คลังความรู้

Everyday knowledge for you

การวางแผนทางการเงิน

วิธีปลดล็อกศักยภาพการลงทุนในที่ดินเปล่า สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง

20/08/2024

ในแวดวงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินเปล่าอาจไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่นักลงทุนส่วนใหญ่นึกถึง แต่หากพิจารณาอย่างรอบด้าน จะพบว่าที่ดินเปล่ามีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจไม่แพ้รูปแบบอื่นๆ บทความนี้จะพาคุณดูโอกาสและกลยุทธ์ในการลงทุนที่ดินเปล่า ตั้งแต่การ "ซื้อแล้วถือครอง" เพื่อรอการเติบโตของมูลค่า ไปจนถึงการ "ซื้อยกแปลง แล้วแบ่งขายย่อย" เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างรวดเร็ว พร้อมวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในการลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือผู้มากประสบการณ์ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของที่ดินเปล่า และเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนอย่างมืออาชีพ มั่นคง และยั่งยืนวิธีปลดล็อกศักยภาพการลงทุนในที่ดินเปล่า สร้างผลตอบแทนที่มั่นคงการลงทุนในที่ดินเปล่าอาจไม่ใช่สิ่งแรกที่นักลงทุนนึกถึงเมื่อพูดถึงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน จะพบว่าที่ดินเปล่าเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจไม่แพ้รูปแบบอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการวางแผนและดำเนินกลยุทธ์อย่างรอบคอบ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโอกาสและกลยุทธ์ในการลงทุนที่ดินเปล่า พร้อมทั้งปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนการตัดสินใจลงทุนแนวทางการลงทุนในที่ดินเปล่า  • ซื้อแล้วถือครอง (Buy and Hold): กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองการณ์ไกลและต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว โดยการซื้อที่ดินและถือครองไว้เพื่อรอให้มูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของกลยุทธ์นี้คือการพัฒนาของเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายตัวของเมือง การสร้างถนนสายใหม่ การพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า หรือการเกิดขึ้นของแหล่งงานและสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้มูลค่าที่ดินในพื้นที่นั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถสร้างรายได้เสริมในระหว่างการถือครองที่ดินผ่านการปล่อยเช่าเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การทำเกษตรกรรม การทำลานจอดรถ หรือการให้เช่าพื้นที่เพื่อทำธุรกิจ  • ซื้อยกแปลง แล้วแบ่งขายย่อย: กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยการซื้อที่ดินขนาดใหญ่ในราคาที่ต่ำกว่า และแบ่งขายเป็นแปลงย่อยในราคาที่สูงกว่า ซึ่งจะทำให้ได้รับผลกำไรจากส่วนต่างของราคา นอกจากนี้ การแบ่งที่ดินเป็นแปลงย่อยยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับผู้ซื้อที่มีงบประมาณจำกัด หรือผู้ที่ต้องการที่ดินขนาดเล็กเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง เช่น การสร้างบ้านพักอาศัย หรือการทำธุรกิจขนาดเล็ก ตัวอย่างเช่น การซื้อที่ดิน 1 ไร่ แล้วแบ่งขายเป็น 4 แปลง ขนาด 100 ตารางวา อาจสร้างผลกำไรที่สูงกว่าการขายยกแปลง 1 ไร่ปัจจัยสู่ความสำเร็จในการลงทุนที่ดินเปล่า  • ศักยภาพของทำเลที่ตั้ง: ทำเลที่ตั้งถือเป็นหัวใจสำคัญของการลงทุนในที่ดินเปล่า ควรพิจารณาเลือกที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่น ใกล้กับโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของภาครัฐหรือเอกชน ใกล้กับแหล่งงาน แหล่งท่องเที่ยว หรือพื้นที่ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวของเมืองในอนาคต  • ผังเมืองและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: การศึกษาผังเมืองรวมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่เป้าหมายเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เข้าใจถึงข้อจำกัดและโอกาสในการพัฒนาที่ดิน รวมถึงการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ  • ลักษณะรูปทรงที่ดิน: รูปทรงที่ดินที่มีมูลค่าสูงและสามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย มักเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีด้านกว้างติดถนน ซึ่งเอื้อต่อการพัฒนาและการเข้าถึงสุดท้ายก่อนจากกันทุกการลงทุนในที่ดินเปล่ามีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบด้าน พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบ เช่น สภาพเศรษฐกิจ แนวโน้มตลาดที่ดิน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์หรือที่ปรึกษาทางการเงิน จะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาดที่มา BAM Thailandแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ amarintvhttps://www.amarintv.com/spotlight/economy/detail/67133

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ชวนดื่มด่ำนิทรรศการบอนไซ งานศิลป์ที่เชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์เข้าด้วยกัน

