คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ห้องแสดงนิทรรศการ

ครั้งแรกกับ BAB 2024 ใน พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน จากปลาหลีฮื้อข้ามประตูมังกร สู่ไฟบรรลัยกัลป์

08/11/2024

ครั้งแรกที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้เข้าร่วมเป็น 1 ใน 11 สถานที่จัดแสดงของเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 หรือ BAB 2024 โดยภายใน พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน จัดแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยทั้งในรูปแบบศิลปะจัดวาง ประติมากรรม สื่อผสม จิตรกรรม วิดีโออาร์ต จาก 8 ศิลปิน ร่วมกับโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ 89 ชิ้นจากคลังกลาง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติFocus  •  นับเป็นครั้งแรกที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้เข้าร่วมเป็น 1 ใน 11 สถานที่จัดแสดงของเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 หรือ BAB 2024  •  ผลงานศิลปะร่วมสมัยทั้งในรูปแบบศิลปะจัดวาง ประติมากรรม สื่อผสม จิตรกรรม วิดีโออาร์ต จาก 8 ศิลปิน จัดแสดงร่วมกับโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ 89 ชิ้นจากคลังกลาง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  •  ผลงานหลายชิ้นเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ของพื้นที่จัดแสดงคือพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ประวัติศาสตร์ของตำแหน่งพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้าในสมัยรัตนโกสินทร์ รวมถึงเกร็ดเรื่องเล่าและตำนานความเชื่อนับเป็นครั้งแรกที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้เข้าร่วมเป็น 1 ใน 11 สถานที่จัดแสดงของเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 หรือ BAB 2024 ภายใต้แนวคิด “รักษา กายา” (Nurture Gaia) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม 2567 – 25 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อสะท้อนความคิดเรื่องธรรมชาติ ผู้หญิง นิเวศวิทยา การเมือง และอำนาจเหนือธรรมชาติ ภายใน พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน จึงมีการจัดแสดงศิลปะร่วมสมัยทั้งในรูปแบบศิลปะจัดวาง ประติมากรรม สื่อผสม จิตรกรรม วิดีโออาร์ต จาก 8 ศิลปินร่วมกับโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ 89 ชิ้นจากคลังกลาง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติผลงานของโจเซฟ บอยส์ประติมากรรมและภาพวาดของศิลปินระดับตำนาน โจเซฟ บอยส์ (Joseph Beuys) ที่เกี่ยวกับเพศหญิง สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ทางจิตวิญญาณ และการแพทย์ทางเลือกแบบ โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) จัดแสดงรวมกับคอลเลคชันเครื่องปั้นดินเผารูปสัตว์ต่างๆ ส่วนบริเวณโถงกลางของพระที่นั่งศิวโมกขพิมานติดตั้งประติมากรรมรูปศีรษะผู้หญิงอินเดียทาสีน้ำเงิน “Parvati” ของศิลปินอินเดีย ราวินเดอร์ เรดดี (Ravinder Reddy) เพื่อสื่อถึงพลังของสตรีเพศและรายล้อมด้วยโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ เช่น รูปเทวสตรี ฐานประติมากรรมรูปโยนี ศิวลึงค์ แผนที่ไตรภูมิฉบับจำลองและสมุดไทดำฉบับจำลองร่างเทียบรูปภาพเรื่องรามเกียรติ์ในวัดพระแก้ว“Parvati” โดย ราวินเดอร์ เรดดีประวัติศาสตร์ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า ที่ประทับของพระมหาอุปราชตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1-5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ รวมถึงจิตรกรรมปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกรที่ประดับด้านหลังพระทวารคู่กลางของพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย เรื่องราวไตรภูมิพระร่วงว่าด้วยการล้างโลกด้วยไฟบรรลัยกัลป์ และวิกฤตปลาหมอคางคำในปัจจุบัน ได้ถูกนำมาร้อยเรียงเป็นงานศิลปะจัดวางชื่อ “สีทันดรสันดาป” (Fish, Fire, Fallout) โดย นักรบ มูลมานัส ศิลปินที่มีชื่อเสียงด้านงานศิลปะคอลลาจสีทันดรสันดาป โดย นักรบ มูลมานัสภายในตู้กระจกขนาดใหญ่จัดแสดงประติมากรรมรูปปลา 2 ตัวอยู่คนละฝั่งแต่หันหน้าเข้าหากัน ร่วมกับศิลปวัตถุต่างๆ เช่น ประติมากรรมดินเผารูปปลา ตุ๊กตาเสียกบาล ประติมากรรมรูปพระแม่โพสพและแม่ซื้อ ส่วนด้านหลังเป็นภาพจำลองของจิตรกรรมฝาผนังเทพชุมนุมในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์“ภาพวาดปลาหลีฮื้อที่มีความมุ่งมั่นจะกระโดดข้ามประตูมังกรเพื่อทะยานเป็นมังกร ทำให้คิดในอีกมุมที่เราไม่ค่อยคิดคือปลาหลีฮื้อที่ไม่สามารถกระโดดข้ามได้แล้วไม่ได้ไปต่อจะเป็นอย่างไร ตำแหน่งวังหน้า (ในสมัยรัตนโกสินทร์) มี 6 พระองค์แต่มีวังหน้าเพียงพระองค์เดียวที่มีฐานะเทียบเท่ากษัตริย์” นักรบ กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการนำเกร็ดประวัติศาสตร์และศิลปวัตถุชิ้นสำคัญของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร มาตีความเป็นผลงานศิลปะร่วมสมัยภาพปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกร ประดับด้านหลังพระทวารคู่กลางของพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยภาพปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกรนำมาประกอบในงาน “สีทันดรสันดาป” ของ นักรบ มูลมานัสจิตรกรรมปลาหลีฮื้อกระโดดข้ามประตูมังกรเป็นงานศิลปะชิ้นสำคัญที่เขียนด้วยเทคนิคลายกำมะลอคือใช้ทั้งทองคำและสีในการวาดและคาดว่าเขียนโดยช่างจีนในไทยและสร้างในสมัย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ (กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้าในรัชกาลที่ 3) โดยเป็นภาพปลาหลีฮื้อ หรือ ปลาไน ที่กำลังว่ายทวนกระแสน้ำในแม่น้ำฮวงโห จนไปถึงประตูมังกรและพยายามกระโดดข้ามประตู ถ้าข้ามพ้นประตูสำเร็จจะทำให้ปลาหลีฮื้อกลายเป็น ปลามังกร และเมื่อว่ายสูงขึ้นไปก็กลายเป็นมังกรน้อย จากนั้นทะยานเป็นมังกรห้าเล็บซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ์ส่วนตำแหน่งวังหน้าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1-5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มีทั้งสิ้น 6 พระองค์ แต่วังหน้าที่ได้รับการสถาปนาให้มีพระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินและเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยถือเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 2 หรือ The Second King ในรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรีนักรบ มูลมานัส“ผมได้อ่านเรื่อง ‘พระราชวิจารณ์’ ของรัชกาลที่ 5 ที่พระองค์ท่านมีความเห็นเกี่ยวกับพระนิพนธ์เรื่อง ‘นิพานวังน่า’ (หรือ นิพพานวังหน้า) ของพระองค์เจ้ากำพุชฉัตร พระราชธิดาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (วังหน้าพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ที่บรรยายความโศกเศร้าเมื่อพระราชบิดาได้จากไปแล้วและมีกล่าวถึงว่าแม้แต่ปลาในวังหน้าก็ยังเสียใจ โดย ร.5 ได้ระบุว่าในวังหน้านั้นมีสระและปลาเยอะมาก”นักรบจึงได้นำ “ปลา” ที่ปรากฎในพระนิพนธ์เกี่ยวกับวังหน้าและในจิตรกรรมชิ้นสำคัญของพื้นที่ประวัติศาสตร์มาเชื่อมโยงกับเรื่องราวไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกในไตรภูมิพระร่วง และลิลิตนารายณ์สิบปางซึ่งหนึ่งในนั้นคือปาง มัตสยาวตาร ที่พระนารายณ์ทรงอวตารเป็นปลาเพื่อกอบกู้โลกจากน้ำท่วม รวมถึงวิกฤตปลาหมอคางคำที่ทำลายระบบนิเวศธรรมชาติในปัจจุบัน มาร้อยเรียงในอีกหนึ่งตู้กระจกขนาดใหญ่โดยภายในตู้จัดแสดงประติมากรรมปลา 2 ตัวที่ติดกลไกให้เหงือกขยับได้แบบรวยริน ประกอบกับวิดีโอฉายภาพของ เชฟป้อม- ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล ขณะเตรียมปลาหมอคางคำ 7 ตัวจนกระทั่งทอดในกระทะน้ำมันจนเสร็จ“ผมนึกถึงในไตรภูมิพระร่วงที่กล่าวถึงปลาใหญ่ยักษ์ 7 ตัว ในช่วงที่คนเริ่มเสื่อมศีลธรรมจนเกิดเหตุการณ์ประหลาดคือมีพระอาทิตย์เพิ่มขึ้นจนกลายเป็น 7 ดวง ทำให้แม้กระทั่งน้ำในมหานทีสีทันดรก็ยังแห้งขอดและปลายักษ์ทั้ง 7 ก็ตายไปด้วยทำให้น้ำมันในตัวปลาไหลออกมาท่วมโลกจนเกิดไฟบรรลัยกัลป์ทำให้โลกแตก และเชื่อมโยงไปถึงลิลิตนารายณ์สิบปางที่ในปางหนึ่งพระนารายณ์อวตารเป็นปลาเพื่อกำจัดภัยพิบัติและก่อให้เกิดโลกใหม่” นักรบกล่าว“พระยาสุรสีห์แห่งศิวโมกข์” โดย คมกฤษ เทพเทียนคมกฤษ เทพเทียน เป็นอีกหนึ่งศิลปินที่หยิบยกประวัติศาสตร์ เกร็ดเรื่องเล่า ตำนานความเชื่อเกี่ยวกับวังหน้ามาถ่ายทอดเป็นงานศิลปะร่วมสมัยในรูปแบบประติมากรรมและจะจัดทำเป็นกาชาปองต่อไปสำหรับโปรเจกต์ที่ชื่อว่า “ไทม์แมชชีน” (Time Machine) ซึ่งจะพาผู้ชมย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเริ่มสร้าง พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อแรกสร้างวังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อพ.