Everyday knowledge for you
ประกันสุขภาพ
13/11/2024
บทความโดย "นิชฌานี ฉันทศาสตร์" นักวางแผนการเงิน CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทยคุณพ่อคุณแม่ ย่อมต้องการให้ลูกมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครหลีกเลี่ยงโรคภัยไข้เจ็บได้ ทำได้เพียงบรรเทาความเสียหาย หรือ แบ่งเบาค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นด้วยการทำประกันสุขภาพเหตุผลที่ประกันสุขภาพควรเป็นของขวัญชิ้นแรกสำหรับเด็กแรกเกิด • เด็กเล็กมีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่าย ยิ่งปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นมากมาย หรือมีการพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง เช่น ไข้หวัด หรือโรดระบาดล่าสุดที่เกิดขึ้นอย่าง COVID-19 ที่มีสายพันธุ์มากมาย • เด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กแรกเกิด ไม่สามารถบอกได้ว่า ตนเองเจ็บป่วยหรือไม่สบาย ต้องอาศัยการสังเกตจากคุณพ่อคุณแม่ หากเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย เช่น หวัด ไอ เป็นไข้ตัวร้อน อาจซื้อยารับประทานเองได้ แต่หากเจ็บป่วยหนักหรือร้ายแรงกว่านั้น ต้องอาศัยการวินิจฉัยของคุณหมอหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ช่วยให้การรักษาทำได้ง่ายขึ้น เมื่อพบสาเหตุแต่เนิ่นๆ • สร้างความคุ้มครองตั้งแต่แรกเกิด ยิ่งทำประกันสุขภาพเร็ว ลูกยิ่งมีความคุ้มครองเร็ว หากรอให้ลูกโตหรือเข้าโรงเรียนก่อน ระหว่างนี้ลูกเจ็บป่วยหนัก อยากทำประกันสุขภาพ อาจทำไม่ได้ หรือทำได้ แต่ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อน หรือต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงขึ้น • ค่ารักษาพยาบาลไม่ใช่ถูก ๆ หากไม่ได้ทำประกันสุขภาพ และไม่ได้มีเงินก้อนสำรองไว้ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอาจกระทบการเงินของครอบครัว หรือแผนการเงินอื่นที่คุณพ่อคุณแม่เตรียมไว้ให้ลูกน้อยก็เป็นได้เลือกประกันสุขภาพให้ลูกน้อย ให้อุ่นใจและคุ้มค่าที่สุด • วงเงินคุ้มครองที่ต้องการ ประกันสุขภาพจะกำหนดความคุ้มครองรวมต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง ยิ่งวงเงินสูง ค่าเบี้ยประกันก็ยิ่งสูงตาม จึงควรเลือกวงเงินคุ้มครองที่มองว่าเพียงพอ รวมถึงต้องพิจารณาความสามารถในการชำระเบี้ยประกันทั้งนี้ หากแบ่งประกันสุขภาพตามความครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล อาจแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบเหมาจ่าย และแบบแยกค่าใช้จ่าย ซึ่ง “แบบแยกค่าใช้จ่าย” จะกำหนดวงเงินคุ้มครองรวมต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง และวงเงินคุ้มครองค่ารักษาแต่ละรายการ เช่น ค่าห้อง ค่าหมอ ค่ายา ค่าผ่าตัด หากรายการค่ารักษาใดเกินวงเงิน คุณพ่อคุณแม่ต้องจ่ายเงินส่วนต่างที่เกิดขึ้นของรายการนั้น ๆ ขณะที่ “แบบเหมาจ่าย” จะกำหนดเพียงวงเงินคุ้มครองรวมต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง โดยไม่กำหนดวงเงินคุ้มครองค่ารักษาแต่ละรายการ หรือกำหนดเพียงบางรายการ เช่น ค่าห้องเมื่อประกันแบบเหมาจ่ายมีโอกาสครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นมากกว่าแบบแยกค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าค่าเบี้ยประกันแบบเหมาจ่ายก็ย่อมสูงกว่า ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการทำประกันสุขภาพให้ลูกน้อย โดยให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นมากที่สุด สามารถเลือกประกันแบบเหมาจ่าย โดยต้องยอมรับค่าเบี้ยประกันที่สูงขึ้นได้ • โอกาสเจ็บป่วยไม่สบายเล็กน้อยโดยทั่วไปประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองกรณี “ผู้ป่วยใน” (IPD) หรือการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล สำหรับความคุ้มครองกรณี “ผู้ป่วยนอก” (OPD) หรือเข้ารับการรักษาโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล คุณพ่อคุณแม่ต้องทำเพิ่มเติมหรือเลือกแบบประกันที่มีความคุ้มครองผู้ป่วยนอกรวมอยู่ด้วยความคุ้มครองกรณีผู้ป่วยนอก จะกำหนดวงเงินคุ้มครองการรักษาแต่ละครั้ง เช่น สูงสุด 2,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งค่าหมอและค่ายากลับบ้านจะรวมอยู่ในวงเงินดังกล่าว รวมถึงกำหนดจำนวนครั้งของการรักษาต่อปี เช่น 30 ครั้งต่อปีหากคุณพ่อคุณแม่มองว่า ลูกมีโอกาสเจ็บป่วยไม่สบายบ่อย หรืออาจไม่รุนแรงถึงขั้นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล สามารถทำประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครองผู้ป่วยนอก ทั้งนี้ ประกันสุขภาพที่มีความคุ้มครองผู้ป่วยนอกจะมีค่าเบี้ยประกันที่สูงกว่าแบบที่มีผู้ป่วยในอย่างเดียว • ความคุ้มครองสุขภาพของคุณพ่อคุณแม่บริษัทประกันบางแห่งจะมีส่วนลดเบี้ยประกันสุขภาพให้ครอบครัว สำหรับคุณพ่อหรือคุณแม่ และลูก รวมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เช่น ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน 5%คุณพ่อหรือคุณแม่ต้องพิจารณาว่ามีสวัสดิการจากแหล่งอื่นที่คุ้มครองสุขภาพหรือไม่ เช่น ความคุ้มครองสุขภาพกลุ่มของบริษัทที่ทำงาน ถ้าไม่มี หรือมีแต่อาจไม่เพียงพอ ก็สามารถทำประกันสุขภาพแบบครอบครัว เพื่อให้มีความคุ้มครองครอบคลุม และได้รับส่วนลดค่าเบี้ยประกันอีกด้วย ซึ่งคุณพ่อหรือคุณแม่อาจจ่ายเบี้ยประกันโดยรวมเพิ่มหลักหมื่น แต่ได้ความคุ้มครองสุขภาพให้ตนเองเพิ่มถึงหลักล้าน • รูปแบบการทำประกันสุขภาพการทำประกันสุขภาพ สามารถเลือกทำ “แบบเดี่ยว” หมายถึง ทำเฉพาะประกันสุขภาพเท่านั้น และเลือกทำ “แบบพ่วง” หมายถึง ต้องทำประกันชีวิตก่อน จึงจะสามารถทำประกันสุขภาพแนบท้ายประกันชีวิต ถ้าเทียบค่าเบี้ยประกัน การซื้อประกันสุขภาพแบบเดี่ยวจะถูกกว่าเพราะไม่เสียค่าเบี้ยประกันชีวิต แต่โอกาสที่เบี้ยประกันจะสูงขึ้นในปีถัดๆ ไปก็จะมีมากกว่า เพราะถือเป็นประกันวินาศภัยที่การปรับขึ้นเบี้ยประกันในปีต่ออายุทำได้ง่ายกว่า ทั้งนี้ ไม่ว่าจะทำประกันสุขภาพแบบเดี่ยว หรือแบบพ่วง ก็สามารถเคลมหรือเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลได้ตามวงเงินคุ้มครองที่กำหนดหากทำประกันสุขภาพแบบพ่วง คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกแบบประกันชีวิตให้ตอบโจทย์แผนการเงิน เช่น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ที่เมื่อครบกำหนดสัญญา และชำระเบี้ยประกันครบตามเงื่อนไข จะมีการจ่ายผลตอบแทนเป็นเงินก้อน เพื่อเป็นทุนการศึกษา หรือเงินก้อนตั้งต้นชีวิตให้ลูก หรือประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ที่ให้ความคุ้มครองสูง คุ้มครองนานหลายปี ขณะที่เบี้ยประกันไม่แพง ซึ่งช่วยให้ลูกมีความคุ้มครองชีวิตยาวนานจนลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเลือกประกันสุขภาพแบบไหนให้ลูก เรื่องสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจ นั่นคือ ข้อยกเว้นไม่คุ้มครอง รวมถึงระยะเวลารอคอยหรือระยะเวลาที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครอง (Waiting Period) ซึ่งบริษัทประกันแต่ละแห่งจะกำหนดระยะเวลารอคอยแตกต่างกัน เช่น 15 วัน 30 วัน ดังนั้น ก่อนเลือกทำประกันสุขภาพให้ลูก ควรศึกษารายละเอียดให้ดีประกันสุขภาพ เป็นสัญญาปีต่อปี และเบี้ยประกันจัดเป็นเบี้ยทิ้ง หมายถึง หากปีใดไม่มีการเคลมหรือเรียกร้องค่ารักษาพยาบาล ความคุ้มครองจะหมดไป ไม่มีเงินคืนให้ อาจมีเพียงส่วนลดค่าเบี้ยประกันให้ในปีถัดไป ทั้งนี้ อยากให้คุณพ่อคุณแม่มองว่า การทำประกันสุขภาพให้ลูกน้อย เสมือนการจ่ายเงินก้อนเล็ก เพื่อลดโอกาสจ่ายเงินก้อนใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยก่อนทำประกันสุขภาพให้ลูกน้อย ควรพิจารณากำลังความสามารถในการจ่ายค่าเบี้ยประกันว่าไม่เป็นภาระหนักจนเกินไปแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1688554
