คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ห้องแสดงนิทรรศการ

“I Light Singapore” เทศกาลแสงสีชั้นนําของเอเชียที่สิงคโปร์

29/05/2025

i Light Singapore เทศกาลแสงสีชั้นนําของเอเชียที่จัดขึ้น ณ มารีน่าเบย์ และพื้นที่ใกล้เคียง เริ่มตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึง 21 มิถุนายน 2025ภาพ: สำนักข่าวซินหัวเทศกาลแสงสียิ่งใหญ่นี้ จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2010 “i Light Singapore" จัดแสดงการติดตั้งงานศิลปะแสงที่สร้างขึ้นโดยศิลปินชาวสิงคโปร์และนานาชาติ งานศิลปะได้รับการออกแบบด้วยแสงไฟประหยัดพลังงาน และวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมให้ผู้ร่วมชมเทศกาลตระหนักถึงเรื่องความยั่งยืน นำมาใช้ในชีวิตประจําวัน โดยเทศกาลนี้ยังมีกิจกรรมมากมายให้ผู้มาเยือนได้เพลิดเพลิน และนําความมีชีวิตชีวามาสู่พื้นที่สาธารณะในใจกลางเมืองสิงคโปร์ภาพ: สำนักข่าวซินหัวสำหรับแนวคิดในปีนี้ คือ “To Gather” ได้รับแรงบันดาลใจจากสีแดงจากการเล่าเรื่องแสงที่มองเห็นได้ เพราะสีแดงมีพลังในขับเคลื่อนมนุษย์ กระตุ้นอารมณ์ของความรักและความหลงใหลในตัวเรา นําชุมชนมารวมกันเพื่อเฉลิมฉลองในบางวัฒนธรรม และสีแดงยังสามารถเป็นสัญลักษณ์ของอํานาจได้อีกด้วยภาพ: สำนักข่าวซินหัวสีแดงดึงดูดความสนใต่อสิ่งที่สําคัญหรือเร่งด่วน สีแดงมีความสามารถในการมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์อย่างลึกซึ้งและจุดประกายการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลง มักเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิต สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของแหล่งพลังงานหลักที่แผ่แสงสว่างและความอบอุ่นให้กับชีวิตบนโลก ในฐานะที่เป็นหัวใจสําคัญของการดํารงอยู่โดยรวม สีแดงเสมือนเส้นด้ายที่ผูกโยงทุกคนเข้าด้วยกัน ให้เกิดการเรียกร้องให้ยอมรับความสามัคคีในความหลากหลายTo Gather ธีมของงาน จึงมุ่งมั่นที่จะจุดประกายการสนทนา ส่งเสริมชุมชนที่มีชีวิตชีวา และสร้างแรงบันดาลใจในการดําเนินการร่วมกัน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนมากขึ้นภาพ: สำนักข่าวซินหัวเวลาจัดแสดงของเทศกาลไฟอาทิตย์ถึงพฤหัสบดี: 19:30 น. – 23:00 น., วันศุกร์และวันเสาร์: 19:30 น. – 12:00 น.เริ่มตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึง 21 มิถุนายน 2025ภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวภาพ: สำนักข่าวซินหัวแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000050423