ศ. 2325 เพื่อใช้สำหรับเสด็จออกขุนนางและบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ เป็นอาคารโถงไม่มีผนังและสร้างด้วยเครื่องไม้อีกทั้งมีขนาดเล็กกว่าปัจจุบันประติมากรรมไม้แกะสลัก “พระยาสุรสีห์แห่งศิวโมกข์” เป็นรูปสิงโตทรงเครื่องประดับด้วยดวงแก้วตรงหน้าผากในท่านั่งบนบัลลังก์ โดยได้แรงบันดาลใจจากการศึกษาประวัติของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1“สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ผู้สร้างพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน มีพระสมัญญานามว่า ‘พระยาเสือ’ ด้วยพระอัธยาศัยที่กล้าหาญ เข้มแข็งและเด็ดขาดและเป็นทหารเอกคนสำคัญของสมเด็จพระเจ้าตากสินในการทำศึกสงคราม และเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาแตกท่านเป็นผู้ที่ไปรับพระมารดาของพระเจ้าตากจากเพชรบุรีกลับมาที่ค่ายของพระเจ้าตากอย่างปลอดภัย แต่เมื่อผมจะทำประติมากรรมรูปเคารพโดยใช้ ‘เสือ’ เป็นต้นแบบตามพระสมัญญานาม ไม่ปรากฎว่ามีรูปเสือในรูปแบบรูปเคารพที่จะนำมาอ้างอิงได้แต่มีรูปสิงโตนั่งบนบัลลังก์จึงคิดว่านำมาเทียบเคียงกันได้”ตรงฐานของบัลลังก์มีเหล็กดัดเป็นรูป “นกเอื้อง” ซึ่งเป็นพระนามเดิมของพระมารดาพระเจ้าตาก ส่วนโครงเหล็กดัดด้านหลังบัลลังก์เป็นตัวเลขไทยแสดง ปีที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทประสูติ ปีที่ได้รับสถาปนาเป็นวังหน้าในรัชกาลที่ 1 และปีที่สวรรคต“นอกจากดูงานแล้วแค่ว่าสวยหรือไม่สวย ผมอยากให้ประวัติศาสตร์มีชีวิตและก่อเกิดบทสนทนา มีข้อมูลมาโต้ตอบกันทำให้ได้ข้อมูลที่กลมมากขึ้นซึ่งจะเป็นประโยชน์มากต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ และด้วยประติมากรรมแบบรูปเคารพหรือกาชาปองที่ผมกำลังทำอยู่นั้นเชื่อว่าจะทำให้เข้าถึงกลุ่มคนได้ง่ายมากขึ้น” คมกฤษกล่าว“พระอาทิตย์แห่งวังหน้า” โดย คมกฤษ เทพเทียนคมกฤษยังนำเสนอประติมากรรมแกะสลักหินทรายชื่อ “พระอาทิตย์แห่งวังหน้า” ในรูปแบบคล้ายพระคเณศ เพื่อระลึกถึง สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ 3 ผู้มีบทบาทสำคัญในการให้รื้อ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ที่เป็นอาคารเรือนไม้แล้วสร้างใหม่เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่กว่าเดิม ส่วนหลังคายังเป็นเครื่องไม้เลียนแบบมาจากพระที่นั่งองค์เดิมคือมีลักษณะลาดต่ำและมีพาไลรอบเพื่อป้องกันแดดและฝนสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าช้าง  ภายหลังได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า พระองค์เจ้าอรุโณทัย  ดังนั้นคมกฤษจึงนำคำว่า “ช้าง” และ “พระอาทิตย์” ที่สื่อถึงความหมายชื่ออรุโณทัยหรือเวลาพระอาทิตย์ขึ้น เป็นคีย์หลักในการออกแบบประติมากรรมคล้ายรูปเคารพ“พระองค์ท่านเป็นบุคคลสำคัญที่สร้างพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้จึงอยากใช้ศิลปะเป็นตัวสื่อโดยเมื่อเป็น ช้าง ก็ต้องมีต้นแบบเป็นพระคเณศโดยอ้างอิงจากพระคเณศที่แกะสลักจากหินภูเขาไฟประทับบนฐานประดับหัวกะโหลกทรงอาภรณ์และเครื่องประดับรูปหัวกะโหลกและจัดแสดงอยู่ที่อาคารมหาสุรสิงหนาท แต่ในประติมากรรมชิ้นนี้ผมเปลี่ยนเครื่องประดับจากรูปหัวกะโหลกเป็นพระอาทิตย์”นอกจากนี้ยังมีตำนานเรื่อง ศาลเจ้าแม่สิงโตทอง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งเดิมพื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของวังหน้า โดยบ้างก็ว่าเป็นสิงโตหินคู่ที่บรรทุกมาในเรือสำเภาเพื่อถ่วงน้ำหนักเรือที่เรียกว่า อับเฉา บ้างก็ว่าสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงสั่งมาจากเมืองจีนจำนวน 3 ตัวเพื่อแก้ฮวงจุ้ยบริเวณนั้นซึ่งตรงกับแพร่งน้ำปากคลองบางกอกน้อยและถือว่าเป็นตำแหน่งอัปมงคล แต่ไม่ว่าจะเป็น สิงโตคู่ หรือสิงโต 3 ตัวก็ตาม เมื่อลำเลียงมาทางเรือและจะยกขึ้นฝั่งกลับพลัดตกน้ำและงมขึ้นมาได้แค่สิงโตตัวเมียดังเช่นที่ปรากฏในศาลเจ้าแม่สิงโตทองคมกฤษจึงสร้างสรรค์ประติมากรรมไฟเบอร์กลาสชื่อ “สิงโตทอง” เป็นรูปสิงโตสีทองผูกผ้าสามสีและมีเงาสะท้อนบนผืนน้ำทำจากเรซิ่นใส“ผมพยายามสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์และพบว่ามีบันทึกว่ามีสิงโตหินจมจริงบริเวณท่าน้ำ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตามความเชื่อบ้างก็ว่าเป็นการจมเพราะอุบัติเหตุเนื่องจากน้ำหนักมากและไม่มีเครื่องยกที่เหมาะสม บ้างก็เชื่อว่าเป็นการตั้งใจจมตามไสยศาสตร์ ผมมีแนวคิดอยากจะลองประสานกับหน่วยกู้ภัยทางน้ำเพื่อลองสืบค้นดูใต้น้ำว่ายังมีสิงโตหินจมอยู่หรือไม่แม้จะผ่านมาแล้วหลายร้อยปี มีความเป็นไปได้ที่จะทำจริงได้จากการประสานงานกับหลายฝ่าย” คมกฤษกล่าวอย่างจริงจังวิดีโออาร์ต “ถักโลกทอแผ่นดิน” โดย จิตติ เกษมกิจวัฒนา และ นักรบ มูลมานัสภายใน พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ยังจัดแสดงผลงานวิดีโออาร์ต “ถักโลกทอแผ่นดิน” (Our Place in Their World) โดย จิตติ เกษมกิจวัฒนา และ นักรบ มูลมานัส ซึ่งเคยจัดแสดงในนิทรรศการ “วิญญาณข้ามมหาสมุทร” (The Spirits of Maritime Crossing) ในฐานะกิจกรรม Collateral Event หรือนิทรรศการที่ได้รับเชิญโดยคณะกรรมการมหกรรมศิลปะ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 60 ปี 2567 แต่จัดแสดงนอกพื้นที่แสดงงานหลัก โดยนำเสนอภาพคอลลาจของประวัติศาสตร์เมื่อชนชั้นนำและสามัญชนชาวสยามเดินทางข้ามมหาสมุทรไปยังโลกตะวันตกเพื่อกรุยทางสู่ความเป็นสมัยใหม่ของสยาม“A Verse for Nights” โดย ดุษฎี ฮันตระกูล“Lapse of Memory” ของ หริธร อัครพัฒน์“Sisters (Flame and Foam) โดย เคียร่า คาโมนีนอกจากนี้ผลงานชุด “A Verse for Nights” โดย ดุษฎี ฮันตระกูล  ยังบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของมนุษย์และธรรมชาติผ่านชุดเครื่องปั้นดินเผาและประติมากรรมรูปมือและหน่อไม้ที่จัดแสดงร่วมกับเครื่องปั้นดินเผาเขียนสีจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง และคอลเลคชันประติมากรรมนามธรรม “Lapse of Memory” ของ หริธร อัครพัฒน์ รวมไปถึงงานประติมากรรมรูปพี่สาวและน้องสาว “Sisters (Flame and Foam) โดยศิลปินชาวอิตาลี เคียร่า คาโมนี (Chiara Camoni) แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับธรรมชาติและวัฏสงสารFact File  •  บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 หรือ BAB 2024 จัดแสดงระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม 2567 – 25 กุมภาพันธ์ 2568 ณ สถานที่สำคัญในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 11 แห่ง ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร / วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร / วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร / วัดบวรนิเวศวิหาร / พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร / พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  หอศิลป หรือ หอศิลป์เจ้าฟ้า / หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร / มิวเซียมสยาม / วันแบงค็อก / ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์  •  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ถนนหน้าพระธาตุ กรุงเทพฯ เปิดเวลา 9.00-16.00 น. (ปิดวันจันทร์และวันอังคาร) สอบถามเพิ่มเติม : โทรศัพท์ 02-224-1333 และ 02-224-1402  •  ติดตามตารางกิจกรรมของ BAB 2024 เพิ่มเติมได้ทาง  Facebook และ Instagram : Bkkartbiennaleแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1449863/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