20/08/2024

บอนไซเป็นหนึ่งในศิลปะล้ำค่าที่สืบทอดกันมายาวนานกว่าพันปีของประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งการตกแต่งบอนไซยังเป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่หลายคนให้ความสนใจ ซึ่งช่วยสร้างความสงบและเป็นการเชื่อมธรรมชาติกับมนุษย์เข้าด้วยกันสยามพารากอน ร่วมกับ Bonsai Hunter (บอนไซ ฮันเตอร์) ผู้เชี่ยวชาญด้านบอนไซ จัดนิทรรศการแสดงบอนไซญี่ปุ่น “Siam Paragon the Living Art of Elegance: Japan Bonsai Exhibition by Bonsai Hunter” ครั้งแรกของการจัดแสดงบอนไซญี่ปุ่นหาชมยาก ที่มีอายุรวมกันกว่า 2,000 ปี ที่สยามพารากอน เพื่อให้ศิลปะบอนไซเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถสัมผัสและเข้าถึงได้ภายในงานยังมีเวิร์กชอปบอนไซ ที่จัดโดย Bonsai Hunter ให้เรียนรู้ถึงศาสตร์และศิลป์ในการรังสรรค์และดูแลบอนไซ พร้อมจำหน่ายต้นบอนไซ รวมถึงอุปกรณ์การดูแลและตกแต่งบอนไซระดับมือโปรอีกด้วย โดยนิทรรศการจัดให้ชมฟรี ระหว่างวันที่ 15 - 25 สิงหาคม 2567 ณ Living Hall ชั้น 3 สยามพารากอนบอนไซ คือศิลปะร่วมสร้างระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ ที่สืบทอดกันมายาวนานนับพันปี ตัวแทนแห่งปรัชญาตะวันออกอันลุ่มลึก ผู้เข้าชมนิทรรศการจะได้ดื่มด่ำกับความสงบงามของบอนไซญี่ปุ่นหลากหลายสายพันธุ์กว่า 100 ต้น ในรูปทรงอันงดงามลึกซึ้งบนพื้นฐานของปรัชญาความไม่สมบูรณ์แบบ ผ่านฝีมือและกาลเวลาอันยาวนาน ที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะให้บอนไซแต่ละต้นเป็นผลงานศิลป์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ที่สร้างสรรค์จาก Bonsai Hunter นำโดย กรกช ไทยศิริ Gallery Master ผู้เชี่ยวชาญด้านบอนไซที่มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี และยังเคยประกวดบอนไซระดับนานาชาติทั้งในเมืองไทยและที่ญี่ปุ่นมาแล้วกรกช ไทยศิริ แห่ง Bonsai Gallery และโสภิดา กิติโกมลสุข ผู้บริหารสยามพารากอนสำหรับไฮไลต์ของบอนไซญี่ปุ่นที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ ได้แก่สายพันธุ์ Itoigawa Shimpaku ทรงตกกระถาง อายุ 60-70 ปี ราคาสูงที่สุดในงาน 540,000 บาทสายพันธุ์ “Itoigawa Shimpaku” งดงามด้วยรูปทรง cascading หรือ ทรงตกกระถาง ซึ่งจัดว่าเป็นทรงหายากที่ต้องอาศัยฝีมือและความเชี่ยวชาญขั้นสูงในการสร้างล้อรูปทรงของต้นไม้ที่เติบโตตามธรรมชาติบนหน้าผา มีเพียงไม่กี่ต้นเท่านั้นในประเทศไทย และจัดว่ามีรูปทรงที่สวยเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศสายพันธุ์ Itoigawa Shimpaku ทรงกึ่งตกกระถาง ในกระถางทรงพระจันทร์เสี้ยวจากญี่ปุ่น อายุกว่า 100 ปี ราคา 220,000 บาทสายพันธุ์ “Itoigawa Shimpaku” ที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี โดดเด่นด้วยรูปทรง semi-cascading หรือกึ่งตกกระถาง ล้อไปกับกระถางทรงพระจันทร์เสี้ยวจากญี่ปุ่น จุดเด่นคือผ่านการสร้างให้มีขนาดกะทัดรัด ถือเป็นบอนไซระดับ top quality ที่ทั้งงดงาม มีอัตราส่วนรูปทรงสวยงามสมดุล มีอายุเก่าแก่ และสุขภาพสมบูรณ์สายพันธุ์ Kishu Shimpaku - Yamadoti อายุ 100 -120 ปี ราคา 350,000 บาทสายพันธุ์ “Kishu Shimpaku – Yamadori” บอนไซทรง “บัณฑิต” ซึ่งถือเป็นรูปทรงมงคลที่มีอายุยาวนานถึง 100 - 120 ปี Yama ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงภูเขา ส่วน Dori หมายถึงการเก็บ เมื่อรวมกันจึงหมายถึงการเก็บต้นไม้ที่เติบโตตามธรรมชาติบนภูเขา โดยปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นได้มีการสั่งห้ามเก็บต้นไม้ลักษณะนี้จากแหล่งกำเนิดธรรมชาติแล้ว จึงจัดว่าหาได้ยากมาก รูปทรงบัณฑิตมีการวิ่งขึ้นของซากในแนวดิ่ง สื่อถึงการเติบโตของผู้เป็นบัณฑิตที่ต้องผ่านการต่อสู้เพื่อให้พ้นจากร่มเงาของผู้อื่น และสร้างโอกาสที่ดีได้ด้วยตนเองสายพันธุ๋ Japanese Black Pine อายุ 100 ปี ราคา 220,000 บาทนอกจากนี้ ยังมีสายพันธุ์ “Japanese Black Pine” (Kuromatsu) มีอายุกว่า 100 ปี สนดำญี่ปุ่นเป็นต้นไม้ที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์และดูราวกับมีมนต์ขลัง สื่อเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นซึ่งมักจะพบเห็นต้นสนดำสูงสง่าได้ทั้งจากภาพวาด และในสถานที่สำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม สวนญี่ปุ่น หรือแม้แต่ในพระราชวัง ซึ่งตามธรรมชาติจะสูงได้กว่า 10 เมตร การจะเลี้ยงให้กระชับทรงในกระถาง และเลี้ยงให้ได้รูปทรงตามธรรมชาตินั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายบอนไซสไตล์ Kishu Yamadori อายุ 100 ปี ที่คว้ารางวัล Taikanten Prized จากการประกวดบอนไซระดับนานาชาติจากเกียวโตบอนไซสไตล์ “Kishu Yamadori” ที่ได้รางวัล Taikanten Prize จากการประกวดบอนไซระดับนานาชาติจากเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เติบโตบนซากธรรมชาติเก่าแก่เป็นลักษณะไม้เกลียวคลื่น ลำต้นกิ่งตั้งตรง มีความสมดุลในการสร้างสรรค์ทั้งการเจริญเติบโตออกด้านข้างทั้งซ้ายและขวาอย่างสมดุลงดงามบรรยากาศการสาธิตการดูแลบอนไซกรกช ไทยศิริ Gallery Master แห่ง Bonsai Hunter กล่าวว่า “นิทรรศการ Siam Paragon the Living Art of Elegance: Japan Bonsai Exhibition by Bonsai Hunter” ถือเป็นนิทรรศการบอนไซครั้งแรก ที่จะเปิดให้ทุกคนสามารถเข้ามาสัมผัสและชื่นชมมิติความงามแห่งศิลปะบอนไซได้อย่างใกล้ชิดบอนไซไม่ใช่ชื่อต้นไม้ แต่หมายถึงการปลูกต้นไม้ในกระถางขนาดเล็ก โดย 盆 (Bon) หมายถึง กระถาง และ 栽 (Sai) หมายถึง การเพาะปลูก บอนไซเป็นศิลปะร่วมสร้างสรรค์ระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ เป็นการจำลองธรรมชาติในรูปแบบย่อส่วน โดยเลียนแบบรูปทรงของต้นไม้ใหญ่ตามธรรมชาติบอนไซสื่อถึงแนวคิดปรัชญาญี่ปุ่นแบบ Wabi-Sabi นั่นคือ ความไม่สมบูรณ์คือความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง สำหรับศิลปะบอนไซแล้ว ไม่มีใครเป็นผู้สร้างอย่างแท้จริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แน่นอน บอนไซหนึ่งต้นคือมรดกที่สามารถส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น ผู้เลี้ยงแต่ละคนจะฝากซิกเนเจอร์เฉพาะตัวที่แอบแฝงอยู่ลึก ๆ ในแต่ละต้น แสดงถึงการที่ธรรมชาตินั้นอยู่เหนือสิ่งอื่นใด”เวิร์กชอปบอนไซสำหรับเวิร์คชอปบอนไซ จะจัดขึ้นภายในบริเวณนิทรรศการ ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 17, 18, 24 และ 25 สิงหาคม นี้ วันละ 1 รอบ ระหว่างเวลา 13.00 – 15.00 น. ในราคาท่านละ 3,000 บาท ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าและติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Bonsaihuntergallery โดยจะได้เรียนรู้เชิงลึกถึงศิลปะบอนไซขั้นพื้นฐานทั้งทฤษฎีและการลงมือปฏิบัติจริง ตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของบอนไซ ความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงดู การฝึกทักษะการจัดทรง การตรวจสุขภาพ และการดูแลเพื่อการป้องกันและรักษาโรคได้อย่างถูกต้องและถูกวิธี การเลือกต้นบอนไซ การวางแผนวิเคราะห์รูปทรงเพื่อสร้างรูปทรงให้สวยงามตามธรรมชาติและพลังงานธาตุที่สำคัญ เรื่องดิน น้ำ ลม ไฟ ปุ๋ย รวมถึงฝึกการคัดกิ่งและการเข้าลวดการแสดงดนตรีญี่ปุ่นภายในงานร่วมชมศิลปะบอนไซ ผลงานร่วมสร้างของธรรมชาติและมนุษย์ สัมผัสความสงบงามของธรรมชาติและปรัชญาตะวันออกอันลุ่มลึก ได้ที่ นิทรรศการ Siam Paragon the Living Art of Elegance: Japan Bonsai Exhibition by Bonsai Hunter” ร่วมชมฟรี พร้อมสมัครร่วมเวิร์คชอป ได้ตั้งแต่ 15 – 25 สิงหาคม นี้ ที่ Living Hall ชั้น 3 สยามพารากอนแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับไทยรัฐออนไลน์https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2808817?gallery_id=13

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย จัดเวิร์คเอ้าท์ เซสชั่น สุดเอ๊กซ์ตรีมดึงโค้ชจากสโมสรระดับโลก “ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์” จัดคลาส HIIT ให้กับพนักงาน

20/08/2024

กรุงเทพฯ 20 สิงหาคม 2567 -  เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับสโมสรฟุตบอลชื่อดังระดับโลก ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ จากประเทศอังกฤษ จัดกิจกรรม “Special Workout Session with Coach Lily” โดยโค้ช “ลิลลี่ เจอร์วิส (Lily Jervis)” Development Coach จากสโมสระดับโลก “ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์” ซึ่งมีผู้บริหารเอไอเอ ประเทศไทย พร้อมด้วยเพื่อนพนักงานกว่า 50 คน ร่วมสนุกกับคลาส HIIT Workout การออกกำลังกายแบบหนักสลับเบา เพิ่มการเผาผลาญไขมัน ให้การออกกำลังกายสนุกและสร้างสรรค์ เผาผลาญได้หลายร้อยแคลอรี่และยังเบิร์นต่อเนื่องหลังออกกำลังกาย โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ “Rethink Healthy – ปรับความคิดเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” ที่ได้ชวนทุกคนมาสร้างนิยามใหม่ของคำว่า "สุขภาพดี” สอดคล้องกับพันธกิจ AIA One Billion เพื่อมุ่งสนับสนุนให้คนไทยและผู้คนกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วเอเชียแปซิฟิกมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives.

