คลังความรู้

Everyday knowledge for you

การวางแผนทางการเงิน

“เงิน 3 ถัง” ทริคการออมในยุคเงินเฟ้อ-ของแพง

30/04/2024

“ต้องมีเงินเก็บหลักล้าน” คงเป็น To Do List ของใครหลายคนที่ตั้งปณิธานปักหมุดลงโซเชียลรับปีใหม่ที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบจะเข้าสู่ปีใหม่อีกครั้ง หลายคนคงยังเก็บเงินไม่ได้ตามฝันที่ตั้งไว้ อาจเพราะอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาขัดขวางเส้นทางการเป็นเศรษฐี ดังนั้น เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์ ขอแนะนำเคล็ดลับ “เงิน 3 ถัง” การออมเงินในยุคเงินเฟ้อ-ของแพง ที่เราทุกคนต้องหันมาออมเงินอย่างจริงจังหลายคนมองว่า “เงินออม” ควรเป็นเงินที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายประจำเดือน แต่ตราบใดที่เรายังใช้กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ในการสร้างเงินออม เราจะไม่สามารถเดินไปถึงฝันได้แน่นอน เพราะค่าใช้จ่ายประจำเดือนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นเราต้อง “ออมก่อนจ่าย” วิธีที่นักบริหารการเงินหลายคนใช้ ด้วยการสร้างวินัยด้านการเงินให้กับตัวเองคือ เมื่อได้รายรับให้หักส่วนหนึ่งเป็นเงินออมทันที เช่น ถ้าได้รับเงินเดือน 30,000 บาท หักเงินออมทันที 10,000 บาท ส่วนที่เหลือนำไปบริหารเป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือน และค่าใช้จ่ายประจำวัน วิธีนี้จะทำให้เรามีเงินออมอย่างมั่นคงทุกเดือนเมื่อเราได้เงินออมที่มั่นคงในแต่ละเดือนแล้ว ให้แบ่งเงินออมลง “3 ถัง” เริ่มที่ ถังที่ 1: เงินฉุกเฉิน จัดเป็นเป้าหมายการออมเงินระยะสั้น เพื่อให้มีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในยามวิกฤตต่าง ๆ เช่น การซ่อมแซมรถหรือบ้าน ค่ารักษาพยาบาลกรณีฉุกเฉิน หรือผลกระทบด้านรายได้จากภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น โดยใช้วิธีเปิดบัญชีออมทรัพย์แยกจากบัญชีหลักต่อมา ถังที่ 2: เงินระยะยาว ก็ถือเป็นเงินออมที่สำคัญอีกเช่นกัน มาใส่ในถังนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตวัยเกษียณให้กับตัวเองและครอบครัว โดยเคล็ดลับที่สำคัญคือการเก็บในรูปแบบการฝากแบบประจำ หรือเลือกการออมที่สามารถเพิ่มเงินออมให้งอกเงยทันภาวะเงินเฟ้อ หรือภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวน อย่างเช่นการออมในรูปแบบการทำประกันสะสมทรัพย์ ซึ่งให้ทั้งความคุ้มครองชีวิต มีจำนวน ‘ผลตอบแทน’ ที่ชัดเจน และเบี้ยประกันยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ศึกษารายละเอียดแบบประกันเพิ่มเติมได้ที่ https://generali.co.th/product/ถังที่ 3: ค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ สำหรับเงินออมถังนี้จะทำให้ชีวิตการออมเงินของเรามีความสุขและสนุกมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการออมที่จะนำไปใช้ในการมอบของขวัญให้กับตัวเอง เช่น ทริปท่องเที่ยวพักผ่อนประจำปี การซื้อรถ การจัดแต่งงานในฝัน เป็นต้น หากตัดสินใจว่าจะตั้งเป้าหมายการออมเงินเพื่อการใช้จ่ายครั้งใหญ่ การวางแผนเพื่อความสำเร็จนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ขั้นแรก ตัดสินใจว่าจะออมเงินเมื่อใด โดยพิจารณาจากงบประมาณที่ระบุไว้ว่าเราสามารถออมเงินได้แค่ไหนในแต่ละเดือน จากนั้นให้ตั้งค่าชำระเงินอัตโนมัติในบัญชีออมทรัพย์เฉพาะที่เอาไว้สำหรับการใช้จ่ายครั้งใหญ่ เพียงเท่านี้ เป้าหมายสำหรับค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ของเราก็จะสำเร็จหากเราสามารถออมเงินด้วยเคล็ดลับนี้ได้อย่างสม่ำเสมอและมีวินัย ก็จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายของการออมเงินได้ในที่สุด สามารถติดตามบทความเนื้อหาสาระดี ๆ ด้านสุขภาพ และเคล็ดลับการวางแผนสร้างหลักประกันในชีวิตได้ที่ Gen Healthy Lifeแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับซีเคว้ล ออนไลน์https://www.sequelonline.com/?p=133858

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

การเล่นแชร์แบบเมืองไทย vs การเล่นแชร์แบบญี่ปุ่น ..อย่าตกใจ!