รถไฟฟ้าสายสีแดงจากบางซื่อไปตลิ่งชัน

08/11/2024

ชมภาพทิวทัศน์ป่าสนเรดวูดยามฤดูใบไม้ร่วงอย่างใกล้ชิด กลางน้ำ ณ มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีนเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 สำนักข่าวซินหัว เผยภาพทิวทัศน์ ป่าสนเรดวูด ยามฤดูใบไม้ร่วง ที่ตั้งอยู่วนอุทยานเถาฮวาเจี้ยในหมู่บ้านชวนปู้ ถนนหลงซาน อำเภอฉางซิง เมืองหูโจว มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของประเทศจีน โดยมีกิจกรรมพายแพดเดิลบอร์ด (Paddle Board) กลางน้ำ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเพื่อเข้าชมทิวทัศน์ ป่าสนเรดวูด อย่างใกล้ชิด โดยภาพดังกล่าวถูกบันทึกภาพวันที่ 3-4 พ.ย. ที่ผ่านมาภาพจาก สำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ กระปุก.คอมhttps://travel.kapook.com/view286071.html

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย นำทัพพลังตัวแทนผู้พิชิตคุณวุฒิ AIA Annual Convention 2024 ร่วมฉลองความสำเร็จ ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

08/11/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำทัพพลังตัวแทนผู้พิชิตคุณวุฒิ AIA Annual Convention 2024 จำนวนทั้งสิ้นกว่า 1,300 ท่าน บินลัดฟ้าสู่มิลาน เมืองแห่งแฟชั่นระดับโลก ประเทศอิตาลี เพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาด้านการเงินของเอไอเอ พร้อมสัมผัสประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟตลอดการเดินทาง ระหว่างวันที่ 21-26 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่ง AIA Annual Convention 2024 ถือเป็นคุณวุฒิที่ได้มาจากความทุ่มเทในการทำงานและความมุ่งมั่นในการส่งมอบความคุ้มครองแก่ลูกค้า พร้อมทั้งการดูแลประดุจสมาชิกในครอบครัว เพื่อสนับสนุนให้คนไทยทั่วประเทศมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ อีกทั้งยังตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของพลังตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาด้านการเงินของเอไอเอ ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทยมาอย่างยาวนานสำหรับพิธีเฉลิมฉลองความสำเร็จ AIA Annual Convention 2024 ได้รับเกียรติจากผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย นำโดย คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย คุณอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต ร่วมงานเพื่อแสดงความยินดีและเชิดชูเกียรติแก่ตัวแทนทุกท่าน โดยในค่ำคืนแรก เอไอเอ ได้จัดงานเลี้ยง Special Dinner สุดอลังการให้กับผู้พิชิตคุณวุฒิในระดับ 300% ขึ้นไป ณ โรงแรม Principe di Savoia ซึ่งป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่เคยรับรองคนดังระดับโลก อาทิ ควีนเอลิซเบทที่ 2, เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ, ประธานาธิบดี จอรจ์ ดับเบิลยูบุช, วลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย รวมถึง บิล เกท ซึ่งนอกจากความสวยงามของสถานที่แล้ว เอไอเอ ยังได้จัดเตรียมกิจกรรมสนุก ๆ รวมถึงการต้อนรับจาก High Fashion Models ที่ยกขบวนมาร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จให้กับตัวแทนทุกท่าน สำหรับงานเลี้ยง GALA Dinner ในคืนที่ 2 และ 3 ได้ถูกจัดขึ้น ณ สถานที่ที่มีเอกลักษณ์ สะท้อนให้เห็นถึงประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมอันงดงามของประเทศอิตาลี อย่าง Villa Erba ที่ถูกห้อมล้อมด้วยทะเลสาบโคโม่ซึ่งนับเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก เพื่อให้ผู้พิชิตคุณวุฒิของเอไอเอทุกท่านได้ร่วมซึมซับกับบรรยากาศแห่งความสำเร็จ และเก็บภาพความประทับใจกันอย่างเต็มที่ ภายใต้ธีมงาน Glamorous Vintage Italian Style ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง ยิ่งไปกว่านั้น ในงานยังมีการเดินขบวนพาเหรดของผู้พิชิตคุณวุฒิระดับ 300% ขึ้นไป ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของงาน AIA Annual Convention ร่วมด้วยตัวแทนที่ได้รับ Double Hall of Fame ทั้งสิ้น 2 ท่าน ได้แก่ คุณสุพร เอื้อวิศาลสิน และคุณชัชวาล เอื้อวิศาลสิน รวมถึงผู้พิชิตคุณวุฒิ Hall of Fame พร้อมไฮไลท์ของงานคือการเปิดตัว President of AIA Annual Convention 2024 “คุณโบ เพชรรัตน์ รงค์บัญฑิต” จากหน่วยเนอวานา ซึ่งในปีนี้เป็นการพิชิตคุณวุฒิครั้งที่ 4 ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเอไอเอ แล้วพบกันที่จุดหมายปลายทางใหม่ปีหน้ากับ AIA Annual Convention 2025 Madrid ประเทศสเปน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