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

ที่เที่ยวต่างแดนยอดนิยม น่าเดินทางเที่ยวแบบสายมู

20/08/2024

ที่เที่ยวสายมู สถานที่สุดฮิตในต่างแดนยอดนิยม น่าเดินทางท่องเที่ยวแบบสายมูทุกวันนี้ การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศไม่ได้ยากเหมือนแต่ก่อน ทั้งการเดินทางที่ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น หลายประเทศมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งต่อให้เบี้ยน้อยหอยน้อยก็ยังไปเที่ยวต่างประเทศซึ่งเป็นดินแดนยอดนิยมได้เช่นกัน ซึ่งการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศผู้คนส่วนใหญ่มักจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อไปเปิดประสบการณ์ สัมผัสกับวัฒนธรรม รวมถึงวิถีชีวิตที่แตกต่างในต่างแดน อย่างไรก็ตาม นอกจากจุดประสงค์ดังกล่าวแล้ว หลาย ๆ คนมีเป้าหมายอื่น ๆ ด้วย เช่น ไปชอปปิง ไปพักผ่อนตามสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติแบบที่หาไม่ได้ในบ้านเรา ไปเสี่ยงโชคเสี่ยงดวง หรือแม้กระทั่งไปทำกิจกรรมสายมู ไหว้พระ ทำบุญ ขอพร อะไรก็ว่าไป เที่ยวด้วยมูด้วย ไม่เสียเที่ยวและโอกาสอย่างแน่นอนอย่างที่บอกว่ายุคนี้สมัยนี้ที่พลาดไม่ได้ก็คือ การเดินทางสายมูเตลู หรือก็คือการเดินทางที่ถูกเชื่อมโยงกับความเชื่อของบุคคล หรืออาจจะบอกว่าความเชื่อได้กลายมาเป็นแรงจูงใจในการเดินทางท่องเที่ยวก็ได้เช่นกัน เป็นการเดินทางที่เน้นส่งเสริมความเชื่อทางจิตใจ ตลอดจนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อความศรัทธาที่มี ไม่ว่าจะเป็นไหว้พระ ทำบุญ สวดมนต์ ขอพร เช่าเครื่องรางมาบูชา เป็นต้น ซึ่งปกติการไปเที่ยวต่างประเทศ ทุกคนล้วนมีจุดประสงค์ต่าง ๆ นานา แต่สำหรับสายมูก็ไม่ลืมที่จะทำกิจกรรมมูเตลูด้วย ว่าแต่ช่วงนี้มีที่ดินแดนในต่างแดนที่ไหนบ้างที่คนไทยนิยมเดินทางไปเที่ยวและแวะเวียนไหว้พระขอพรแบบสายมู ไปต่างประเทศครั้งหนึ่งต้องไม่เสียเที่ยว!ฮ่องกงใครที่เดินทางสายมูมานานแล้วจะทราบดีว่าเส้นทาง “มาเก๊า ฮ่องกง” เป็นจุดหมายปลายทางในตำนานของเหล่าสายบุญและสายมูเลยก็ว่าได้ หากพูดถึงการเดินทางไปไหว้พระขอพรในต่างประเทศ ฮ่องกงคือที่แรก ๆ เสมอที่คนไทยนึกถึง มีวัดและศาลเจ้าดัง ๆ หลายที่ที่คนไทยนิยมเดินทางไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอเนื้อคู่ ขอบุตรหลาน ขอโชคขอทรัพย์ ขอให้ร่ำรวยเงินทอง ตอบโจทย์สายมูเตลูเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งทางฝั่งฮ่องกง ยังขึ้นชื่อเรื่องความเชื่อใน “เจ้าแม่กวนอิม” หนึ่งในองค์เทพที่คนไทยเคารพนับถือและศรัทธามาก ดังนั้น นอกจากดินแดนต้นกำเนิดอารยธรรมเก่าแก่อย่างอินเดียและจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว สายมูที่นับถือเจ้าแม่กวนอิมต้องเคยเดินทางไปฮ่องกงมาแล้วอย่างแน่นอนญี่ปุ่นดินแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง “ญี่ปุ่น” เป็นหมุดหมายยอดนิยมของคนไทยมานานมากแล้ว อาจจะพูดว่าเป็นประเทศสุดฮิตอันดับหนึ่งของคนไทยเลยก็ว่าได้ เหตุผลก็คือระยะทางที่ไม่ไกลมาก อากาศดี บ้านเมืองสวยงาม มีวัฒนธรรมที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ที่สำคัญคือมีแหล่งท่องเที่ยวสำหรับนักเที่ยวทุกสาย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ อีกทั้งคนไทยค่อนข้างคุ้นชินกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นผ่านสื่อต่าง ๆ อยู่แล้ว จึงเป็นอะไรที่อยากจะเดินทางไปสัมผัสกับตัว สำหรับการเดินทางของสายมูที่ญี่ปุ่นของใครหลายคนอาจเริ่มต้นจาก “เครื่องรางญี่ปุ่น” หรือโอมาโมริ ที่น่ารักตะมุตะมิแต่ศักดิ์สิทธิ์และขลังมาก พกติดตัวไว้ช่วยเสริมดวงในหลาย ๆ ด้าน ตามวัดและศาลเจ้าดัง ๆ จึงมีคนไทยไปมูอย่างคึกคักเสมอเมียนมาร์นึกไม่ถึงใช่ไหมว่าประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่าง “เมียนมาร์” ก็จะติดอยู่ในลิสต์นี้ด้วย ก่อนอื่นต้องบอกว่าหากเป็นความเชื่อด้านพระพุทธศาสนา คนไทยจำนวนหนึ่งรู้สึกศรัทธาพระพุทธศาสนาในเมียนมาร์มากกว่าที่ไทยด้วยซ้ำไป และเมื่อรวมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ขึ้นชื่อของฝั่งนั้นอย่าง “องค์เทพทันใจ” ด้วยแล้ว เมียร์มาร์จึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่นักเดินทางสายมูนิยมเดินทางไปสักการะขอพรเพื่อให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา ว่ากันว่าขอพรได้ทุกเรื่อง (แต่ขอได้เรื่องเดียว) มีรีวิวว่าเห็นผลทันใจกันมานักต่อนัก ทั้งการเงิน การงาน ค้าขาย ความรัก โชคลาภ ดังนั้น ถ้าอยากเสริมดวงให้ชีวิตราบรื่นในทุก ๆ ด้าน บางทีก็ไม่ต้องเดินทางไปไกลมากนัก ข้ามไปประเทศเพื่อนบ้านก็ปังแล้วไต้หวันหนึ่งในดินแดนใกล้ ๆ ไทยที่ผู้คนนิยมไปเที่ยวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือ “ไต้หวัน” ด้วยความโดดเด่นด้านแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ แหล่งประวัติศาสตร์ ชุมชนเก่าแก่ ศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่น หรือความทันสมัยและแสงสีแบบเมืองสมัยใหม่ อีกทั้งกรุงไทเปยังนับเป็นเมืองที่ที่ความปลอดภัยอันดับต้น ๆ ในเอเชียอีกต่างหาก อันดับโลกก็ไม่แย่ ซึ่งนอกจากแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่ไต้หวันก็มีวัดวาอารามเป็นจำนวนมากเช่นกัน ผู้คนทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นต่างก็แวะเวียนไปทำบุญ กราบไหว้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล ขอพรให้สมหวัง เช่าเครื่องราง ไต้หวันจึงเป็นอีกดินแดนที่น่าเดินทางเที่ยวแบบสายมู มูโชคลาภ การเงิน การงาน การเรียน ความรัก สุขภาพ ความสุข ฯลฯเกาหลีใต้“เกาหลีใต้” อาจเป็นจุดหมายปลายทางน้องใหม่ของนักเดินทางสายมู เนื่องจากการเดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้เพิ่งจะฮอตฮิตขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีมานี้เอง หลังจากวัฒนธรรม K-POP เริ่มมีอิทธิพลไปทั่วโลก ทำให้การเดินทางไปเที่ยวที่เกาหลีใต้เริ่มบูมขึ้นมา ส่วนใหญ่จะเป็นการไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ เพื่อตามรอย พอได้เดินทางไปเที่ยวแล้วเจอเข้ากับวัดวาอารามโบราณในสมัยที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองในคาบสมุทรเกาหลี ก็อยากที่จะไหว้พระขอพรตามตามธรรมเนียมเพื่อความเป็นสิริมงคลจะได้ไม่เสียเที่ยว แต่อันที่จริงเกาหลีใต้ก็มีวัดดัง ๆ ที่ผู้คนเลื่อมใสนับถืออยู่หลายแห่ง สำหรับขอโชคลาภ ขอให้สมหวังในความรัก หรือจะขอเนื้อคู่ให้หน้าตาเหมือนไอดอลที่ติ่งอยู่ ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1448803/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การทำงาน

เปิด 10 อันดับ อาชีพ-ประเทศ ที่คนไทยสนใจย้ายไปทำงานมากที่สุด

19/08/2024

คนไทยกว่า 66% ที่มีความสนใจในการโยกย้ายไปทำงานต่างประเทศ เปิด 10 อันดับ จากการสำรวจของ Jobsdb by SEEK อาชีพ และประเทศ ที่คนไทยสนใจย้ายไปทำงานมากที่สุดJobsdb by SEEK ทำการสำรวจ Global Talent Survey 2024 ร่วมกับ Boston Consulting Group (BCG) และ The Network เพื่อสรุปข้อมูลเกี่ยวกับการทํางานและความสมัครใจในการโยกย้ายงานระดับโลกและระดับประเทศปรากฏการณ์คนไทยสมองไหล“ดวงพร พรหมอ่อน” กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK กล่าวว่า ถึงแม้ตัวเลขที่คนไทยสนใจไปทำงานต่างประเทศจะยังไม่ถึงจุดสูงสุดเท่าก่อนเกิดโรคระบาดปี 2561 แต่ความสนใจถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2566 ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงปรากฏการณ์สมองไหลในจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามคนไทยกว่า 66% ที่มีความสนใจในการโยกย้ายไปทำงานต่างประเทศ ส่วนมากเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ (79%) ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงความมุ่งมั่นในความก้าวหน้าในอาชีพ ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น ตลอดจนโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ในระดับนานาชาติสาขาอาชีพที่คนไทยมีความพร้อมในการโยกย้าย คือ• การศึกษาและการฝึกอบรม 85% อาจารย์เเละผู้สอนในประเทศไทยนั้นเชื่อว่าจะได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายเเละเติบโตในหน้าที่จากการสอนระหว่างประเทศ• กฎหมาย 73% นักกฎหมายชาวไทยกำลังมองหาบทบาทระดับนานาชาติ เพื่อขยายความเชี่ยวชาญทางกฎหมายและสร้างเครือข่ายระดับโลก• การจัดการธุรกิจ 73% นักบริหารธุรกิจมีความต้องการที่จะมองหาโอกาสการทำงานในต่างประเทศอย่างสิงคโปร์ และฮ่องกง เพื่อการเติบโตด้านการตลาด สื่อดิจิทัล และอุตสาหกรรมเอไอ• ไอที 72% ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีมีความมุ่งมั่นที่จะไปทำงานในประเทศที่มีการพัฒนาในด้านเทค อย่าง สหรัฐอเมริกา เพื่อที่จะเสริมสร้างความรู้ในแง่ของการพัฒนาซอฟต์แวร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการพัฒนาและปฏิบัติการร่วมกัน• วิศวกรรมและเทคนิค 69% วิศวกรมีความต้องการที่จะทำงานในองค์กรขนาดใหญ่เเละครบวงจรประเทศที่คนไทยเลือกไปทำงานมากที่สุดทั้งนี้ 10 ประเทศที่คนไทยอยากไปทำงานมากที่สุด คืออันดับ 1 สิงคโปร์อันดับ 2 ออสเตรเลียอันดับ 3 สหรัฐอเมริกาอันดับ 4 ญี่ปุ่นอันดับ 5 แคนาดาอันดับ 6 จีนอันดับ 7 สหราชอาณาจักรอันดับ 8 สวิตเซอร์แลนด์อันดับ 9 เยอรมนีอันดับ 10 นิวซีแลนด์“ประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางของคนไทยอันดับต้น ๆ อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค ศักยภาพทางการตลาด และการเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม 60% ของผู้ที่ได้ไปทำงานในต่างประเทศมีความตั้งใจที่จะกลับมายังประเทศไทยในท้ายที่สุด เเละอีก 18% ที่ต้องการอยู่ต่ออย่างไม่มีกำหนด”แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/sd-plus/sdplus-hr/news-1632962