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
สกู๊ปพืช
13/11/2024
ใครที่ชื่นชอบธรรมชาติและความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ ห้ามพลาดที่ “ช้างทอง เฮอริเทจ ปาร์ค” จ.เชียงใหม่ พิพิธภัณฑ์ต้นไม้โบราณแห่งแรกของไทย ที่รวบรวมพรรณไม้ดึกดำบรรพ์อายุกว่าร้อยปีมาไว้ให้ได้ชมและเรียนรู้บรรยากาศความสดชื่นของธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น เสมือนเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะชื่นชอบบรรยากาศสบายๆ แบบนี้ ซึ่งหากว่าใครได้เดินทางไปที่ จ.เชียงใหม่ ก็มีสถานที่แบบนี้ให้ไปแวะชมกันที่นี่คือ “ช้างทอง เฮอริเทจ ปาร์ค” พิพิธภัณฑ์ต้นไม้โบราณแห่งแรกของไทย และเป็นต้นโบราณที่ยังมีชีวิต นำมารวบรวมไว้เพื่อการอนุรักษ์และส่งต่อมรดกนี้ให้กับคนไทย“ช้างทอง เฮอริเทจ ปาร์ค” ตั้งอยู่บนถนนวงแหวนรอบสาม ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และเพิ่งเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาโครงการนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของ บุญรักษ์ ธนเจริญโรจน์ หรือ ช้าง นักออกแบบและจัดสวน รวมถึงยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพรรณไม้ใหญ่ขุดล้อมสำหรับงานภูมิทัศน์ของเมืองไทย ที่มีประสบการณ์ออกแบบการจัดสวนมากว่า 30 ปีโดยมีความตั้งใจอยากรวบรวมรักษา และอนุรักษ์ต้นไม้โบราณเหล่านี้ไว้ให้เป็นมรดกของคนรุ่นต่อไป เปิดพื้นที่ให้ประชาชนทั่วไปและคนรุ่นใหม่ได้เข้ามาศึกษา และเห็นคุณค่าของทรัพยากรไทย รวมถึงตั้งใจให้เป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจให้แก่คนเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวที่นี่นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ต้นไม้โบราณที่ยังมีชีวิต ซึ่งเมื่อเดินเข้ามาแล้วก็จะสัมผัสได้ถึงความสดชื่นและร่มรื่น ด้านในมีทั้งต้นไม้โบราณ ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ และต้นไม้หายากกว่า 2,000 ต้น ถูกรวบรวมไว้บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ โดยมีทั้งต้นกระบกหรือต้นพูนทรัพย์, ต้นตีนเป็ดพรุ, ต้นนางกวัก, ต้นพะยอม, ต้นตะแบก แต่ละต้นอายุนับร้อยปี หรือบางต้นก็หลายร้อยปีหากเดินเข้าไปด้านในก็จะเห็นต้นมะพร้าวรูปร่างแปลกตา ซึ่งเป็นความแปลกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ทั้งต้นมะพร้าวที่มีลำต้นโค้งเป็นเกลียว หรือต้นมะพร้าว 2 ยอดซึ่งต้นไม้โบราณเหล่านี้ ถูกจัดวางและตกแต่งในสไตล์ ทรอปิคอล มอส การ์เด้น หรือเป็นสวนป่าเขตร้อนที่มีพรรณไม้หลากหลายชนิด และมีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา บางจุดของสวนจะมีการปล่อยไอน้ำให้ชุ่มชื้น ดูแล้วเหมือนเดินอยู่ในผืนป่าดึกดำบรรพ์จริงๆ บางจุดก็มีน้ำตกเล็กๆ ให้บรรยากาศสบายๆ ชวนนั่งพักผ่อน และที่นี่ก็ยังมี "Spiral Coco" เป็นคาเฟ่ท่ามกลางสวนสีเขียวให้แวะพักจิบเครื่องดื่มกันสบายๆนับได้ว่า “ช้างทอง เฮอริเทจ ปาร์ค” เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเชียงใหม่ และยังเป็นพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางความสดชื่นของธรรมชาติ“ช้างทอง เฮอริเทจ ปาร์ค” ตั้งอยู่บนถนนวงแหวนรอบสาม ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 09.30-16.30 น. ค่าเข้าชม คนไทย 150 บาท ต่างชาติ 250 บาท (สามารถนำหางบัตรไปเป็นส่วนลดในคาเฟ่ได้) สอบถามเพิ่มเติม โทร. 08-6613-7924 Facebook : Changthong Heritage Park ช้างทอง เฮอริเทจ ปาร์คแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/travel/detail/9670000108048
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
13/11/2024
หนาวนี้ห้ามพลาด! ชวนขึ้นเหนือเยือนแม่ฮ่องสอน ดูทะเลหมอกยามเช้า ชมความงามทุ่งดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ บานสะพรั่งรับลมหนาวเพียงปีละครั้ง ช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2567นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ภาคเหนือของประเทศไทยเป็นหนึ่งหมุดหมายอันสำคัญที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มักจะเดินทางไปเยือน ด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง มีอากาศเย็นสบาย จึงเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวพักผ่อนกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ขอเชิญชวนมาท่องเที่ยวจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะบนถนนสาย มส.4009 อำเภอขุนยวม เป็นถนนที่มีระยะทาง 54 กิโลเมตร แต่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อประจำจังหวัด อาทิ อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ ดอยภูชี้เพ้อ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี อีกทั้งเป็นสถานที่ตั้งของแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง "ทุ่งดอกบัวตอง" ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งจะบานเพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ตั้งอยู่บนดอยแม่อูคอพื้นที่มากกว่า 500 ไร่ โอบล้อมไปด้วยหุบเขาที่สลับซับซ้อนคล้ายคลื่นทะเล มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,600 เมตร ทำให้มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวดอยแม่อูคอจะถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีขาวตัดกับสีเขียวของทิวเขา และสีเหลืองทองของดอกบัวตองที่เหมาะแก่การถ่ายรูปเช็กอินเป็นอย่างมากนอกจากนี้ ตลอดสองข้างทางก่อนถึงดอยแม่อูคอ ยังเรียงรายไปด้วยดอกบัวตองเหลืองอร่าม เสมือนธรรมชาติกำลังนำพาไปพบกับความงดงามอันยิ่งใหญ่จากสิ่งที่ธรรมชาติเป็นผู้เนรมิตแบบ 360 องศา ทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติอย่างแท้จริงสำหรับในปี 2567 จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีกำหนดจัดงาน "เทศกาลดอกบัวตองบานบนดอยแม่อูคอ" ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรมชาติพันธุ์ แวะซื้อสินค้าจากชาวบ้านที่ตลาดม้ง พร้อมนั่งดื่มกาแฟเด็กดอยชมวิวนาขั้นบันไดและธรรมชาติของดอยแม่อูคออีกด้วยโดยการเดินทางเริ่มจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ระยะทาง 90 กิโลเมตร ใช้เส้นทางไปยัง อำเภอขุนยวม ทล.108 (แม่ฮ่องสอน - ขุนยวม) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ทล.1263 บริเวณสามแยกขุนยวม และเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสาย มส.4009 ตามป้ายแนะนำแหล่งท่องเที่ยวของ ทช. และเดินทางต่อไปอีกประมาณ 14 กิโลเมตร จะถึงจุดหมายปลายทาง อันเป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่ครั้งหนึ่งในชีวิตควรหาโอกาสไปชมให้ได้อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โปรดขับขี่ยานพาหนะด้วยความระมัดระวัง สังเกตป้ายเตือน ป้ายบอกทาง และสัญญาณไฟตลอดการเดินทาง สอบถามรายละเอียดเส้นทางเพิ่มเติมได้ที่ แขวงทางหลวงชนบทแม่ฮ่องสอน โทร 0 5361 2162 หรือ สายด่วน ทช. โทร 1146ข้อมูล กรมทางหลวงชนบทแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจ https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1152379