สำรวจพบ 71% โค้ชการเงิน – ดาว TikTok ไม่น่าเชื่อถือ

07/11/2024

ผลสำรวจเผย 71% คลิปวิดีโอให้คำแนะนำด้านการลงทุนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันขาดความน่าเชื่อถือ พร้อมสร้างความเข้าใจผิด ๆ ต่อกลุ่มคนที่หมกมุ่นกับเรื่องการเงินเป็นพิเศษอย่าง Gen Z และชาว Millennialแม้ว่าแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง TikTok, Youtube และ Instagram จะได้รับความนิยมจากคอนเทนต์เต้นเพลงสุดไวรัล และเรื่องราวอัพเดทจากอินฟลูเอนเซอร์ แต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงานโดยเฉพาะช่วงอายุ 18-41 ปี มักหมกมุ่นอยู่กับการดูวิดีโอให้คำแนะนำด้านการลงทุนมากกว่าคอนเทนต์รูปแบบอื่นรายงานล่าสุดจาก Social Capital Markets ระบุว่า คลิปวิดีโอให้คำแนะนำด้านการเงินกว่า 71% ที่กลุ่มคน Gen Z และชาว Millennial เลือกเสพนั้นขาดความน่าเชื่อถือ พร้อมสร้างความเข้าใจผิด ๆ โดยเฉพาะวิดีโอสั้นในแพลตฟอร์ม TikTok ที่พบปัญหามากที่สุดกว่า 91% ด้วยลักษณะคลิปที่สั้นทำให้เผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้างจากการวิเคราะห์วิดีโอ 2,470 คลิป จากแพลตฟอร์ม TikTok, YouTube และ Instagram รวมถึงแฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ #StockTok, #Investing และ #Stocktips พบว่า  •  83% ไม่มีคำเตือนด้านการลงทุน ทำให้ผู้ชมเห็นภาพเพียงด้านเดียว  •  70% มีการเชิญชวนให้ผู้ชมลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว รวมถึงไม่ให้ความรู้วิธีจัดการความเสี่ยง  •  57% จูงใจผู้ชมด้วยการรับประกันผลตอบแทน ซึ่งเป็นแนวคิดต่างจากธรรมชาติของตลาดหุ้นที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา  •  45% สนับสนุนให้ผู้ชมนำรายได้มาลงทุนนอกจากนี้ในกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำวิดีโอให้คำแนะนำด้านการเงินทั้งหมดนี้ มีเพียง 13% เท่านั้นที่มีคุณวุฒิด้านการเงินหรือเป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือได้ ทำให้ในหลายประเทศมีกฎหมายควบคุม อย่างออสเตรเลียที่กำหนดให้การให้คำแนะนำทางการเงินโดยไม่มีใบอนุญาตเป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยจะมี Australian Securities and Investments Commission (ASIC) ดูแล เพื่อป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลผิด ๆ กับประชาชนเช่นเดียวกับประเทศอังกฤษที่เพิ่งมีการตั้งข้อหากับอินฟลูเอนเซอร์ที่พูดเรื่องการลงทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากองค์กร The Financial Conduct Authority (FCA) ที่ดูแลเรื่องนี้ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาTikTok เป็นปัญหามากที่สุดในบรรดาแพลตฟอร์มที่วิเคราะห์วิดีโอกว่า 91% จาก TikTok กลายเป็นปัญหามากที่สุด โดยสาเหตุคือขาดการให้ความรู้การลงทุนรอบด้าน และอีกว่า 70% สนับสนุนการซื้อลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ประกอบกับลักษณะวิดีโอในแพลตฟอร์มนี้ที่สั้นทำให้คลิปถูกแชร์ออกไปแชร์ว่อนเน็ตอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะเป็นการสรุปเคล็ดลับสั้น ๆ มากกว่าการให้ข้อมูลรอบด้านนอกจากนั้นอินฟูเอนเซอร์ใน TikTok กว่า 65% ยังรับประกันผลตอบแทน และสนับสนุนให้นำรายได้มาลงทุน นับเป็นความเสี่ยงอย่างมากสำหรับนักลงทุนมือใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ที่ต้องแบกรับค่าเทอม หรือมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ต่ำInstagram ไลฟ์สไตล์ดีแต่น่าหนักใจแม้ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มนำเสนอไลฟ์สไตล์ที่น่าดึงดูด แต่ก็มีสถิติที่น่าหนักใจเช่นเดียวกัน วิดีโอในแพลตฟอร์มนี้ 88% ขาดการให้ข้อมูลด้านการเงินแบบครบทุกด้าน, 65% สนับสนุนให้ลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนี้อีก 50% ยังรับประกันผลตอบแทน และร้อย 40 ผลักดันให้นำรายได้มาลงทุนYouTube ให้คำแนะนำดีแต่ไม่รอบด้านแม้ว่ารูปแบบวิดีโอของ Youtube ที่ยาวกว่าใครเพื่อนจะทำให้มีการนำเสนอเนื้อหาที่ลึกซึ้งมากขึ้น แต่ยังขาดข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจลงทุน โดย 55% ของวิดีโอในแพลตฟอร์มนี้รับประกันผลตอบแทน ขณะที่ 45% แนะนำให้นำรายได้ของตัวเองมาลงทุน Crypto ยังคงความนิยมนอกจากหุ้นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่เจนแซดและชาวมิลเลนเนียล เหรียญคริปโตก็เป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่เหล่าฟลูเอนเซอร์เชิญชวนผู้ติดตามให้มาลงทุนด้วยการพูดถึงบ่อย ๆ โดยเฉพาะ Memecoins ที่เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่สร้างจากเรื่องตลกบนอินเทอร์เน็ต อาทิ Dogecoin และ Moo Deng Coin ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ในแพลตฟอร์มยูทูปพูดถึงมากที่สุดกว่า 51% รองลงมาคือบน TikTok 44% และ 40% บน YouTubeรองลงมาคือ AI Coin ที่มีการพูดถึงมากที่สุดบน Instagram กว่า 22% 20% บน YouTube และ 16% บน TikTok ตามมาด้วย โทเคนจากเกมบล็อกเชน (Web3 Gaming Token) ที่มีการพูดถึง 30% บน YouTube, 18% บน TikTok และ 14% บน Instagramปิดท้ายด้วย NFT ที่เคยได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะความนิยมจะลดลงในปัจจุบัน ซึ่งมีการพูดถึงบน Instagram เพียง 17%, 13% บน TikTok และแค่ 5% บน YouTubeแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1690361

