Everyday knowledge for you
ข่าวการเงิน
30/04/2024
"มิตรภาพจากเพื่อนที่ร่ำรวยในวัยเด็ก มีส่วนทำให้สถานะทางสังคมและฐานะทางเศรษฐกิจสูงขึ้นเมื่อเป็นผู้ใหญ่"บทสรุปสั้นๆ จากการศึกษา 2 ชิ้นใหม่ล่าสุดของ Raj Chetty นักเศรษฐศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ที่มีสาระสำคัญว่า การมีเพื่อนรวยกว่าตั้งแต่เด็ก เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนพลังเงินในกระเป๋าของคุณได้จริงๆ จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า เด็กจากครอบครัวที่มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ไม่ดี แต่ได้อยู่อาศัยในชุมชนที่เพื่อนๆ กว่า 70% มาจากครอบครัวฐานะทางการเงินดี เด็กกลุ่มนี้จะมีรายได้สูงกว่าคนรุ่นเดียวกันโดยเฉลี่ย 20% เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยอธิบายว่าที่เป็นแบบนั้นได้เพราะมีการสะสม "ทุนทางสังคม" (social capital) ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนสามารถมีฐานะดีกว่าเดิมได้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยทุนทางสังคมที่ว่านี้ สะสมมาจากการคบเด็กในครอบครัวที่ร่ำรวย ที่อาจได้แรงบันดาลใจหรือแนวคิดในการสร้างตัว ไปจนถึงการรับข้อมูลข่าวสารที่มีผลต่อการพัฒนาตัวเองจนยกระดับฐานะเศรษฐกิจ รวมไปถึงโอกาสในการหางาน หรือโอกาสทางสังคมอื่นๆ ด้วยซึ่งความสัมพันธ์ส่วนบุคคลหรือมิตรภาพเหล่านี้ เป็นปัจจัยผลักดันให้เกิด "การเลื่อนชั้นทางสังคม" ที่ทรงพลังอย่างไม่เชื่อ จนอาจพูดได้ว่า ในบางครั้ง "การศึกษา" หรือ "อาชีพเฉพาะทาง" ก็ยังไม่สามารถทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของคนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ถึงขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ทีมผู้วิจัยอธิบายว่าเรื่องนี้เป็นสมมติฐานที่มีมานานแล้วในแวดวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ "คนรวย" จะมีโอกาสได้เป็นเพื่อนกับ "คนจน" เนื่องจากโดยปกติแล้วคนที่มีฐานะใกล้เคียงกันถึงจะมีโอกาสได้พบปะกันและผูกมิตรกัน • ถ้าเราคบเพื่อนรวย จะทำให้รวยขึ้นได้ไหม ?จากการศึกษาข้างต้น อนุมานได้ว่าการเปลี่ยนแปลงสถานะทางรายได้ที่ดีขึ้นของมนุษย์ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งแวดล้อม ทัศนคติบางอย่างที่ถูกส่งต่อในสังคมที่อยู่หรือคนที่เข้าหาและคลุกคลีด้วยบ่อยๆ "คุณจะมีเส้นทางชีวิตเหมือนกับคนที่คุณคบหาด้วย" วอลเลน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้คำพูดของ บัฟเฟตต์ หนึ่งในมหาเศรษฐีระดับโลก สอดคล้องกับ Thomas Corley ผู้เขียน Rich Habits: The Daily Success Habits of Wealthy Individuals" ใช้เวลา 5 ปีในการศึกษากิจกรรมของคนร่ำรวย ในระหว่างการวิจัย เขาค้นพบจุดร่วมที่น่าสนใจ จากเศรษฐีที่สร้างฐานะด้วยตัวเอง 177 คนในการศึกษาของเขาจุดเด่นของคนกลุ่มนี้ คือความพยายามสร้างความสัมพันธ์กับคนที่เขาอยากเลียนแบบ โดยก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นคนมั่งคั่งร่ำรวย เศรษฐีหน้าใหม่เหล่านี้พยายามอย่างตั้งใจในการสร้างความสัมพันธ์เฉพาะกับบุคคลที่พวกเขาอยากจะเป็น นั่นคือคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆCorley ยังบอกอีกว่า "คนทั่วไป" อาจชอบคบกับคนที่พวกเขาคุ้นเคยและเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่รู้ตัว เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน หรือสมาชิกในครอบครัว แต่ในทางกลับกันเศรษฐีเหล่านี้ไม่มีปัญหาในการย้ายไปอยู่นอกเครือข่ายสังคมเดิมๆ และสามารถสร้างมิตรภาพกับคนที่พวกเขาต้องการเลียนแบบได้แบบไม่เคอะเขินจึงกล่าวได้ว่าการ "มีเพื่อนรวยกว่า" ทำให้มีโอกาสรวยขึ้น เป็นไปได้จริง อย่างไรก็ตาม "รวย" ณ ที่นี้ ก็ไม่ได้หมายความว่ารวยจากการหวังเพิ่งพาทรัพย์สินจากเพื่อน แต่มิตรภาพที่แน่นแฟ้น ความปรารถนาดีต่อกัน ไปจนถึงแนวความคิดของคนที่คลุกคลีกับธุรกิจหรือแนวคิดทางการเงินแบบก้าวหน้าต่างหาก ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างและต่อยอดรายได้ต่างหาก ที่ทำให้คนเราสามารถ "รวยขึ้นได้"--------------------------------อ้างอิง: wealthtender, businessinsider, sciencealert,, bbcแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับกรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1023845
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ภาษี
30/04/2024
ก่อนนำ “เบี้ยประกันบำนาญ” มาใช้ลดหย่อนภาษี เราต้องรู้เงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนก่อน ซึ่งมีด้วยกัน 5 ข้อ คือ1. “เบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป” หรือ “ประกันชีวิต” แบบมีความคุ้มครองชีวิตที่กำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปใช้ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงได้และสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท และประกันสุขภาพตามเงื่อนไขที่สรรพากรกำหนดที่ไม่เกิน 25,000 บาท ทั้งนี้ประกันชีวิตแบบทั่วไปและประกันสุขภาพใช้ลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงและได้รวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท2. “เบี้ยประกันบำนาญ” (แบบลดหย่อนภาษีได้) ใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท และไม่เกิน 15% ของเงินได้ซึ่งต้องเสียภาษี ซึ่งเงินก้อนนี้เมื่อนำไปรวมกับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูว่าด้วยโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) รวมกันต้องไม่เกิน 500,000 บาท3. ถ้าใครที่ยังไม่มี “ประกันชีวิตแบบทั่วไป” สามารถนำ “เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ” ไปหักลดหย่อนแทนเบี้ยประกันชีวิตได้ด้วย ก็แปลว่าเราจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยประกันบำนาญอย่างเดียวได้สูงสุดถึง 300,000 บาท ทำให้เราเสียภาษีน้อยลง หรืออาจจะได้เงินคืนจากภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วกลับมา4. ถ้าใครมี “ประกันชีวิตแบบทั่วไป” แล้ว แต่ยังไม่เต็ม 100,000 บาทแรก สามารถใช้ “เบี้ยประกันบำนาญ” ไปรวมสิทธิ์ลดหย่อนในส่วนของโควต้าเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไปให้ครบ 100,000 ก่อนแล้วค่อยนำเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญมาลดหย่อนในส่วนที่เหลือได้5. กรณีมีคู่สมรส และทั้งคู่เป็นผู้ชำระเบี้ยสามารถ “แยกยื่นภาษี” ในส่วนของเบี้ยประกันชีวิตของประกันแบบบำนาญ เพื่อใช้สิทธิลดหย่อนในส่วนของตนเองได้ สูงสุดคนละ 200,000 บาทวิธีคำนวณลดหย่อนภาษีของ “ประกันบำนาญ”ตัวอย่าง: สมมติว่า ถ้าปีนี้เรามีรายได้ 3,500,000 บาท ซื้อประกันชีวิตแบบทั่วไปปีละ 50,000 บาท ซื้อหน่วยลงทุน RMF ไว้ 300,000 บาท และไม่มีเงินจากส่วนอื่นไปหักลดหย่อนในวงเงิน 500,000 นี้ เราควรจะซื้อประกันชีวิตบำนาญแบบลดหย่อนภาษีได้โดยชำระเบี้ยประกันปีละเท่าไหร่ จึงจะสามารถใช้สิทธิได้เต็มจำนวน และจะประหยัดภาษีไปได้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่วิธีคิดแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนขั้นที่ 1: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตปกติว่าถึง 100,000 บาทหรือยัง ผลการคำนวณ 100,000 – ประกันปกติ 50,000 คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 50,000 บาทขั้นที่ 2: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตบำนาญรวมกับ - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ - กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน - กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) - กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) - กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ทั้งหมดนี้รวมกันต้องไม่เกิน 500,000 ว่าเหลือสิทธิอีกเท่าไหร่“ผลการคำนวณ 500,000 – RMF 300,000 คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 200,000 บาท”ขั้นที่ 3: ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนประกันบำนาญไม่เกิน 15% ของเงินได้ (ไม่เกิน 200,000)ผลการคำนวณ 3,500,000 x 15% คือมีเพดานสูงสุดไม่เกิน 525,000 