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การทำงาน
12/11/2024
"ทุกวันนี้ตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนน่าตกใจ เปิด 8 อาชีพมาแรง ที่ทั่วโลกต้องการอย่างมากในอนาคต หมดห่วงถูกเทคโนโลยีแย่งงาน ไม่ตกงานแน่นอน"ทุกวันนี้ตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนน่าตกใจ อาชีพบางอย่างที่หลายคนคิดว่ามั่นคง ตอนนี้อาจจะไม่ใช่แบบนั้น โดย World Economic Forum ระบุว่า ภายในปี 2020 จะมีคนตกงานมากกว่า 5-7 ล้านคน จากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทว่า...ในอีกด้านก็จะมีบางอาชีพเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น อย่างรายงานเรื่อง "The Future of Jobs" ที่สำรวจผู้บริหารกว่า 350 บริษัท ของ 15 ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ระบุว่า 8 อาชีพสุดมั่นคง เป็นที่ต้องการสูงของตลาดแรงงานทั่วโลก มีดังนี้อาชีพมาแรง อนาคตไม่ต้องกลัวตกงานนักวิเคราะห์ข้อมูล นักวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นอาชีพที่สำคัญมากกับทุกอุตสาหกรรมในอนาคต เมื่อโลกต้องเชื่อมต่อกันด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล หลายบริษัทจึงจำเป็นต้องมีคนที่เข้ามาจัดการข้อมูลเหล่านี้ให้เป็นระบบ เพื่อนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ได้นักคอมพิวเตอร์-นักคณิตศาสตร์อาชีพที่ต้องใช้ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และคณิตศาสตร์จะยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น โปรแกรมเมอร์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และนักวิเคราะห์ความปลอดภัยของข้อมูล สถาปนิก-วิศวกรคาดการณ์ว่าในปี 2020 แรงงานในกลุ่มนี้จะยังคงเป็นอาชีพที่มั่นคงและเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านตำแหน่งทั่วโลก ยิ่งถ้าเป็นกลุ่มวิศวกรเฉพาะทาง อย่างเช่น เคมีชีวภาพ, นาโนเทคโนโลยี, หุ่นยนต์ และวิศวกรรมวัสดุ จะเป็นกลุ่มที่ในวงการอุตสาหกรรมต้องการตัวเป็นอย่างมาก พนักงานขายที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแต่ทุกธุรกิจก็ยังต้องการพนักงานขายเฉพาะด้านที่เข้าใจเรื่องนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง ยิ่งปัจจุบันที่สื่อดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การสื่อสารทำความเข้าใจเรื่องยาก ๆ ให้กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับลูกค้า ย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นสุด ๆผู้จัดการระดับสูงธุรกิจคงต้องหยุดชะงัก เดินหน้าต่อไม่ได้แน่ ๆ หากขาดผู้จัดการที่มีประสบการณ์ในการวางแผน วิเคราะห์เทรนด์ในอนาคตอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสื่อ และธุรกิจบันเทิงนักออกแบบผลิตภัณฑ์เราอาจจะใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนฝ่ายผลิตในโรงงานได้ แต่งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ คงอีกนานที่โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะสามารถทดแทนคนได้จริง ๆ โดยอุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งนักออกแบบผลิตภัณฑ์ ก็ยังมีอยู่มากมาย เช่น รถยนต์ อุปกรณ์เครื่องใช้ สินค้าในโรงงาน รวมถึงแก็ดเจ็ตต่าง ๆนักพัฒนาองค์กร แน่นอนว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีจะทำให้หลายอาชีพหายไป และมีอาชีพใหม่ ๆ มาทดแทน หลาย ๆ องค์กรจึงต้องมีนักพัฒนาองค์กร หรือฝ่ายบุคคลที่มีทักษะในการคัดกรองและอบรมพนักงานใหม่ ๆ ที่กำลังจะเข้ามาให้เหมาะสมกับองค์กร ทั้งนี้ มีรายงานว่า กว่า 65% ของบริษัททั่วโลก กำลังลงทุนในเรื่องพัฒนาคน เพิ่มทักษะใหม่ ๆ กันอย่างเข้มข้นนักกฎหมายการที่บริษัทนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงคือ เทคโนโลยีนั้นผิดกฎหมายหรือเปล่า หรือขัดกับหลักเกณฑ์กำกับดูแลด้านไหนหรือไม่ แน่นอนว่านักกฎหมายจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น หากมีบริษัทพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ บริษัทนั้นก็จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ทำหน้าที่ประสานกับหน่วยงานของรัฐได้เพื่อไม่ให้ขัดต่อกฎเกณฑ์ต่าง ๆแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับไทยนิวส์https://www.thainewsonline.co/lifestyle/877545
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันชีวิต
12/11/2024
กรุงเทพฯ, 12 พฤศจิกายน 2567 – เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นางสาวชลิดา นครชัย ผู้อำนวยการฝ่าย digital x เป็นตัวแทนรับมอบรางวัล theAsianparent Awards 2024 ในหมวด Parents' Choice Best Family Insurance หรือสุดยอดประกันสำหรับครอบครัวในดวงใจของคุณพ่อคุณแม่ จากผลิตภัณฑ์ ‘AIA Health Happy Kids’ แผนประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเติมเต็มความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ลดภาระและคลายความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเมื่อลูกน้อยเจ็บป่วย ครอบคลุมการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยสามารถเลือกความคุ้มครองได้ถึง 4 แผน สูงสุดถึง 25 ล้าน คุ้มครองค่าบริการทางการแพทย์และยาสูงสุด 40,000 บาท/ครั้ง[1] รับประกันตั้งแต่อายุ 15 วัน ถึง 10 ปี และสามารถต่ออายุได้ถึง 98 ปี คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี กรณีเป็นโรคร้ายแรง ยังได้รับผลประโยชน์สูงสุดเพิ่มเป็น 2 เท่า[2] และต่อเนื่องรวมเป็น 4 ปีกรมธรรม์สำหรับรางวัลอันทรงเกียรติในครั้งนี้ เอไอเอ ได้รับการโหวตผ่านการลงคะแนนทางแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ของ theAsianparent จากคุณพ่อ-คุณแม่ซึ่งเป็นผู้บริโภคหลักของสินค้าและบริการ นับเป็นการตอกย้ำความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วประเทศที่มีต่อเอไอเอ แบรนด์ประกันชีวิตอันดับ 1 ในไทยที่ได้ดูแลมอบความคุ้มครองครอบครัวและคนไทยมานานกว่า 86 ปีโดยเอไอเอยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ที่สอดรับกับความต้องการที่ครอบคลุมทุกช่วงชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว พร้อมอยู่เคียงข้างเป็น Life Partner ผู้ให้คำปรึกษารอบด้านสำหรับลูกค้า เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
11/11/2024