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

บำนาญเป๊ะปัง! เกษียณอย่างฟิน ต้องมีประกันบำนาญ

07/11/2024

เมื่อใกล้เวลาที่ต้องหยุดทำงานเพราะอายุกำลังจะเข้าเกณฑ์เกษียณ หลายคนกังวลว่าจะไม่มีรายรับที่มั่นคงเหมือนตอนที่ทำงานอยู่ และไม่แน่ใจว่าเงินเก็บที่มีอยู่จะเพียงพอต่อการใช้ชีวิตไปตลอดหรือไม่ แต่วันนี้คนทำงานมีทางเลือกที่จะช่วยให้อุ่นใจทางการเงินมากขึ้น ด้วยการทำประกันบำนาญ ตัวช่วยให้คนทำงานมีรายได้อย่างต่อเนื่องในวัยเกษียณ และยังให้ผลประโยชน์ระหว่างทางอีกมากมาย ทั้งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ และยังให้ความคุ้มครองหากเสียชีวิตระหว่างสัญญามาทำความรู้จักประกันบำนาญกันก่อน นี่คือประกันชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่เน้นการออมเงินคล้ายประกันสะสมทรัพย์ แต่มีเป้าหมายชัดเจนที่จะให้เกิดประโยชน์ในวัยเกษียณเป็นหลัก โดยนับเป็นประกันชีวิตที่นอกจากจะให้ผลประโยชน์ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตระหว่างสัญญาแล้ว ค่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายตามระยะเวลาที่ทำสัญญาไว้ จะทำหน้าที่เป็นเงินออมต่อเนื่องจนถึงอายุเกษียณตั้งแต่ 55 – 65 ปี แล้วกลายร่างเป็นผลตอบแทนในรูปแบบ “เงินคืนระหว่างทาง” ให้เราจนถึงอายุ 85 – 90 ปีในบรรดาประกันบำนาญมากมายที่มีอยู่ตอนนี้ ผู้ที่จะซื้อประกันบำนาญควรมีหลักเกณฑ์ในการซื้อที่เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด  ซึ่งมีข้อควรรู้ในการเลือกซื้อประกันบำนาญ 5 ข้อมาแนะนำก่อนจะตัดสินใจ ดังนี้  •  อายุที่ทำประกันบำนาญยิ่งน้อยยิ่งดีเนื่องจากค่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายต่อปีก็จะน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งอายุที่ดีที่สุดคือ 30 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นช่วงที่งานเริ่มมั่นคงและมีกระแสเงินสดเสถียรพอที่จะสามารถจ่ายเบี้ยได้อย่างต่อเนื่อง  •  ยิ่งอายุการจ่ายเงินบำนาญยิ่งนาน ยิ่งมีโอกาสได้ประโยชน์ที่คุ้มค่ากว่าเช่น ถ้ามีอายุจนถึงครบรอบปีกรมธรรม์ที่อายุครบ 90 ปี จะมีโอกาสได้รับผลประโยชน์จากประกันบำนาญที่คุ้มค่ามากกว่า เพราะจะได้เงินคืนระหว่างทางเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น  •  ระยะเวลาการจ่ายเบี้ยประกันยิ่งสั้น ยิ่งให้ความคุ้มค่ามากกว่าการจ่ายเบี้ยประกันระยะยาว ถึงแม้ว่าการทำประกันบำนาญตั้งแต่อายุยังน้อยจะดีกว่า แต่ถ้าเราพิจารณาเงื่อนไขความคุ้มครองและการรับเงินบำนาญเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เท่ากัน จะพบว่าประกันบำนาญที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยแบบ 5 ปี จะมีค่าเบี้ยประกันภัยรวมต่ำกว่าประกันบำนาญที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยแบบ 10 ปี  •  เงินรับบำนาญยิ่งเยอะ ยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจ ปัจจุบันรูปแบบของเงินรับบำนาญมีให้เลือกหลากหลาย โดยจะเงินรับบำนาญทุกปี เช่น ปีละ 15% 24% 36% ของจำนวนเงินเอาประกัน ซึ่งการเลือกจะทำประกันบำนาญที่ให้เงินบำนาญเท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน แต่ถ้าเลือกรับเงินบำนาญเปอร์เซ็นต์เยอะๆ ย่อมทำให้เราสามารถใช้จ่ายในช่วงเกษียณได้มากขึ้นนั่นเอง  •  อาจเลือกแบบประกันบำนาญที่จ่ายเงินให้สูงกว่าในกรณีเสียชีวิต เนื่องจากเงินที่ได้รับในกรณีเสียชีวิตก่อนรับบำนาญของแต่ละแบบประกันอาจไม่เท่ากัน เช่น หากเสียชีวิตก่อนรับเงินบำนาญ จะได้รับเงินทั้งหมด 105% หรือ 110% ของเบี้ยประกันภัยที่ชำระมาแล้วทั้งหมด เป็นต้นนอกจากเราจะต้องรู้ว่าควรเลือกประกันบำนาญแบบใดจึงจะ “ใช่” ที่สุดสำหรับเราแล้ว สิ่งสำคัญกว่านั้น คนทำงานควรเลือกซื้อแผนประกันบำนาญจากบริษัทที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกและเข้าใจในความต้องการของคนทำงานที่พร้อมจะซื้อประกันบำนาญอย่างแท้จริง อย่าง อลิอันซ์ อยุธยา ซึ่งได้คัดสรรแผนออมเงินเพื่อการเกษียณเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและสถานการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน ทั้งอายุ และการรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใดอลิอันซ์ อยุธยา มีทั้งแผนประกันบำนาญที่เหมาะกับคนทำงานวัย 40+ ต้องการออมเงินระยะสั้น แต่ต้องการมีเงินใช้ไปยาวๆ นั่นคือแผนประกันบำนาญ “มาย บำนาญ ไฟว์ A90/5 บำนาญแบบลดหย่อนได้ (มีเงินปันผล)“ ที่ใช้ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยสั้นเพียง 5 ปี แต่สามารถรับเงินบำนาญ 10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยทุกปี โดยรับได้ตั้งแต่อายุ 60-90 ปี ซึ่งระหว่างการจ่ายค่าเบี้ยประกันภัย ยังสามารถนำค่าเบี้ยประกันภัยไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาทต่อปี นานถึง 5 ปีอีกด้วย (ทั้งนี้ เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของกรมสรรพากร)และยังมีแผนประกันบำนาญสำหรับคนเริ่มทำงานมาสักระยะ ที่มองการณ์ไกลถึงความมั่นคงในอนาคต ด้วยการเลือกซื้อแผนประกัน “มาย บำนาญ พลัส (บำนาญแบบลดหย่อนได้)” ที่ชำระเบี้ยประกันภัยถึงอายุ 55 ปี จากนั้นรับเงินบำนาญแน่นอน 10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยได้ทุกปี มีใช้ไปยาวๆ ตั้งแต่อายุ 55 – 85 ปี และยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาทต่อปี (ทั้งนี้ เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของกรมสรรพากร)เพราะวัยเกษียณควรเป็นวัยที่ทุกคนจะมีเวลาและความอิสระได้มากที่สุด ดังนั้นอย่าละเลยเรื่องการออมเงินเพื่อสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้กับชีวิตในอนาคตของคุณ ด้วยการเลือกประกันบำนาญที่เหมาะสมกับตนเองได้ตั้งแต่วันนี้หมายเหตุ  •  มาย บำนาญ ไฟว์ A90/5 บำนาญแบบลดหย่อนได้ (มีเงินปันผล) และ มาย บำนาญ พลัส (บำนาญแบบลดหย่อนได้)  ให้ความคุ้มครอง โดย อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต  •  เงื่อนไข ความคุ้มครอง และผลประโยชน์ เป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์  •  ลูกค้าควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครองและเงื่อนไข ก่อนตัดสินใจสมัครทำประกันชีวิตแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับเวิร์คพอยท์ทูเดย์https://workpointtoday.com/allianz-1/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

รูปถ่าย

“สี่แยกธนาคารชาร์เตอร์ด” แลนด์มาร์กถ่ายภาพยอดนิยม ชมย่านเมืองเก่าภูเก็ต

07/11/2024

กลุ่มอาคารสีเหลืองสดใสสถาปัตยกรรมสไตล์ชิโน-ยูโรเปียน เป็นเอกลักษณ์เด่นของย่านเมืองเก่าภูเก็ต ตระหง่านงามอยู่ที่บริเวณ “สี่แยกธนาคารชาร์เตอร์ด” ถนนพังงา-ภูเก็ตแต่เดิม คือ “ธนาคารชาร์เตอร์ด” (The Chartered Bank) ธนาคารแรกในจังหวัดภูเก็ต และอาคารที่อยู่ตรงข้ามกัน คือ สถานีตำรวจตลาดใหญ่ในวันนี้ธนาคารเปลี่ยนพิพิธภัณฑ์เพอรานากันนิทัศน์ ส่วนสถานีตำรวจเปลี่ยนเป็นศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยวเทศบาลฯ ซึ่งมีจุดเด่นที่หอนาฬิกาสูงสะดุดตาด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรมย้อนยุค บริเวณสี่แยกแห่งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กขวัญใจนักท่องเที่ยว ที่เดินย่ำสำรวจ แวะมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอยู่เสมอสี่แยกธนาคารชาร์เตอร์ด ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ตแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000107396