บาท แต่จากขั้นที่ 1 และ 2 คำนวณเหลือสิทธิ 50,000 + 200,000 นั่นคือ เราจะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในโควต้าประกันบำนาญได้ไม่เกิน 250,000 บาทผลการคำนวณภาษีที่ประหยัดถ้าสมมติเราเสียภาษีอยู่ที่ขั้นภาษีที่อัตรา 15% ก็เท่ากับว่า เราจะสามารถประหยัดภาษีไปได้อย่างน้อย 250,000 x 15% = 37,500 บาทต่อปีตัวอย่างที่ 2: สมมติ ถ้าเรามีรายได้ทั้งปี 2,000,000 บาท แล้วเราซื้อประกันบำนาญไป 350,000บาท โดยไม่เคยซื้อประกันชีวิตแบบทั่วไป ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือ กองทุนรวม RMF เลย จะสามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีในโควต้าประกันบำนาญได้สูงสุดเท่าไหร่ และจะประหยัดภาษีไปได้เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ขั้นที่ 1: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตปกติว่าถึง 100,000 บาทหรือยัง ผลการคำนวณ “ยังไม่มี” คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 100,000 บาทขั้นที่ 2: ตรวจสอบสิทธิของประกันชีวิตบำนาญรวมกับเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งรวมกันต้องไม่เกิน 500,000 ว่าเหลือสิทธิอีกเท่าไหร่“ผลการคำนวณ 500,000 –0 คือเหลือสิทธิลดหย่อนด้วยประกันบำนาญอีก 200,000 บาท (สิทธิลดหย่อนสูงสุดคือไม่เกิน 200,000)”ขั้นที่ 3: ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนประกันบำนาญไม่เกิน 15% ของเงินได้ (ไม่เกิน 200,000)ผลการคำนวณ 2,000,000 x 15% = 300,000 บาท แต่เกิน 200,000 บาท“ดังนั้น ก็ใช้สิทธิ์ลดหย่อนประกันบำนาญได้ 200,000 บาท และใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในโควต้าประกันชีวิตแบบทั่วไปได้อีก 100,000 บาท รวม 300,000 บาท แสดงว่าซื้อ 350,000 บาท แต่เอาไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ 300,000 บาท”การคำนวณภาษีที่ประหยัดขึ้นกับฐานภาษีที่จ่าย เช่นถ้าเสียภาษีในขั้นอัตรา 15% ก็จะประหยัดภาษีไปได้ปีละ 300,000 x 15% = 45,000 บาทต่อปีเลยทีเดียวการซื้อเกินสิทธิ์ที่ใช้ลดหย่อนได้“การซื้อประกันชีวิต” และ “ประกันบำนาญ” สามารถซื้อเกินสิทธิ์ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความคุ้มครองชีวิต, สุขภาพ, ออมเงิน หรือเพื่อการวางแผนเตรียมเงินไว้ใช้หลังเกษียณ โดยนำเบี้ยประกันไปใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามที่จำนวนไม่เกินที่สรรพากรกำหนด ส่วนที่ซื้อเกินสิทธิ์จะไม่ต้องยื่นภาษีหรือทำอะไร ต่างจากในกรณี SSF และ RMF ที่เมื่อซื้อเกินสิทธิ์จะต้องมีการยื่นภาษีของเงินได้ที่เป็นกำไรจากการขายกองทุน SSF หรือ RMF นั้นๆ“ประกันบำนาญ” นั้น นอกจากจะช่วยให้เรา “ประหยัดภาษี” แล้ว จุดประสงค์หลักคือการเก็บออมในวันนี้เพื่อมีเงินใช้ในวันเกษียณ ดังนั้นเมื่อทำประกันบำนาญแล้ว ขอให้มีวินัยในการเก็บออมและรอรับเงินบำนาญที่จ่ายคืนจากกรมธรรม์จนครบกำหนดสัญญา จะช่วยให้สิทธิ์การลดหย่อนภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องตามเงื่อนไขแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/11776
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
30/04/2024
ในช่วงปีที่ผ่านมา กระแสคริปโทเคอร์เรนซีมาแรงสุด ๆ จนนักลงทุนจำนวนมากมองไปที่อนาคต ฝันไปไกลถึงคริปโทฯจะระบบเงินในอนาคตและดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆในช่วงที่คนมีความเชื่อมั่น ทุกอย่างดูเหมือนจะไปด้วยดี ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลทุกประเภททะยานขึ้นชั่วข้ามคืน รวมถึงมีสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่ ๆ ออกมาเสนอขายมากมาย จนจำชื่อไม่ได้ ซึ่งจากความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุนนี้เอง ทำให้มีการเปรียบเทียบ "ข้อดี-ข้อเสีย" ของการลงทุนในคริปโทฯกับสินทรัพย์ประเภทอื่น อย่างเช่น "ทองคำ" ซึ่งเป็นสินทรัพย์ "อมตะนิรันดร์กาล" ที่คนทั่วโลกต้องการมีไว้ครอบครองมายาวนานแต่คริปโทฯจะมาทดแทน หรือ เป็นสินทรัพย์ที่ดีกว่า "ทองคำ"จริงหรือไม่เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง "คริปโทฯ" กับ "ทองคำ" สิ่งที่นักลงทุนต้องรู้ก่อนเป็นอันดับแรก ๆ มีดังนี้• อุปสงค์ หรือ ความต้องการทองคำมีหลากหลายมากกว่า• อุปทานทองคำ หรือแหล่งผลิตทองคำก็มีอยู่มากมายทั่วโลก แม้จะเริ่มมีปริมาณลดลง จากการขุดกันมานับร้อยปี• คริปโทเคอร์เรนซี มีลักษณะของการลงทุนแบบ "เก็งกำไร" ขนานแท้• ทองคำได้พิสูจน์ตัวเองมานานนับพันปีว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อพุ่งทะยานและเกิดวิกฤติแต่ก็ยังไปดูถูกดูแคลนคริปโทฯไม่ได้ เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา ซึ่งเมื่อพิจารณาในระยะสั้น ก็ถือว่ายังไม่อาจทดแทนทองคำได้ ด้วยเหตุผลดังนี้อุปสงค์ หรือความต้องการทองคำมีมาจากหลายแห่ง : ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ต่างจากสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เพราะมีการนำทองคำไปใช้หลายทาง บรรดานักลงทุนและธนาคารกลางทั่วโลก ถือทองคำไว้เพื่อหาส่วนต่างหรือผลตอบแทนในอนาคต และทองคำยังช่วยรักษามูลค่าของเงินลงทุน "ชั้นเยี่ยม" เมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์อื่นนอกจากนี้ ทองคำยังเป็นที่ต้องการอย่างมากจากอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ที่ขาดไม่ได้ ตั้งแต่ในโทรศัพท์มือถือไปจนถึงชุดอุปกรณ์ทีวี ล้วนแต่มีส่วนประกอบของ "ทองคำ" อยู่ด้วยทั้งสิ้น แม้จะเพียงน้อยนิดขณะที่ทองคำมีการนำไปใช้หลากหลาย แต่ราคาทองคำก็มีความยืดหยุ่นมากกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ กล่าวคือ เมื่อตลาดการเงินเจอแรงกดดัน เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้น นักลงทุนก็จะซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และที่น่าแปลกก็คือ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวได้ดี ผู้บริโภคก็จะซื้อเครื่องประดับและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นกล่าวคือ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะย่ำแย่ หรือ ขยายตัวได้ดี ล้วนแต่มีความต้องการทองคำจากคนกลุ่มต่าง ๆ เสมความต้องการคริปโทเคอร์เรนซีไม่มีความหลากหลาย : ความต้องการคริปโทฯส่วนใหญ่มาจากการลงทุนเป็นเหตุผลหลัก เมื่อเทียบกับการซื้อทองที่มาจากหลายทางหลาบวัตถุประสงค์ แม้คริปโทฯจะมีหลากหลาย แต่ไม่ใช่เรื่องการนำไป "ใช้ประโยชน์" แม้จะมีหลายชนิด แต่ก็มีมูลค่าต่างกัน โดยบิตคอยน์เป็นคริปโทฯที่มีมูลค่าการตลาดมากที่สุดในบรรดาคริปโทฯทั่วโลกจากการวิจัยพบว่าผู้บริโภคบางกลุ่มมองว่าคริปโทฯมีความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง (high risk, high return) มีการเก็งกำไรกันดุเดือดเมื่อเทียบกับทองคำ ยกตัวอย่าง บิตคอยน์ มีราคาผันผวนแบบ "สุด ๆ" วิ่งขึ้น-ลง แทบตามไม่ทันสำหรับนักลงทุน สร้างความตื่นตระหนักให้กับนักลงทุน ซึ่งบางรายอาจจะรีบ "ช้อนซื้อ" หรือไม่ก็ "เทขายทิ้ง"ไปเลยการผลิตทองคำและผู้ครอบครองมีจำนวนมากหลากหลาย : เหมืองทองมีอยู่ทั่วโลก และส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างกระจาย กล่าวคือไม่มีทวีปใดทวีปหนึ่งมีการผลิตทองคำเกิน 30% ของการผลิตทองคำทั่วโลก ซึ่งหมายความการผลิตทองคำจากเหมืองทอง มีมากมายทั่วโลก นอกจากนี้ ผู้ครอบครองทองคำมี "หลากหลาย" กระทรวงการคลังสหรัฐเป็นผู้ถือครองทองคำมากที่สุดในโลก แต่ก็คิดเพียง 4% ของทองคำที่มีอยู่ทั่วโลกเท่านั้น เกือบ 50% อยู่ในรูปของเครื่องประดับที่มีอยู่ทุกมุมโลก ขณะที่กว่า 20% เป็นของนักลงทุนในตลาดที่เก็บในรูปของทองคำแท่งและเหรียญทองคำอำนาจและความเป็นเจ้าของคริปโทเคอร์เรนซีไม่ได้มีการกระจายตัว : ในปี 2021 มีผู้ที่ลงทุนใน 5 ประเทศเท่านั้นที่ควบคุมการขุดเหมืองบิตคอยน์ โดยมีศักยภาพมากถึง 80% ซึ่งทำให้ผู้เป็นเจ้าของบิตคอยน์กระจุกตัวอย่างมาก กล่าวคือมีเพียง 2% ที่ครอบครองบิตคอยน์ส่วนใหญ่ ในสัดส่วนมากถึง 95% ทองคำและบิตคอยน์มทีพฤติกรรมต่างกันในโลกการลงทุน : ราคาทองคำมักจะพุ่งขึ้นเมื่อตลาดหุ้นเจอแรงกดดัน อย่างไรก็ตาม บิตคอยน์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น ตั้งแต่เดือนพ.