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรดร.นิเวศน์ ต้นแบบนักลงทุนวีไอ เขียนบทความ “เมื่อนักล่ากลายเป็นเหยื่อ” ชูเคส “ดิไอคอน-คอร์เนอร์หุ้น” ชี้มนุษย์เรามีความโลภที่อยากจะได้เงินมาก ๆ อย่างรวดเร็วและมักจะใช้วิธีการที่จะกินเงินหรือแย่งทรัพยากรจากคนอื่นในทุกวิถีทาง การฉ้อฉลหลอกลวงเป็นทางหนึ่งที่ทำได้ง่าย และวิธีทำที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดก็คือ การหลอกให้ “เหยื่อ” คิดว่าตนเองสามารถเป็น “นักล่า”ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เปิดเผยว่า ช่วงเร็ว ๆ นี้ ในสังคมไทยเกิดปรากฏการณ์หลายกรณีที่อยู่ดี ๆ คนที่เคยมีอำนาจ มีบทบาท และเป็นที่ยอมรับในสังคมว่าเป็น คนเก่ง คนดี คนที่มีความสามารถ คนที่ต่อสู้เพื่อช่วยเหลือคนอื่นที่อาจจะถูกทำร้าย ถูกทำลาย ถูกหลอกลวงให้เสียหาย ก็กลับกลายเป็นคนที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนไม่ดีที่หลอกลวง ทำร้ายคนอื่นด้วยอำนาจหรือความสามารถที่ตนมี และกำลังถูกกล่าวโทษโดยคนที่ก่อนหน้านั้น อาจจะเป็นคนที่ตกทุกข์ได้ยากและต้องการความช่วยเหลือในฐานะ “เหยื่อ” ของ “นักล่า”ปรากฎการณ์ที่ “นักล่า” ซึ่งก็คือคนที่เก่งกว่า มีพลังอำนาจมากกว่า เข้าไปล่า “เหยื่อ” นั้น ผมนำมาประยุกต์ใช้กับกิจกรรมของมนุษย์ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องของสงครามไปจนถึงการเงินที่ฝ่ายนักล่าจะเป็นผู้ที่ “บุก” เข้าไปต่อสู้แข่งขันเพื่อเอาชนะ “เหยื่อ” ที่อ่อนแอกว่า แล้วก็กวาดทรัพยากรหรือทรัพย์สมบัติของเหยื่อมาเป็นของตนเองนักล่าจำนวนไม่น้อย เคยประสบความสำเร็จมาอย่างใหญ่หลวงจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางและก็เป็นที่น่าหวาดกลัวสำหรับเหยื่อ รวมถึงเป็นที่น่าเกรงขามในหมู่นักล่าอื่น ๆ ที่อาจจะอิจฉาและพร้อมที่จะเข้ามา “ทำลาย” บารมีนั้นถ้ามีโอกาส และนั่นก็คือวันที่ “นักล่า” กลายเป็น “เหยื่อ” เสียเองอย่างไม่ทันตั้งตัวตัวอย่างของสงครามก็คือในศึกสตาลินกราด ที่กองทัพเยอรมันบุกโซเวียตรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงที่สามารถยึดยุโรปตะวันตกได้แทบทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น และเหยื่อรายต่อไปก็คือรัสเซีย ซึ่งก็คือ “นักล่าระดับรอง” รายหนึ่งที่บุกยึดโปแลนด์ร่วมกับเยอรมันมาก่อนหน้าแล้วเยอรมันบุกถึงสตาลินกราดและได้เข้าล้อมเมืองไว้ 3 ด้าน โดยที่ด้านหลังของเมืองติดแม่น้ำโวลกา กองทัพโซเวียตถูกต้อนเข้าไปจนมุมและดูเหมือนว่าจะต้องแพ้อย่างย่อยยับแน่นอน แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้และดึงเกมการสู้รบยาวนานอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยซากอาคารปลักหักพัง และรอเวลาที่กองทัพใหญ่จากจุดอื่นของโซเวียตจะตีโอบล้อมกองทัพเยอรมันอีกชั้นหนึ่ง ผลก็คือ เยอรมันที่ล้อมกองทัพโซเวียตติดอยู่ที่ “มุม” กลับกลายเป็นว่าเยอรมันเป็นฝ่ายที่ถูกล้อมเสียเองเพราะฮิตเลอร์ไม่ยอมให้กองทัพถอยก่อนที่จะถูกล้อมเยอรมันในฐานะที่เป็น “นักล่า” กลายเป็น “เหยื่อ” ที่ถูกกองทัพโซเวียตทำลายย่อยยับ ศึกสตาลินกราดถือว่าเป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เยอรมันเป็นฝ่ายแพ้สงครามแทนที่จะเป็นประเทศที่จะ “ครองโลก”ความผิดพลาดของเยอรมันก็คือ อีโก้ที่สูงเกินไปของฮิตเลอร์ เขาอยากยึดสตาลินกราดที่อยู่ห่างจากเยอรมันหลายพันกิโลเมตร ซึ่งทำให้กำลังความเข้มแข็งของกองทัพลดลงมากโดยเฉพาะในด้านของการส่งกำลังบำรุงในช่วงฤดูหนาว เหตุผลของการบุกที่จริงก็เพื่อเข้ายึดแหล่งน้ำมันทางภาคใต้ที่อยู่เลยสตาลินกราดไป แต่เขาอยากยึดสตาลินกราดซึ่งเป็นชื่อของสตาลินผู้นำสูงสุดก่อนเพื่อข่มขวัญรัสเซีย ข้อสรุปก็คือ ฮิตเลอร์ ล่า “เหยื่อ” ตัวใหญ่เกินไป ดังนั้นเมื่อพลาด เขาก็เป็นเหยื่อเสียเองคดีดิไอคอนที่อาจเป็นเรื่องฉ้อฉลหลอกลวงประชาชนจำนวนมากที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ดูเหมือนว่าจะใช้โมเดลหรือรูปแบบ “แชร์ลูกโซ่” โดยที่ “นักล่า” ออกแบบให้คล้ายกับการ “ขายตรงหลายชั้น” ในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความงาม ซึ่งเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสมาตลอด และก็เป็นระบบการขายที่ไม่ได้ผิดกฎหมาย มีการทำกันไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ข้อถกเถียงก็คือ สินค้านั้น ขายได้จริงหรือเป็นแค่อุปกรณ์ประกอบในการหลอกลวง นั่นเป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์กันต่อไปประเด็นก็คือ ผู้บริหารหลักหรือ “บอส” นั้น เป็นผู้ที่ทำเงินได้มากที่สุดและเป็น “นักล่า” ในความหมายของบทความนี้ กลุ่มที่เป็น “แม่ทีม” ที่เป็น “รายใหญ่” ในเครือข่ายการขายตั้งแต่แรกก็คงคิดว่าตนเองเป็น “นักล่า” ที่จะได้เงินจากกิจกรรมนี้ กลุ่มสุดท้ายที่เป็น “ลูกทีม” นั้น ถ้ามองจากคนภายนอกที่เป็นนักวิเคราะห์ก็คือ “เหยื่อ” แม้ว่าเจ้าตัวจะคิดว่าตนเองก็เป็น “นักล่า” เช่นเดียวกันแต่ผลสุดท้าย เหล่าบอส “นักล่า” ที่ใช้กลเกมฉ้อฉลหลอกล่อ “เหยื่อ” คือบรรดาลูกทีมทั้งหลายก็พลาดท่า กลับกลายเป็น “เหยื่อ” คือถูกจับและกล่าวโทษ เงินทองทั้งหลายคงถูกยึดไปหมดและอาจจะต้องโทษรุนแรงในที่สุดอีกคดีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับทนายหลายคน ซึ่งเคยเป็นทนายที่มีชื่อเสียง มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ และมีบทบาทในฐานะที่เป็นผู้ปราบ “คนร้าย” เพี่อ “ผดุงความยุติธรรม” ซึ่งในบทความนี้ผมเรียกว่าเป็น “นักล่า” นั้น อยู่ ๆ ในเวลาแทบจะแค่ “ข้ามคืน” กลับกลายเป็น “เหยื่อ” ที่กำลังถูกกล่าวโทษและถูกจำคุก โดย “เหยื่อ” ที่กลายเป็น “นักล่า”ในวงการหุ้นเองนั้น ปรากฎการณ์นักล่า กับเหยื่อ ก็เกิดขึ้นบ่อยมาก โดยเฉพาะในหุ้นที่มีการ Corner หรือหุ้นที่มี Free Float ต่ำที่ถูกนักลงทุนรายใหญ่บางคนหรือบางกลุ่มเข้าไปกวาดซื้อเพื่อดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นไปเกินพื้นฐานมาก ๆ ในระยะเวลาอันสั้นนักล่าก็คือคนที่คอร์เนอร์หุ้น ซึ่งมีกระบวนการหลายอย่างรวมถึงการเผยแพร่บทวิเคราะห์หรือความเห็นของ “เซียน” ที่บอกว่าหุ้นนั้นกำลังมีผลงานดีสุดยอดในด้านของพื้นฐาน บริษัทมีความแข็งแกร่งโดดเด่นและยอดขายจะโตระเบิดจากสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยที่สุดในขณะนั้นที่สำคัญที่สุดในกระบวนการก็คือ คนที่รู้เรื่องดีที่สุดซึ่งบ่อยครั้งก็รวมถึงผู้บริหารและเซียนหรือนักลงทุนรายใหญ่ต่างก็เข้าไประดมซื้อหุ้นอย่างรุนแรงซึ่งทำให้ราคาหุ้นขึ้นไประดับหนึ่งก่อนที่จะมีประกาศงบการเงินที่ดูดีและเติบโตขึ้นมากหลังจากนั้น คนกลุ่มที่สองที่ก็อาจจะเป็นรายใหญ่พอสมควร แต่ไม่ใช่นักคอร์เนอร์ ก็จะเข้ามาร่วมและดันให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเร็วขึ้นไปอีกพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่วิ่งขึ้นไปอย่างผิดสังเกตในเวลาอันสั้น อาการของหุ้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน จากหุ้นที่ราคาไม่ค่อยเคลื่อนไหวและปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง กลายเป็นหุ้นที่คึกคัก ราคาวิ่งขึ้นเป็นหลาย ๆ เปอร์เซ็นต์ หรือบางทีเกิน 10% ต่อวัน ปริมาณการซื้อขายต่อวันเพิ่มขึ้นบางทีเป็น 10 เท่าโดยที่ไม่มีข่าวสำคัญอะไรกับตัวบริษัท คนกลุ่มนี้ผมเรียกว่าเป็น “นักล่าระดับรอง”กลุ่มสุดท้ายคือนักเล่นหุ้นรายย่อยและเล่นหุ้นแบบวันต่อวันเป็น “Day Trader” ที่มักคิดว่าตนเองเป็น “นักล่า” แต่อาจจะ “ล่าหาค่ากับข้าว” แต่ที่จริงแล้วก็เป็น “เหยื่อ” เป็นกลุ่มนักลงทุนที่มีจำนวนมาก การเข้าไปซื้อขายหุ้นทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปแบบติดจรวด หุ้นถูกคอร์เนอร์รุนแรง ราคาหุ้นขึ้นไปหลายเท่าในเวลาอันสั้น ค่า PE ของหุ้นขึ้นไปบางที 30-40 เท่า บางตัวขึ้นถึงเกือบ 100 เท่า มูลค่าตลาดของกิจการหรือ Market Cap. สูงเป็นหมื่นล้านบาทสำหรับกิจการขนาดเล็กที่ยอดขายอาจจะแค่หลักพันล้านบาท