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

ประกันชีวิตคู่ LGBTQ+ สร้างหลักประกันให้รักมั่นคง

19/08/2024

บทความโดย “สมาคมนักวางแผนการเงินไทย”วันที่ 19 สิงหาคม 2567 ประกันชีวิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยสร้างความมั่นคงเพื่อให้เราและคนที่เรารักพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียรายได้ เจ็บป่วย หรือเสียชีวิต ซึ่งคู่รัก LGBTQ+ ก็มีความจำเป็นในการวางแผนประกันชีวิต เพื่อสร้างหลักประกันให้กับคู่ชีวิตปัจจุบันยังมีคำถามว่า “คู่รัก LGBTQ+ สามารถทำประกันชีวิตได้หรือไม่” คำตอบคือ ทำประกันได้และประกันจะคุ้มครองทุกอย่างเหมือนปกติ 100% แต่อาจจะต้องแนบหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มน้ำหนักของความสัมพันธ์เช่น หลักฐานการทำธุรกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะเอกสารทางการเงิน เอกสารราชการ ที่สำคัญควรแจ้งข้อมูลให้บริษัทประกันครบถ้วน เช่น กรณีตัดหน้าอก เสริมหน้าอก หรือแปลงเพศเรียบร้อย เพื่อประโยชน์ในการพิจารณารับประกันและการจ่ายสินไหมทดแทน เพราะหากไม่แจ้งบริษัทประกันอาจมองว่าเป็นการปกปิดประวัติและอาจถูกยกเลิกกรมธรรม์หากบริษัทรับทราบภายหลังเมื่อตัดสินใจร่วมกันว่าจะทำประกันชีวิต ก็ต้องศึกษาข้อมูลให้รัดกุมก่อนเพื่อให้เหมาะสมกับทั้งคู่ 3 ข้อที่ต้องดูก่อนเลือกซื้อประกันคู่รัก LGBTQ+สำรวจตัวเองและคนในครอบครัวต้องดูว่าตัวเองหรือคนในครอบครัว มีจุดประสงค์ในการซื้อเพื่ออะไร เช่น ซื้อประกันเพื่อออมเงิน เพื่อสร้างหลักประกันให้คนที่อยู่ข้างหลัง เพื่อแบ่งเบาค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น เพราะประกันชีวิตมีหลากหลายรูปแบบ หากทราบจุดประสงค์ จะทำให้เลือกแผนประกันได้ตรงกับความต้องการที่สุดดูความคุ้มค่าดูว่าประกันที่เลือก ให้ความคุ้มครองและผลตอบแทนตอบโจทย์ที่ต้องการหรือไม่ อาจเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประกันหลาย ๆ ที่ เพื่อให้ได้แผนประกันที่คุ้มค่าและเหมาะสมที่สุดจ่ายค่าเบี้ยไหวหรือไม่ให้เลือกระยะเวลาจ่ายเบี้ยและทุนประกันที่เหมาะสมกับกำลังเงิน เพื่อให้สามารถเก็บออมได้แบบไม่สะดุด หรือเลือกประกันที่สามารถทยอยจ่ายเบี้ยแบบรายเดือนได้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระหนักจนเกินไปโดยประกันชีวิตที่คู่รัก LGBTQ+ ควรเลือกทำเป็นฉบับแรก คือ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ซึ่งมีทั้งการออมเงินและความคุ้มครองชีวิต โดยการออมเงินจะมีเงินจ่ายคืนเป็นรายงวดตามเวลาที่กำหนด หรือคืนเป็นก้อนใหญ่ก้อนเดียวเมื่อครบสัญญา ส่วนความคุ้มครองชีวิต เมื่อผู้ถือกรมธรรม์เสียชีวิตระหว่างสัญญา ก็จะได้รับเงินก้อนให้คนข้างหลังไว้ใช้จ่ายเป็นจำนวนเงินตามที่กำหนดในสัญญาของแต่ละแบบประกันส่วนประกันชีวิตฮอตฮิตที่สุด คือ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ เพราะให้ความคุ้มครองเป็นระยะเวลานาน หากเสียชีวิตในระหว่างสัญญาบริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์แต่ถ้าหากผู้เอาประกันภัยยังคงมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา 85 ปี 89 ปี 90 ปี 95 ปี หรือ 99 ปี ขึ้นอยู่กับแบบประกัน บริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยข้อดีคือ ให้ความคุ้มครองนานทั้งชีวิต จึงเป็นมรดกให้กับคู่ชีวิตหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต และแนบสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ทำให้ได้ความคุ้มครองครบทั้งชีวิตและสุขภาพเมื่อทำประกันชีวิตแล้วก็ควรมีประกันสุขภาพด้วย เพราะจะได้รับความคุ้มครองครบทั้งชีวิตและสุขภาพ ซึ่งประกันสุขภาพจะแตกต่างกับประกันชีวิตตรงที่ประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองในกรณีที่เกิดการเจ็บป่วย ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ค่ายารักษา ไปจนถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่กำหนดเอาไว้ในกรมธรรม์ นอกจากนี้ ประกันสุขภาพบางตัวยังมีการชดเชยค่าใช้จ่ายในกรณีที่เสียชีวิตอีกด้วยประกันชีวิตจะให้ความคุ้มครองในกรณีที่เสียชีวิตเท่านั้น แต่การซื้อประกันชีวิตยังสามารถเลือกกรมธรรม์ที่สะสมทรัพย์ สร้างผลตอบแทน หรือเลือกผู้รับผลประโยชน์ได้ตามต้องการ ดังนั้น การมีประกันสุขภาพ จึงเป็นทางเลือกที่สำคัญที่ควรมีไว้ เพราะจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการรองรับความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ รวมถึงโรคร้ายที่อาจเกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ช่วยดูแลค่าใช้จ่าย ทั้งค่าห้อง ค่ายา หรือค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าจะโรคระบาด โรคร้ายแรง โรคทั่วไป หรืออุบัติเหตุเมื่อตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำประกันแล้ว ประเด็นถัดมาและเป็นเรื่องที่บริษัทประกันเข้มงวดกับการทำประกันคู่รัก LGBTQ+ คือ ผู้รับผลประโยชน์ประกัน เพราะไม่ใช่ญาติ ดังนั้น บริษัทประกันบางแห่งจะให้สิทธิในการเป็น “คู่ชีวิต” เพื่อใส่ชื่อเป็นผู้รับผลประโยชน์ประกัน 3 ประโยชน์หลัก ๆ ของประกันคู่ชีวิต คือ• ความคุ้มครองทางการเงิน ช่วงที่คู่ครองเสียชีวิต เงินสินไหมทดแทนจากประกันจะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย ให้คู่ครองที่เหลืออยู่สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้• วางแผนการเงินระยะยาว ใช้เป็นเครื่องมือวางแผนการเงินระยะยาว เช่น การวางแผนการศึกษาบุตร การวางแผนเกษียณอายุ• สิทธิประโยชน์ทางภาษี เบี้ยประกันชีวิตสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดคู่รัก LGBTQ+ ที่อยากสร้างอนาคตร่วมกัน ดูแลกันทั้งในวันที่หัวเราะและวันที่น้ำตาไหล แต่เนื่องจากยังไม่ได้รับสิทธิเต็มที่ เช่น การรับมรดก การใช้สวัสดิการรักษาพยาบาลร่วมกัน ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ หากคนรักเจ็บป่วยหรือจากไปแต่รู้หรือไม่ว่า ประกันชีวิต คือ ทางออกที่ช่วยแบ่งเบาภาระเหล่านี้ได้ เพราะกรมธรรม์ประกันได้เปิดกว้างเรื่องผู้รับผลประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติทางสายเลือด ดังนั้น คู่รัก LGBTQ+ สามารถทำประกันชีวิตเพื่อดูแลกันและกันได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1632996

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

ผลงาน ประวัติ 10 Artists for Charity หนึ่งโปรเจค ICON Art & Culture หนุน Soft Power