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

“ภูฏาน” มหัศจรรย์ ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า

29/05/2025

พาไปรู้จักกับ “ภูฏาน” ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้าที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดหมายในต่างแดนที่คนไทยพูดถึงกันเป็นจำนวนมาก หลังการเสด็จเยือนราชอาณาจักรภูฏานอย่างเป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาภูฏาน ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า“ประเทศภูฏาน” (Bhutan) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย ได้รับฉายาว่าเป็น “ดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า” ที่งดงามไปด้วยทิวทัศน์ของขุนเขาอันสลับซับซ้อนและป่าเขาลำเนาไพรที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นประเทศหนึ่งเดียวในโลกที่นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายานแบบตรันตระเป็นศาสนาประจำชาติหนึ่งในสถาปัตยกรรมอันงดงามเป็นเอกลักษณ์ของภูฏาน (ภาพ : PR TCB)นอกจากนี้ภูฏานยังมีวัดวาอาราม งานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งชาวเมืองก็ยังคงดำรงวิถีอยู่ในจารีต วัฒนธรรม และประเพณีที่สืบต่อกันมาแต่โบราณอย่างแนบแน่นปัจจุบันภูฏานมีเมืองหลวงคือ “เมืองทิมพู” (Thimpu) ที่พระเจ้าจิกมี ดอร์จิ วังชุก กษัตริย์องค์ที่ 3 ย้ายมาจากเมืองหลวงเก่าคือปูนาคา ในปี พ.ศ. 2495 และมีเมือง “พาโร” เป็นศูนย์กลางทางการบินเพียงหนึ่งเดียวในภูฏาน โดย “ท่าอากาศยานนานาชาติพาโร” (Paro International Airport - PBH) นั้นได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสนามบินอันตรายที่สุดในโลก จนกล่าวได้ว่า มีนักบินจำนวนหลักสิบเท่านั้นที่ได้รับใบอนุญาตให้ลงจอดที่สนามบินนี้ เพราะต้องเป็นนักบินที่มีทักษะความสามารถ และประสบการณ์การบินสูงสนามบินพาโร หนึ่งในสนามบินอันตรายที่สุดในโลก (ภาพ : Paro International Airport)เที่ยวภูฏาน 4 ฤดูภูฏานเป็นประเทศที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ด้วยอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี จนได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่อากาศดีที่สุดในโลก ซึ่งถือเป็นจุดหมายปลายทางที่นักเดินทางจะสามารถสูดหายใจได้อย่างเต็มปอด และเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์โดยในแต่ฤดูกาลผู้มาเยือนภูฏานจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป เริ่มจากฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) ที่มาพร้อมกับดอกโรโดเดนดรอน หรือ “กุหลาบพันปี” ซึ่งออกดอกบานสะพรั่ง รวมถึงยังมีเทศกาลท้องถิ่นอันครึกครื้น เช่น เทศกาลพาโรเชชู หรือ เทศกาลระบำหน้ากากเมืองพาโรเสน่ห์ภูฏานในช่วงฤดูร้อนกับทุ่งนาขุนเขาอันเขียวขจี (ภาพ : PR TCB)ส่วนฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) เป็นช่วงฤดูมรสุมที่ภูเขาทั่วภูฏานจะถูกปกคลุมด้วยสีเขียวจากพันธุ์ไม้ สร้างบรรยากาศการพักผ่อนอันเงียบสงบสำรับนักเดินทางที่ชอบปลีกวิเวก ทั้งยังมีโอกาสได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมของท้องถิ่นขณะที่ในฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) ท้องฟ้าในภูฏานจะสวยใสเหมาะสำหรับการเดินป่าและถ่ายภาพ นอกจากนี้ที่เมือง Laya เขตกาซา ยังมีการจัดงานประจำปีในช่วงฤดูหนาวคือเทศกาล “Royal Highland Festival” เพื่อเฉลิมฉลอง ส่งเสริม และอนุรักษ์ชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเขาแห่งภูฏานที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่บนภูเขาสูงเทศกาลรอยัลไฮแลนด์ (ภาพ : PR TCB)ครั้นพอถึงฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) ภูฏานจะเผยให้เห็นเสน่ห์อันเงียบสงบของวัดและสถาปัตยกรรมที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ รวมถึงเทศกาลเฉลิมฉลองในท้องถิ่นทั่วประเทศ ด้วยอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปีวัดทักซัง สัญลักษณ์ศรัทธาอันแรงกล้าของภูฏานสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ต้องห้ามพลาดของภูฏานคือ “วัดทักซัง” (Taktsang Monastery) สถาปัตยกรรมที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของประเทศ ซึ่งโดดเด่นสวยงามด้วยอารามที่ตระหง่านอยู่บนชะง่อนผาสูงลิบที่มวลเมฆคลอเคล้าราวกับวัดล่องลอยอยู่เหนือผืนฟ้าสรวงสรรค์วัดทักซังสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของภูฏาน (ภาพ : Ugyen Tenzin)วัดทักซัง หรือที่รู้จักกันในนาม “the Tiger’s nest” หรือวัดถ้ำเสือ ตั้งอยู่ในเมืองพาโร เป็นวัดพุทธที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูง 3,120 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล วัดแห่งนี้โดดเด่นสวยงามด้วยงานสถาปัตยกรรมอันประณีต ซึ่งได้รับการหล่อหลอมยึดตามแนวศิลปะพุทธศาสนา มีอาคารสีขาวหลังคาสีทอง ประกอบด้วยวัดหลัก 4 แห่งและบ้านพักหลายหลัง อาคารทั้งหมดเชื่อมต่อถึงกันด้วยบันไดที่มีขั้นบันไดแกะสลักเข้าไปในหิน เกือบทุกหลังของกลุ่มอารามมีระเบียงพร้อมทิวทัศน์อันน่าทึ่งของบริเวณโดยรอบ ศาลเจ้าหลักของอาราม กงล้อสวดมนต์ตั้งอยู่ในลานวัด และในทุกเช้าเวลาตี 4 พระภิกษุจะหมุนเวียนออกมาทำกิจวัตรเพื่อเริ่มต้นวันใหม่การออกแบบตกแต่งภายในของวัดมีโดมเคลือบทองและไฟกะพริบที่ส่องสว่างรูปเคารพทองคำ ในห้องโถงพระพุทธรูปพันองค์ที่แกะสลักไว้ในหิน มีรูปปั้นเสือขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เนื่องจากเสือได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองพาโรภูฏาน บีลีฟ แคมเปญท่องเที่ยวของภูฏานหลังโควิด (ภาพ : PR TCB)ภูฏาน บีลีฟ“ภูฏาน บีลีฟ” (Bhutan Believe) เป็นแคมเปญปัจจุบันของประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หลังภูฏานปิดประเทศไปชั่วคราวจากสถานการณ์ COVID-19ภูฏาน บีลีฟ เน้นย้ำความเชื่อของประเทศเรื่องอนาคตที่ดีกว่า น้อมนำโดยภูมิปัญญาจากคนรุ่นเก่า “บีลีฟ” เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในอนาคตของภูฏาน เช่นเดียวกับศักยภาพ ความเป็นไปได้ และโอกาสที่ภูฏานนำเสนอให้กับโลกที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเกี่ยวกับการเชื่อในคุณค่า ความสามารถ การมีส่วนร่วมและศักยภาพของพลเมืองของประเทศธรรมชาติงามแห่งดินแดนมังกรสายฟ้า (ภาพ : PR TCB)นอกจากนี้ภูฏานยังมี “สภาการท่องเที่ยวแห่งประเทศภูฏาน” (Tourism Council of Bhutan: TCB) เป็นหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบในการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในภูฏาน รวมถึงทำหน้าที่เผยแพร่ความงดงามของสถานที่ ผู้คน และประสบการณ์ในราชอาณาจักรแห่งนี้ ให้กับนักท่องเที่ยวโดยยึดหลักการรับนักท่องเที่ยวปริมาณน้อย เพื่อให้ได้สัมผัสคุณค่าและประสบการณ์สูงสุดข้อมูลเบื้องต้นเที่ยวภูฏานภูฏานเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว ในรูปแบบ “น้อยแต่มาก” ที่มีมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในปี ค.ศ. 1974 ซึ่งปัจจุบันค่าธรรมเนียมเหยียบแผ่นดินเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Fee – SDF) ได้ถูกปรับลดลงในราคาใหม่ จาก 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อคืน เหลือ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อคืน (มีอัตราลดหย่อนสำหรับเด็ก)ภูฏานสามารถเที่ยวได้ทั้งปี 4 ฤดู (ภาพ : PR TCB)ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงจูงใจต่อนักท่องเที่ยวให้ปักหมุดภูฏานเป็นจุดหมายปลายทางที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็มั่นใจได้ว่าการท่องเที่ยวจะยังคงสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนต่อไป โดยค่าธรรมเนียมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDF) นี้จะถูกนำมาใช้เป็นทุนสนับสนุนโครงการด้านวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการศึกษาทั่วประเทศภูฏานสำหรับการยื่นขอวีซ่าหรือใบอนุญาตไปภูฏานนั้น นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมีวีซ่าและใบอนุญาตก่อนเดินทางไปภูฏานโดยสมัครทางออนไลน์หรือผ่านทางบริษัททัวร์ภูฏาน โดยมีค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่าจำนวน 40 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะใช้ได้เพียงหนึ่งครั้ง และไม่สามารถขอคืนได้ การยื่นขอวีซ่าใช้เวลาประมาณ 5 วันในการดำเนินการ ยกเว้นนักท่องเที่ยวจากอินเดีย มัลดีฟส์และบังคลาเทศที่สามารถยื่นขอ ณ วันที่เดินทางมาถึงได้ ทั้งนี้ผู้ที่สนใจเที่ยวภูฏานสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bhutan.travelปัจจุบันเที่ยวภูฏานเสียค่า SDF 100 US ดอลลาร์ ต่อคน/คืน (ภาพ : PR TCB)แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000050380