ย. 2021-พ.ค. 2022 ราคาบิตคอยน์ร่วงไปกว่าครึ่ง ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq เริ่มฟื้นตัว ส่วนราคาทองขยับเล็กน้อยคริปโทฯผันผวนมากกว่าทองมาก นักวิเคราะห์บางรายแนะนำว่านักลงทุนคริปโทฯควรเพิ่มลงทุนทองคำไว้ในพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มลงทุนสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวณ ปัจจุบัน มีข้อคิดเกี่ยวกับทองคำ-คริปโทฯ ดังนี้• ตลาดคริปโทฯยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการพัฒนา ทำให้เกิดความผันผวนสูง ดังนั้นคริปโทฯจึงค่อนข้างยากในการลงทุนซื้อขาย• ทองคำเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ต้องใช้ความพยายามและต้องผ่านกทรทดสอบหลายด้าน• ทองคำให้ผลตอบแทนแข่งขันได้กับตลาดหุ้นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา• ทองคำมีผลประกอบลการที่ดีระหว่างช่วงเงินเฟ้อ• ทองคำซื้อง่ายขายคล่อง แม้ในยามวิกฤติ• นักลงทุนในทองคำเพราะต้องการกระจายความเสี่ยงและปรับพอร์ตลงทุน โดยลดการลงทุนสินทรัพย์อื่นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจและการเงินแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpptvhd36https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/179023
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันภัย
30/04/2024
ฝนตก น้ำท่วม ปัญหาโลกแตก ที่ใครๆ ก็ไม่อยากเจอ โดยเฉพาะเจ้าของรถยนต์ทั้งหลาย เพราะน้ำที่ท่วมขังอาจนำพามาซึ่งความเสียหายหลักหมื่น หลักแสนฝนตกทีไร น้ำรอการระบายทุกที จอดรถอยู่อโศกดีๆ กลายเป็นสวนสยามทะเลกรุงเทพซะงั้น นี่คือปัญหาที่คนไทยส่วนใหญ่มักประสบพบเจอกันในช่วงฤดูฝนอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่ร้ายไปกว่าน้ำท่วมอีกก็คือ รถยนต์ต้องมาพังเพราะน้ำเข้าเครื่องยนต์นี่แหละ ถ้าเป็นแบบนี้ประกันรถยนต์ที่ทำไว้จะคุ้มครองหรือเปล่านะ เพื่อคลายความสงสัยที่มีบทความได้รวบรวมคำตอบของทุกคำถามไว้ไว้แล้วประกันรถยนต์ภาคสมัครใจคุ้มครองกรณีรถยนต์เสียหายจากน้ำท่วมหรือไม่?ตอบ คุ้มครอง แต่ต้องเข้าข่ายเงื่อนไขเหล่านี้ เงื่อนไขที่ 1 ประกันรถยนต์ที่ทำต้องให้ความคุ้มครองภัยธรรมชาติ อย่างน้ำท่วม ซึ่งประเภทของประกันรถยนต์ที่ให้ความคุ้มครองภัยดังกล่าวมีดังนี้ • ประกันรถยนต์ชั้น 1 • ประกันรถยนต์ชั้น 2+ (บางแพคเกจ) • ประกันรถยนต์ชั้น 2 (บางแพคเกจ) • ประกันรถยนต์ชั้น 3+ (บางแพคเกจ)เงื่อนไขที่ 2 ความเสียหายต้องเกิดจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่ความจงใจ สำหรับเงื่อนไขข้อที่ 2 นี้เราต้องมานั่งทำความเข้าใจกันก่อนซักนิด เพราะถึงแม้ว่ารถยนต์จะเสียหายจากน้ำท่วม แต่ถ้าเป็นการจงใจขับลุยน้ำท่วม ประกันไม่รับเคลมอย่างแน่นอน เพื่อให้เห็นภาพชัดกันมากขึ้น เราลองไปดูสถานการณ์ตัวอย่างกันซักนิด ตัวอย่างที่ 1 หญิงนูนขับรถยนต์ออกไปทำงานตามปกติ แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาอย่างงหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน จะขับรถหนีก็ไม่ทัน เครื่องยนต์จึงเสียหายอย่างหนัก เพราะถูกน้ำเข้า ถ้าเป็นกรณีเช่นนนี้ ประกันรถยนต์คุ้มครองแน่นอน เพราะเกิดจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่ความจงใจ และถ้าบริษัทประกันประเมินดูแล้วเสียไม่คุ้มซ่อม หรือไม่สามารถทำให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ ประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน 70-80% ของทุนประกันให้แก่ผู้เอาประกัน หมายเหตุ ทุนประกัน คือมูลค่าความคุ้มครองที่บริษัทประกันรถยนต์จะจ่ายให้สูงสุดต่อปีสำหรับความเสียหาย โดยรถใหม่ป้ายแดงจะมีทุนประกันอยู่ที่ 80% ของมูลค่ารถยนต์ ตัวอย่างที่ 2 ชายพีร์ขับรถยนต์ไปทำงานตามปกติ ปรากฎว่าเจอน้ำท่วมขังอยู่ข้างหน้า คาดว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากฝนตกหนักเมื่อวาน แต่ไม่เป็นไร เพราะถ้าใจเรากล้า อุปสรรคอะไรเช้ามา เราก็จะฝ่าฟันไปได้ สุดท้ายผลลัพธ์คือน้ำเข้ารถจนเครื่องยนต์ และระบบไฟฟ้าเสียหายหนักมาก ถ้าเป็นกรณีนี้ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครองอย่างแน่นอน เพราะจงใจที่ขับฝ่าไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าข้างหน้ามีน้ำท่วมขัง เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นน่าจะดีต่อใจ และเงินในกระเป๋า แถมให้อีกนิด………. 6 ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์ กรณีรถเสียหายจากน้ำท่วม 1. เตรียมหลักฐาน และเอกสารให้พร้อม ดังนี้ • หลักฐานที่เกิดเหตุ อาทิเช่น รูปถ่ายที่บันทึกรายละเอียดของสถานการณ์ เป็นต้น • เอกสารเกี่ยวตัวรถ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่เราทำไว้ • ใบขับขี่ • บัตรประชาชน2. ติดต่อบริษัทประกันฯ ที่ทำประกันรถยนต์เอาไว้ (รายชื่อบริษัทประกันรถยนต์)3. รอเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันฯ มาตรวจสอบเพื่อประเมินความเสียหาย4. เลือกอู่หรือศูนย์ซ่อมเพื่อประเมินราคา5. รอการอนุมัติจากบริษัทประกันภัยที่ทำอยู่6. เมื่อเอกสารผ่านการอนุมัติ ก็สามารถนำรถส่งไปซ่อมที่อู่หรือศูนย์ซ่อมได้เลย“น้ำท่วมรถ” อาจเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเราบ่อยๆ แต่อย่างไรก็ตาม “ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ” ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรมีติดรถไว้ตลอด เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นการทำมีประกันไว้ย่อมดีกว่า เพราะอย่างน้อยเราก็ไม่ต้องแบกรับค่าซ่อมแต่เพียงคนเดียว ขอบคุณที่มา : oic.or.th, moneyguru.co.th, car.kapook.com, ngerntidlor.comแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/how-to-claim-when-water-damage-car/?fbclid=IwAR3AMk5Hol4PPvfTP90LHwEfr15JInhV448MvhgYnNPrjYudWqf0oGeMWU0
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
30/04/2024
คุณเป็นคนนึงที่ฝันอยากจะเกษียณเร็วไหมครับ? ฝันนี้จะเป็นจริงได้ ถ้าคุณตั้งเป้าหมายชีวิตว่า อยากจะมีอิสรภาพทางการเงินให้ได้ก่อนอายุ 60 ปีแน่นอนว่า การมีชีวิตที่มีอิสรภาพทางการเงิน เป็นความปรารถนาของคนทุกเพศทุกวัยทั้งนั้นโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะการมีอิสระภาททางการเงิน นั่นหมายถึง คุณจะสามารถมีชีวิตที่ไม่ต้องถูกกำหนดให้ใช้เวลาวันละ 8-10 ชั่วโมงทำงานให้กับบริษัทดังเช่นยุคสมัยของคนรุ่นเก่าคุณปู่คุณย่าหรือแม้แต่คุณพ่อคุณแม่ของพวกเรา ภาพจำที่มี พวกท่านต้องทุ่มเทเวลาทำงานเพื่อเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงานทำให้มีรายได้สูงๆ เพื่อเป้าหมายความมั่งคงในบั้นปลายชีวิตวัยเกษียณ ขณะที่รูปแบบการออมเงินของพวกท่านจะเน้นการฝากเงินเป็นหลัก ส่วนการลงทุนก็จะเป็นพันธบัตรรัฐบาลที่มีความเสี่ยงต่ำได้ผลตอบแทนรูปดอกเบี้ย พวกท่านจะไม่ค่อยกล้าลงทุนหุ้นเพราะกลัวขาดทุนหรือเงินต้นหายหมดแตกต่างกับคนรุ่นใหม่ ส่วนใหญ่หันมาสนใจเรื่องการเงินการลงทุนต่างๆ บางกลุ่มเรียนยังไม่จบก็เข้ามาลงทุน บางกลุ่มเริ่มทำงานก็วางแผนทางการเงิน เรียนรู้เรื่องการลงทุนต่างๆ ด้วยตัวเอง กล้าลงทุนกล้าเสี่ยง ตัดสินใจรวดเร็ว พวกเขาเติบโตมากับเทคโนโลยีที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้บริบทสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงด้วย นื่คือ วิถีชิวิตทางการเงินของคนรุ่นใหม่ เรียกว่าฉีกแนวความคิดเดิมๆของคนรุ่นเก่าทิ้งในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนรุ่นใหม่เข้ามาสู่โลกแห่งการลงทุนมากขึ้น สะท้อนจากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ มีการเปิดบัญชีของคนรุ่นใหม่ Generation Y มีจำนวนมากขึ้นและมากกว่าคน Generation อื่น ๆ และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ที่มีความแอ็กทีฟที่สุด คือ นักลงทุน Generation Y และมีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีความมั่งคั่งทางการเงินมากขึ้น และเทรนด์ของการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านทางอินเทอร์เน็ตด้วย ทำให้ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนการลงทุนผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นกว่า 