19/08/2024

วราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. เป็นประธานเปิดงานนิทรรศการศิลปะ 10 Artists for charity ผลงานศิลปะจาก 10 ศิลปินไทย สนับสนุนนโยบาย Soft Power ด้าน ‘ศิลปะ’ ของรัฐบาล เปิดแสดงและจำหน่ายผลงานศิลป์ รายได้มอบองค์กรการกุศุลสนับสนุนนโยบาย Soft Power ของรัฐบาลด้าน ‘ศิลปะ’ ไอคอนสยาม เดินหน้าโครงการ ICON Art & Culture โดยร่วมกับคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศไทย และศิลปินอิสระผู้มีชื่อเสียง จัดนิทรรศการ “10 Artists for Charity” นอกจากเป็นกิจกรรมการกุศล ด้วยการบริจาครายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายผลงานศิลปะในนิทรรศการชุดนี้ให้กับองค์กรการกุศลตามเป้าหมายที่วางไว้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ศิลปะร่วมสมัยของไทย รวมถึงเผยแพร่องค์ความรู้ในสาขาทัศนศิลป์ให้นักศึกษาและประชาชนทั่วไปที่สนใจได้มีส่วนร่วมชื่นชมความงดงามของงานศิลป์ให้เข้าถึงได้สะดวกขึ้นเทพศักดิ์ ทองนพคุณ กับผลงานศิลปะใน 10 Artists for Charity10 ศิลปินผู้ร่วมจัดแสดงผลงานศิลปะในนิทรรศการ “10 Artists for Charity” ประกอบไปด้วย เทพศักดิ์ ทองนพคุณ ศิลปินและนักวิชาการชาวจังหวัดชลบุรี สำเร็จการศึกษาจากคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นรุ่นที่สาม เป็นศิลปินผู้มีชื่อเสียงจากการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะประเภทภาพพิมพ์ และจิตรกรรมในปัจจุบันอ.เทพศักดิ์เป็นอดีตคณบดี คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี หลายสมัย สร้างความสัมพันธ์ความร่วมมือกับศิลปินต่างประเทศไว้มากมายเพื่อความก้าวหน้าวงการศิลปะในเมืองไทยวัฒนโชติ ตุงคะเตชะ กับผลงานในนิทรรศการ 10 Artists for Charityวัฒนโชติ ตุงคะเตชะ เกิดที่นครสวรรค์ สำเร็จการศึกษาด้านภาพพิมพ์ที่วิทยาลัยเพาะช่าง กรุงเทพฯ จากนั้นศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยบูรพาและ University of California Los Angeles (UCLA)สร้างสรรค์ผลงานศิลปะหลากหลายประเภท อาทิ ภาพวาดสีน้ำ ภาพวาดสีอะครีลิค ภาพพิมพ์ ประติมากรรมเซรามิก และสื่อผสมได้รับเชิญไปจัดแสดงนิทรรศการในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา โปแลนด์ อิตาลี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ อินเดีย มาเลเซีย เวียดนาม เมียนมา ฟิลิปปินส์ เนปาล บังคลาเทศวัฒนโชติ เคยได้รับรางวัลชนะเลิศจากนิทรรศการศิลปะตะวันออกครั้งที่ 10 จากมหาวิทยาลัยต้าหลี่ ยูนนาน ประเทศจีน เมื่อปีพ.ศ.2553, รางวัลเหรียญทองจากงาน Ecorea Jeonbuk Biennale ครั้งที่ 1 ปี 2555 ที่เกาหลีใต้ และรางวัล Excellence Award จากนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยนานาชาติเซี่ยงไฮ้ 2560 ในประเทศจีน เป็นอาทินุกูล ปัญญาดี กับผลงานในนิทรรศการ 10 Artists for Charityนุกูล ปัญญาดี ศิลปินวัย 63 ปี ชาวตะกั่วป่า จังหวัดพังงา สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเพาะช่าง และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร มีผลงานนิทรรศการเดี่ยวและนิทรรศการกลุ่มมากมายเคยร่วมแสดงผลงานสีน้ำนานาชาติเอเชีย ครั้งที่ 12 ที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น, มหกรรมสีน้ำอาเซียนนานาชาติ ครั้งที่ 17 ที่เมืองเจจู เกาหลีใต้ เป็นอาทิเป็นศิลปินผู้ร่วมระดมทุนก่อตั้ง “ห้องศิลปะโรงเรียนบ้านน้ำเค็ม” เพื่อช่วยเยียวยาเด็กๆ และชุมชนบ้านน้ำเค็มที่ประสบความยากลำบากจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิถล่มภาคใต้ของไทยเมื่อปี 2547จิรวัฒน์ พิรสันต์ กับผลงานในนิทรรศการ 10 Artists for Charityจิรวัฒน์ พิระสันต์ ศิลปินและอาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ศิลปะและการออกแบบ มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก สร้างผลงานและเกียรติประวัติไว้มากมาย อาทิ เป็น 1 ใน 4 คนไทยที่ได้รับรางวัล Excellence Award จากงานนิทรรศการ Shanghai International Contemporary Art Exchange Exhibition and Workshop 2017 ครั้งที่ 4 ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนนิทรรศการดังกล่าวเป็นการคัดเลือกผลงานศิลปะจากศิลปินทั่วโลก 80 คน 30 ประเทศ มาจัดแสดงผลงานและเวิร์คช็อปวาดภาพประกวด เพื่อคัดเลือกให้ได้รับรางวัล Excellence Award ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุด มีด้วยกัน 20 รางวัลสุรพงศ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา กับนิทรรศการ 10 Artists for Charityสุรพงศ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา ศิลปินปริญญาศิลปมหาบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หนึ่งในศิลปินผู้มีความเยี่ยมยอดด้านการวาดภาพกึ่งนามธรรมอย่างมีเอกลักษณ์และความโดดเด่นด้านศิลปะจัดวางงานศิลปะมักมีแรงบันดาลใจจากสภาวะความรู้สึกบีบคั้น ถูกกดขี่ ความลำบาก ความทุกข์ยาก การต้องแบกรับภาระทางกายและใจ การต้องต่อสู้กับอุปสรรค โดยแปรเป็นความงามแห่งพลังการต่อสู้ ก่อเกิดแรงผลักดันให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าอย่างมีคุณค่ากมล คงทองณัฏฐพล สุวรรณกุศลส่งร่วมด้วยศิลปินอีก 5 ท่าน ได้แก่ กมล คงทอง, สิทธิชัย ปรัชญารัติกุล, สาธิต เทศนา, ณัฏฐพล สุวรรณกุศลส่ง และ เอกกมล โรจน์จิรนันท์นิทรรศการ “10 Artists for Charity” นำเสนอผลงานจำนวน 52 ผลงาน ประกอบด้วย ผลงานจิตรกรรมเทคนิคสีน้ำมัน สีอะคลีลิค และเทคนิคผสม โดยถ่ายทอดแนวความคิดจากเรื่องราวที่หลากหลายแตกต่างกันออกไปตามประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของศิลปินนำเสนอแนวคิดและการแสดงออกในหลากหลายมิติ ด้วยการนำประสบการณ์ในความทรงจำมาตีความทางสุนทรียศาสตร์เพื่อถ่ายทอดเป็นภาพศิลปะในเชิงนามธรรม บางผลงานนำเสนอรูปทรงเรขาคณิตแทนภาพบ้านที่ดูเข้มแข็งผ่านการใช้สีสันกระตุ้นความรู้สึกให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาพผลงานศิลปะกับผู้ชม บางผลงานมีวิธีการใช้สีให้เกิดการรวมตัวเข้าหากันผ่านการใช้เทคนิคเฉพาะที่แม่นยำเกิดเป็นภาพในเชิงอุดมคติที่สร้างจินตนาการให้กับผู้ชมผลงานได้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายผลงานของศิลปินอีกหลายท่านที่ถ่ายทอดจินตนาการและสร้างสรรค์อย่างได้น่าสนใจวราวุธ ศิลปอาชา เปิดนิทรรศการ 10 Artists for Charityได้รับเกียรติจาก วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดนิทรรศการฯไอคอนสยามขอเชิญผู้ชื่นชอบผลงานศิลป์และผู้สนใจในศิลปะร่วมชื่นชมความงามของผลงานศิลปะ รวมถึงเลือกซื้อผลงานที่ประทับใจ เพื่อร่วมบริจาครายได้ส่วนหนึ่งให้กับองค์กรการกุศลได้ ณ ICON Art & Culture Space ชั้น 8 ไอคอนสยาม วันนี้-22 สิงหาคม 2567สาธิต เทศนาเอกกมล โรจน์จิรนันท์สิทธิชัย ปรัชญารัติกุลแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/art-living/1140413

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ท่องเที่ยว

สะพรั่งสวย! “ดอกหงอนนาค” ภูสอยดาว บานแล้ว 80%

19/08/2024

อช. ภูสอยดาว อัพเดตภาพสุดสวยงามของ "ดอกหงอนนาค" ที่กำลังบานสวยกว่า 80% แล้วที่ลานสน ภูสอยดาว คาดบานเต็มที่ช่วงต้นเดือนกันยายน และคาดว่าสามารถชมได้ถึงปลายเดือน ก.ย. ถึงต้น ต.ค. นี้ภาพจาก อช.ภูสอยดาว ถ่ายเมื่อวันที่ 14-15 สิงหาคม 2567เฟซบุ๊กเพจอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว - Phu soi dao National Park โพสต์ภาพความสวยงามของดอกหงอนนาค นางเอกประจำภูสอยดาว ที่ในปีนี้กำลังบานสะพรั่งสวยกว่า 80% แล้วทั่วบริเวณลานสน และคาดว่าจะบานเต็มที่ในช่วงต้นเดือนกันยายน 67 และจะชมได้ไปถึงช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นตุลาคม 67 ก่อนจะเริ่มโรยไปในที่สุดภาพจาก อช.ภูสอยดาว ถ่ายเมื่อวันที่ 14-15 สิงหาคม 2567สำหรับ “ดอกหงอนนาค” ได้ชื่อว่าเป็นนางเอกประจำภูสอยดาวในช่วงฤดูฝนเช่นนี้ หากใครได้มีโอกาสมาเชยชมรับรองว่าจะหลงเสน่ห์เป็นแน่ ซึ่งดอกหงอนนาคนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “หญ้าหงอนเงือก” หรือ “น้ำค้างกลางเที่ยง”ภาพจาก อช.ภูสอยดาว ถ่ายเมื่อวันที่ 14-15 สิงหาคม 2567เป็นพืชล้มลุกชนิดหนึ่งที่ออกดอกในฤดูฝน ดอกจะมีทั้งสีม่วงอ่อนหรือม่วงน้ำเงิน สีขาว และสีชมพู ซึ่งค่อนข้างหายากภาพจาก อช.ภูสอยดาว ถ่ายเมื่อวันที่ 14-15 สิงหาคม 2567สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อช.ภูสอยดาว โทร. 09-5629-9528 , 09-1024-7633แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000075432