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การตลาด

ไม่ซ้ำซาก! รวมการตลาดสุดแหวก แม้แปลกแต่ได้ผลลัพธ์เยี่ยม

21/05/2025

การยึดติดอยู่ในกรอบเดิมอาจเป็นเชือกฉุดรั้งไม่ให้ธุรกิจของเราไม่ไปไหน กลับกันหากเราลองทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิม ปรับสภาพแวดล้อม อาจจะทำเกิดแรงบันดาลใจ เพิ่มไฟให้กับตัวเองในการเดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะไอเดียการตลาดที่เปิดโอกาสให้เราได้ความคิด ความเป็นตัวเองลงไปวางแผนกำหนดกลยุทธ์การตลาดการตลาดที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์มักจะสามารถดึงดูดความสนใจและสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับธุรกิจได้ นี่คือตัวอย่างของการตลาดที่อาจดูแปลกแต่ได้ผล:การตลาดผ่านฟิลเตอร์ของโซเชียลมีเดีย: การสร้างฟิลเตอร์พิเศษสำหรับ Instagram หรือ Snapchat ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถกระตุ้นให้ผู้ใช้สร้างและแชร์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณการจัดกิจกรรมที่ไม่ธรรมดา: จัดกิจกรรมที่ไม่คาดคิดหรือแปลกใหม่ เช่น การแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของคุณ หรือกิจกรรมที่สร้างความฮือฮาในสังคม ช่วยเพิ่มการรับรู้และการมีส่วนร่วมการใช้พนักงานเป็น Influencer: พนักงานของคุณสามารถเป็นผู้ทำการตลาดให้กับแบรนด์ได้ ด้วยการแชร์เรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวกับการทำงานและประสบการณ์ที่ดีในบริษัทผ่านโซเชียลมีเดียการตลาดแบบประหลาดใจ: ส่งของขวัญหรือข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าโดยไม่คาดคิด เช่น การส่งสินค้าฟรี หรือส่วนลดพิเศษแบบไม่คาดคิดให้กับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณการใช้ AR (Augmented Reality): ใช้เทคโนโลยี AR เพื่อให้ลูกค้าสามารถทดลองสินค้าหรือประสบการณ์ต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ การสร้างประสบการณ์เสมือนจริงจะทำให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับผลิตภัณฑ์การตลาดผ่านการแสดงผลดิจิทัลในที่สาธารณะ: การใช้หน้าจอดิจิทัลในพื้นที่ที่มีคนพลุกพล่าน เช่น สถานีรถไฟ, สนามบิน หรือห้างสรรพสินค้า เพื่อแสดงโฆษณาแบบสร้างสรรค์การสร้างประสบการณ์แบบ Interactive: ใช้กิจกรรมที่ทำให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรง เช่น การทำเกมออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ หรือการสร้างคอนเทนท์ที่ลูกค้าสามารถส่งภาพหรือวิดีโอเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณการใช้ “Marketing Stunts”: การทำแคมเปญที่ตั้งใจเพื่อสร้างความประหลาดใจและดึงดูดความสนใจอย่างรุนแรง เช่น การจัดตั้ง “Pop-up Store” ที่มีการออกแบบแปลกใหม่การทำการตลาดแบบ “Guerilla”: ใช้กลยุทธ์การตลาดที่คาดไม่ถึงและสร้างความตื่นเต้น เช่น การติดป้ายโฆษณาในที่แปลกใหม่ หรือการทำกิจกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะการใช้ผู้มีอิทธิพลที่ไม่คาดคิด: ร่วมมือกับบุคคลที่มีอิทธิพลในพื้นที่ที่ไม่คาดคิด เช่น ผู้เชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ของคุณ หรือแม้แต่บุคคลที่มีความเชื่อมโยงที่ไม่ชัดเจนกับแบรนด์ของคุณการตลาดที่แปลกใหม่อาจมีความเสี่ยง แต่เมื่อทำการวิจัยและวางแผนอย่างรอบคอบสามารถสร้างผลลัพธ์ที่โดดเด่นและช่วยให้แบรนด์ของคุณแตกต่างจากคู่แข่งได้แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ smartsmehttps://smartsme.co.th/content/%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%8b%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%8b%e0%b8%b2%e0%b8%81-%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%a1%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ไททันบุกไทย! ในนิทรรศการปัจฉิมบท ผ่าพิภพไททัน วันนี้–18 มิ.ย.นี้

21/05/2025

ไททันบุกไทย! เซ็นทรัลเวิลด์ เปิดประตู ‘Attack on Titan Final Exhibition’ ดื่มด่ำกับปัจฉิมบทของมหากาพย์สะเทือนโลก 7 พ.ค. – 18 มิ.ย. 68 ที่ ‘CentralWorld Pulse’ ชั้น 7  บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ Mighty Media ตัวแทนจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์อนิเมะชื่อดังในไทย ปลุกตำนานสุดท้ายของจักรวาลไททันกับนิทรรศการปัจฉิมบท ผ่าพิภพไททัน” หรือ Attack on Titan FINAL Exhibition Ver. Thailand นิทรรศการศิลปะต้นฉบับสุดยิ่งใหญ่ ที่แฟนอนิเมะทั่วเอเชียต่างรอคอย หลังสร้างปรากฏการณ์ในเอเชีย นิทรรศการนี้พร้อมแล้วที่จะเปิดประตูสู่โลกใบสุดท้ายของเอเรนและผองเพื่อน ให้แฟน ๆ ในประเทศไทยได้ดำดิ่งแบบเต็มรูปแบบ ด้วยผลงานต้นฉบับหายากจาก “อาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ” ผู้รังสรรค์หนึ่งในมังงะขายดีที่สุดตลอดกาล และต้นฉบับของอนิเมะที่ครองใจคนดูทั่วโลก เริ่มวันแรก 7 พฤษภาคม - 18 มิถุนายน 2568 ที่ ‘CentralWorld Pulse’ อีเวนต์ฮอลล์ใหม่ ใจกลางกรุงเทพ ณ ชั้น 7 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ไลฟ์สไตล์แลนด์มาร์กระดับโลกใจกลางกรุงเทพฯงานนี้เป็นหนึ่งใน Exhibition ระดับโลกที่จัดที่ “centralwOrld Pulse” Multipurpose Hall แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วย Main Hall ขนาด 2,017 ตร.ม. และ Pre Function Area ขนาด 240 ตร.ม. รองรับการจัดคอนเสิร์ต, นิทรรศการ, แฟนมีตติ้ง, นิทรรศการ และงานสัมนา ตอบโจทย์การเติบโตของตลาดคอมมูนิตี้อนิเมะ-มังงะ ซึ่งมีฐานแฟนคลับแข็งแรง และมีกำลังซื้อสูงในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานที่ชอบบริโภคสินค้าลิขสิทธิ์ อีเวนต์ คอสเพลย์ สร้างประสบการณ์ Immersive Exhibition อย่างสมจริง พร้อมเปิดรับการจัดงานระดับนานาชาติในอนาคต ทั้งด้านวัฒนธรรม คอนเทนต์ และไลฟ์สไตล์ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีฐานแฟนคลับ Attack on Titan ที่มีกระแสแรงไม่เคยแผ่ว ทั้งจากกลุ่มแฟนมังงะและผู้ชมอนิเมะทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน การมาถึงของนิทรรศการ FINAL ครั้งนี้ จึงเป็นเหมือน “บทสรุปแห่งความทรงจำ” ที่แฟนชาวไทยไม่ควรพลาด นิทรรศการครั้งนี้ถ่ายทอดแก่นแท้ของไททันอย่างลึกซึ้ง ผ่านภาพวาดต้นฉบับจัดแสดงอย่างประณีต พร้อมเทคนิคแสง สี เสียงสมจริง ให้คุณเลือกเส้นทางผจญภัยระหว่าง ‘นอกกำแพง’ หรือ ‘ในกำแพง’ และเดินทางผ่าน 8 โซนจัดแสดง พร้อมไฮไลต์เด็ดอย่าง ประติมากรรมเป่าลมศีรษะไททันขนาดสูงกว่า 4 เมตร ที่สร้างขึ้นพิเศษเฉพาะประเทศไทย ที่เซ็นทรัลเวิลด์เท่านั้น8 โซนดิ่งลึกสู่โลกผ่าพิภพไททัน FINAL – ปิดตำนานในแบบที่คุณต้องสัมผัสด้วยตัวเอง1. ทางเลือกของชีวิต : เปิดฉากแรกที่โรงละคร ก้าวเข้าสู่แสงไฟสลัว เพื่อพบกับจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยิ่งใหญ่ ร่วมรำลึกถึงเรื่องราวของ 'ผ่าพิภพไททัน' ไปด้วยกัน ผ่านการตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิต ระหว่าง 'ในกำแพง' หรือ 'นอกกำแพง'2. ผลงานต้นฉบับ 1 “โลกแห่งกำแพง” : ก้าวเข้าสู่โลกที่ถูกแบ่งแยกด้วย "กำแพง" ขนาดจริงสัญลักษณ์แห่งความหวาดกลัวและการปกป้อง ผู้ชมจะได้ชมภาพวาดต้นฉบับที่สะท้อนมุมมองของชีวิต "ภายใน" หรือ "ภายนอก" กำแพง ขึ้นอยู่กับเส้นทางที่เลือกไว้ในช่วงต้น สัมผัสถึงบรรยากาศ ความเชื่อ และวิถีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างลึกซึ้ง3. ผลงานต้นฉบับ 2 “ความขัดแย้งและการต่อสู้” : ผู้ชมจะได้เห็นภาพวาดต้นฉบับซึ่งถ่ายทอดการต่อสู้ อุดมการณ์ และความสูญเสียที่แตกต่างกันตามเส้นทางชีวิตที่เลือกไว้4. สงครามไททัน : โรงภาพยนตร์ที่ให้ผู้ชมดำดิ่งไปกับอะนิเมชั่น 2 ตอนสุดประทับใจ ความยาว 10 นาที ฉายบนจอสูง 2.4 เมตร กว้าง 9 เมตร จำลองฉากการต่อสู้อันทรงพลังของเหล่าไททันที่ร่วงลงมาจากฟ้า ให้แฟน ๆ รู้สึกเหมือนได้อยู่ในฉากจริง ๆ5. ร่องรอยแห่งโศกนาฏกรรม : ในโลกที่ถูกทำลายด้วยไฟสงครามของเหล่าไททัน เหลือไว้เพียงเศษเสี้ยวของความทรงจำ โซนนี้จัดแสดงสิ่งของที่หลงเหลือจากเรื่องราวอันเจ็บปวด เปลือกหอยริมทะเล, ผ้าพันคอของรีไวล์, โบโลไทด์ของเออร์วิน, แหวนของแอนนี่, แว่นตาของฮันจิ และอุปกรณ์ประกอบฉากอื่น ๆ ที่ล้วนบรรจุร่องรอยของบาดแผล ความหวัง ทั้งหมดกำลัง “หลับใหล” อยู่ ณ ที่แห่งนี้ รอให้คุณมายืนมองและร่วมรำลึกถึงความสูญเสียที่ไม่มีวันหวนกลับ6. โลกแห่งภาพต้นฉบับ 3 “เหล่าผู้กล้า” : สัมผัสเสน่ห์เฉพาะตัวของเหล่าตัวละครที่ปรากฏตัวผ่านภาพวาดต้นฉบับที่ถ่ายทอดรายละเอียดตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงช่วงเวลาสำคัญของชีวิต เผยให้เห็นความประณีตในทุกลายเส้น และความตั้งใจที่อาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ บรรจงถักทอขึ้นมา ให้แฟน ๆ ได้เข้าถึงหัวใจของตัวละครที่แบกรับโชคชะตาอันโหดร้ายอย่างงดงาม7. บทสัมภาษณ์ “ผู้รังสรรค์เรื่องราว” : ชมวิดีโอบทสัมภาษณ์พิเศษจากผู้สร้างโลกของ 'ผ่าพิภพไททัน' อาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ ตั้งแต่เส้นแรกจนถึงบทสุดท้าย พร้อมจัดแสดงภาพร่างต้นฉบับที่สะท้อนเส้นทางการสร้างสรรค์ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เปิดมุมมองใหม่ในการทำความเข้าใจเบื้องหลังแนวคิด แรงบันดาลใจ และการตัดสินใจที่หล่อหลอมเรื่องราวอันยิ่งใหญ่นี้ขึ้นมา ผ่านสายตาและความรู้สึกของผู้สร้างด้วยตัวเอง8. Landmark ศีรษะไททัน สูง 4 เมตร : โซนสุดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อประเทศไทยโดยเฉพาะ! สัมผัสความอลังการของประติมากรรมเป่าลม “ศีรษะไททัน” ขนาดมหึมากว่า 4 เมตร พร้อมเอฟเฟกต์ปีนกำแพงที่จะพาแฟน ๆ ดำดิ่งสู่โลกสมจริงราวกับฉากจริงในอนิเมะ เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ร่างยักษ์ในระยะประชิดราคาบัตร เด็กอายุ 3-18 ปี ราคา 300 บาท ผู้ใหญ่ 420 บาท ซื้อบัตรได้ที่ ‘CentralwOrld Pulse’ ชั้น 7 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ หรือช่องทางออนไลน์Ticketmelon : https://www.ticketmelon.com/mighty-media/attack-on-titan-final-exhibitionKlook : https://www.klook.com/th/activity/154740-attack-on-titan-final-exhibition-ver-thailand/แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000042676