80-90 % ของทั้งหมด หากเทียบกับเมื่อก่อนนักลงทุนจะซื้อขายผ่านผู้แนะนำการลงทุนมากกว่าแม้แต่รูปแบบการลงทุนของคนรุ่นใหม่ก็มีการกระจายตัวในสินทรัพย์ต่างๆ มากขึ้นและมากกว่าคน Generation อื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะกล้าได้กล้าเสียและตัดสินใจได้รวดเร็ว เพราะมีความหวังผลจากการลงทุน โดยมองในมุม Upside Gain มากกว่า แต่ก็เรียนรู้การกระจายความเสี่ยงในการลงทุนPhoto : Shutterstockสิ่งที่น่าสนใจคือ เทรนด์ที่นักลงทุนรุ่นใหม่ Gen Y ให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การออกไปลงทุนต่างประเทศ เปิดกว้างรับรู้สถานการณ์การลงทุนต่างๆ ในต่างประเทศภาพขยายของกลุ่มคนรุ่นใหม่มีความตื่นตัวเรื่องการเงินการลงทุนมากขึ้นๆ การที่ได้หลายคนขยันทำงาน ประหยัด เก็บออม เพื่อเร่งลงทุนใฝ่ฝันที่จะมี ‘อิสรภาพทางการเงิน’ เพื่อที่จะ ‘เกษียณเร็ว’ ไม่ต้องรออายุ 60 ปีเหมือนคนรุ่นก่อนๆ คนรุ่นใหม่มีความฝันที่อยากไปทำสิ่งที่รักงานที่ชอบอีกหลายสิ่งอย่างไรก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่า คนรุ่นใหม่แต่ละคนมี Lifestyle ที่แตกต่างกัน ความต้องการใช้เงินและวิธีการเก็บเงินเพื่อนำไปใช้ในอนาคตย่อมแตกต่างกันไปด้วยไลฟ์สไตล์ทางการเงินของคนรุ่นใหม่ 3 แบบวันนี้ผมจะนำไลฟ์สไตล์ทางการเงินของคนรุ่นใหม่ 3 แบบมาเล่าครับ การมีความรู้ด้านการเงินการลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยให้คุณออกแบบชีวิตที่ตัวเองต้องการได้ง่ายขึ้นสุดๆไลฟ์สไตล์การเงินของคนรุ่นใหม่กลุ่มแรก คือ แบบ DINK ย่อมาจาก Double Income, No Kids จะเป็นวิถีคู่รักที่อยู่ด้วยกันมีรายได้คูณสองแต่ยังไม่มีลูก กลุ่มนี้จะมองว่าสุขภาพจิตที่ดีอยู่เบื้องหลังความมั่นคั่งทางการเงิน พวกเขาจึงโหมเก็บออมและนำเงินไปลงทุนให้ได้มากที่สุด เร่งให้ตัวเองมีอิสรภาพทางการเงินและสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้เร็วที่สุดก่อนจะอายุ 60 ปีPhoto : Shutterstockจริงๆ คำว่า DINK ปรากฏครั้งแรกตั้งแต่ 30 กว่าปีก่อนพร้อมกับคำว่า Yuppie แต่กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งหลังวิกฤติซับไพรม์ในปี 2552 เพราะคู่รักจำนวนมากตัดสินใจไม่มีลูกหรือชะลอการมีลูกออกไปหลังจากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งคนรุ่น Millennials (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 2524 – 2539) บางกลุ่มจะใช้กลยุทธ์แบบ DINK ตอบโจทย์ชีวิตอิสระไลฟ์สไตล์การเงินของคนรุ่นใหม่กลุ่มที่สอง จะเป็นแบบ HENRY หรือ High Earner, Not Rich Yet จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงเกิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ที่อาศัย และทำงานในเมืองใหญ่ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูง แถมยังโดนเก็บภาษีจนอ่วม พวกเขาจึงมีเป้าหมายเก็บออม และนำเงินไปลงทุนเพื่อให้มีอิสรภาพทางการเงินเหมือนกันทั้งนี้คนรุ่นใหม่แบบ HENRY ถูกพูดถึงครั้งแรกในนิตยสาร Fortune ปี 2003 โดย HENRY หมายถึงกลุ่มคนที่มีรายได้ระหว่าง 100,000 – 500,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่สูงในสหรัฐฯ สมัยนั้น แต่คนกลุ่มนี้กลับไม่รู้สึกว่าตัวเองมีรายได้สูงหรือร่ำรวยกว่าค่าเฉลี่ย เพราะส่วนใหญ่จะทำงานที่ ‘มีเกียรติ’ ในสังคม เช่น งานสายเทคโนโลยี บริษัท Management Consulting ธนาคารเพื่อการลงทุน หรือสำนักงานกฎหมายPhoto : Shutterstockซึ่งบริษัทเหล่านี้ตั้งสำนักงานอยู่ในเมืองศูนย์กลางธุรกิจที่มีค่าครองชีพสูงกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก ชิคาโก หรือซาน ฟรานซิสโก ขณะเดียวกันแม้มีรายได้สูง แต่ก็ต้องจ่ายภาษีรูปแบบพิเศษของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า Alternative Minimum Tax (AMT) ซึ่งเป็นอัตราสูงที่สุดสำหรับคนกลุ่มที่มีรายได้ช่วง 100,000 – 500,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ในช่วงเวลานั้นสุดท้าย ไลฟ์สไตล์การเงินของคนรุ่นใหม่แบบ FIRE หรือ Financial Independence, Retire Early คือคนที่ทำงานเพื่อโหมเก็บเงินและลงทุนอย่างหนัก จะได้มีอิสรภาพทางการเงินและใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการให้เร็วที่สุดPhoto : Shutterstockคนกลุ่ม FIRE ก็ยังสามารถแยกย่อยได้อีกหลายแบบตามไลฟ์สไตล์ย่อยๆ ของแต่ละกลุ่ม เช่น • Lean FIRE หมายถึงคนกลุ่ม FIRE ที่เลือกใช้ชีวิตแบบประหยัด และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เพื่อจะได้มีอิสรภาพทางการเงินให้เร็วที่สุด • Fat FIRE หมายถึงคนกลุ่ม FIRE ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องคอยกังวลเรื่องงบประมาณซึ่งตรงข้ามกับกลุ่มแรก แต่คนกลุ่มนี้ก็ต้องยอมทำงานที่ยาวนานขึ้นเพื่อเก็บเงินให้ได้เพิ่มขึ้นมากด้วย • Coast FIRE หมายถึงคนที่รีบเก็บเงินและลงทุนตั้งแต่เริ่มทำงาน ซึ่งแนวคิดนี้คุณอาจนำไปปรับใช้กับชีวิตตัวเองได้ดีครับวิถีคนรุ่นใหม่แบบ Coast FIRE คือ เขายอมใช้ชีวิตอย่างประหยัดในช่วงการทำงาน 10 ปีแรกเพื่อเก็บเงินให้ได้มากที่สุด และเงินก้อนนี้จะถูกนำไปลงทุนเพื่อเป้าหมายเดียวคือการ ’เกษียณเร็ว’ นั่นเอง หลังจากนั้น 10 ปีถัดมาก็ให้ทำงานและใช้จ่ายได้ตามปกติ โดยห้ามแตะต้องเงินลงทุนเพื่อ ‘เกษียณเร็ว’ ที่เก็บมาในช่วง 10 ปีแรกอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เงินลงทุนงอกเงยขึ้นตามระยะเวลาที่ลงทุนนั่นเองครับเมื่อครบ 20 ปี มาดูกันว่า มูลค่าพอร์ตอยู่ที่เท่าไหร่และเพียงพอในการนำไปลงทุนเพื่อสร้างกระแสเงินสดเป็นประจำได้มากพอสำหรับการใช้ชีวิตหลังจากนี้แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่เพียงพอก็จะต้องทำงานเพื่อเก็บเงินและลงทุนเพิ่มอีก หรือคุณอาจจะย้ายไปทำงานที่อยากทำจริงๆ แต่ได้ค่าตอบแทนน้อยลง ก็เป็นอีกทางเลือกที่คนกลุ่ม Coast FIRE ทำได้ลงทุนก่อนรวยกว่า ให้เวลาอยู่ข้างเราผมยังมีข้อมูลจากที่ทีมงาน Jitta Wealth ได้ลองทดสอบแนวคิดของคนกลุ่ม FIRE ที่โหมเก็บออมเงินและลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อหวังจะ ‘เกษียณเร็ว’ ทำให้เห็นภาพและเข้าใจมากขึ้น ซึ่งได้ข้อสรุปที่น่าสนใจและน่าจะมีประโยชน์คุณมากๆPhoto : Shutterstockในการทดสอบได้สมมติการวางแผนด้านการลงทุนของคน 2 วัยที่เริ่มต้นแตกต่างกันคนแรกชื่อนาย A เมื่ออายุ 25 ปี มีความตั้งใจอยากจะเกษียณเร็วเขาจึงโหมเก็บเงินตั้งแต่ตอนนั้นและวางแผนลงทุนเดือนละ 5,000 บาท แบบการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หรือ DCA (Dollar-Cost Averaging) ทุกเดือน ในช่วงอายุ 25 – 34 ปี รวมเป็นระยะเวลา 10 ปี จำนวนเงินลงทุนรวมทั้งหมด 600,000 บาทคนที่สองชื่อนาย B อายุ 35 ปีแล้วเขามาเริ่มลงทุนเดือนละ 5,000 บาทเและลงทุนแบบ DCA ทุกเดือนเหมือนกัน แต่เริ่มลงทุนช้ากว่านาย A โดยลงทุนในช่วงอายุ 35-54 ปี เป็นเวลา 20 ปี จำนวนเงินลงทุนทั้งหมด 1,200,000 บาทเพื่อให้ง่ายในการเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ชัดเจน ทีมงานเราได้สมมติต่อไปอีกว่า ทั้งนาย A และนาย B ต่างก็ได้ผลตอบแทน 10% ต่อปีในทุกๆ ปีที่ลงทุน โดยที่ได้ผลตอบแทนทบต้นทุกเดือน และทั้ง 2 คนจะลงทุนจนอายุครบ 60 ปีคุณคิดว่า เมื่อทั้งคู่อายุ 60 ปีแล้ว ระหว่างนาย A ที่ใส่เงินลงทุนรวม 600,000 บาท กับ นาย B ที่ใช้เงินลงทุนรวม 1,200,000 บาท แล้ว ‘ใครจะมีมูลค่าพอร์ตลงทุนที่สูงกว่ากันครับ’ผมเชื่อว่า หลายคนคงคิดว่า นาย B จะต้องมีมูลค่าพอร์ตที่สูงกว่าของนาย A แน่ๆ เพราะเงินลงทุนเริ่มต้นของนาย B สูงกว่าของนาย A ถึงหนึ่งเท่าตัวทีเดียว! ใช่มั้ยครับแต่ความจริง ก็คือว่า เมื่อทั้งคู่มีอายุ 60 ปี พบว่า มูลค่าพอร์ตของนาย A ที่เข้าลงทุนตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ ใช้เวลาลงทุน 10 ปี กลับมีมูลค่าพอร์ต ‘สูง’ กว่าพอร์ตของนาย B เกือบเท่าตัว ทั้งๆ ที่นาย B ใช้เวลาลงทุนถึง 20 ปีและใช้เงินลงทุนที่สูงกว่าด้วยPhoto : Shutterstockโดยที่มูลค่าพอร์ตของนาย A ตอนอายุครบ 60 ปีอยู่ที่ราว 10.91 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าพอร์ตของนาย B ที่เข้าลงทุนช้า จะอยู่ที่ 5.92 ล้านบาท ภายใต้สมมติได้ผลตอบแทน 10% ต่อปีในทุก ๆ ปีที่ลงทุนถ้าทั้งคู่วางแผนจะถอนเงินก้อนนี้ออกมาใช้หลังเกษียณจนอายุครบ 80 ปี ก็จะพบว่า นาย A จะมีเงินใช้ตกเดือนละ 45,476 บาท ขณะที่นาย B มีเงินใช้ยามเกษียณที่เดือนละ 24,678 บาทเท่านั้นหรือหากพวกเขาวางแผนจะนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดเป็นประจำอย่างพันธบัตร หุ้นกู้หรือหุ้นปันผลต่อไป ก็จะพบนาย A ยังมีทางเลือกในลงทุนได้มากกว่านาย B ที่พอร์ตเล็กกว่าอยู่ดีครับตัวอย่างทดสอบนี้ ผมคิดว่าน่าจะทำให้คุณเห็นไอเดียเบื้องหลังแนวคิดของคนรุ่นใหม่สายพันธุ์ FIRE หรือกลุ่มคนที่อยาก ‘เกษียณเร็ว’ ได้มากขึ้นคุณยิ่งเริ่มลงทุนเร็ว ผลตอบแทนก็จะยิ่งทบต้นตามเวลา เป็นการลงทุนแบบ ‘ให้เวลาอยู่ข้างเรา’ หรือ ‘ผ่อนส่งความมั่งคั่ง’ ครับทำ 2 สิ่งนี้ จัดพอร์ตเป๊ะ ‘ผ่อนส่งความมั่งคั่ง’ เกษียณไวแน่ถ้าคุณรู้สึกอยากเป็นแบบคนกลุ่ม FIRE ที่เน้นหาความรู้ด้านการลงทุนเพื่อทำผลตอบแทนให้ได้สูงๆ หรือหวังผลตอบแทนที่ 10% ต่อปีตามตัวอย่าง คุณจะต้องเริ่มลงมือทำ 2 สิ่งนี้ตั้งแต่วันนี้ นั่นคือสิ่งแรก คือ ‘สร้างวินัย’ ในการออมเงิน คุณต้องทำให้เป็นประจำให้ได้ทุกเดือน ซึ่งคนส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยได้ตามแผนที่วางไว้ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่วางแผนทางการเงิน และทำตามด้วยความมุ่งมั่นและลงมือทำไปเรื่อยๆ และท่องไว้ ‘เริ่มลงทุนเร็วรวยก่อน’ ที่สำคัญ การสร้างวินัยในการออม สามารถทำได้ตั้งแต่มีเม็ดเงินน้อยๆ แค่ 5-10% ของรายได้ มีน้อยออมน้อยมีมากค่อยออมเพิ่มแต่ต้องลงทุนต่อเนื่องหรือ DCA คุณมั่นใจได้เลยว่า ความฝันไปถึงเป้าหมายอิสรภาพทางการเงินได้สำเร็จแน่นอนสิ่งที่สอง คือ ไม่หยุดเรียนรู้ หมั่นหาความรู้ด้านการลงทุนไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะมองเห็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสทำผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปีในระยะยาว โดยที่คุณไม่รู้สึกว่าเป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงสูงเกินรับไหว และแน่นอนว่า ชีวิตทางการเงินในอนาคตของคุณจะมีทางเลือกลงทุนที่ได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้จะขาดมือเลยครับอย่างไรก็ตาม เสน่ห์ของผลตอบแทนย่อมมาคู่กับความเสี่ยง ทำให้ถนนสายอิสรภาพทางการเงินที่ต้องใช้ระยะเวลายาว จึงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบตลอดเส้นทางการลงทุน ระหว่างทางอาจเผชิญกับมรสุมข่าวสารต่างๆ รอบตัว ทำให้มูลค่าพอร์ตอาจเห็นตัวเลขบวกและลบสลับไปมา จนทำให้คุณวูบไหวบ่อยครั้ง และบ่อยครั้งที่คุณอาจรู้สึกเหนื่อยและท้อ เครียดเพราะมีวิกฤตในประเทศ-ต่างประเทศบ้าง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ผมมีข้อคิดด้านการลงทุนจากนักลงทุนในตำนานโลกที่มีลมหายใจ คุณปู่ ‘Warran Buffet’ มาให้คุณยึดเหนี่ยวจิตใจครับคุณปู่ ‘Buffet’ กล่าวไว้ว่า การคาดเดาว่า ฝนจะตกเมื่อไหร่นั้นไม่มีความหมาย แต่การสร้างเรือต่างหากที่ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ เปรียบได้กับการลงทุน คือ การพยายามคาดเดาว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกกี่ครั้ง ตลาดหุ้นจะตกไปเท่าไหร่ เศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร ไม่ได้ส่งผลให้พอร์ตมีกำไรขึ้นมา แต่การสร้างพอร์ตที่แข็งแรง มีการกระจายความเสี่ยงดี มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย มูลค่าพอร์ตโดยรวมจะไม่เสียหายมาก นักลงทุนก็จะชนะทุกวิกฤตได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรนะครับ เพราะถึงจะลงทุนระยะยาว แต่ยังต้องเฝ้าดูแลพอร์ตของเราดีๆ หากถึงจุดที่เป็นความเสี่ยงที่มาจากปัจจัยเหนือควบคุม กระทบต่อระบบหรือภาพรวมที่พื้นฐานเปลี่ยนแปลงหรือไม่สามารถคาดการณ์การฟื้นตัวได้ชัดเจน คุณก็ควรตัดสินใจปรับกลยุทธพอร์ตป้องกันความเสี่ยงโดยเฉพาะสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง นี่คือการสร้างเรือที่แข็งแรง มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีแต่หากเป็นลักษณะความเสี่ยงจากข่าวสารรายวันที่ทำให้พอร์ตวูบไหว ก็ ไม่ควรให้น้ำหนักมากนัก เพราะตลาดที่ปรับตัวลง ควรตั้ง ‘สติ’ และพิจารณาเหตุการณ์ที่มากระทบตลาดรอบด้านอย่าใช้อารมณ์ในการซื้อขายเด็ดขาด ‘สติ’ จะทำให้มองเห็นโอกาสการลงทุนเลือกสินทรัพย์ที่ดีมีพื้นฐานมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง เป็นจังหวะในการแสวงหาหุ้นดี ซึ่งปู่ ‘Buffet’ จะบอกว่า จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ จงโลภเมื่อคนอื่นกลัว ถ้าเรามีหลักการและทัศนคติที่ลงทุนถูกต้อง แน่นอนว่า พอร์ตของคุณจะสร้างความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นได้ยิ่งปัจจุบัน บริษัทด้านการลงทุนได้ใช้เทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมการลงทุนต่างๆ เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ หรือ AI เพื่อเพิ่มทางเลือกการลงทุนต่างๆ ให้นักลงทุนมากมาย ถ้าคุณเคยเข้าไปดูของ Jitta Platform จะเห็นแผนลงทุนต่างๆผ่าน Thematic ที่ยึดโยงกับเมกะเทรนด์ของโลก หรือตัวหุ้น Jitta Ranking ที่จะช่วยคัดสรรหุ้น รวมทั้งยังช่วยปรับพอร์ตให้โดยอัตโนมัติทุก 3 เดือนหรือรายไตรมาสที่อ้างอิงกับการรายงานงบการเงินของแต่ละบริษัทด้วยคนรุ่นใหม่จะ ‘ผ่อนส่งความมั่งคั่ง’ จนเป็นก้อนใหญ่ พอร์ตปังให้คุณปลด ‘เกษียณ’ ได้ไวตั้งแต่อายุไม่มาก และได้ใช้เวลาที่เหลือทำสิ่งที่รักสานต่อสิ่งที่ฝันให้สำเร็จได้ก่อนแก่หากคุณฝันว่าจะมีอิสรภาพทางการเงินก่อนอายุ 60 ปีผมหวังว่า บทความนี้จะเป็นอีกแรงผลักดัน ที่ช่วยให้ความฝันที่จะมีอิสรภาพทางการเงินของคุณเป็นจริงได้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับpositioningmaghttps://positioningmag.com/1400034
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
นักธุรกิจต้องรู้! วิธีตรวจสอบสุขภาพธุรกิจในแต่ละปี ด้วยการเช็ก 3 จุด "งบการเงิน" เบื้องต้น เพื่อให้รู้สถานะธุรกิจของคุณว่ากำลังไปได้ดีสุดปัง หรือกำลังขาดทุนจนใกล้เจ๊งกันแน่?การลงทุนทำธุรกิจหรือเป็น "เจ้าของธุรกิจ" นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากการเลือกหาสินค้ามาขายแล้ว ก็ต้องทำกลยุทธ์ส่งเสริมการขาย การโปรโมตสินค้า การให้บริการลูกค้า รวมถึงต้องเข้าใจและอ่านเอกสาร "งบการเงิน" ให้เป็นด้วยโดยการอ่าน "งบการเงิน" ถือเป็นหนึ่งในหน้าที่สำคัญของเจ้าของธุรกิจเพราะจะช่วยตรวจเช็ก "สถานะธุรกิจ" ของคุณในแต่ละปีได้ว่าการดำเนินธุรกิจของคุณสามารถทำกำไรและเดินหน้าเป็นไปได้ด้วยดี หรือกำลังประสบปัญหาขาดทุน และอยู่ในช่วงขาลงกันแน่? เพื่อให้รู้ตัวก่อนจะเจ็บหนักและหาทางแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีส่วน วิธีการดูงบการเงิน เบื้องต้นแบบง่ายๆ นั้น มีข้อมูลจาก "ถนอม เกตุเอม" เจ้าของเพจด้านการเงินและภาษีอย่าง "TaxBugnoms" ได้มีข้อแนะนำแก่นักธุรกิจมือใหม่ ดังนี้ • "งบการเงิน" คืออะไร? งบการเงิน คือ รายงานข้อมูลการเงินของธุรกิจในแต่ละรอบบัญชี โดยปกติรอบนึงก็จะอยู่ที่ 12 เดือนหรือ 1 ปี โดยปกติมักจะได้ยินคำว่า "ปิดงบ" ซึ่งก็หมายถึง "การปิดงบการเงิน" นั่นเอง วิธีการปิดงบคร่าวๆ ก็คือนักบัญชีจะเอาข้อมูลรายการต่างๆ ทั้งรายรับ รายจ่าย ที่เกิดขึ้นในปีนั้นๆ มารวบรวมแล้วสรุปให้ออกมาให้อยู่ในรูปแบบมาตรฐานที่เรียกว่า "รายงานงบการเงิน"สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ต้องทำปิดงบในทุกๆ ปี ก็มักจะเป็นธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล หมายถึง กลุ่มห้างหุ้นส่วน และกลุ่มบริษัท ซึ่งเจ้าของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้นๆ ควรทำความเข้าใจข้อมูลใน "งบการเงิน" เพราะจะช่วยให้รู้ว่าการดำเนินธุรกิจในปีนั้นๆ เป็นไปในทิศทางใด? ไปได้ดีหรือควรหยุดก่อนที่จะเจ็บตัวสำหรับวิธีดูงบการเงินใน 3 จุดสำคัญพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจควรรู้ ได้แก่ • จุดที่ 1 : ธุรกิจได้กำไรไหม?