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การตลาด

ในยุคปัจจุบัน ธุรกิจ จะเติบโตอย่างไรดี?

16/08/2024

ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังมีความอึมครึม ขณะที่เศรษฐกิจโลกก็มีแต่ความไม่แน่นอน และสามารถพลิกผันได้ตลอด คำถามหนึ่งที่อยู่ในใจผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจทั้งหลายคือ...แล้วจะเติบโตต่อไปอย่างไรดี?จะตอบคำถามที่ดูเหมือนจะง่ายแต่ตอบยากนี้ การได้ย้อนกลับสู่พื้นฐานและจุดเริ่มต้นอาจจะเป็นแนวทางหนึ่งในการจะช่วยหาคำตอบที่ต้องการดังนั้น ลองมาพิจารณาถึงแนวคิดพื้นฐานของการเลือกกลยุทธ์ในการเติบโตของธุรกิจ พร้อมทั้งแนวคิดใหม่ๆ ในปัจจุบันกันดู“กลยุทธ์การเติบโต” เป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจเลือกที่จะใช้เพื่อนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของผลลัพธ์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็น รายได้ กำไร ยอดขาย ขนาด ลูกค้า ฯลฯ ความท้าทายไม่ใช่การเติบโตแต่เพียงอย่างเดียวแต่คือทำให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน กลยุทธ์ที่ใช้ในการเติบโตในอดีต เมื่อเวลาผ่านพ้นไปก็จะไม่ทำให้เติบโตเหมือนเดิม รวมทั้งเมื่อมีการเติบโตเกิดขึ้นก็ไม่พ้นที่จะมีคู่แข่งใหม่เข้ามาการเลือกกลยุทธ์การเติบโตนั้นคือการเลือกตอบคำถามพื้นฐานสามคำถาม ได้แก่ เติบโตในธุรกิจไหน? (Where?) เติบโตอย่างไร? (What?) และ เติบโตด้วยวิธีการอะไร? (How?)การเลือกว่าจะเติบโตในธุรกิจไหน ก็มีอยู่สามทางเลือกหลักๆ ได้แก่1. เติบโตในธุรกิจหลัก หรือ Core Business Growth ที่มุ่งเน้นสินค้า บริการเดิม หรือ ตลาดหลักที่มีอยู่ โดยอาจจะเป็นการออกสินค้ารุ่นใหม่ หรือ บริการใหม่ หรือ ขยายสาขา เป็นต้น2. เติบโตในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง หรือ Adjacent Growth ทั้งเข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่สัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม สามารถใช้ทรัพยากรหรือความสามารถบางอย่างร่วมกันได้เช่น กรณีของ Apple ที่จากคอมพิวเตอร์ สู่โทรศัพท์มือถือ สู่เพลง สู่การชำระเงิน เป็นต้น รวมทั้งเข้าสู่ธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องในลักษณะของต้นน้ำหรือปลายน้ำ นั้นคือย้อนกลับไปเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบ (ต้นน้ำ)หรือ การทำช่องทางจำหน่ายของตนเอง (ปลายน้ำ) เช่น Netflix ไปผลิตหนังเอง หรือ Disney ออก Disney+ เพื่อเป็นช่องทางเข้าถึงผู้บริโภค เป็นต้น3. เติบโตสู่ธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก หรือ Non-Core Growth ที่ธุรกิจใหม่ที่จะเข้าไปสู่นั้น ไม่สามารถหาความเกี่ยวข้องใดๆ กับธุรกิจหลักเดิม โดยส่วนใหญ่เป็นการเติบโตเนื่องจากมองเห็นโอกาสที่มีอยู่ เช่น ปตท.ที่จากธุรกิจพลังงาน สู่ธุรกิจยาและสุขภาพ เป็นต้นสำหรับคำถามที่สองคือ จะเติบโตอย่างไร? หรือ What? นั้นก็มีหลากหลายแนวทาง ทั้งแนวคิดแบบดั้งเดิมที่คุ้นเคยเช่น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับลูกค้าเก่า หรือ การนำผลิตภัณฑ์เดิมไปจับลูกค้าใหม่ หรือ การขยายไปยังต่างประเทศ หรือ การมุ่งเน้นที่ลูกค้ากลุ่มใหม่ เป็นต้นอย่างไรก็ดีในช่วงหลังก็ได้มีนำแนวคิดใหม่ๆ ทางธุรกิจมาช่วยในการคิดวิธีการในการเติบโต ไม่ว่าจะเป็น การนำดิจิทัลเทคโนโลยี หรือ AI มาใช้ หรือการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตหรือการมุ่งเน้นที่ลูกค้ามากขึ้น (Customer Centric) โดยทั้งหมดข้างต้นจะช่วยในการเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ดีขึ้น เพิ่มการให้บริการในรูปแบบใหม่ๆ ทำให้ลูกค้าพอใจ กลับมาใช้บริการซ้ำ และบอกต่อไปให้คนอื่นมาใช้บริการนอกจากนี้ยังสามารถนำเรื่องของ Business Model ใหม่ๆ มาใช้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการสร้าง Platform หรือ การสร้าง Ecosytem ก็จะช่วยให้เกิดการเติบโต โดยทำให้ผู้เกี่ยวข้องต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมและเติบโตไปพร้อมๆ กัน หรือ การใช้โมเดล DTC (Direct-to-Consumer) ที่ขายตรงไปยังผู้บริโภค โดยไม่ผ่านคนกลางเหมือนในอดีต เป็นต้นอีกหนึ่งแนวทางในการคิด คือการจับกระแสแนวโน้มใหม่ๆ และออกสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น เรื่องของความยั่งยืนและการดูแลสิ่งแวดล้อม หรือ เรื่องของความเป็นอยู่ที่ดี (Well Being) ก็เป็นโอกาส ในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่และขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่อีกหนึ่งแนวคิด คือการเข้าไปลงทุนในรูปแบบของ Startups ไม่ว่าจะเป็น จากภายในองค์กรเอง เช่น การทำ Innovation Labs หรือ การเข้าไปลงทุนกับ Startups ทั้งโดยตรงและผ่านกองทุนทั้งหลายคำถามสุดท้ายคือ จะเติบโตด้วยวิธีการอะไร? หรือ How? มีแนวทางในการตอบอยู่สามทางเลือก นั้นคือ1. เติบโตด้วยตนเอง หรือ ที่คุ้นในชื่อ Organic2. เติบโตโดยร่วมพันธมิตรทางธุรกิจ รวมทั้งผ่านทางรูปแฟรนไชส์หรือการร่วมทุนด้วย3. เติบโตโดยการเข้าไปซื้อหรือควบรวมกิจการ ซึ่งธุรกิจจะเลือกวิธีการใดนั้นก็ต้องดูที่อีกหลายปัจจัย ทั้งเรื่องเวลา เงินทุน และความพร้อมด้วยสุดท้ายธุรกิจจะเติบโตอย่างไร ผู้บริหารก็จะต้องเลือกแนวทางที่เหมาะสม และคำถามต่างๆ ก็เป็นเพียงเครื่องนำทางไปสู่คำตอบเท่านั้นเนื้อหาข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของงานสัมมนา “ถอดรหัสกลยุทธ์ยุคใหม่” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ โดยคณาจารย์ของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ถ้าสนใจก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ FB: CBSCommerce หรือโทร.สอบถามได้ที่ 022185763-4 ครับแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/business/business/1136864