และในบางกรณีก็อาจสูงเป็น “ล้านล้านบาท” แม้ว่ากิจการอาจจะเป็นแค่ “หุ้นระดับกลาง ”ในระยะหลัง ๆ โดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นตกต่ำ หลายครั้งหุ้นที่ถูกโปรโมตว่าเป็นหุ้นในระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” กลับแสดงผลงานที่น่าผิดหวังมาก หุ้นถูกขายทิ้งอย่างหนักทำให้ราคาตกต่ำลงอย่างกระทันหันแม้แต่คนที่ทำคอร์เนอร์เองก็ขายไม่ทัน สุดท้ายเมื่อราคาร่วงลงไปต่ำกว่าต้นทุนและบางกรณีถูกบังคับขายจากโบรกเกอร์ที่ปล่อยมาร์จิน หายนะก็บังเกิดขึ้น คนที่ทำคอร์เนอร์หุ้นหรือ “นักล่า” กลายเป็น “เหยื่อ” หรือเป็นคน “ถูกล่า”เรื่องราวทั้งหมดของบทความนี้ คือความพยายามที่จะบอกว่า มนุษย์เรามีความโลภที่อยากจะได้เงินมาก ๆ อย่างรวดเร็วและมักจะใช้วิธีการที่จะกินเงินหรือแย่งทรัพยากรจากคนอื่นในทุกวิถีทาง การฉ้อฉลหลอกลวงเป็นทางหนึ่งที่ทำได้ง่าย และวิธีทำที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดก็คือ การหลอกให้ “เหยื่อ” คิดว่าตนเองสามารถเป็น “นักล่า” ได้เช่นเดียวกันโดยทำแบบเดียวกับนักล่า ซึ่งก็จะได้เงินและสามารถใช้ชีวิตที่หรูหราแบบเดียวกับนักล่าอย่างไรก็ตาม ในหลายครั้งและในบางสถานการณ์ “ความผิดพลาด” ก็เกิดขึ้นได้ ในชั่วข้ามคืน นักล่ากลับมีชีวิตที่พลิกผัน กลายเป็นคนที่เสียหายอย่างรุนแรงที่สุด กลายเป็นเหยื่อที่มี “นักล่า” ทั้งตัวเล็กตัวน้อยจำนวนมาก และก็อาจจะมีนักล่าตัวใหญ่ด้วย เข้ามารุมล่า “เหยื่อ” ที่เคยเป็น “นักล่า” ตัวใหญ่อย่างไร้ความปราณีโดยส่วนตัวผมเองในฐานะของนักลงทุน ผมไม่ต้องการเป็น “นักล่า” ผมเป็น “สัตว์กินพืช” ที่โตช้า ๆ แต่มั่นคง ที่พยายามหลีกเลี่ยงนักล่า ผมไม่อยากเป็น “เหยื่อ” ดังนั้น สิ่งที่ทำก็คือ ผมพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นเหล่านั้นไม่ว่าคนเขาจะบอกว่ามันดีแค่ไหนแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1692030
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
11/11/2024
นายไพบูลย์ เปี่ยมเมตตา ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเบี้ยประกันภัยสุขภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้น และค่ารักษาพยาบาลที่เกินความจำเป็นทางการแพทย์ ทำให้ประชาชนเข้าถึงการประกันภัยสุขภาพได้ยาก เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว สำนักงาน คปภ. จึงได้หารือเร่งด่วนกับภาคธุรกิจเพื่อหาแนวทางควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลให้เหมาะสม และต้องไม่กระทบต่อสิทธิของผู้เอาประกันภัยโดยสำนักงาน คปภ. ได้นำเสนอให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพ ที่เป็นทางเลือกให้กับผู้เอาประกันภัย เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เช่น กรณีที่มีอาการป่วยเล็กน้อย ให้สามารถไปซื้อยาได้เองจากร้านขายยา หรือกรณีที่ให้ผู้ป่วยร้องขอให้แพทย์ออกใบสั่งยาเพื่อไปซื้อยาเองจากร้านขายยา เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ชะลอการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัย พร้อมทั้งได้จัดเตรียมทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการประกันภัยสุขภาพ ภาคสมัครใจ เพื่อกำหนดแผนดำเนินการในการแก้ไขปัญหาการประกันภัยสุขภาพแบบยั่งยืนที่ไม่ใช่แก้ไขปัญหาเฉพาะบางประเด็นนอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ขอความร่วมมือจากภาคธุรกิจประกันภัยในการนำเสนอแนวทางปฏิบัติและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สามารถช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ อีกทั้งส่งเสริมให้ประชาชนเรียนรู้ เข้าใจ และสามารถวางแผนใช้ประกันภัยสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความยั่งยืนและความเป็นธรรมให้กับระบบประกันภัยสุขภาพของประเทศไทยในส่วนของภาคธุรกิจประกันชีวิต ได้เสนอแนวปฏิบัติในการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลให้มีความเหมาะสม เพื่อไม่ให้เบี้ยประกันภัยสูงจนผู้เอาประกันภัยไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์ใน 3 ข้อ ดังนี้1. กำหนดหลักเกณฑ์ ให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุสัญญาเพิ่มเติมกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย (Renewal) หากผู้เอาประกันภัยมีการเคลมเกินความจำเป็นทางการแพทย์ หรือมีการเคลมด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัยแต่ละรายในรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่ร้อยละ 200 ของเบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุ ทั้งนี้บริษัทต้องมีการแจ้งรายละเอียดหลักเกณฑ์การพิจารณา Simple Diseases ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มโรคและข้อมูลทางคลินิกสำหรับการป่วยเล็กน้อยทั่วไปให้ผู้เอาประกันภัยได้ทราบตั้งแต่ตอนเสนอขาย2. กำหนดให้มีการจ่ายค่าธรรมเนียมในการศัลยกรรมและการทำหัตถการของแพทย์ ตามอัตราค่าธรรมเนียมในการศัลยกรรมและการทำหัตถการของแพทย์ไม่เกิน 100% ของค่าธรรมเนียมแพทย์ที่ 90 เปอร์เซ็นต์ไทล์ ตามที่กำหนดไว้ในคู่มือค่าธรรมเนียมแพทย์ของแพทยสภาประเทศไทย เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนค่าธรรมเนียมแพทย์และ 3. พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์เฉพาะกลุ่มการป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) สำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี เพื่อให้หลักเกณฑ์ดังกล่าวมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับเด็กซึ่งเปราะบางกว่ากลุ่มอายุอื่นทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ชี้แจงภาคธุรกิจว่า แนวปฏิบัติดังกล่าวได้มีการกำหนดไว้ในคำสั่งนายทะเบียน ที่ 14/2564 เรื่อง หลักเกณฑ์การให้ความเห็นชอบแบบและข้อความสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ ประเภทสามัญ แบบมาตรฐาน สำหรับบริษัทประกันชีวิต (New Health Standard) โดยภาคธุรกิจสามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในคำสั่งนายทะเบียนได้ อย่างไรก็ตามในส่วนของการปรับปรุงหลักเกณฑ์ Simple Diseases สำหรับเด็กให้มีความเหมาะสมก็สามารถดำเนินการได้หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์ทางการแพทย์ โดยปัจจุบัน สมาคมประกันชีวิตไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสม รวมถึงกลยุทธ์หรือเครื่องมือในการควบคุมค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติม และจะได้นำเสนอให้สำนักงาน คปภ. ทราบเพิ่มเติมต่อไปแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=173866
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ห้องแสดงนิทรรศการ
11/11/2024