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เริ่มแทงช่อแล้ว! “ดอกกระเจียว” อช. ไทรทอง คาดเต็มทุ่งปลายเดือน มิ.ย. นี้

21/05/2025

เตรียมเปิดฤดูการท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ สำหรับ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี ที่เปิด จุดชมวิว ผาชะนะได ซึ่งเป็นจุดที่จะมีโอกาสได้เห็นแสงอาทิตย์แรกสุดในประเทศไทย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไปภาพ : อุทยานแห่งชาติผาแต้มสำหรับ “ผาชะนะได” ตั้งอยู่ในผืนป่าดงนาทาม อุทยานแห่งชาติผาแต้ม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เป็นสถานที่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาใช้อ้างอิงถึงตำแหน่งที่เห็นแสงอาทิตย์ขึ้นเป็นจุดแรกของเมืองไทย ณ เส้นแวง (ลองจิจูด) ที่ 105 องศา 37 ลิปดา 17 ฟิลิปดาภาพ : อุทยานแห่งชาติผาแต้มดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงให้ฉายา “ผาชะนะได” ว่าเป็น “จุดรับตะวันก่อนใครในสยาม” หรือ จุดชมแสงอาทิตย์แห่งแรกของเมืองไทยภาพ : อุทยานแห่งชาติผาแต้มภาพ : อุทยานแห่งชาติผาแต้มโดยกิจกรรมห้ามพลาด คือ การไปชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยาม ที่จุดชมวิว (ห่างจากลานกางเต็นท์ 500 เมตร) ที่เมื่อมองลงไปจะเห็นผืนป่าเขียวขจีริมชายแดนเบื้องล่าง และแม่น้ำโขงไหลผ่านกั้นเขตแดนไทย-ลาว รวมถึงถ้าวันไหนอากาศเป็นใจก็จะมองเห็นทะเลหมอกขาวโพลนน่าประทับใจแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9680000047246

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย ผนึกกำลัง Teladoc Health จัดงาน “Exclusive High Tea Party” เสริมศักยภาพตัวแทนขาย พร้อมยกระดับการดูแลสุขภาพลูกค้าด้วยบริการ PMCM