การจะดูว่าธุรกิจมีกำไรหรือไม่? ต้องดูจาก "งบกำไรขาดทุน" ซึ่งเป็นงบที่บอกผลการดำเนินงานของธุรกิจว่า เจ้าของธุรกิจทำได้ดีแค่ไหนในรอบบัญชีที่ผ่านมา วิธีการคือให้เปิด "งบกำไรขาดทุน" ขึ้นมา แล้วเริ่มดูจากบรรทัดสุดท้ายก่อน จะเห็นข้อมูลที่ระบุว่า กำไรสุทธิเป็นเท่าไร ถ้ากำไรมียิ่งมาก แปลว่าบริหารได้ดี แต่ถ้าพบว่าขาดทุน เจ้าของธุรกิจก็ควรเร่งหาคำตอบว่าสาเหตุที่ทำให้ขาดทุนมาจากไหน และรีบแก้ไขปัญหาให้ทันท่วงทีหากต้องการดูให้ละเอียดมากกว่านี้ ลองดูส่วนประกอบของรายได้ และค่าใช้จ่ายให้ดีว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง บางทีอาจจะหาวิธีเพิ่มยอดขาย เพิ่มรายได้ และลดค่าใช้จ่ายได้จากข้อมูลในงบการเงินเหล่านี้นี่เอง • จุดที่ 2 : ธุรกิจรวยไหม?คำว่า “รวย” ในที่นี้เป็นการตีความจากการรู้ฐานะการเงินของธุรกิจ โดยเปิดดูได้จาก "งบแสดงฐานะการเงิน" แล้วไล่ดูในหัวข้อที่ระบุว่า "สินทรัพย์" "หนี้สิน" และ "ส่วนของเจ้าของ" ซึ่งทั้งหมดต้องมีความสัมพันธ์กันดังนี้ [สินทรัพย์ - หนี้สิน] = [ส่วนของเจ้าของ]จากนั้นให้คำนวณและนำผลที่ได้มาวิเคราะห์สถานะการเงิน โดยสถานะการเงินที่ดีนั้น ควรจะมีสินทรัพย์เยอะ หนี้สินน้อย และต้องมีเงินที่เหลือเป็นส่วนของเจ้าของมากแต่ถ้าสถานะการเงินไม่ดีก็จะให้ผลในทางตรงกันข้าม คือ สินทรัพย์เท่าเดิม หนี้สินเยอะ และมีเงินที่เหลือเป็นส่วนของเจ้าของน้อยหรือไม่ก็เข้ขั้นติดลบ และถ้าอยากดูข้อมูลที่ละเอียดกว่านั้น ก็อาจจะใช้การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินเข้ามาช่วยได้ • จุดที่ 3 : ข้อมูลงบต่างๆ ถูกต้องไหม?การตรวจสอบตรงนี้สามารถดูได้เบื้องต้นที่ “รายงานผู้สอบบัญชี” โดยผู้สอบบัญชี ก็คือ คนที่มีหน้าที่ตรวจสอบรับรองงบการเงินว่าคนทำบัญชีที่ทำรายงานงบการเงินออกมา ทำได้ถูกต้อง มั่นใจ และเชื่อถือได้ อย่างไรก็ตาม การดูงบกรเงินทั้ง 3 จุดข้างต้น เป็นเพียงการเช็กข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น เพราะยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากมายที่ "เจ้าของธุรกิจ" ต้องดูเพิ่มเติมในงบการเงิน เพื่อให้รู้และเข้าใจข้อมูลของธุรกิจตนเองให้ครอบคลุมเพื่อช่วยให้สามารถตัดสินใจในการดำเนินงานต่างๆ ได้ตรงเป้าหมายมากขึ้น-----------------------------------------อ้างอิง : Taxbugnomsแหล่งที่มาข่าว กรุงเทพธุรกิจhttps://www.bangkokbiznews.com/business/business/1026500
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ประกันสังคม
30/04/2024
หนึ่งในความนิยมทำประกันชีวิตของคนไทยคือ “ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์” ที่ผู้เอาประกันได้สะสมเงิน ได้ลดหย่อนภาษี และได้รับเงินก้อนตามสัญญา แต่สำหรับผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือท่านที่เป็นกำลังหลักในการดูแลคนทั้งบ้าน การทำประกันชีวิตแบบออมทรัพย์อาจจะไม่ตอบโจทย์ทั้งหมดเนื่องจาก มีทุนประกันชีวิตที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งอาจไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลังจากที่ท่านผู้นั้นจากไป“หลักการคิดทุนประกันที่เพียงพอคือ จะต้องมีจำนวนมากพอกับภาระหนี้สิน ค่าใช้จ่ายครอบครัวในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี ภาษีที่เกี่ยวข้องกองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง ภาษีมรดก ฯลฯ”ปัญหาของคนส่วนใหญ่คือ ค่าใช้จ่ายข้างต้นนี้นั้นสูงเกินกว่าจะทำประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ที่มีทุนประกันชีวิตคุ้มครองค่าใช้จ่ายเหล่านั้นได้ทั้งหมด การเลือกทำประกันชีวิตแบบ “เบี้ยต่ำทุนสูง” จะตอบโจทย์ในกรณีที่ผู้ทำประกัน “มีงบจำกัด” มากกว่า เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ซึ่งการทำประกันชีวิตแบบนี้มีให้เลือก 2 ประเภทคือประกันประเภทแรก เป็น “ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ” ที่สามารถเลือกจำนวนปีในการชำระเบี้ยและมีความคุ้มครองยาวถึง 90-99 ปี ข้อดีคือได้ทุนประกันชีวิตจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรือการเจ็บป่วยทุกกรณี ตัวแบบประกันไม่ซับซ้อน เบี้ยคงที่ตลอดสัญญา และมีมูลค่าเงินสะสมในกรมธรรม์จำนวนหนึ่ง ข้อจำกัดของประกันประเภทนี้คือ ไม่สามารถเพิ่มทุนหรือมูลค่าเงินสะสมในกรมธรรม์เดิมได้อีกประกันประเภทที่สอง เป็น “ประกันชีวิตควบคู่การลงทุน” หรือ “ประกันยูนิตลิงค์” ข้อดีของประกันประเภทนี้คือ ผู้ชำระเบี้ยสามารถเลือกจำนวนปีในการชำระเบี้ยได้เช่นกัน ความคุ้มครองนานถึง 99 ปี เบี้ยคงที่ตลอดสัญญา ได้ทุนประกันชีวิตเช่นกันเดียวกับประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ผู้ชำระเบี้ยสามารถเพิ่มเงินระหว่างสัญญาให้มูลค่าเงินในกรมธรรม์สูงขึ้นได้ ข้อจำกัดของประกันประเภทนี้คือ ความซับซ้อนของแบบประกันที่มากขึ้น การเข้าใจในผลตอบแทนจากการลงทุน และการดูแลกรมธรรม์ที่ต้องใส่ใจมากขึ้นด้วยใน “งบจำกัด” กับการเลือก “ประกันชีวิตเบี้ยต่ำทุนสูง” ไม่ว่าจะท่านผู้เอาประกันเลือกประเภทไหนเพื่อครอบครัว ผู้เอาประกันควรมีการดูแลสุขภาพที่ดีก่อนทำประกัน การทำความเข้าใจในเงื่อนไขต่างๆ การดูแลและคำแนะนำของตัวแทนที่ท่านมั่นใจ รวมถึงความมั่นคงและความแข็งแรงทางการเงินของบริษัทประกันชีวิตที่สามารถจ่ายทุนประกันชีวิตให้กับผู้รับผลประโยชน์ได้ ให้ท่านอุ่นใจทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับwealthythaihttps://www.wealthythai.com/en/updates/wealth-management/wealth-ez/11697
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
การวางแผนทางการเงิน
30/04/2024
“ต้องมีเงินเก็บหลักล้าน” คงเป็น To Do List ของใครหลายคนที่ตั้งปณิธานปักหมุดลงโซเชียลรับปีใหม่ที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบจะเข้าสู่ปีใหม่อีกครั้ง หลายคนคงยังเก็บเงินไม่ได้ตามฝันที่ตั้งไว้ อาจเพราะอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาขัดขวางเส้นทางการเป็นเศรษฐี ดังนั้น เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ขอแนะนำเคล็ดลับ “เงิน 3 ถัง” การออมเงินในยุคเงินเฟ้อ-ของแพง ที่เราทุกคนต้องหันมาออมเงินอย่างจริงจังหลายคนมองว่า “เงินออม” ควรเป็นเงินที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายประจำเดือน แต่ตราบใดที่เรายังใช้กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ในการสร้างเงินออม เราจะไม่สามารถเดินไปถึงฝันได้แน่นอน เพราะค่าใช้จ่ายประจำเดือนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นเราต้อง “ออมก่อนจ่าย” วิธีที่นักบริหารการเงินหลายคนใช้ ด้วยการสร้างวินัยด้านการเงินให้กับตัวเองคือ เมื่อได้รายรับให้หักส่วนหนึ่งเป็นเงินออมทันที เช่น ถ้าได้รับเงินเดือน 30,000 บาท หักเงินออมทันที 10,000 บาท ส่วนที่เหลือนำไปบริหารเป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือน และค่าใช้จ่ายประจำวัน วิธีนี้จะทำให้เรามีเงินออมอย่างมั่นคงทุกเดือนเมื่อเราได้เงินออมที่มั่นคงในแต่ละเดือนแล้ว ให้แบ่งเงินออมลง “3 ถัง” เริ่มที่ ถังที่ 1: เงินฉุกเฉิน จัดเป็นเป้าหมายการออมเงินระยะสั้น เพื่อให้มีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในยามวิกฤตต่าง ๆ เช่น การซ่อมแซมรถหรือบ้าน ค่ารักษาพยาบาลกรณีฉุกเฉิน หรือผลกระทบด้านรายได้จากภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น โดยใช้วิธีเปิดบัญชีออมทรัพย์แยกจากบัญชีหลักต่อมา ถังที่ 2: เงินระยะยาว ก็ถือเป็นเงินออมที่สำคัญอีกเช่นกัน มาใส่ในถังนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตวัยเกษียณให้กับตัวเองและครอบครัว โดยเคล็ดลับที่สำคัญคือการเก็บในรูปแบบการฝากแบบประจำ หรือเลือกการออมที่สามารถเพิ่มเงินออมให้งอกเงยทันภาวะเงินเฟ้อ หรือภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน อย่างเช่นการออมในรูปแบบการทำประกันสะสมทรัพย์ ซึ่งให้ทั้งความคุ้มครองชีวิต มีจำนวน ‘ผลตอบแทน’ ที่ชัดเจน และเบี้ยประกันยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ศึกษารายละเอียดแบบประกันเพิ่มเติมได้ที่ https://generali.co.th/product/ถังที่ 3: ค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ สำหรับเงินออมถังนี้จะทำให้ชีวิตการออมเงินของเรามีความสุขและสนุกมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการออมที่จะนำไปใช้ในการมอบของขวัญให้กับตัวเอง เช่น ทริปท่องเที่ยวพักผ่อนประจำปี การซื้อรถ การจัดแต่งงานในฝัน เป็นต้น หากตัดสินใจว่าจะตั้งเป้าหมายการออมเงินเพื่อการใช้จ่ายครั้งใหญ่ การวางแผนเพื่อความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ขั้นแรก ตัดสินใจว่าจะออมเงินเมื่อใด โดยพิจารณาจากงบประมาณที่ระบุไว้ว่าเราสามารถออมเงินได้แค่ไหนในแต่ละเดือน จากนั้นให้ตั้งค่าชำระเงินอัตโนมัติในบัญชีออมทรัพย์เฉพาะที่เอาไว้สำหรับการใช้จ่ายครั้งใหญ่ เพียงเท่านี้ เป้าหมายสำหรับค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ของเราก็จะสำเร็จหากเราสามารถออมเงินด้วยเคล็ดลับนี้ได้อย่างสม่ำเสมอและมีวินัย ก็จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของการออมเงินได้ในที่สุด สามารถติดตามบทความเนื้อหาสาระดี ๆ ด้านสุขภาพ และเคล็ดลับการวางแผนสร้างหลักประกันในชีวิตได้ที่ Gen Healthy Lifeแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=133858