คณะผู้จัดงานเทศกาล Awakening Festivals ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), สํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ, โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย, เครื่องดื่มชเวปส์, มารีเมกโกะ ไทยแลนด์, สีฟ้า ตลอดจนพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน จับมือสร้างปรากฏการณ์แห่งแสงสีกับ “Awakening Bangkok 2024” เทศกาลแสงไฟและศิลปะดิจิทัลประจำปีของกรุงเทพฯ ที่กลับมาปลุกเขตพระนครให้สว่างไสวด้วยไฟแห่งแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์อีกครั้ง ภายใต้ธีม “One Light, One Rises | ปลุกไฟย่าน เติมไฟคน” ระหว่างวันที่ 8-17 พฤศจิกายน 2567 เทศกาลแสงไฟและศิลปะดิจิทัลประจำปีของกรุงเทพฯ “Awakening Bangkok 2024” กลับมาจัดอีกครั้งเป็นปีที่ 7 ในธีม “One Light, One Rises | ปลุกไฟย่าน เติมไฟคน” ฟื้นคืนชีวิตให้ย่านเก่า เติมไฟและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คน โดยต่อยอดความสำเร็จจากปี 2023 จัดงานในเขตพระนครเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จัดแสดงศิลปกรรมไฟและศิลปะดิจิทัล 36 ชิ้น ให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติได้ตื่นตาตื่นใจ เชื่อมั่น สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกให้มาเยี่ยมชมเทศกาลได้ไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งจะก่อให้เกิดรายได้กระจายไปยังชุมชนและกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ให้คึกคัก ผลักดันเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เดินหน้าตามเป้าหมายพงศ์สิริ เหตระกูล ผู้อำนวยการเทศกาล Awakening เปิดเผยว่า “เราเชื่อว่าศิลปกรรมไฟและดิจิทัลไม่เพียงแต่ปลุกฟื้นย่านเก่า แต่ยังช่วยเติมไฟ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนด้วย Awakening Bangkok 2024 จึงกลับมาในธีม ‘One Light, One Rises | ปลุกไฟย่าน เติมไฟคน’ โดยปีนี้เป็นปีที่ 7 ของ Awakening Bangkok และเป็นปีที่ 2 ที่จัดขึ้นในเขตพระนคร หลังจากเมื่อปี 2566 การจัดงานใน 3 เส้นทางหลัก ถนนสนามไชย บำรุงเมือง และเฟื่องนคร ได้รับการตอบรับเกินคาดหมาย มียอดผู้เข้าชมสูงที่สุดนับตั้งแต่จัดงานมา ปีนี้เราจึงขยายเส้นทางไปยังพื้นที่สามยอด โดยแบ่งเป็น 4 เส้นทางเชื่อมต่อกัน เพื่อบอกเล่า 4 ธีมย่อย ได้แก่ Sustainability, Prosperity, Inclusivity และ Positivity ซึ่งจัดแสดงศิลปกรรมไฟและศิลปะดิจิทัลรวม 36 ชิ้น จากผลงานของนักออกแบบไทยและต่างชาติ รวมถึงนิสิตและนักศึกษาจากหลากหลายมหาวิทยาลัย โดยมีจุดแสดงหลัก ได้แก่ ยอดพิมานริเวอร์วอล์ก, ตลาดยอดพิมาน, มิวเซียมสยาม, สวนสราญรมย์, แพร่งภูธร, ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และสวนรมณีย์นาถ” ทั้งนี้ Awakening Bangkok 2024 นับเป็นอีกครั้งที่ภาครัฐและเอกชนผนึกกำลังร่วมกันเนรมิตที่สุดของเทศกาลแห่งแสงสีขึ้นใจกลางกรุงเทพมหานคร เพื่อเติมสีสันให้กับเมือง รวมถึงขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค โดยเฉพาะในเขตพระนคร ทำให้มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่าเดิมและก่อให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนมากขึ้นในระหว่างจัดงาน สะท้อนให้เห็นถึงพลังของศิลปะที่สามารถเข้าถึงผู้คนโดยไร้ขีดจำกัด โดย รองศาสตราจารย์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ทุกครั้งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเทศกาลแสงสี Awakening Bangkok ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากคนกรุงเทพฯ และนักท่องเที่ยวที่สนใจทางด้านศิลปวัฒนธรรม จึงนับเป็นหนึ่งในเทศกาลเมืองที่สำคัญ ซึ่งมีส่วนช่วยผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครแห่งศิลปวัฒนธรรมที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเป็นหนึ่งในหมุดหมายที่ดึงดูดประชาชนและนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยือนกรุงเทพฯ มากขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง สร้างความคึกคักทางเศรษฐกิจ ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือแบบบูรณาการระหว่างเมือง ชุมชน และหน่วยงานเกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนเมืองด้วยกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมที่สร้างสรรค์” นายอาชวันต์ กงกะนันทน์ รองผู้อำนวยการภูมิภาคภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “การจัดกิจกรรรม Awakening Bangkok นอกจากเป็นการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวหลักที่สำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงประวัติศาสตร์และความร่วมสมัย ยังเป็นอีกหนึ่งการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเดินทาง เชื่อมโยงระหว่างพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในและชั้นนอก กระตุ้นการใช้จ่ายและกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจได้ทั่วถึงทุกสินค้าท่องเที่ยว และทุกกลุ่มเป้าหมาย”นายภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เสริมว่า Awakening Bangkok เป็นเทศกาลที่มีเอกลักษณ์และนำเสนออัตลักษณ์ของเมืองได้อย่างสร้างสรรค์ เข้าถึงง่ายขึ้น และมีความทันสมัย รวมทั้งในปีนี้มีธีมที่นำเสนอการโอบรับความเท่าเทียม ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ภาครัฐต้องการเน้นย้ำตามนโยบายเป็นจุดหมายปลายทางที่โอบรับความหลากหลาย (Inclusive Destination) ทีเส็บเชื่อมั่นว่า Awakening Bangkok 2024 จะยังคงยืนหยัดเป็นเทศกาลที่เปี่ยมศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับชุมชนและคนในพื้นที่ ตลอดจนสามารถพัฒนาต่อไปสู่การเป็นเทศกาลนานาชาติได้ในอนาคต ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวไปสู่จุดหมายที่โดดเด่นในการจัดงานเทศกาลระดับโลก “หนึ่งในนโยบายของทีเส็บคือการปั้นงานเทศกาลไทยไปสู่เวทีระดับโลก ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งใช้ต้นทุนทางวัฒนธรรมยกระดับเศรษฐกิจไทย ซึ่ง Awakening Bangkok ถือเป็นเทศกาลที่มีศักยภาพ ได้รับการสนับสนุนจากทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง จึงนับได้ว่าเป็นหนึ่งในงานเทศกาลของไทยที่น่าจับตาและมีโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่เทศกาลระดับนานาชาติได้” นายภูริพันธ์ กล่าวนอกจากนี้ Awakening Bangkok 2024 ยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรภาคเอกชนมากมาย อาทิ โตโยต้า ซึ่ง ณัทธร ศรีนิเวศน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มองว่าการร่วมสนับสนุนให้เทศกาลแสงไฟและศิลปะดิจิทัลประจำปีของกรุงเทพฯ ครั้งนี้เกิดขึ้น จะสร้างสีสันยามค่ำคืนให้ย่านเก่าในเขตพระนครเปล่งประกายยิ่งขึ้น โดยทางโตโยต้าได้นำรถยนต์ YARIS ATIV NIGHTSHADE เฉดสีใหม่ Cement Grey ในสไตล์สปอร์ต พรีเมียม มาร่วมจัดแสดงพร้อมผลงานแสงและเสียง “NIGHTSHADE To The Future” ที่ร่วมสร้างสรรค์กับกลุ่มศิลปิน “Saturate Designs” เพื่อจุดประกายให้ทุกคนได้เป็น “Be Shadesetter” ไปด้วยกัน ด้าน ชยพร ลัทธิโสภณกุลผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย เมียนมา และลาว ตัวแทนเครื่องดื่ม “ชเวปส์” ที่ให้การสนับสนุนการจัดงานมาอย่างต่อเนื่อง เผยว่า “ชเวปส์” เป็นแบรนด์เครื่องดื่มโซดากลิ่นผลไม้ที่โดดเด่นด้วยรสชาติอันหลากหลายและมีเอกลักษณ์ พร้อมมอบประสบการณ์แปลกใหม่อย่างมีสไตล์ให้กับกลุ่มคนที่ชอบออกไปสังสรรค์และแสวงหาความตื่นเต้น ซึ่งสอดรับกับกลุ่มเป้าหมายของเทศกาล Awakening Bangkok ซึ่งเป็นเทศกาลใหญ่ที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ “ชเวปส์” จึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ร่วมสนับสนุนให้เกิดงานนี้ขึ้นเป็นปีที่ 2”โดยในปีที่ 2 นี้ “ชเวปส์” ได้ร่วมรังสรรค์ช่วงเวลาแห่งความเซอร์ไพรส์และโมเมนต์สุดจอยด้วยชิ้นงานแสดงที่จะเติมแรงบันดาลใจใหม่ๆ ไว้ 2 จุดใหญ่ และพร้อมเสิร์ฟรสชาติเปรี้ยวหวานลงตัวของ “ชเวปส์” รสชาติใหม่ ‘บลัด ออเรนจ์ ทับทิม โซดา สูตรไม่มีน้ำตาล’ ให้ผู้บริโภคได้ลองตลอดทั้งงาน และ “ชเวปส์” ยังเตรียมมอบกิจกรรมพิเศษ #BORNSOCIALCLUBPARTY ปาร์ตี้ลับรูปแบบใหม่ ณ จุดแสดง “ชเวปส์” ที่ยอดพิมานริเวอ์วอล์ก ระหว่างวันที่ 15-17 พฤศจิกายน ซึ่งปาร์ตี้นี้จะได้สองแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ “ชเวปส์” มาร่วมเนรมิตโมเมนต์สุดจอยให้กับแฟน ๆ และผู้เข้าร่วมงานในวันสุดท้าย วันที่ 17 พฤศจิกายน เป็นพิเศษอีกด้วยที่พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา คือการร่วมสร้างสรรค์ศิลปะดิจิทัลของแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ดังจากฟินแลนด์ อย่าง Marimekko ในเทศกาล Awakening Bangkok 2024 โดย ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธนจิรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน Awakening Bangkok 2024 โดยในปีนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะเป็นโอกาสครบรอบ 60 ปีของลายพิมพ์ดอกอูนิกโกะของ Marimekko ลายดอกสีสันสดใสที่ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ แต่ยังเป็นตัวแทนของศิลปะที่มีความหมายลึกซึ้ง สะท้อนถึงความเรียบง่ายของธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าว ทางแบรนด์จึงร่วมกับ Alternate Reality Studio นำเสนอลายดอกอูนิกโกะในรูปแบบดิจิทัล ฉายบนผิวอาคารมิวเซียมสยาม ซึ่งเป็นหนึ่งในอาคารที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมของประเทศไทย เช่นเดียวกับการฉายลายดอกอูนิกโกะบนแลนด์มาร์กสำคัญในหลายประเทศทั่วโลก เป็นการสะท้อนถึงการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่และการเชื่อมโยงระหว่างศิลปะและวัฒนธรรมที่ไร้พรมแดนการร่วมงาน Awakening Bangkok 2024 ครั้งนี้ยังสะท้อนพันธกิจของธนจิราในการสนับสนุนศิลปะและวัฒนธรรม ผมเชื่อว่างานในปีนี้จะเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจ และเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสศิลปะในมิติใหม่ ๆ ผสานกับบรรยากาศอันทรงคุณค่าของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางศิลปะและวัฒนธรรมของไทย”และอีกหนึ่งผู้สนับสนุนหลักอย่างแบรนด์ร้านอาหาร สีฟ้า (SEE FAH) ก็พร้อมจะเปิดไฟให้กับย่านเก่าในเขตพระนครร่วมกับ Awakening Bangkok 2024 โดย ดร.นิษฐา รัชไชยบุญ นันทขว้าง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สีฟ้ากรุ๊ป เผยถึงกิจกรรมที่จะนำมาสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้าชมงานว่า “ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสพิเศษ เป็นครั้งแรกที่ทาง สีฟ้า ได้ร่วมสนับสนุนงานเทศกาลที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์และเสน่ห์ในแบบเฉพาะตัว อย่างงาน Awakening Bangkok ซึ่งมีแนวคิดจัดขึ้นเพื่อเป็นการปลุกฟื้นคืนชีวิตให้ย่านเก่า เพราะทางทีมงานเชื่อว่าศิลปกรรมไฟและดิจิทัลไม่เพียงแต่ปลุกฟื้นย่านเก่า แต่ยังช่วยเติมไฟ สร้างแรงบันดาลใจ และชุบชีวิตทุกสิ่งให้กลับมาสีสัน เช่นเดียวกับ SEE FAH ที่เป็นสีสันความอร่อยของทุกคนมากว่า 88 ปี และในงานนี้ สีฟ้า ก็พร้อมจะเป็นสีสันใหม่ๆ เป็นความสบายใจให้กับทุกคนอีกครั้ง เราจึงตั้งใจเปิด SEE FAH The Blue Rest นำเมนูใหม่สุด Exclusive มาเสิร์ฟให้ชิมครั้งแรกก่อนใคร พร้อมกิจกรรมสนุกและโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่และเติมเต็มสีสันให้เทศกาลไฟ มา Awakening Bangkok ครั้งนี้อย่าลืมแวะ SEE FAH The Blue Rest นะคะ รับรองคุณต้องใจฟู" เทศกาลแสงไฟและศิลปะดิจิทัลประจำปี “Awakening Bangkok 2024” เปิดให้ทุกคนเข้าชมฟรี! ระหว่างวันที่ 8 - 17 พฤศจิกายน 2567 ตั้งแต่เวลา 18.00-23.00 น. เชิญมาเดินชมย่านเก่าในมุมใหม่ที่ถูกปลุกอีกครั้งด้วยแสงไฟและศิลปะดิจิทัล ตลอด 10 ค่ำคืน กับหลายพิกัดบนเส้นทางถนนสนามไชย บำรุงเมือง เฟื่องนคร และย่านสามยอด โดยสามารถเดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT (สถานีสนามไชยและสถานีสามยอด) แล้วมาปลุกไฟย่าน เติมไฟคน เก็บเกี่ยวแรงบันดาลใจไปด้วยกันกับ Awakening Bangkok 2024แหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000107933
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ท่องเที่ยว
11/11/2024
Americo Vespucci (อเมอริโก้ เวสปุสชี่) เรือสำเภาเดินสมุทรที่ได้รับการขนานนามว่าสวยที่สุดในโลก ได้ออกเดินทางจากอิตาลีไปยังนานาประเทศรอบโลกอีกครั้ง ล่าสุดได้เข้าจอดเทียบท่า ณ ท่าเรือน้ำลึก (Phuket Deep Sea Port) จังหวัดภูเก็ต โดยเปิดให้เข้าชมฟรีระหว่างวันที่ 6-10 พฤศจิกายน 2567 ก่อนจะออกเดินทางต่อไปยังเมืองมุมไบ ประเทศอินเดียภาพโดย Americo Vespucciภาพโดย Kritsanaphong Rattanatongชาวภูเก็ตและผู้สนใจต่างร่วมเยี่ยมชมความสวยงามของเรือลำนี้อย่างคับคั่ง โดยเปิดให้เข้าชมได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านเว็ปไซต์ สามารถชมได้ ในวันเสาร์อาทิตย์นี้ โดยเปิดรอบให้ชมในเวลาภาพโดย Kritsanaphong Rattanatong • วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10:00 น. - 12:00 น. และเวลา 15:00 น.- 17:00 น. • วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10:30 น. - 12:30 น. และเวลา 15:00 น. -19:00 น.ด้วยความสวยงามของเรือดึงดูผู้คนให้ไปถ่ายภาพเยี่ยมชมเรืออเมอริโก้ เวสปุสชี่กันมคับคั่ง เช่นเดียวกับศิลปินดังอย่าง ตูน บอดี้แสลม ก้อย รัชวิน ที่พาลูก ๆ มาเที่ยวชมเรือ เผยให้เห็นความสวยงามของเรืออย่างชัดเจนพร้อมแคปชั่นระบุว่า“พาโจรสลัดน้อยมาดูเรือสำเภาอายุเกือบ 100 ปีจากอิตาลี Amerigo Vespucci ที่ได้รับขนานนามว่าเป็น ”เรือที่สวยที่สุดในโลก” แต่คิวยาวยิ่งกว่ารถไฟเหาะที่ดิสนีย์แลนด์ แม่จึงขอยอมแพ้ มีเด็กจิ๋วมาด้วยไม่น่าไหว (แล้วคือแต่งตัวมาเต็มด้วย5555) ถ่ายรูปครอบครัว 1 กรุบก็โอเคแล้วค่ะ”“เค้าเปิดให้เข้าชมฟรีถึงวันที่ 10 พย. นี้นะคะ ใครจะพาเด็กๆไปดู แนะนำพกหมวก ร่ม น้ำดื่มไปด้วยนะคะ เพราะแดดร้อนและคิวยาวไปจนถึงลานจอดรถเลยค่าา ใครรอไหวไปได้เลยย once in a lifetime”ประวัติเรือสำเภา Americo Vespucciข้อมูลจากสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย อธิบายว่า เรือลำนี้ประกอบด้วยทหารเรืออิตาลีจำนวนกว่า 150 นาย นักเรียนนายเรือไทยจำนวน 8 นาย ซึ่งเดินทางไปร่วมฝึกกับเรือสำเภา Amerigo Vespucci ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2473 เริ่มประจำการเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2474 โดยตั้งชื่อเรือตาม นักสำรวจและต้นหนเรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของอิตาลี “Amerigo Vespucci” ปัจจุบันมีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนานากว่า 90 ปีAmerigo Vespucci เป็นเรือใบทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส พื้นที่ใช้งาน 2,600 ตารางเมตร ความยาว 101 เมตร มีใบเรือจำนวน 24 ใบ ขนาดรวมกัน 2,650 ตารางเมตรเท่ากับพื้นที่ของสนามเทนนิสประมาณ 10 สนาม เสากระโดง 3 เสา สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 54 เมตร ความลึกในการกินน้ำสูงสุดคือ 7.30 