21/05/2025

กรุงเทพฯ – 21 พฤษภาคม 2568 – เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ Teladoc Health ผู้นำระดับโลกด้านการดูแลสุขภาพแบบโทรเวช จัดงาน “Exclusive High Tea Party ปิดการขายอย่างมืออาชีพ ด้วยบริการระดับโลก PMCM” ให้กับผู้บริหารหน่วยและตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอ โดยมุ่งยกระดับด้านการให้บริการดูแลสุขภาพแก่ลูกค้าเอไอเอทั่วประเทศ ด้วยบริการสุขภาพระดับโลกอย่าง บริการจัดการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล (Personal Medical Case Management: PMCM) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “เพื่อนคู่คิดด้านสุขภาพ” ที่พร้อมดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอนของการรักษา ตั้งแต่การวินิจฉัย การเลือกแนวทางการรักษา ไปจนถึงการฟื้นฟูสุขภาพ และสามารถปรึกษาได้แม้บางโรคที่เป็นข้อยกเว้นในกรมธรรม์ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเอไอเอในการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives”ภายในงานได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้งจากเอไอเอ ประเทศไทย และ Teladoc Health ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจในการส่งมอบบริการสุขภาพระดับโลก ประกอบด้วย  พญ. สุวรา โสมะบุตร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ แผนกบริหารจัดการทางการแพทย์และข้อมูลระบบสุขภาพ เอไอเอ ประเทศไทย นางสาวซิ่วยวี่ อู ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Teladoc Health และ พญ. นิลวรรณ นิมมานวรวงศ์ แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และแพทย์ผู้บริหารเคส Teladoc Health โดยหนึ่งในไฮไลต์ของงานคือการแบ่งปันประสบการณ์ตรงจาก นายพงษ์พันธ์ ชมสิน ผู้จัดการหน่วยบียอนด์ 30 ที่ได้มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวของลูกค้าที่ได้รับประโยชน์จากบริการจัดการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล (PMCM) ซึ่งได้ช่วยสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจเข้ารับการรักษาพยาบาล รวมทั้งยังได้สร้างความประทับใจในมาตรฐานการดูแลที่เหนือความคาดหมาย ทั้งนี้ งานดังกล่าวจัดขึ้น ณ ห้องแกรนด์บอลรูมตันจง ปาการ์ โรงแรมอัมรา กรุงเทพฯสำหรับบริการจัดการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล (Personal Medical Case Management: PMCM) เป็นบริการดูแลสุขภาพที่มากกว่าความเห็นที่สองทางการแพทย์ โดยเอไอเอ ตระหนักดีว่าการเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคร้ายแรง อาจนำมาซึ่งความไม่แน่ใจและความวิตกกังวลของลูกค้า ดังนั้น ลูกค้าจึงได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยเครือข่ายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกว่า 50,000 ราย จากกว่า 450 สาขาทั่วโลกของ Teladoc Health โดยมีแพทย์ผู้บริหารเคสส่วนบุคคลคอยให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง ไม่จำกัดระยะเวลา เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและมั่นใจในการตัดสินใจรักษา เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ไอคอนสยาม เชิญชมนิทรรศการ บุษบกเกริน (จำลอง) สถาปัตยกรรมทรงปราสาทในประวัติศาสตร์ไทย

20/05/2025

"บุษบก" สถาปัตยกรรมทรงปราสาทที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานสิ่งที่ควรสักการะ เช่นพระพุทธรูป พระเจดีย์ หรือแม้แต่บุษบกธรรมาสน์ที่ไว้ใช้สำหรับพระสงฆ์ แต่บุษบกวังหน้า ที่เริ่มขึ้นเมื่อยุคสมัยของรัชกาลที่ 1 นั้น ถือเป็นเอกอุ แห่งสยามซึ่งกลายเป็นตำนานแห่งความงดงามทางโครงสร้างของสถาปัตยกรรม และศิลปกรรมไทย เพราะมีโครงสร้างที่แยบยลและซับซ้อน มีขั้นตอนอันประณีตมากมายหลากหลายเทคนิคไอคอนสยาม แลนด์มาร์กระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร่วมกับ ไทยคราฟต์สตูดิโอ จัดแสดงนิทรรศการ บุษบกเกริน ซึ่งเป็นการจำลองบุษบก จากบุษบกเกรินวังหน้า ที่สร้างขึ้นเพื่อประจำพระที่นั่งท้องพระโรงวังหน้า หรืออีกอย่างหนึ่งที่เรียกกันว่าพระที่นั่ง ราชบัลลังก์ ที่ใช้ประทับออกว่าราชการ มีการทำนุบำรุง และอนุรักษ์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน (ปัจจุบันใช้คำเรียกว่าบุษบกเกริน) ปัจจุบันองค์จริงตั้งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร (วังหน้า) ซึ่งบุษบกจำลองนี้สร้างสรรค์ขึ้นโดยช่างฝีมือจากไทยคราฟต์สตูดิโอ ความพิเศษของงานชิ้นนี้ สร้างโดยใช้ไม้สักแท้ทั้งหมด ขึ้นโครงสร้างแบบโบราณไม่ใช้ตะปู ประดับกระจก ตามแบบโบราณ ลวดลายแกะสลักด้วยไม้โมก และประกอบด้วยชั้นประดับยักษ์ ชั้นประดับครุฑ ชั้นประดับเทพพนม ปิดทองคำแท้ทั้งองค์ ออกแบบตามขนาดและลวดลายที่ถอดแบบมาจากภายในพระบรมมหาราชวัง โดยการสร้างสรรค์บุษบกนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากความภาคภูมิใจ ในความเป็นช่างฝีมือไทย และการยกย่องภูมิปัญญาของการสร้างอย่างช่างไทยโบราณ งานช่างสิบหมู่ ซึ่งมีองค์ความรู้ ชั้นเชิงอันแยบยลประณีตและถ่ายทอดองค์ความรู้ สู่ช่างฝีมือรุ่นใหม่ที่มีใจรักและศรัทธาในภูมิปัญญาของครูผู้ให้ความรู้อย่างแท้จริง โดยไอคอนสยาม และไทยคราฟท์สตูดิโอ ได้นำมาจัดแสดงให้ประชาชนได้ชมความงดงาม เพื่อเผยแพร่และรักษามรดกภูมิปัญญาทางศิลปะไทยให้คงอยู่ และเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นการชมนิทรรศการบุษบกเกรินที่ไอคอนสยามไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสถึงความงดงามของศิลปะไทย แต่ยังเพิ่มประสบการณ์ใหม่ผ่านกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากแบรนด์ divana ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์น้ำหอม และ Luxury Spa ซึ่งได้เลือกกลิ่น Queen Of The Night หนึ่งในกลิ่นที่โดดเด่นที่สุด จาก Collection Phenomenon คอลเล็กชั่นใหม่ล่าสุดจาก divana ที่ถูกเลือกมาอย่างพิถีพิถันช่วยเติมเต็มบรรยากาศให้การชมบุษบกมีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นกลิ่นหอมนี้นำเสนอความสง่างามและลึกลับจากดอกไม้ไทย 8 ชนิดที่ส่งกลิ่นหอมในยามค่ำคืน ช่วยสร้างความสงบและความสุขุมให้กับผู้สัมผัส การรับรู้กลิ่นนี้ไม่เพียงแต่กระตุ้นประสาทสัมผัส แต่ยังสร้างจินตนาการและความทรงจำที่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้ชมสามารถดื่มด่ำกับศิลปะและวัฒนธรรมไทยในมิติใหม่การได้สัมผัสกลิ่นหอมในนิทรรศการนี้เปรียบเสมือนการเดินทางผ่านเวลาและอารมณ์ สร้างความรู้สึกที่อบอุ่นและสงบในขณะเดียวกัน กลิ่น Queen Of The Night ไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ครบถ้วนและน่าจดจำสำหรับผู้เข้าชมไอคอนสยาม ขอเชิญทุกท่านร่วมชมงามงดงามของ “บุษบกเกริน” งานประณีตศิลป์ชั้นสูงที่หาชมได้ยาก โดยจะจัดแสดงให้ชมตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 เมษายน 2568 ณ บริเวณ Walk Way ชั้น M ไอคอนสยามแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000036020

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

เที่ยว 'ป่ากุยบุรี' หน้าร้อน สุขที่ได้เฝ้าคอย ‘ช้างป่ากุยบุรี’