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ช่วงนี้ได้ยินข่าวเรื่องแชร์กันหลายข่าวนะครับ หลายคนคงเคยได้ยินหรือเคยเล่นแชร์กันมาบ้าง ส่วนตัวผมเคยได้ยินเรื่องการเล่นแชร์แบบเมืองไทยมานานตั้งแต่สมัยที่ผมมาเที่ยวเมืองไทยแรกๆ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แม้จะเคยหาอ่านข้อมูลมาบ้างแต่ก็เข้าใจว่าเหมือนกับญี่ปุ่นมาตลอดส่วนแชร์แบบญี่ปุ่นก็มีมานานมากกว่า 1,000 ปีที่แล้วน่าจะตั้งแต่ยุคคามากุระ ซึ่งเรียกว่า (無尽)講 (mujin)kou คือถ้าคำว่า 講 Kou อย่างเดียวจะหมายถึงการรวมตัวรวมกลุ่มกัน อาจจะเป็นการรวมกลุ่มทำบุญ หรือกิจกรรมบางอย่าง เช่น การรวมกลุ่มและทำบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน แต่เมื่อมีคันจิ 無尽 mujin เข้ามานำหน้าทำให้ความหมายคือ การรวมกลุ่มบางอย่างที่เกี่ยวกับเงินตั้งแต่วิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ทำให้วิถีการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป ต้องแยกตัวอยู่ตามลำพังและโดดเดี่ยวกันมากขึ้น ทำให้คนเกิดความรู้สึกเหงาและบางคนเป็นซึมเศร้าเพราะไม่ได้ออกไปปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ จะเห็นว่าเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เมื่อมนุษย์ต้องการมีเพื่อนและการรวมกลุ่มก็มองได้ว่าการรวมกลุ่มเล่นแชร์นั้นทำให้คนที่รู้จักกันได้ร่วมกลุ่มและมีปฏิสัมพันธ์กัน ยิ่งมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องยิ่งถูกใจ แต่ถ้าอิงจากการเล่นแชร์แบบญี่ปุ่นที่ผมเข้าใจ ผมก็ยังไม่แน่ใจจริงๆ ว่าคนจะเล่นแชร์กันทำไม เอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นหรือฝากธนาคารไม่ดีกว่าหรือเพราะการเล่นแชร์ที่ญี่ปุ่นเมื่อพันกว่าปีก่อนนั้นจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ ท้าวแชร์ระดมเงินจากผู้เล่นมารวมเป็นกองกลางแล้วหมุนเวียนให้สมาชิกแต่ละคนรับเงินนั้นไปตามลำดับโดยไม่มีการประมูลหรือจ่ายดอกเบี้ยแชร์ สมมติมี 12 คน ส่งเงินเดือนละครั้งใช้ระยะเวลาเล่น 1 ปี คนที่ได้เงินก้อนเป็นคนแรกก็ได้เงินเท่ากับคนที่ได้รับเงินคนสุดท้าย ถ้ามองในแง่ของเงินเฟ้อ คนสุดท้ายก็อาจเสี่ยงกับเรื่องค่าเงินถ้าข้าวของแพงขึ้น เพราะได้เงินเท่าเดิมแต่อาจจะใช้จ่ายซื้อของได้น้อยลง ถึงแม้ว่า 10 ปี 20 ปีที่ผ่านมาที่ญี่ปุ่นจะไม่ค่อยมีปัญหาข้าวของขึ้นราคามากๆ เพราะพยายามคงราคาเดิมหรือเพิ่มราคาก็ขึ้นไม่มาก และไม่ใช่แค่ราคาของเท่านั้น เงินเดือนต่างๆ ก็แทบไม่ขยับขึ้น ผมหมายถึงก่อนนี้นะครับเพราะตอนนี้เงินเยนอ่อนค่ามาก น่าจะมีการปรับขึ้นราคาของกันแน่ๆผมได้ยินว่าประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทยก็มีเรื่องเงินเฟ้อและของขึ้นราคาอย่างเห็นได้ชัด เทียบราคาของเมื่อ 20 ปีก่อนกับปัจจุบันนี้จะรู้สึกเลยว่าราคาของแพงขึ้นมาก ผมจึงไม่เข้าใจว่า แล้วคนจะเล่นแชร์ไปทำไมในเมื่อได้เงินก้อนเท่าเดิม! แต่สู้เงินเฟ้อไม่ไหว เพิ่งมารู้ว่าที่เมืองไทยมีเปียแชร์แบบมีดอกเบี้ยกันด้วย ( ゚д゚) อย่างไรก็ตามปัจจุบันเริ่มได้ยินว่าที่ญี่ปุ่นมีวงแชร์ที่ต้องประมูลดอกเบี้ยแชร์กันแล้วครับจากการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยต่างๆ ทำให้การเข้าสังคมและสิ่งต่างๆในโลกเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งโลกมีการพัฒนามากขึ้นแค่ไหน การงานเกี่ยวกับสายบริการก็เพิ่มมากขึ้น ช่วงก่อนที่โควิด-19 จะระบาด ญี่ปุ่นมีสายอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากคือสายงานให้คำปรึกษา (consultant) ให้บริการรับปรึกษาและให้คำแนะนำเรื่องต่างๆ และผมได้ติดตาม (follow) นักให้คำปรึกษาอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าเทเฮงคอนเซาท์ 底辺コンサル teihen konsaru เขาเล่าว่าสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าที่มาขอคำปรึกษาที่บริษัทเขาได้ 3 กลุ่ม คือ1. กลุ่มที่หนึ่ง คนที่ประสบความสำเร็จแล้ว มีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้วและมาปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาทางเทคนิคบางอย่างและเรื่องธุรกิจ2. กลุ่มที่สองคือ คนที่ขัดสนจริงๆ มีชีวิตความเป็นอยู่ยากจน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จ หรือจะเรียกว่ากลุ่มที่ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างเป็นการเป็นงาน มีความเข้าใจต่ำ เป็นประเภทที่จะโดนพวกมิจฉาชีพหลอกลวงได้ง่ายๆ เช่น มักจะหลงเชื่อเวปหลอกลวงได้อย่างง่ายดาย บางครั้งมีโฆษณาชวนเชื่อที่เสนอเงินสูงๆ มาจูงใจก็หลงเชื่อและมักจะถูกหลอกลวงในที่สุด3. กลุ่มที่สาม คนที่ครอบครัวพอมีฐานะ ความเป็นอยู่ไม่ขัดสน แต่คุณลักษณะส่วนตัวต่ำเรียนรู้ช้า พัฒนาชีวิตไม่ได้ ไม่สามารถดึงความสามารถตัวเองมาใช้ จะมีปัญหาบางอย่างอาจจะเรื่องส่วนตัวหรือครอบครัว เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดเทเฮงคอนเซาท์เล่าเรื่องต่างๆ ได้น่าสนใจหลายประเด็นเลยทีเดียวครับ เขาบอกว่าแน่นอนว่ากลุ่มต่างๆ ที่มาปรึกษา เขาจะรู้ประวัติและได้สัมภาษณ์ได้อ่านมาหมด เขาเล่ารวมๆ เช่น มีเคสที่เป็นลูกชายของครอบครัวที่พ่อแม่สร้างตัวจากช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วจนฐานะร่ำรวย และถึงแม้ลูกชายจะได้รับเงินสดจำนวนมากและมีอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยอย่างดี แต่ก็ล้มเหลวในการถ่ายทอดความรู้และการเอาชีวิตรอดให้คนรุ่นต่อๆ ไป หรือคนกลุ่มที่สองที่หลายคนยังมีหนี้สิน และมีความยากลำบากในการครองชีพ กลุ่มนี้ที่มักถูกชักจูงให้เล่นแชร์หรือกู้เงินดอกเบี้ยสูงและต้องใช้ชีวิตในวังวนเช่นนี้วนไปแชร์ญี่ปุ่นสมัยก่อนไม่มีผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะระดมทุนกันในกลุ่มและได้เงินเท่าเดิมไม่ว่าใครจะได้เงินคนแรกหรือได้เงินเป็นคนสุดท้าย คนสุดท้ายก็ยังเสี่ยงเจอเงินเฟ้ออีก เอาเงินไปฝากธนาคารยังพอจะได้ดอกเบี้ยบ้าง ส่วนแชร์ที่เมืองไทยก็อาจจะได้ดอกเบี้ยเยอะแต่ก็ได้ยินมาว่าบางทีก็มีความเสี่ยงต่อการโดนหลอกหรือแชร์ล้ม แชร์ลูกโซ่ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนักเทเฮงคอนเซาท์สรุปความเชื่อมโยงอย่างหนึ่ง ว่าสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดความประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวของกลุ่มคนต่างๆ ดังกล่าว คือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวพี่น้องตัวเองหรือเปล่า? เขาบอกว่า ยิ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวพ่อแม่พี่น้องตัวเองเท่าไหร่จะยิ่งส่งเสริมให้บุคคลคนนั้นมีความแข็งแรงด้านความคิด แล้วในกลุ่มคนที่มาปรึกษาเขาคนที่อยู่ในฐานะร่ำรวยทุกคนไม่มีใครที่มีความสัมพันธ์บกพร่องหรือทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัวเลยสักคนเดียว ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนะครับ ประเด็นครอบครัวและสังคมที่มีความสัมพันธ์กันอยู่อย่างปฏิเสธไม่ได้ วันนี้เล่าสู่กันฟัง สวัสดีครับ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
ข่าวการเงิน
30/04/2024