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ห้องแสดงนิทรรศการ

หนึ่งเดียวในไทย “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” ชมธรรมจักรพร้อมแท่นและเสาสมบูรณ์ที่สุด

16/08/2024

“พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง” ตั้งอยู่ที่ ตำบลอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และประวัติศาสตร์ศิลปะ จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสถานที่เก็บรักษาและจัดแสดงโบราณวัตถุ ที่ได้จากดำเนินการทางโบราณคดีที่เมืองโบราณอู่ทองกรมศิลปากรได้ดำเนินโครงการพัฒนา และเพิ่มศักยภาพพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง เป็นโครงการต่อเนื่อง 5 ระยะ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – 2568 โดยซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารจัดแสดงและนิทรรศการถาวรให้มีความทันสมัย ด้วยเทคนิคการจัดแสดงสมัยใหม่ที่น่าสนใจดึงดูดผู้เข้าชม และปรับปรุงข้อมูลการจัดแสดงให้เป็นปัจจุบัน มีมาตรฐานระดับสากล นำเสนอเรื่องราวของเมืองโบราณอู่ทองและวัฒนธรรมทวารวดีที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติภายในจัดแสดงนิทรรศการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองโบราณอู่ทองและพื้นที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ กระทั่งเข้าสู่วัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งเป็นวัฒนธรรมยุคแรกเริ่มประวัติศาสตร์ในประเทศไทย จัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยมที่มีคุณค่าทางวิชาการจำนวนมาก และเก็บรักษาโบราณวัตถุวัฒนธรรมทวารวดี ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรมศิลปากรโดยมีหนึ่งในไฮไลต์สำคัญ คือ การจัดแสดงโบราณวัตถุชิ้นเยี่ยม ธรรมจักร แท่น และเสา พบจากการขุดแต่งเจดีย์หมายเลข 11 เมืองโบราณอู่ทอง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 13 หรือประมาณ 1,300 – 1,400 ปีมาแล้ว ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงการประดิษฐานธรรมจักรที่สมบูรณ์ที่สุดที่พบเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ทำให้สันนิษฐานได้ว่าในสมัยทวารวดี มีการสร้างธรรมจักรประดิษฐานบนเสา ตั้งอยู่ด้านหน้าศาสนสถานทั้งนี้ ห้องจัดแสดงภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง ประกอบด้วย1. ทวารวดี ปฐมบทแห่งประวัติศาสตร์ไทยห้องวีดีทัศน์บรรยายสรุปเรื่องเมืองโบราณอู่ทองและวัฒนธรรมทวารวดี กล่าวถึงการติดต่อกับดินแดนภายนอก ทำให้เกิดการรับอารยธรรมจากอินเดียเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การนับถือศาสนา การปกครองโดยระบบกษัตริย์ การสร้างงานศิลปกรรม และการใช้ตัวอักษรและภาษา2. เมืองโบราณอู่ทอง : ศูนย์กลางแรกเริ่มของวัฒนธรรมทวารวดี จุดเชื่อมโยงเส้นทางการค้าในดินแดนสุวรรณภูมิโบราณวัตถุสำคัญได้แก่ เหรียญโรมันจักรพรรดิวิคโตรินุส ชิ้นส่วนเครื่องถ้วยจากตะวันออกกลางประดับบนปูนปั้นสมัยทวารวดี เหรียญอาหรับ เครื่องถ้วยจีน และปูนปั้นรูปใบหน้าพ่อค้าชาวต่างชาติ และมีสื่อวีดีทัศน์ประกอบโมเดลภูมิประเทศ บอกเล่าเรื่องราวของเมืองโบราณอู่ทอง3. โบราณคดีเมืองอู่ทอง: พ.ศ.2446 - ปัจจุบัน ศตวรรษสำคัญงานโบราณคดีในประเทศไทยจัดแสดงเรื่องงานโบราณคดีที่เมืองโบราณอู่ทอง ตั้งแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จตรวจราชการเมืองอู่ทองใน พ.ศ.2446 จนถึงการดำเนินงานทางโบราณคดีโดยกรมศิลปากรในปัจจุบัน และจัดแสดงโบราณวัตถุที่ได้จากการขุดแต่งโบราณสถานเมืองโบราณอู่ทองซึ่งมีทั้งเจดีย์และวิหารเนื่องในศาสนาพุทธ และศาสนสถานเนื่องในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู โบราณวัตถุชิ้นสำคัญ เช่น พระพุทธรูปปางแสดงธรรม สมัยทวารวดี จากเจดีย์หมายเลข 114. เจดีย์ วิหาร โบราณสถานทวารวดี: สถาปัตยกรรมแห่งศรัทธา ปฐมบทของพุทธศาสนาในดินแดนไทยจัดแสดงสถาปัตยกรรมสมัยทวารวดี ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยแรกของประเทศไทย โบราณวัตถุสำคัญ เช่น อิฐฤกษ์ ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมวางฤกษ์เมื่อเริ่มสร้างศาสนสถาน และประติมากรรมปูนปั้นและดินเผาประดับศาสนสถาน5. ลูกปัดและเครื่องประดับทองคำ: วัตถุล้ำค่า ความงามที่สะท้อนความรุ่งเรืองของเมืองโบราณอู่ทองจัดแสดงลูกปัดและเครื่องประดับ ซึ่งพบบริเวณเมืองโบราณอู่ทองเป็นจำนวนมาก โบราณวัตถุสำคัญ เช่น ลูกปัดหินคาร์เนเลียนและอาเกต ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าจากอินเดีย เครื่องประดับทองคำ สมัยทวารวดี และแผ่นดินเผารูปบุคคลฟ้อนรำ แสดงถึงการสวมใส่เครื่องประดับของผู้คนในสมัยทวารวดี6. ศาสนาและความเชื่อ: จากพุทธภูมิสู่สุวรรณภูมิ อรุณรุ่งแห่งยุคประวัติศาสตร์ไทยจัดแสดงเรื่องศาสนาและความเชื่อที่เมืองโบราณอู่ทอง สันนิษฐานว่ามีการนับถือศาสนาพุทธแบบเถรวาทเป็นหลัก โดยมีการนับถือศาสนาพุทธแบบมหายานร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานการนับถือศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และพบโบราณวัตถุที่แสดงถึงความเชื่อท้องถิ่นที่พบเฉพาะในวัฒนธรรมทวารวดี ที่ยังไม่สามารถสรุปคติในการสร้างอย่างแน่ชัด โบราณวัตถุสำคัญ ได้แก่ แผ่นดินเผารูปพระภิกษุอุ้มบาตร จารึกคาถาเย ธฺมมา ซึ่งเป็นคาถาหัวใจสำคัญของศาสนาพุทธ พระพิมพ์ภาพพระสาวกมีจารึก เศียรพระพุทธรูปทองคำ เอกมุขลึงค์ ตุ๊กตารูปคนจูงลิงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เปิดให้บริการวันพุธ – อาทิตย์ วันหยุดราชการพิเศษและวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00 – 16.00 น. ค่าธรรมเนียมเข้าชม ชาวไทย 30 บาท ชาวต่างชาติ 150 บาท สอบถามเพิ่มเติมโทร 0-3555-1021แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000070967

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X