20/05/2025

'ป่ากุยบุรี' เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม 'ป่าแก่งกระจาน' แหล่ง 'มรดกโลก' ทางธรรมชาติของประเทศไทย โดยเฉพาะ 'ช้างป่ากุยบุรี' ที่เป็นหมุดหมายที่ทุกคนตั้งตารอคอยป่ากุยบุรี เป็นพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมต่อระหว่างภาคกลางและภาคใต้ เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม ป่าแก่งกระจาน ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่ง มรดกโลก ทางธรรมชาติของประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี มีพื้นที่ประมาณ 650,000 ไร่ ครอบคลุม 4 อำเภอในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คือ อำเภอปราณบุรี สามร้อยยอด กุยบุรี และอำเภอเมืองชวนเที่ยวป่ากุยบุรีหน้าร้อน อะไรจะสำคัญเท่ากับเฝ้าคอยดู ช้างป่ากุยบุรี อย่างเงียบ ๆ...หน้าทางเข้าเส้นทางชมช้างป่ากุยบุรีผืนป่ากุยบุรี มีแหล่งต้นน้ำที่สำคัญคือแม่น้ำกุยบุรีและแม่น้ำปราณบุรี จากการสำรวจของอุทยานฯ พบว่า มีสัตว์นานาชนิดอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ ทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 39 ชนิด เช่น ช้าง วัวแดง กระทิง เลียงผา เก้ง เสือ ฯลฯ  รวมทั้งนก 200 ชนิด ผีเสื้อกว่า 200 ชนิด สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ 22 ชนิด และสัตว์เลื้อยคลานอีก 44 ชนิดเราเข้าป่าหน้าร้อน เพื่อเฝ้าคอยเพื่อนร่วมโลก ช้างป่ากุยบุรี คือเสน่ห์ของการรอคอยอย่างหนึ่ง คือการได้รู้ว่า สิ่งที่มองหานั้นมีอยู่จริง แม้จะได้เจอหรือไม่ก็ตาม เครื่องพิสูจน์ที่ดีคือเวลากล้องส่องทางไกลเป็นของจำเป็นการเฝ้ารอของเราอาจจะเริ่มต้นเมื่อช่วงบ่ายวันนั้น แต่ความตั้งใจของคนรักป่าเกิดขึ้นมานานแล้ว ในทุกวันเรามีเจ้าหน้าที่ดูแลทรัพยากรทางธรรมชาติอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ พวกเขาทุ่มเทในการปกป้องสมบัติอันล้ำค่าเพื่อพวกเราทุกคนสภาพป่ากุยบุรีหน้าร้อนเที่ยวป่าหน้าร้อน...ชมช้างป่าแห่งกุยบุรีเราเดินทางมายัง อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ในช่วงหน้าร้อน ไกด์ท้องถิ่นบอกว่าเป็นช่วงที่สัตว์ป่าค่อนข้างเก็บตัว จากจุดเริ่มต้นบริเวณหน่วยพิทักษ์ฯ ที่ กร.5 (ห้วยลึก) เราขึ้นรถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อเข้าไปในระยะทาง 7.6 กิโลเมตร มี 4 จุดหลักให้แวะชมคือ จุดชมสัตว์ป่าโป่งสลัดได, หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ กร.1 (ป่ายาง), จุดชมสัตว์ป่าพุยายสาย และผาชมสัตว์ป่าเส้นทางชมสัตว์ป่าที่นี่เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ตามธรรมชาติ การเข้าชมจึงต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง สิ่งที่สำคัญคือการเว้นระยะห่าง ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ให้อาหารสัตว์ ไม่ใช้แฟลชในการถ่ายภาพ ฯลฯกระทิง พบมากในผืนป่ากุยบุรีหากย้อนไปในอดีตเราอาจเคยได้ยินปัญหาที่เกิดขึ้นกับช้าง ทั้งการล่าหรือการนำช้างออกมาเดินถนน รวมทั้งการบุกรุกพื้นที่ป่า หรือปัญหาป่าเสื่อมโทรมซึ่งทำให้แหล่งอาหารของสัตว์ป่าขาดแคลน จนทำให้พวกมันต้องออกมากินผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน เกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างเรื่อยมาการท่องเที่ยวในเส้นทางชมสัตว์ป่ากุยบุรี ดำเนินการโดย ชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี เป็นหนึ่งในวิธีการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล โดยรายได้ทั้งหมดทั้งค่าไกด์และรถนำเที่ยวจะเป็นของชาวบ้านเส้นทางชมสัตว์ป่าเป็นที่นิยมมากนอกจาก อุทยานแห่งชาติกุยบุรี แล้ว ยังมีกลุ่มคนจากหลายองค์กรเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สัตว์ป่า หนึ่งในนั้นคือ โครงการอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี โดย องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สำนักงานประเทศไทย หรือ WWF ประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในหลายมิติ ทั้งการปรับปรุงแหล่งอาหารและแหล่งน้ำ การจัดหาอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ที่รวมทั้งการส่งเสริมการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (SMART Patrol) และการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าแบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยให้รู้เส้นทางของช้างและหาทางป้องกันก่อนที่พวกมันจะออกมาสู่พื้นที่ทางการเกษตรของชาวบ้าน  ล่าสุดยังมีความร่วมมือจาก Agoda ภายใต้โครงการ Eco Deals ที่ดำเนินมาแล้วเป็นปีที่ 4 โครงการนี้จะช่วยสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติ หนึ่งในนั้นคือ โครงการอนุรักษ์ช้างในประเทศไทย ใครที่จองโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ Eco Deals จะมีเงิน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งต่อไปยังโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติใน 10 ประเทศทั่วเอเชีย รวมทั้งโครงการอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี โดย WWF ประเทศไทยจากรายงานของอุทยานฯ ระบุว่า เมื่อปี 2559 สำรวจพบช้าง 237 ตัว ทั้งเจ้าหน้าที่และความร่วมมือจากหลายฝ่าย รวมทั้งการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน ทำให้ปัจจุบันสำรวจพบประชากรช้างมากกว่า 300 ตัว นี่คือการเฝ้ารอแบบไม่อยู่เฉย และผลของมันก็เริ่มเบ่งบานให้เห็น แม้ว่าเกือบสองชั่วโมงในวันนี้เราจะพบเห็นสัตว์เพียงบางชนิด แต่แค่ได้ยินเสียงร้องของเจ้าตัวโตที่หากินอยู่ป่าก็พอชื่นใจ แม้ยังมองไม่เห็นยามเย็นขณะที่แสงเริ่มจาง พวกเรายืนอยู่ที่ ผาชมสัตว์ป่า ซึ่งเป็นจุดสุดท้าย เฝ้ามอง นกแก๊ก ที่โผบินเป็นการปลอบใจ หากใช้กล้องส่องทางไกลจะเห็นฝูงกระทิงกระจายตัวอยู่ตามลานหญ้า และเมื่อทำท่าว่าจะขึ้นรถกลับ เราก็ได้ยินสัญญานเสมือนเสียงกลองที่กึกก้องไปทั่วป่า แล้วม่านสีเขียวครึ้มก็ถูกเปิดออกมาโขลงช้างป่าเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆไกลออกไปในแนวป่าอีกฝั่งถนน พวกเราเดินข้ามตามกันไปแบบเงียบ ๆ ปักหลักซุ่มมองอยู่ห่าง ๆ กะคร่าว ๆ น่าจะราว 500 เมตร นาทีอันเงียบเชียบพาให้โขลงช้างเดินตามกันอย่างใจเย็น  ราว 10 นาที พวกมันก็เคลื่อนตัวใกล้เข้ามามากขึ้น หัวใจฟู ๆ ของเราจึงต้องค่อย ๆ ถอยออกมาอย่างช้า ๆจากบ่ายถึงเย็น แค่เพียงไกล ๆ ก็อุ่นใจที่ได้เห็น...นี่คือเสน่ห์ของการรอคอย เป็นความห่างไกลที่ใกล้ชิดกันได้มากกว่า หากรักช้างก็ต้องรักป่า ไม่ว่าจะอยู่ใกล้ไกล หรือเวลาไหนก็ตาม สำหรับช่วงเวลาสั้น ๆ อันน่าจดจำนี้จะถูกบันทึกอย่างแนบแน่นในหัวใจ จนกว่าจะพบกันใหม่(ชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี โทร.085 266 1601 เข้าชมได้ตลอดทั้งปี เวลา 14.00 – 17.00 น.)กระดาษจากเส้นใยสับปะรด บ้านรวมไทยDIY ของคนรักษ์โลกในตัวหมู่บ้าน ต.หาดขาม พื้นที่ใกล้เคียงกับอุทยานฯ ยังมีกิจกรรม ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น เช่น วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์จากใบสับปะรด บ้านรวมไทย ชวนมา DIY กระดาษจากเส้นใยธรรมชาติ รวมทั้งขี้ช้าง ประดับด้วยดอกไม้สวย ๆ ตามจินตนาการของตัวเอง (โทร.085 290 7436)หรือไปทำ ผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ ทั้งสีจากใบไม้ จากดินโคลน รวมทั้งขี้ช้าง ที่ กลุ่มช้างป่ากุยบุรีโฮมสเตย์ (089 252 8263) เป็น 2 กิจกรรมที่สนุก เพลิดเพลิน ต่อยอดวัสดุเหลือทิ้งให้มีคุณค่า รวมทั้งสนับสนุนอาชีพและรายได้ให้กับคนในพื้นที่แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1176490