เมตร และระวางขับน้ำ 4,100 ตัน แรกเริ่มถูกใช้เพื่อฝึกซ้อมการเดินสมุทรให้กับเหล่านาวิกโยธิน ต่อมาถูกนำไปใช้เป็นเรือสำรวจน่านน้ำเชิงอนุรักษ์เป็นเวลานานกว่า 30 ปี ปัจจุบันกำลังปฏิบัติภารกิจเดินทางรอบโลก เพื่อเผยแพร่ศิลปะวัฒนธรรมของประเทศอิตาลี เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีบนเรือมีทั้งนิทรรศการศิลปวัฒนธรรมอิตาลี โดยตีความจากผลงานประติมากรรมระดับโลกของไมเคิล แอนเจโล่ รวมถึงไฮไลต์อย่างรูปปั้นสำริด La David ของ Jago ศิลปินประติมากรรมชื่อดังของอิตาลี รวมถึงจัดแสดงคบเพลิงโอลิมปิกของจริงที่เคยใช้ในงานพิธีเปิดที่ประเทศอิตาลีอีก ภัตตาคารอิตาเลี่ยน และรายการบันเทิงต่างๆ มากมาย ด้วยภารกิจความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ อาทิ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wide Fund for Nature: WWF) และกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (United Nations Children’s Fund : UNICEF) เพื่อปลูกฝังความเคารพต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล เรือลำนี้จึงเปรียบเสมือนฑูต ด้านสิ่งแวดล้อมของอิตาลี ที่เดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศผ่านน่านน้ำสากลทั่วโลกขอขอบคุณภาพ :Kritsanaphong Rattanatong ,Americo Vespucciแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ sanookhttps://www.sanook.com/travel/1449903/
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การทำงาน
08/11/2024
“Summary“7 ลักษณะ “หัวหน้างาน” ที่ลูกน้องชิงชัง ใช้อำนาจผิดวิธี “ไม่ฟังใคร ฉันใหญ่สุด” ปัญหาบั่นทอนสุขภาพจิต บันไดแห่งความพังขององค์กร“เภสัชกรหนุ่มตัดสินใจลาโลกหลังซึมเศร้า เผชิญแรงกดดันในที่ทำงาน” กลายเป็นอีก 1 ข่าวที่ชวนให้สังคมไทยกลับมาตระหนักและให้ความสำคัญกับประเด็น Toxic Workplace หรือ “Toxic People” การทำงานที่เป็นพิษ แวดล้อมไปด้วยบรรยากาศและบุคคลที่คอยกัดกร่อนจิตใจจนส่งผลร้ายต่อสุขภาพจิตตามมาเจาะสถิติคนไทยมีปัญหาเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าสูง โดยวัยทำงาน 49.1% ระบุอยู่ในภาวะฝืนทำงาน โดยเฉพาะปัญหาใหญ่ที่พบเจอกันมากที่สุดคือการเผชิญกับหัวหน้างานที่ขาดความเป็นผู้นำ ชอบใช้อำนาจแบบผิด ๆ ชอบพูดจาเสียดสี ทำลายความรู้สึกและความมั่นใจ บั่นทอนศักยภาพความเป็นทีม ซึ่งนี่ถือเป็นหายนะเริ่มต้นที่หากองค์กรใดไม่ให้ความสำคัญและแก้ไข อาจนำไปสู่องค์กรเป็นพิษที่ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย8 หัวหน้างาน สุดยี้ ในสายตาลูกน้องเบื้องต้นข้อมูล jobsDB แพลตฟอร์มจัดหางานชื่อดังได้เผยแพร่ไว้ว่า ตำแหน่งหัวหน้างานมีบทบาทสูง อย่างไรก็ดี การก้าวขึ้นมารับภาระหน้าที่ใหม่ไม่ได้วัดได้จากฝีมือการทำงานเท่านั้น หากแต่ต้องบริหารดูแลพนักงานหลายชีวิต หลายคนประสบความสำเร็จ แต่หลายคนก็พลาดพลั้ง ซึ่ง 8 หัวหน้าสุดยี้ในสายตาลูกน้องมี ดังนี้1. ไม่มีความเป็นผู้นำหัวหน้าไม่มีภาวะผู้นำจะเป็นคนที่คล้อยตามความคิดเห็นของทุกคน ใครจะเสนออะไรหรือต้องการการตัดสินใจ จะไม่สามารถให้คำตอบได้อย่างชัดเจน เน้นความคลุมเครือ พูดจาเหลาะแหละ ทีเล่นทีจริง ไม่ปกป้องหรือให้เหตุผลสนับสนุนลูกน้อง2. เข้าข้างพวกเดียวกัน (ไม่ยุติธรรม)หัวหน้าที่ไม่มีความยุติธรรมจะทำให้ลูกน้องมีอคติกับตัวหัวหน้า ไม่ให้ความเคารพนับถือ เนื่องจากพฤติกรรมความไม่ยุติธรรมทั้งในเรื่องความลำเอียง การเล่นพรรคเล่นพวก การเอาแต่ใจตนเอง โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา จนทำให้คนทั่วไปมองเห็นว่าเป็นคนสองมาตรฐาน เหล่านี้มีผลต่อการทำงานในตำแหน่งหัวหน้าทั้งสิ้น3. มนุษย์ปัดความรับผิดชอบ ปัดความผิดหัวหน้าประเภทเอาดีเข้าตัว ปัญหาหรือความผิดปัดให้คนอื่นรับผิดชอบ เช่น “ฝ่ายเราไม่ได้ทำ น่าจะผิดมาจากฝ่ายอื่น” หรือ “ลูกน้องคนนี้ไม่ได้เรื่องทำงานผิดพลาดตลอด” เป็นต้น หัวหน้าที่ดีควรจะรับผิดและรับชอบในทุกเหตุการณ์เพราะถือว่าเป็นผู้ดูแลงานและสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำ ดังนั้นหากเกิดความผิดพลาดใด ๆ ก็ตาม ทั้งที่อาจจะเกิดจากเราหรือลูกน้อง ซึ่งทำให้งานเสียหาย ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะถือเป็นหน้าที่ของหัวหน้า ไม่ใช่โยนความผิดไปให้คนอื่นเพื่อเอาตัวรอดไป4. วางแผนงานไม่เป็นหัวหน้าประเภทเออออ ว่าอะไรว่าตาม ไม่ว่าจะประชุมเล็กหรือใหญ่ ใครเสนออะไรก็เห็นด้วย คิดเหมือนกันเลย ที่คิดมาก็ประมาณนั้น พฤติกรรมเหล่านี้แสดงถึงความไม่มืออาชีพในการประชุมวางแผนงาน หากต้องการให้ลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานเชื่อมั่นในการทำงาน ควรจะวางแผนงานมาล่วงหน้า จากประสบการณ์การทำงานที่มีบวกกับไอเดียใหม่ ๆ เพื่อนำเสนอให้ทุกคนเห็นความสามารถที่แท้จริงของคุณ5. ปัญหามา หายหน้าตลอด (แก้ปัญหาไม่เป็น)หัวหน้าประเภทหลบหน้า หลบตา เมื่อเกิดปัญหาก็รอให้ลูกน้องรับหน้ากันไป หัวหน้าประเภทนี้อาจจะมีความสามารถในการทำงานด้านต่าง ๆ ดี แต่อาจจะไม่พร้อมเผชิญหน้ากับปัญหา เพราะอาจจะไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวผิด ไม่กล้าแก้ปัญหา หรือกลัวว่าใครจะมองว่าเป็นการทำงานที่ผิดพลาดของตนเอง6. งานไหนได้หน้า นางขอมาพรีเซนต์ (ทำงานเอาหน้า)มีหัวหน้าประเภทหน้าที่หลักคือการฉกฉวยและโชว์ผลงาน เป็นพฤติกรรมอีกอย่างที่ลูกน้องเห็นพ้องต้องกันว่าควรร้องยี้ แม้ว่างานที่ทำจะเป็นงานภายใต้การสั่งงานของหัวหน้า แต่ก็ควรให้เกียรติผู้ที่ผลิตผลงานให้ได้นำเสนอผลงานของตนเอง โดยมีหัวหน้าเป็น back up คอยให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่แย่งงานไปเสนอแล้วรับเป็นความดีความชอบของตนเองแบบไม่ให้เครดิตใคร7. ไม่ฟังใคร ตัวเองใหญ่สุด (ใช้อำนาจผิดวิธี)ตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นมักจะมากับอำนาจที่มากขึ้น หัวหน้าบางคนมีนิสัยที่เปลี่ยนไปหลังได้เลื่อนตำแหน่ง เช่น ถือเนื้อถือตัว เจ้ายศเจ้าอย่าง ดูถูกเพื่อนร่วมงาน ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหง พูดจาใหญ่โตไร้มารยาท ไม่ให้เกียรติลูกน้อง พฤติกรรมเหล่านี้ควรพิจารณา แม้ว่าตำแหน่งจะสูงขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องใช้อำนาจข่มเหงลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงาน ยิ่งตำแหน่งสูงมากยิ่งต้องระมัดระวังการแสดงออกต่าง ๆ ให้มากขึ้น เพราะมีคนจำนวนมากกำลังจ้องมองมาที่เรา จะได้ความรัก ความเคารพ หรือการให้เกียรติจากลูกน้องหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่ที่สิ่งที่แสดงออกไปนอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมยี้ ๆ อีกหลายอย่างที่ควรระวัง เช่น มนุษย์เต่า ชอบเข้าไปอยู่แต่ใน comfort zone ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่ทำอะไรในรูปแบบใหม่ ๆ หรือหัวหน้าประเภทแบ่งชนชั้น หยาบคาย ไร้มารยาท ชอบจับผิด ก้าวก่ายชีวิตส่วนตัว เป็นต้นที่มา: jobsdb.comติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่https://www.thairath.co.th/money/business_marketingแหล่งที่มาข่าวและภาพต้นฉบับ thairath moneyhttps://www.thairath.co.th/money/business_marketing/leadership_culture/2823173
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
29/04/2024
30/04/2024
27/05/2024
30/04/2024
30/04/2024