนได้นำเสนอคลิปในเพจโซเชียลของ MGR CHINAกลองเอวแห่งอันไซกลับมาที่เรื่องเกี่ยวกับกลองเอวแห่งอันไซที่ได้กล่าวถึงในตอนเปิดเรื่อง...กลองเอวแห่งอันไซถือเป็นจิตวิญญาณของประชาชาติจีนกลองเอวแห่งอันไซเป็นศิลปะวัฒนธรรมการแสดงระบำพื้นบ้านของเกษตรกรที่เก่าแก่กว่า 2,000 ปี และเป็นผลผลิตจากการต่อสู้สงครามยุคโบราณเสียงกลองจากระบำกลองเอวอันไซนี้ ยังดังกึกก้องในวันประกาศชัยชนะของการต่อสู้ปฏิวัติและการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชน ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 อีกทั้งได้เป็นประจักษ์พยานคำประกาศของเหมาเจ๋อตง “นับจากนี้ไปประชาชนจีนได้ยืนขึ้นแล้ว” (中国人从此站立起来了)ภาพประวัติศาสตร์การแสดงกลองเอวแห่งเมืองอันไซ ณ จัสตุรัสเทียนอันเหมิน ในพิธีฉลองครบรอบ 60 ปี ของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน (ปี 2009)คณะระบำกลองเอวอันไซยังได้เข้าร่วมการแสดงในพิธีเฉลิมฉลองวาระครบรอบปีของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือวันชาติจีนคือวันที่ 1 ตุลาคม ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในวาระครบรอบปีหลักหมายสำคัญๆ ได้แก่ ปีที่ 50 (1999) และปีที่ 60 (2009) นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมการแสดงในพิธีฉลองเหตุการณ์สำคัญของจีนคือ เกาะฮ่องกงกลับสู่การปกครองจีนในปี 1997ปี 1986 ระบำกลองเอวอันไซ ได้เข้าร่วมการประกวดการแสดงระบำกลองพื้นบ้านจากทั่วประเทศครั้งที่หนึ่งและได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งระหว่างช่วงการปฏิรูปและเปิดประเทศจีน 40 กว่าปี ยุคที่ประเทศจีนมั่งคั่งขึ้น คณะระบำกลองอันไซ ได้เปิดการแสดงทั้งในประเทศและต่างประเทศนับเป็นร้อยๆครั้ง จนได้รับการยกย่องเป็น “ยอดกลองเอวแห่งโลกตะวันออก” และ “ราชากลองแห่งจีน”ในปี 2006 ระบำกลองอันไซ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กลองเอวแห่งอันไซ จึงเป็นจิตวิญญาณหนึ่งของประชาชาติจีนจากยุคที่จีนลุกขึ้นยืน (站起来) สู่ยุคมั่งคั่ง(福起来) ถึงยุคแข็งแกร่ง (强起来) ในปัจจุบัน…แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/china/detail/9680000074909
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
14/08/2025
ชมภาพนักท่องเที่ยวจีนแห่ชมมหาน้ำตกหูโข่วคึกคักในยามฤดูร้อน เกิดเป็นภาพความอลังการธรรมชาติที่ทำให้คนตัวเล็กจิ๋วราวกับมดสํานักข่าวซินหัว น้ำตกหูโข่ว (Hukou Waterfall) ตั้งตระหง่านบนพรมแดนระหว่างมณฑลซานซีและส่านซี ประเทศจีน น้ำไหลเชี่ยวกรากจากแม่น้ำเหลืองผ่านช่องแคบแคบยิ่งกว่าปากกาน้ำ ก่อนตกลงหน้าผาสูงกว่า 20 เมตร กลายเป็น “น้ำตกสีทอง” ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและใหญ่เป็นอันดับสองของจีน จุดเด่น น้ำตกหูโข่ว คือเสียงน้ำดังกึกก้องเหมือนฟ้าครืน และในช่วงฤดูน้ำหลากปากน้ำกว้างถึง 50 เมตร พร้อมสายรุ้งระยิบระยับในแสงแดดภาพจาก xinhuathai.comแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกระปุก.คอมhttps://travel.kapook.com/view293622.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การทำงาน
11/08/2025
โลกที่หมุนเร็วในปัจจุบัน คุณเคยกังวลไหมว่างานที่ทำอยู่จะหายไปด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดทั้ง AI, ระบบอัตโนมัติ และการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล กำลังเข้ามาปรับโฉมอุตสาหกรรมทั่วโลกอย่างรวดเร็ว การปรับตัวและพัฒนาทักษะอยู่เสมอจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคนี้จากข้อมูลของ World Economic Forum ชี้ว่างานที่จะเติบโตเร็วที่สุดจนถึงปี 2030 จะอยู่ในสายเทคโนโลยี วิศวกรรม ความปลอดภัย และความยั่งยืน โดยใครที่กำลังมองหาลู่ทางอาชีพใหม่ๆ ที่มีอนาคตสดใส ลองมาดูกันว่า 10 อาชีพสุดฮอตเหล่านี้มีอะไรบ้าง และต้องเรียนอะไรเพื่อเตรียมความพร้อม1. นักเจาะขุมทรัพย์ข้อมูล (Big Data Specialist) เริ่มต้นจากโลกของข้อมูลที่เปรียบเสมือน "ขุมทรัพย์" ของธุรกิจยุคใหม่ Big Data Specialist หรือนักเจาะขุมทรัพย์ข้อมูล คือผู้ที่เปลี่ยนข้อมูลดิบอันซับซ้อนให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีค่า ทำหน้าที่รวบรวมและจัดการชุดข้อมูลขนาดใหญ่ จากนั้นจึงวิเคราะห์เพื่อค้นหาแนวโน้ม ความต้องการของลูกค้า และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ก่อนจะสร้างเป็นรายงานที่เข้าใจง่ายเพื่อให้ฝ่ายบริหารใช้ตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ สำหรับผู้ที่สนใจเส้นทางนี้ ควรศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science), การวิเคราะห์ธุรกิจ (Business Analytics) หรือวิทยาการคอมพิวเตอร์2. FinTech Engineer จากข้อมูลสู่โลกการเงินยุคใหม่ วิศวกรฟินเทค คือผู้สร้างนวัตกรรมที่ทำให้ทุกธุรกรรมง่ายแค่ปลายนิ้ว ตั้งแต่แอปธนาคาร, การจ่ายเงินผ่านมือถือ, ไปจนถึงแพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซี พวกเขาผสมผสานความรู้ด้านการเงินเข้ากับทักษะการเขียนโปรแกรม เพื่อออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันทางการเงินที่รวดเร็วและเข้าถึงง่าย โดยทำงานใกล้ชิดกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและระบบชำระเงิน พร้อมทั้งทดสอบและปรับปรุงระบบให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด เส้นทางสู่อาชีพนี้ต้องอาศัยความรู้ด้านเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech), วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และวิทยาการคอมพิวเตอร์3. ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learningหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดคือ ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Machine Learning หรือ "คนสอนให้คอมพิวเตอร์คิดเป็น" พวกเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Siri, ระบบแนะนำหนังใน Netflix และรถยนต์ไร้คนขับ โดยมีหน้าที่หลักในการพัฒนาโมเดล AI และอัลกอริทึมให้เครื่องจักรเรียนรู้ จากนั้นจึงฝึกฝนระบบด้วยข้อมูลจำนวนมากเพื่อให้จดจำรูปแบบและคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ ก่อนจะนำโซลูชัน AI ไปประยุกต์ใช้จริงในอุตสาหกรรมต่างๆ ผู้ที่อยากเป็นผู้สร้างอนาคตด้วยเทคโนโลยีนี้ควรเรียนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI), การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และวิทยาศาสตร์ข้อมูล4. นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันเบื้องหลังทุกเทคโนโลยีที่เราใช้กันในชีวิตประจำวันคือ นักพัฒนาซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน ผู้สร้างสรรค์ที่เปลี่ยนความต้องการของผู้ใช้ให้กลายเป็นโค้ดที่ใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย, เกมมือถือ หรือโปรแกรมทำงานต่างๆ งานของพวกเขาคือการเขียนโค้ดและทดสอบเพื่อสร้างแอปพลิเคชันใหม่ๆ ออกแบบหน้าตาโปรแกรมให้ใช้งานง่าย (User-Friendly) และคอยแก้ไขข้อผิดพลาด (Bugs) เพื่อปรับปรุงซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ให้ดีขึ้นเสมอ สาขาที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ วิศวกรรมซอฟต์แวร์, วิทยาการคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ5. ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) เมื่อทุกอย่างเป็นดิจิทัล ความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์ เปรียบเสมือน "อัศวินผู้พิทักษ์ข้อมูล" ในยุคที่ข้อมูลมีค่าดั่งทองคำ หน้าที่ของพวกเขาคือการปกป้องระบบขององค์กรให้รอดพ้นจากแฮกเกอร์และภัยคุกคามต่างๆ โดยจะทำการประเมินความเสี่ยงและวางแผนป้องกัน, ตรวจสอบระบบเพื่อหาช่องโหว่ และรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจมตี การเตรียมตัวสำหรับอาชีพนี้ต้องศึกษาด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) หรือการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลโดยตรง6. ผู้เชี่ยวชาญด้านคลังข้อมูล (Data Warehousing)การจะปกป้องหรือวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องเริ่มจากการจัดเก็บที่เป็นระบบ ผู้เชี่ยวชาญด้านคลังข้อมูล คือ "สถาปนิกผู้สร้างห้องสมุดดิจิทัล" ให้กับองค์กร พวกเขามีหน้าที่ออกแบบและจัดการระบบคลังข้อมูลส่วนกลาง (Data Warehouse) ทำการรวมข้อมูลจากหลายแหล่งมาไว้ที่เดียวกัน และดูแลความปลอดภัยและความถูกต้องของข้อมูลในคลัง เพื่อเป็นรากฐานสำคัญให้ธุรกิจดึงข้อมูลไปใช้ขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างรวดเร็ว ผู้สนใจสามารถเรียนด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ระบบสารสนเทศ หรือคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing)7. ผู้เชี่ยวชาญยานยนต์ไร้คนขับและ EVเทคโนโลยีไม่ได้เปลี่ยนแค่โลกออนไลน์ แต่ยังปฏิวัติการเดินทางบนท้องถนนด้วย ผู้เชี่ยวชาญยานยนต์ไร้คนขับและรถยนต์ไฟฟ้า (EV) พวกเขาคือคนสร้างอนาคตของการเดินทางให้สะอาด ปลอดภัย และชาญฉลาดขึ้น โดยจะออกแบบระบบขับขี่อัตโนมัติและส่วนประกอบของรถยนต์ไฟฟ้า ทดสอบประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและการใช้พลังงาน และทำงานร่วมกับทีมวิศวกรและนักออกแบบเพื่อสร้างรถยนต์แห่งอนาคต สาขาที่เกี่ยวข้องมีหลากหลาย ตั้งแต่วิศวกรรมยานยนต์, วิศวกรรมไฟฟ้า, หุ่นยนต์ ไปจนถึงวิทยาการคอมพิวเตอร์8. นักออกแบบ UI/UXแม้ว่าเทคโนโลยีจะล้ำสมัยแค่ไหน หากใช้งานยากก็อาจไร้ความหมาย นักออกแบบ UI/UX จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ พวกเขาคือคนที่ทำให้แอปพลิเคชันและเว็บไซต์ต่างๆ "สวยงาม" (UI - User Interface) และ "ใช้งานง่าย" (UX - User Experience) โดยจะออกแบบหน้าตาแอปฯ ให้ดึงดูดสายตา, วิจัยพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อทำความเข้าใจความต้องการอย่างลึกซึ้ง และสร้างแบบจำลองเพื่อทดสอบการออกแบบให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ผู้ที่รักการออกแบบและสนใจจิตวิทยาผู้ใช้ควรศึกษาด้านการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX Design) และการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI Design)9. พนักงานขับรถขนส่ง (Delivery Driver)ขณะที่โลกดิจิทัลเติบโต อาชีพที่จับต้องได้ในโลกจริงอย่าง พนักงานขับรถขนส่ง ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน พวกเขาคือฟันเฟืองสำคัญในยุค E-commerce ที่ขาดไม่ได้ หน้าที่หลักคือการขนส่งสินค้าจากคลังไปยังธุรกิจและลูกค้าอย่างปลอดภัยและตรงเวลา โดยต้องวางแผนเส้นทางให้มีประสิทธิภาพ และดูแลรักษายานพาหนะให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานเสมอ แม้จะเน้นทักษะและประสบการณ์เป็นหลัก แต่ความรู้ด้านโลจิสติกส์และการจัดการห่วงโซ่อุปทานจะช่วยให้เติบโตในสายงานได้เป็นอย่างดี10. ผู้เชี่ยวชาญด้าน IoT (Internet of Things)เทรนด์แห่งอนาคตคือการเชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกันผ่าน ผู้เชี่ยวชาญด้าน IoT หรือ "คนเชื่อมทุกสิ่งเข้ากับอินเทอร์เน็ต" พวกเขาคือผู้พัฒนาและจัดการอุปกรณ์อัจฉริยะ ตั้งแต่สมาร์ทวอทช์ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเซ็นเซอร์ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีหน้าที่ออกแบบและพัฒนาอุปกรณ์ IoT ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย และจัดการโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดเพื่อสร้างระบบอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกวงการ สาขาที่ต้องเรียนรู้คือ อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT), วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศข้อมูล : globaladmissions, worldeconomicforumแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2875965
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
01/08/2024
14/08/2025
22/10/2024
29/04/2024
29/04/2024