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

Songkran Water & Petals ฉลองความสัมพันธ์การทูต - เทศกาลสงกรานต์ไทย

20/05/2025

สถานเอกอัครราชทูตอาร์เจนตินา ประจำประเทศไทย - สยามพารากอน นำเสนอนิทรรศการศิลปะสุดพิเศษ Songkran Water & Petals ฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 2 ประเทศ และเทศกาลสงกรานต์ไทยเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 70 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศอาร์เจนตินาและประเทศไทย และฉลองเทศกาลสงกรานต์สยามพารากอน ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตอาร์เจนตินา ประจำประเทศไทย เชิญร่วมชมนิทรรศการศิลปะสุดพิเศษ “Songkran Water & Petals” ผลงานการสร้างสรรค์ของศิลปินชาวอาร์เจนตินาที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ อิงกริด เฮาบริช (Ingrid Haubrich) ผลงานของเธอเป็นที่สนใจของนักสะสมงานศิลปะจากทั่วโลกนิทรรศการศิลปะ Songkran Water & Petalsนิทรรศการศิลปะ "Songkran Water & Petals" จัดแสดงผลงานภาพสีน้ำอะคริลิกโดย อิงกริด เฮาบริช นับเป็นผลงานการสร้างสรรค์ที่แสดงให้เห็นถึงก้าวข้ามพรมแดนเดิมๆ ผ่านการเชื่อมโยงธรรมชาติ ความทรงจำ และตัวตนของศิลปินเข้ากันกับมุมมองที่มีเอกลักษณ์และร่วมสมัยSongkran Water & Petals หรือ ‘บทกวีแห่งสายน้ำและดอกไม้’ ในงานของ อินกริด เฮาบริช สะท้อนถึง น้ำ ที่เป็นหัวใจสำคัญของเทศกาลสงกรานต์น้ำเป็นดั่งพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมโยงอดีตและอนาคต เชื่อมโยงจารีตเข้ากับการเปลี่ยนแปลง ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ การเริ่มต้นใหม่ และวัฏจักรแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องอินกริด ได้ถ่ายทอดจังหวะของธรรมชาติเหล่านี้ผ่านวัฏจักรสำคัญ 2  วัฏจักรด้วยกันในผลงานศิลปะของเธอ ได้แก่ Tides (กระแสน้ำ) และ Springbreak ความหมายคือต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ศิลปินใช้คำนี้ในความหมาย Songkran Flower (ดอกไม้สงกรานต์)Tides Series ขนาด 90 x 170 เซนติเมตรผลงานภาพสีน้ำอะคริลิกในวัฏจักรชุด Tides แสดงให้เห็นถึง ความลื่นไหลของสายน้ำ และยังแสดงถึง ความไม่จีรัง และพลังแห่งการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์อินกริดได้ใช้เลเยอร์ของความโปร่งใสและพื้นผิวที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อรังสรรค์กระแสน้ำขึ้นลงของมหาสมุทร ซึ่งเป็นพลังที่ลบล้างและวาดแนวชายฝั่งขึ้นมาใหม่ตามวัฏจักรแห่งการเริ่มใหม่ชั่วนิรันดร์การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงพิธีกรรมชำระล้างของ เทศกาลสงกรานต์ ไม่ว่าจะเป็นการสรงน้ำพระ คำอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ในพิธีรดน้ำดำหัว และเสียงหัวเราะแซ่ซ้องท่ามกลางสายน้ำที่ถูกสาดกระเซ็นไปตามถนนหนทางSpringbreak (Songkran Flower) ขนาด 30 x 49 เซนติเมตรขณะที่ผลงานซีรีส์ชุด Springbreak เป็นการเชิดชูการฟื้นฟูอย่างมีชีวิตชีวาของธรรมชาติ สื่อถึง 'ดอกไม้ของไทย' ซึ่งได้รับการขนานนามมาอย่างยาวนานว่าเป็นเครื่องสักการะความงามและโชคลาภ เป็นแรงบันดาลใจให้เธอใช้สีสันที่สดใสและตัดกันอย่างโดดเด่นหากน้ำในเทศกาลสงกรานต์เป็นการชำระล้างจิตใจ เฉดสีของ “สปริงเบรก” ก็เป็นสัญลักษณ์ของ ความมีชีวิตชีวา โดยถ่ายทอดชั่วขณะที่ความงดงามของธรรมชาติอยู่ในจุดสูงสุดก่อนที่จะร่วงโรยไปตามกาลเวลาTides Series และ Springbreakอิงกริด เฮาบริช ให้สัมภาษณ์กับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ผ่านการแปลภาษาสเปนโดยเจ้าหน้าที่สถานทูตอาร์เจนตินาประจำประเทศไทยว่า เธอเคยเดินทางมาประเทศไทยครั้งแรกเมื่อสองปีที่แล้ว แต่เวลานั้นยังไม่รู้จักเทศกาลสงกรานต์ แต่สำหรับนิทรรศการศิลปะครั้งนี้เธอสร้างสรรค์ผลงานการวาดขึ้นมาโดยมีแรงบันดาลใจจากเทศกาลสงกรานต์หลังได้ทำความรู้จักเทศกาลนี้แล้ว ผ่านผลงานซีรีส์ Tides และ Springbreak “เท่าที่ดิฉันทราบ สายน้ำและดอกไม้เป็นสิ่งสำคัญที่สื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ เปรียบเสมือนความสุขความสนุกของผู้คนและวัฒนธรรมไทย น้ำเป็นมากกว่าธาตุธรรมดา แต่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมโยงอดีตและอนาคต ประเพณีและการเปลี่ยนแปลง น้ำเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ การเริ่มต้นใหม่ วัฏจักรแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สิ้นสุด”ขณะที่ ‘ดอกไม้’ สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ Springbreak คือการสรรเสริญการเกิดใหม่อันสดใสของธรรมชาติ โดยเฉพาะ ดอกไม้ไทย ที่ได้รับการยกย่องมายาวนานในฐานะเครื่องบูชาแห่งความงามและโชคลาภ เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินใช้สีสันที่สว่างไสวและความตัดกันที่โดดเด่นเส้นสายที่ดูเหมือนสายน้ำนี้ เมื่ออยู่รวมกัน ดูไปกลับคล้ายดอกไม้หลายดอกหลากสีจริงๆ ด้วยอิงกริด เฮาบริช กับผลงานในซีรีส์ Tides ชิ้นพิเศษผลงานศิลปะขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านกลางนิทรรศการครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ Tides อิงกริดกล่าวว่าเธอตั้งใจสื่อสารเรื่องสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์น้ำอิงกริดเล่าถึงวิธีสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของตนเองว่า เธอวางผืนผ้าใบขนานกับพื้น ไม่ได้แปรงหรือพู่กันในการวาดภาพ แต่ใช้เกรียงพลาสติกปาดสีไปมา จังหวะสี ระดับความอ่อน-เข้มของสี รูปทรงเส้นสาย มีทั้งแรงบันดาลใจจากเทศกาลสงกรานต์และเสียงดนตรีที่เธอเปิดขับกล่อมตนเองขณะทำงานศิลปะเชิญชมเทคนิคการวาดภาพของ อิงกริด เฮาบริช ในนิทรรศการพิเศษ Songkran Water & Petals ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ และร่วมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศอาร์เจนตินาและประเทศไทย ณ Living Hall ชั้น 3 สยามพารากอน ระหว่างวันที่ 9-20 เมษายน 2568•  บรรยากาศพิธีเปิดนิทรรศการ Songkran Water & Petals(จากซ้าย) ฟรานซิสโก อลอนโซ่, ม.ล.อรดิศ สนิทวงศ์, สรัลธร อัศเวศน์, อิงกริด เฮาบริช, ฆาเบียร์ เด ซิกโก้ และ ฆวน ปาโบล โฟลเคนปาตริซิโอ พาวเวลล์  โอโซริโอ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐชิลี ประจำประเทศไทย และภริยา(จากซ้าย) นนทวรรณ - จักรพันธ์ ยุวรี และ อัดซิมบา ลูนา เบเซริล(จากซ้าย)  ฉมาพรรณ รังคะรัตน,  บุรินทร์ นาคเจริญ และ บาจรีย์ พึ่งพักตร์(จากซ้าย) อนามฤณ - แอนนาเบล - เชิดศักดิ์ ดาวแก้วแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1175783