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ชวนสัมผัสเส้นทางมหัศจรรย์ ถนนป่าโอโซน ที่นักเดินทางสายธรรมชาติไม่ควรพลาด

07/11/2024

ชวนสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวที่แตกต่าง กับเส้นทางมหัศจรรย์ "ถนนป่าโอโซน" เชื่อมกระบี่-พังงา จุดหมายปลายทางที่นักเดินทางสายธรรมชาติไม่ควรพลาดกรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยแขวงทางหลวงกระบี่ สำนักงานทางหลวงที่ 17 ได้ดูแลและพัฒนา "ถนนป่าโอโซน" หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า "ถนนป่าแก่" ให้เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ ตั้งอยู่บนถนนเพชรเกษม หรือทางหลวงหมายเลข 4 ตั้งแต่ กม.ที่ 962+000 - 964+000 ตอนเขาคราม - ตลาดเก่า ตำบลทับปริก อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ระยะทาง 3 กิโลเมตร เชื่อมต่อการคมนาคมระหว่างจังหวัดกระบี่และพังงา พร้อมทั้งรักษาความงดงามทางธรรมชาติ นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ของภาคใต้ซึ่ง ทล. ได้ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน รวมถึงการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศผ่านการเดินทางทางถนน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ และส่งเสริมการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนทั้งนี้ ขอแนะนำให้มาสัมผัสความมหัศจรรย์ของถนนป่าโอโซนในช่วงเวลาก่อน 8 โมงเช้า แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องผ่านใบไม้หนาทึบของต้นยางนาสูงตระหง่าน จะสร้างลวดลายแสงเงาบนพื้นถนนราวกับภาพวาดจากธรรมชาติ หากมาถึงตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง อาจได้พบกับภาพอันน่าประทับใจของสายหมอกจางๆ ที่โอบล้อมขุนเขาหินปูน สร้างบรรยากาศอันสดชื่น สดใส เพิ่มพลังที่ดีแก่ชีวิต โดยตลอดเส้นทางจะมีป้ายบอกจุดชมวิวป่าโอโซนให้ได้จอดรถแวะถ่ายรูปเก็บความประทับใจ แต่แนะนำให้จอดรถชิดไหล่ทางเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากมีรถสัญจรไปมาค่อนข้างเร็ว สำหรับการเดินทางจากอ่าวนาง ใช้เวลาเพียง 25 นาที และ 15 นาทีจากตัวเมืองกระบี่ถนนป่าโอโซนแห่งนี้ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่นักเดินทางสายธรรมชาติไม่ควรพลาด สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวที่แตกต่างและความงดงามของธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และเมื่อผ่านถนนสายป่าโอโซนยังสามารถแวะสถานที่ท่องเที่ยวจากตัวเมืองกระบี่ มุ่งหน้าสู่จังหวัดพังงาและภูเก็ต ได้แก่ ณ ท่าปอมคลองสองน้ำ ถ้ำผีหัวโต ถ้ำลอด เขื่อนเขาค้อม วัดมหาธาตุวชิรมงคล อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี และวัดมหาธาตุแหลมสักทั้งนี้ ทล. ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวไม่จอดยานพาหนะกีดขวางการจราจรบนทางหลวง และขอให้ทุกท่านเดินทางด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน ทล. 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่าย ตลอด 24 ชั่วโมง) และแขวงทางหลวงกระบี่ โทร 0 7561 1291แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1152553