ทำความเข้าใจ หุ้นกู้ VS พันธบัตร คืออะไร ต่างกันอย่างไร ?วันที่ 1 กันยายน 2565 เป็นอย่างที่ทราบกันดีในยุคที่ดอกเป็นขาขึ้นการฝากเงินไว้กับธนาคารหรือการถือเงินสดไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์อีกต่อไป ซึ่งสิ่งที่ตอบโจทย์มากขึ้นในปัจจุบันคือลงทุนใน “หุ้นกู้” และ “พันธบัตร” ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าแต่คำถามที่ตามมาก็คือแล้ว “หุ้นกู้” และ “พันธบัตร” คืออะไร ลักษณะของผลตอบแทนเป็นอย่างไรและมีความแตกต่างกันอย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมข้อมูลมาให้วันนี้หุ้นกู้ คืออะไร ?หุ้นกู้ คือ “ตราสารหนี้” ที่ออกโดยบริษัทภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการต่าง ๆ ของบริษัท เช่น เพื่อลงทุนขยายกิจการ ซื้ออุปกรณ์ หรือเพื่อก่อสร้างโรงงาน เป็นต้นหุ้นกู้สามารถแบ่งออกเป็นหน่วย ๆ แต่ละหน่วยมีมูลค่าเท่า ๆ กัน ในประเทศไทยการออกหุ้นกู้โดยทั่วไปมักจะกำหนดมูลค่าหน่วยละ 1,000 บาทเมื่อซื้อหุ้นกู้ ก็หมายความว่าเราให้เงินกู้กับบริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้น ๆ หรืออาจจะแปลได้ในอีกความหมายก็คือ เราจะอยู่ในสถานะของ “เจ้าหนี้” และบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นจะอยู่ในสถานะ “ลูกหนี้” ของเรา โดยที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้นให้คำสัญญาว่า จะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันตลอดช่วงอายุของหุ้นกู้ และจะชำระเงินต้นคืน ณ วันครบกำหนดอายุความนิยมของหุ้นกู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทขนาดใหญ่หลาย ๆ รายมีการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้อย่างจริงจังและต่อเนื่องมากขึ้น โดยบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งแต่ละบริษัทสามารถออกหุ้นกู้ได้หลาย ๆ รุ่น และต่างได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งมือสมัครเล่นและนักลงทุนมืออาชีพมากขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากหุ้นกู้ของบางบริษัทมีการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงและน่าสนใจประเภทของหุ้นกู้หุ้นกู้ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้ • หุ้นกู้ด้อยสิทธิ คือ หุ้นกู้ที่หากผู้ออกตราสารหนี้ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะมีสิทธิในการเรียกร้องสินทรัพย์ ในอันดับที่ด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญรายอื่น • หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ คือ หุ้นกู้ที่หากผู้ออกตราสารหนี้ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะมีสิทธิในการเรียกร้องสินทรัพย์จากผู้ออกตราสาร ทัดเทียมกับเจ้าหนี้สามัญรายอื่น ๆ และสูงกว่าผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ • หุ้นกู้แปลงสภาพ คือ หุ้นกู้ที่นักลงทุนสามารถเปลี่ยนจากหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญของบริษัทผู้ออกได้ตามราคาที่กำหนด โดยบริษัทผู้ออกจะออกหุ้นสามัญในจำนวนที่มีมูลค่าเท่ากับตราสารหนี้ที่ถืออยู่ สถานะของนักลงทุนจึงเปลี่ยนจากเจ้าหนี้เป็นเจ้าของ • หุ้นกู้ชนิดมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คือ หุ้นกู้ที่ผู้ออกตราสารหนี้ นำสินทรัพย์มาค้ำประกันการออกหุ้นกู้ และผู้ถือจะมีสิทธิในสินทรัพย์ที่วางค้ำประกันนั้นเหนือเจ้าหนี้สามัญรายอื่น ๆ • หุ้นกู้ชนิดที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คือ หุ้นกู้ที่ไม่มีสินทรัพย์ใด ๆ วางไว้ ซึ่งหากผู้ออกตราสารล้มละลายต้องทำการแบ่งสินทรัพย์กับเจ้าหนี้รายอื่นตามสิทธิและสัดส่วนที่ถือลักษณะผลตอบแทนโดยทั่วไปแล้วหุ้นกู้จะจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งเป็นผลตอบแทนปีละ 2 ครั้งหรือทุก ๆ 6 เดือน แต่สำหรับหุ้นกู้บางรุ่น อาจจ่ายปีละ 4 ครั้งหรือทุก ๆ 3 เดือนก็ได้ และดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ 15% เช่นเดียวกับรายได้จากดอกเบี้ยชนิดอื่น ๆพันธบัตร คืออะไร ?“พันธบัตร” หรือ “ตราสารหนี้รัฐบาล” เป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ โดยผู้ซื้อหรือนักลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ที่จะได้รับการชำระหนี้ และผลประโยชน์อื่น ๆ เช่น ดอกเบี้ย จากลูกหนี้ คือ รัฐบาลหรือหน่วยงานที่ออกพันธบัตรนั้น ๆความนิยมของพันธบัตรพันธบัตรรัฐบาล เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นกู้เอกชน หรือการลงทุนในตลาดหุ้น ที่มีความผันผวนสูงกว่า ซึ่งทางภาครัฐเองก็ได้มีการเสนอขายพันธบัตรให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในพันธบัตรจะน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกู้ แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง รับความเสี่ยงได้น้อย การลงทุนในพันธบัตรถือว่าตอบโจทย์ ทำให้นักลงทุนต่างก็ให้ความสนใจอย่างมากเช่นกันประเภทของพันธบัตร • พันธบัตรตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill) เป็นพันธบัตรที่มีความมั่นคงสูงสุด เพราะออกโดยกระทรวงการคลัง จึงมีความเสี่ยงน้อย แต่ผลตอบแทนต่ำ ตั๋วเงินคลังไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย แต่ใช้วิธีขายต่ำกว่าเพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน โดยระยะเวลาไถ่ถอนไม่เกิน 1 ปี • พันธบัตรตั๋วสัญญาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ (Debt Restructure Bill) เป็นพันธบัตรที่ออกโดยสถาบันการเงิน เพื่อระดมทุนช่วยเหลือฟื้นฟูกองทุน และพัฒนาสถาบันการเงิน มีความเสี่ยงมากกว่าตั๋วเงินคลัง ให้ผลตอบแทนด้วยวิธีขายต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว แต่ไถ่ถอนคืนเต็มราคา และไม่ได้รับดอกเบี้ย ไถ่ถอนได้ภายใน 6 เดือน • พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับพันธบัตรประเภทนี้ ที่ออกโดยรัฐบาลเพื่อระดมทุนไปใช้ในการบริหารประเทศ ลดการขาดดุลทางการเงิน ถือเป็นตราสารหนี้ระยะยาว มีอายุมากกว่า 1 ปี ส่วนใหญ่อยู่ที่ 3-7 ปี มีการจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง • พันธบัตรออมทรัพย์ (Government Saving Bond) เป็นการซื้อพันธบัตรเพื่อออมทรัพย์ โดยจะขายให้กับบุคคลทั่วไปและองค์กรไม่แสวงหากำไรในสังกัดของรัฐบาล มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป และจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้งลักษณะผลตอบแทนผู้ที่ลงทุนในพันธบัตร จะได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากำหนด ระยะเวลาลงทุนไม่นานมาก เช่น 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี และ 7 ปี โดยในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีการกำหนดว่า ในการลงทุนในพันธบัตรนั้น ๆ จะได้รับดอกเบี้ยเท่าไหร่ต่อปี เช่น 2% ต่อปี และมีระยะเวลาลงทุนเท่าไหร่ เช่น 1 ปี 5 ปี และ 10 ปี โดยที่ถ้าเป็นพันธบัตรระยะสั้นจะได้ผลตอบแทนต่ำ และหากเป็นพันธบัตรระยะยาว ก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นหุ้นกู้ VS พันธบัตร ต่างกันอย่างไรสิ่งที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างหุ้นกู้ และพันธบัตร ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ หุ้นกู้ จะออกโดยบริษัทเอกชน ส่วนพันธบัตร จะออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนี้หุ้นกู้มักจะมีความเสี่ยงที่สูงมากกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรนั้น แสดงว่าหุ้นกู้ก็จะให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยที่มากกว่า ส่วนพันธบัตรจะให้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่าแต่ทั้งสองแบบจะจ่ายผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยคืนแก่ผู้ลงทุนตามกำหนดที่แน่นอน เมื่อครบอายุตามหน้าสัญญาเหมือนกันอย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังสำหรับการลงทุนทั้งในหุ้นกู้ และพันธบัตร คือเงินที่นำมาลงทุนควรเป็นเงินเย็น และแน่ใจว่าจะไม่ถอนเงินหรือใช้เงินก้อนนี้ตลอดอายุสัญญา เพราะหากต้องการขายออกก่อนกำหนด นักลงทุนจะต้องขายผ่านตลาดรอง ซึ่งจะถูกกดราคา ทำให้ขายได้เงินน้อยกว่าเงินที่ลงทุนไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/prachachat-wealth/news-1035338
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
07/06/2024
29/05/2024
13/06/2024
02/08/2024
30/04/2024