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

จางเย่ ภูเขาสายรุ้ง เที่ยวจีน ดินแดนหินสีสุดมหัศจรรย์ที่ต้องไปเยือน

20/05/2025

อุทยานธรณีวิทยาแห่งชาติตานเสียจางเย่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ภูเขาสายรุ้ง" จางเย่ (Zhangye) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในประเทศจีน ดินแดนหินสีสุดมหัศจรรย์ที่ต้องไปเยือน เมื่อเที่ยวจีน ตั้งอยู่ในเขตหลินเจ๋อ และซุนอัน เชิงเขาฉีหลิน ทางตอนเหนือของมณฑลกานซู โดยห่างจากเมืองจางเย่ ประมาณ 40 กิโลเมตร และห่างจากเขตหลินเจ๋อ 20 กิโลเมตรไฮไลต์จางเย่ ภูเขาสายรุ้งอุทยานแห่งนี้มีจุดชมวิวหลัก 7 จุดที่ให้คุณได้สัมผัสกับความงามอันตระการตาของภูเขาหลากสี ได้แก่1. ทะเลหมอกหลากสี - จุดชมวิวที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพยามเช้า หมอกบางเบาและแสงอาทิตย์จะขับเน้นสีสันของภูเขาให้สดใสขึ้น2. แดนสวรรค์หลากสี - ภูเขาสีรุ้งที่ดูราวกับภาพวาด เหมาะสำหรับการถ่ายภาพมุมกว้าง3. ผ้าไหมหลากสี - เนินเขาที่มีลวดลายเหมือนเส้นไหมหลายเฉดสีสลับกันอย่างงดงาม4. สายรุ้งหลากสี - จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเนินเขาหลากสีเป็นชั้น ๆ คล้ายกับเนื้อสามชั้น5. หุบเขาเสือหมอบ - ภูเขาที่มีรูปร่างคล้ายเสือหมอบ ล้อมรอบไปด้วยลวดลายธรรมชาติอันงดงาม6. แม่น้ำอ่าวหลากสี - จุดชมวิวที่มีลักษณะเป็นชั้นหินสีสันสดใส สลับไปมาคล้ายเกลียวคลื่น7. หุบเขาดินป่าเวียงจันทน์ - กลุ่มยอดเขาที่มีลักษณะเป็นป่า เสาหินตั้งเรียงรายคล้ายซากปรักหักพังจากต่างดาวกิจกรรมพิเศษ จางเย่ ภูเขาสายรุ้ง  •  ผบอลลูนลมร้อน : 200 หยวน/คน - ขึ้นบอลลูนชมภูเขาสายรุ้งจากมุมสูง โรแมนติกสุด ๆ (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ควรสอบถามล่วงหน้า)  •  ผทัวร์กลางคืน : การแสดง immersive night tour แห่งแรกในจีนที่ใช้แสงสี投影 ฉายเรื่องราวตำนานลงบนภูเขา ผสมผสานกับการแสดงพื้นเมืองให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอีกใบค่าตั๋วเข้าชม จางเย่ ภูเขาสายรุ้ง  •  ฤดูกาลท่องเที่ยว (1 มีนาคม - 30 พฤศจิกายน) : ตั๋วเข้าชม + รถชมวิว 93 หยวน/คน  •  ตั๋วแพ็คเกจพิเศษ : 368 หยวน/คน (รวมคำบรรยายพิเศษ + รถขับไปยังพื้นที่ใจกลางอุทยาน)  •  ข้อควรระวัง : ระหว่างวันที่ 1-20 มีนาคม 2025 เวลาทำการอาจปรับเป็น 7:30-17:00 น. และอาจปิดรับเข้าชมตั้งแต่ 16:00 น.การเดินทางไปจางเย่ ภูเขาสายรุ้งจากตัวเมืองจางเย่ : แนะนำให้เช่ารถขับเองหรือนั่งรถบัสร่วม (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง)เดินทางจากเมืองอื่นในจีน  •  เครื่องบิน : มีเที่ยวบินตรงจากปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และซีอานไปยังสนามบิน Zhangye Ganzhou (YZY)  •  รถไฟความเร็วสูง : สามารถนั่งรถไฟความเร็วสูงจาก Lanzhou, Xining หรือ Xi’an มาลงที่สถานี Zhangye West แล้วต่อรถไปยังอุทยานแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับsanookhttps://www.sanook.com/travel/1452111/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X