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

เปิดตัว 30 ผีท้องถิ่นไทยที่ไม่เคยถูกเล่า ยกโขยงกันมาจากทั่วทุกภูมิภาค

06/11/2024

หลอนรับฮาโลวีน นิทรรศการ 'The Untold Story เรื่องผีท้องถิ่นที่ไม่เคยถูกเล่า' เปิดตัวผีท้องถิ่นไทยที่ยังไม่อยู่ในสื่อกระแสหลัก ไปฟังเรื่องราวของผีอ๊าบ ผีมนายสโนน ผีจะแกขเมา ผีสม่อยดง ผีปู่พึ้ม ผีม้าบ้อง ผีตากะลายายกะลี ฯลฯผี มีจริงหรือเปล่า ยังเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบตายตัว ขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคล แต่ที่แน่ๆ จินตนาการจากความกลัวในรูปแบบของ ‘ผี’ ถูกนำมาใช้หลากหลาย ทั้งจากตำนานที่สร้างขึ้นเพื่อการสั่งสอนให้ระมัดระวัง การขู่เพื่อให้เกิดความมีระเบียบเรียบร้อยในสังคม หรือการจูงใจให้เกิดความร่วมมือกระทั่งมาถึงยุคใหม่ ที่ ‘ผี’ ได้รับการตีความให้มีความน่ารักมากขึ้นในภาพยนตร์และแอนิเมชัน รวมถึงการสร้างสรรค์คาแรคเตอร์ที่สามารถดัดแปลงเป็นสินค้าและสื่อดิจิทัลที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและกลายเป็นช่องทางในการสร้างรายได้ที่กำลังเติบโตหลายประเทศนำเรื่อง ‘ภูต ปีศาจ ผี’ ในนิทานพื้นบ้าน ในประวัติศาสตร์ ในเรื่องเล่าท้องถิ่น เช่น แวมไพร์ มนุษย์หมาป่า ซาตาน อสูรน้อยคิทาโร่ มาแปลงสู่สื่อร่วมสมัย ได้รับความนิยมไปทั่วโลกและสร้างมูลค่ากลายเป็นเม็ดเงินมหาศาลนิทรรศการ “The Untold Story เรื่องผีท้องถิ่นที่ไม่เคยถูกเล่า”ประเทศไทยก็มีเรื่องราวของภูตผีปีศาจผีสางนางไม้มากมาย ล่าสุด สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ปลุกเรื่องเล่าจากตำนาน ‘ผีท้องถิ่นไทย’ ที่ใครหลายคนอาจไม่รู้จัก จัดทำเป็นนิทรรศการชื่อ The Untold Story เรื่องผีท้องถิ่นที่ไม่เคยถูกเล่า เปิดตัว 30 ผีท้องถิ่นไทยที่อาจไม่คุ้นชื่อยกโขยงกันมาจากทั่วทุกภูมิภาคชวนทุกคนไปสัมผัสและปลดปล่อยจินตนาการ สร้างแรงบันดาลใจ และส่งต่อความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจาก ทุนวัฒนธรรม และ เรื่องเล่าท้องถิ่น ที่ยังไม่เคยถูกเล่ามาก่อนพร้อมกับชมคาแรคเตอร์ผีร่วมสมัยกว่า 90 แบบ ซึ่งเป็นผลงานที่ผสานการตีความเรื่องราวเข้ากับการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปินไทยรุ่นใหม่นิทรรศการ “The Untold Story เรื่องผีท้องถิ่นที่ไม่เคยถูกเล่า” แบ่งออกเป็น 3 โซน ชวนทุกคนมาเปิดตาและเปิดใจ สร้างประสบการณ์เห็น ‘ผี’ ร่วมกัน ดังนี้  •  โซนที่ 1: ปลุกตำนานผีท้องถิ่นล้อมวงฟังเรื่องผีหากเอ่ยถึง ‘ผีไทย’ ในความทรงจำ หลายคนอาจนึกถึงผีกระสือ ผีปอบ ผีเปรต ผีที่ครั้งหนึ่งเคยหลอนเราจนขวัญผวา และเป็นขวัญใจยอดฮิตในอุตสาหกรรมบันเทิงทั้งหลายแต่จริง ๆ แล้ว ‘ผีไทย’ มีแก๊งเยอะกว่านั้น เพราะยังมี ผีท้องถิ่น ที่ไม่ได้ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์กระแสหลักอีกเพียบ ทุกคนจะได้รู้จักเรื่องเล่าตำนานผีท้องถิ่นไทยกันมากยิ่งขึ้น เพื่อท้าทายจินตนาการว่า “ผีเหล่านี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร?”พื้นที่แรกของนิทรรศการโซนนี้ชวน ล้อมวงฟังเรื่องผี ผ่านเสียงที่บันทึกไว้จากแพลตฟอร์มยูทูป สร้างบรรยากาศโดยมีวิทยุทรานซิสเตอร์วางอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ เหมือนกำลังฟังเรื่องผีผ่านวิทยุ ย้อมบรรยากาศให้ชวนหลอนยิ่งขึ้นด้วยแสงไฟสีแดงสลัวราวกับเป็นเวลาดึกดื่น เอ๊ะ..หรือว่ากำลังอยู่ในนรกนั่งลงแล้วฟังเรื่อง ผีหลังกลวง ผีโขมด ผีม้าบ้อง ผีปกกะโหล้ง และ ผีกองกอยฟังเรื่องผีผ่านหูฟังประชันภาพวาดผีท้องถิ่นไทยที่ยังไม่เคยถูกเล่าในจินตนาการถัดเข้าไปอีกห้อง นิทรรศการอุ่นเครื่องต่อด้วยการจัดให้ฟังเรื่อง ผีท้องถิ่นไทย อีกมากมายผ่านหูฟัง แล้วให้ผู้เข้าชมนิทรรศการลองจินตนาการวาดรูปผีที่ได้ฟังลงบนกระดาษที่จัดเตรียมไว้ แล้วนำไปติดไว้บนผนัง แบ่งปันกันว่าใครจินตนาการเป็นอย่างไร  •  โซนที่ 2: สวัสดีผีใหม่ผีสม่อยดง (คล้ายลิง) และผีปู่พึ้ม (ขวาสุด)เขย่าวงการ ผีท้องถิ่นไทย ให้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง ผ่านการตีความภาพลักษณ์ของผีใหม่โดยไม่จำกัดเพียงความน่ากลัว แต่ยังเปลี่ยนให้เป็นพลังในการขับเคลื่อนจินตนาการ โดยนำเสนอเรื่องราวของมุมมองต่อผีไทยที่มีเสน่ห์และเป็นมิตรกับผู้คนมากยิ่งขึ้นพบกับภาพเขียน ‘ผีท้องถิ่น’ กว่า 30 ตน เช่น ผีม้าบ้อง (ผีภาคเหนือ) ที่สามารถแปลงกายได้ทั้งในรูปแบบของม้าตัวใหญ่ ดวงตาสีแดง ปากแสยะ ลักษณะดุร้าย ดูน่ากลัว บ้างปรากฏในลักษณะครึ่งคนครึ่งม้าโบราณว่าผีม้าบ้องจะคอยลักพาตัวเด็กน้อยที่หนีเที่ยวเล่นตอนดึก หรือไม่ก็หลอกล่อคนไปเมืองผีแล้วเข้าสิงร่าง ทำให้อวัยวะผิดแปลกไปผีกะ (ภาพสตรี) และผีปกกะโหล้ง (ภาพชายชรา)ผีปกกะโหล้ง (ผีภาคเหนือ) เป็นผีที่อาศัยอยู่ในป่าทึบ ความเชื่อและนิทานในวัฒนธรรมล้านนาสามารถปรากฏกายได้ทั้งในรูปแบบพายุ สัตว์ และชายชราน่ากลัวหรือมีผมเผ้าหนวดเครารุงรัง ในหนวดเครามีสัตว์ร้ายต่างๆ จุดเด่นคือมีเสียงร้องเป็นเอกลักษณ์ว่า “ป๊กกะโหล้ง”ผีกะ เป็นผีที่ชาวล้านนาเลี้ยงไว้เพื่อช่วยเหลือด้านสุขภาพ ทำมาค้าขายและคุ้มครองครอบครัว เชื่อว่าหากนักแสดงต้องการให้สวยจับใจคนก็ให้ผีกะเลียหน้า ถ้าเจ้าของเลี้ยงดีก็ให้คุณ ถ้าเลี้ยงไม่ดีจะให้โทษและเข้าสิงเพื่อร้องขออาหารผีเชอเยาะผีเชอเยาะ เป็นผีที่ชาวบ้านมองไม่เห็นตัว ขี่เหยี่ยวเป็นพาหนะ เข้าสิงคนได้และกัดกินคนจากภายในร่างกาย การเป็นเชอเยาะสืบทอดกันทางสายเลือด ป้องกันได้ด้วยการใส่สายสิญจน์ปลุกเสกหรือปลูกต้นระกำหน้าบ้านผีมะเร็ญก็องเวียล (ผีภาคอีสาน) ผีอารักษ์ประจำป่า ปรากฏตัวได้ทั้งในรูปแบบดวงไฟลอยไปมาช่วงพลบค่ำ หรือในรูปแบบคนแคระในช่วงกลางวัน พรานล่าสัตว์ในป่าลึกมักเห็นกลุ่มคนแคระตัวเล็กๆ เดินต้อนฝูงสัตว์‘ก็องเวียล’ แปลว่าผู้เลี้ยงสัตว์ ชาวเขมรชาวส่วยนิยมประกอบพิธีเซ่นสรวงมะเร็ญก็องเวียลเมื่อเข้าป่าล่าสัตว์ เชื่อว่าช่วยให้พบและล่าสัตว์ได้ผีตากะลายายกะลีผีญาเงาะ (ผีภาคใต้) เป็นผีป่าตามความเชื่อของชาวซาไก อาศัยอยู่ในเทือกเขาบรรทัด จังหวัดตรัง เชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต คือ คน สัตว์ ต้นไม้ เป็นเจ้าของต้นน้ำลำธารผีตากะลายายกะลี เป็นผีชราชายหญิงมีฐานะเป็นเจ้าป่าช้าผู้คุ้มครองและคุมผีในป่าช้าแห่งนั้น การบูชาเรียก ‘การซื้อที่’ หากไม่ทำ จะส่งผลเสียกับผู้เสียชีวิต ผีสองตนนี้มีที่มาจากในอดีตป่าช้าไม่ได้อยู่ในบริเวณวัด เชื่อกันว่ามีเจ้าที่ดูแล จึงต้องขออนุญาตในการปลงศพแต่ละครั้งผีหลังกลวงผีจะแกขเมาในนิทรรศการฯ ยังมีผีตะมอย ผีโขมด ผีอ๊าบ ผีมนายสโนน ผีจะแกขเมา ผีสม่อยดง ผีปู่พึ้ม ผีไก่น้อย ผีตาพุก ผีกล้วยพังลา ผีไผ่ขาคีม ผีหลังกลวง ฯลฯ รอทำความรู้จักอีกเพียบพร้อมชมผลงานการออกแบบคาแรคเตอร์ผีร่วมสมัย กว่า 90 แบบ จากศิลปินไทยรุ่นใหม่ อาทิ Autumnberry, Linghokkalom, MarkSuttipong, Ployjaploen, Tiicha, Twofeetcat ทำให้ ‘ผีท้องถิ่นไทยที่ยังไม่เคยถูกเล่า’ ดูจะคลายความขนพองสยองเกล้าลงไปอยู่พอสมควร  •  โซนที่ 3: เตรียมเดบิวต์พาไปสำรวจภาพรวมข้อมูลถิ่นที่อยู่ของผีท้องถิ่นไทยในแต่ละภูมิภาค พร้อมชี้ให้เห็นว่าตำนานและเรื่องเล่าท้องถิ่นที่เคยเป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปาก สามารถกลายเป็นขุมทรัพย์แห่งจินตนาการ ที่พร้อมส่งต่อสู่การยกระดับและต่อยอดในโลกของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ได้ต่อไปโดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมนิทรรศการเขียน ‘ชื่อผี’ และ ‘โลเคชั่น’ ลงบนแผ่นกระดาษโพสต์อิท แล้วแปะบนแผนที่ประเทศไทยที่เตรียมไว้ให้ เพื่อจัดเก็บเป็นข้อมูลสำหรับศึกษาเพิ่มเติมThe Untold Story เรื่องผีท้องถิ่นที่ไม่เคยถูกเล่า เทศกาลฮัลโลวีนปีนี้เข้าบรรยากาศพอดี ตรงไปร่วมสัมผัสประสบการณ์เห็น ‘ผี’ ได้ใน นิทรรศการ “The Untold Story เรื่องผีท้องถิ่นที่ไม่เคยถูกเล่า” ปลุกเรื่องเล่าจากตำนานท้องถิ่น ให้กลายเป็นขุมทรัพย์แห่งจินตนาการที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและต่อยอดความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยจัดแสดงระหว่างวันที่ 17 กันยายน - 22 พฤศจิกายน 2567 ตั้งแต่เวลา 10.30 - 19.00 น. (ปิดวันจันทร์) ณ TCDC กรุงเทพฯ (อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก) ห้อง Gallery ชั้น 1 เข้าชมฟรีแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1151245

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย บริจาคจตุปัจจัยทำบุญ และถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ในงานกฐินพระราชทาน คปภ. ประจำปี 2567

06/11/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 5 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมงานกฐินพระราชทานโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐิน ตามที่ขอพระราชทานเพื่อน้อมนำไปทอดถวายยังที่ชุมนุมสงฆ์ ในงานได้รับเกียรติจากนายชูฉัตร ประมูลผล (ที่ 4 จากซ้าย) เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2567 ซึ่งเอไอเอ ประเทศไทย ได้ร่วมบริจาคจตุปัจจัยทำบุญจำนวนเงินทั้งสิ้น 200,000 บาท และร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดป่าโมกวรวิหาร ตำบลป่าโมก อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง โดยมียอดกฐินจากบริษัทประกันภัยต่างๆ องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคจตุปัจจัยทำบุญ และร่วมเป็นเจ้าภาพพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน เพื่อถวายพระภิกษุ สามเณร และถวายจตุปัจจัยบำรุงพระอารามหลวง รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,049,002.59 บาท ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ได้ร่วมดำเนินกิจกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญมั่นคงอยู่ต่อไปและร่วมสืบสานประเพณีอันดีงามสืบทอดกันมายาวนานของไทยนอกจากนี้ นายสุวิรัช พงศ์เสาวภาคย์ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการภายนอก เป็นผู้แทนเอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค และนายสุรินทร์ ตนะศุภผล ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกลยุทธ์องค์กร สำนักงาน คปภ. มอบทุนการศึกษาจำนวน 20,000 บาท และแล็ปท็อป 10 เครื่อง โดยมี นายชัยวัฒน์ มั่นอก ผู้อำนวยการโรงเรียนปาโมกข์วิทยาภูมิ และนายอิทธิพล ศรีชัย รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนเทศบาลวัดปาโมกข์ (นรสีห์วิทยาคาร) เป็นผู้รับมอบ ผ่านกิจกรรม “สำนักงาน คปภ. รวมพลังภาคประกันภัย รวมใจเพื่อการศึกษาให้กับโรงเรียนภายใต้อุปถัมภ์ของวัดป่าโมกวรวิหาร” เพื่อส่งเสริมด้านการศึกษาแก่เด็กนักเรียนของโรงเรียนในพระอุปถัมภ์ของวัดป่าโมกวรวิหารทั้ง 2 โรงเรียน ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำพันธกิจที่เอไอเอมุ่งมั่นอย่างยิ่งในการสนับสนุนให้คนไทยและเยาวชนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

“เทพีเสรีภาพ” ของขวัญจากฝรั่งเศส “มรดกโลกของอเมริกา”

06/11/2024

หนึ่งในสื่อแทนสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาที่คนทั่วโลกคุ้นตาเป็นอย่างดี คือ อนุสาวรีย์ “เทพีเสรีภาพ” (Statue of Liberty) ประติมากรรมขนาดมหึมารูปสตรีถือคบเพลิง ที่ตระหง่านงามอยู่บริเวณอ่าวนิวยอร์กด้วยความเป็นแลนด์มาร์กสำคัญระดับประเทศ อนุสาวรีย์แห่งนี้จึงถูกใช้เป็นสื่อสัญลักษณ์หลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ความเป็นอิสรภาพ ประเทศแห่งโอกาสและเสรีภาพ ประเทศประชาธิปไตย ฯลฯ และ “เทพีเสรีภาพ” ก็ยังกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ซึ่งมีสถานะเป็นมรดกโลกอีกด้วยเทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) เป็นประติมากรรมสไตล์นีโอคลาสสิกขนาดมหึมา ตั้งอยู่บนเกาะลิเบอร์ตี้ ในอ่าวนิวยอร์ก นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบหนึ่งศตวรรษ การประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1876แนวคิดของอนุสาวรีย์ เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1865 โดยนักประวัติศาสตร์และนักเคลื่อนไหวชาวฝรั่งเศส เอดูอาร์ด เดอ ลาบูเล (Édouard de Laboulaye) เสนอให้สร้างอนุสาวรีย์เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา การคงอยู่ของประชาธิปไตยอเมริกัน และการปลดปล่อยทาสเป็นอิสระอนุสาวรีย์ได้รับการออกแบบโดยประติมากรชาวฝรั่งเศส เฟรเดอริก ออกุสต์ บาร์โธลดี (Frédéric Auguste Bartholdi) และโครงสร้างเหล็กก็ออกแบบโดยกุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) ผู้ออกแบบหอไอเฟลแห่งกรุงปารีสนั่นเองโดยการออกแบบรูปปั้นหญิงสาวขนาดยักษ์ ได้รับแรงบันดาลใจจากเทพีลิเบอร์ตาส หรือ เทพีแห่งเสรีภาพของชาวโรมัน ออกแบบให้ยกคบเพลิงขึ้นเหนือศีรษะด้วยมือขวา และถือแผ่นจารึกในมือซ้ายซึ่งมีข้อความว่า "JULY IV MDCCLXXVI" (วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ในเลขโรมัน) อันเป็นวันที่สหรัฐอเมริกาประกาศอิสรภาพ ส่วนเท้าซ้ายของเทพีเหยียบโซ่ที่แตกหัก สื่อถึงการสิ้นสุดของระบบทาสในอเมริกาหลังสงครามกลางเมืองแนวคิดของอนุสาวรีย์ เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1865 โดยนักประวัติศาสตร์และนักเคลื่อนไหวชาวฝรั่งเศส เอดูอาร์ด เดอ ลาบูเล (Édouard de Laboulaye) เสนอให้สร้างอนุสาวรีย์เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา การคงอยู่ของประชาธิปไตยอเมริกัน และการปลดปล่อยทาสเป็นอิสระด้วยขนาดที่ใหญ่โตสูงถึง 93 เมตร อนุสาวรีย์จึงสร้างแบบแยกชิ้นส่วนทั้งหมด 350 ชิ้น แล้วขนส่งทางเรือจากฝรั่งเศสมายังอเมริกา ใช้เวลาอีกราว 4 เดือนจึงประกอบเสร็จ โดยชาวอเมริกันเป็นฝ่ายสร้างส่วนของฐานเพิ่มเติม จนเสร็จสิ้นทุกกระบวนการในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1886 มีประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ เป็นประธานเปิดในอีกเกือบร้อยปีถัดจากนั้น ด้วยความสำคัญทั้งความงดงามเชิงศิลปะ-ประติมากรรม อันถือเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ ซึ่งสื่อสัญลักษณ์อันทรงพลังในการสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับอุดมคติ เรื่องเสรีภาพ สันติภาพ และสิทธิมนุษยชน องค์การยูเนสโก จึงประกาศรับรองให้ “อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ” มีสถานะเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1984ปัจจุบัน เทพีเสรีภาพอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยบริการอุทยานแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ในฐานะส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานแห่งชาติ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ที่มีผู้เข้าชมนับล้านคนในแต่ละปีแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000106482

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X