30/04/2024

สวัสดีครับผม Mr. Leon มาแล้ว ช่วงนี้ได้ยินข่าวเรื่องแชร์กันหลายข่าวนะครับ หลายคนคงเคยได้ยินหรือเคยเล่นแชร์กันมาบ้าง ส่วนตัวผมเคยได้ยินเรื่องการเล่นแชร์แบบเมืองไทยมานานตั้งแต่สมัยที่ผมมาเที่ยวเมืองไทยแรกๆ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แม้จะเคยหาอ่านข้อมูลมาบ้างแต่ก็เข้าใจว่าเหมือนกับญี่ปุ่นมาตลอดส่วนแชร์แบบญี่ปุ่นก็มีมานานมากกว่า 1,000 ปีที่แล้วน่าจะตั้งแต่ยุคคามากุระ ซึ่งเรียกว่า (無尽)講 (mujin)kou คือถ้าคำว่า 講 Kou อย่างเดียวจะหมายถึงการรวมตัวรวมกลุ่มกัน อาจจะเป็นการรวมกลุ่มทำบุญ หรือกิจกรรมบางอย่าง เช่น การรวมกลุ่มและทำบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน แต่เมื่อมีคันจิ 無尽 mujin เข้ามานำหน้าทำให้ความหมายคือ การรวมกลุ่มบางอย่างที่เกี่ยวกับเงินตั้งแต่วิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ทำให้วิถีการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป ต้องแยกตัวอยู่ตามลำพังและโดดเดี่ยวกันมากขึ้น ทำให้คนเกิดความรู้สึกเหงาและบางคนเป็นซึมเศร้าเพราะไม่ได้ออกไปปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ จะเห็นว่าเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เมื่อมนุษย์ต้องการมีเพื่อนและการรวมกลุ่มก็มองได้ว่าการรวมกลุ่มเล่นแชร์นั้นทำให้คนที่รู้จักกันได้ร่วมกลุ่มและมีปฏิสัมพันธ์กัน ยิ่งมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องยิ่งถูกใจ แต่ถ้าอิงจากการเล่นแชร์แบบญี่ปุ่นที่ผมเข้าใจ ผมก็ยังไม่แน่ใจจริงๆ ว่าคนจะเล่นแชร์กันทำไม เอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นหรือฝากธนาคารไม่ดีกว่าหรือเพราะการเล่นแชร์ที่ญี่ปุ่นเมื่อพันกว่าปีก่อนนั้นจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ ท้าวแชร์ระดมเงินจากผู้เล่นมารวมเป็นกองกลางแล้วหมุนเวียนให้สมาชิกแต่ละคนรับเงินนั้นไปตามลำดับโดยไม่มีการประมูลหรือจ่ายดอกเบี้ยแชร์ สมมติมี 12 คน ส่งเงินเดือนละครั้งใช้ระยะเวลาเล่น 1 ปี คนที่ได้เงินก้อนเป็นคนแรกก็ได้เงินเท่ากับคนที่ได้รับเงินคนสุดท้าย ถ้ามองในแง่ของเงินเฟ้อ คนสุดท้ายก็อาจเสี่ยงกับเรื่องค่าเงินถ้าข้าวของแพงขึ้น เพราะได้เงินเท่าเดิมแต่อาจจะใช้จ่ายซื้อของได้น้อยลง ถึงแม้ว่า 10 ปี 20 ปีที่ผ่านมาที่ญี่ปุ่นจะไม่ค่อยมีปัญหาข้าวของขึ้นราคามากๆ เพราะพยายามคงราคาเดิมหรือเพิ่มราคาก็ขึ้นไม่มาก และไม่ใช่แค่ราคาของเท่านั้น เงินเดือนต่างๆ ก็แทบไม่ขยับขึ้น ผมหมายถึงก่อนนี้นะครับเพราะตอนนี้เงินเยนอ่อนค่ามาก น่าจะมีการปรับขึ้นราคาของกันแน่ๆผมได้ยินว่าประเทศอื่นๆ รวมทั้งประเทศไทยก็มีเรื่องเงินเฟ้อและของขึ้นราคาอย่างเห็นได้ชัด เทียบราคาของเมื่อ 20 ปีก่อนกับปัจจุบันนี้จะรู้สึกเลยว่าราคาของแพงขึ้นมาก ผมจึงไม่เข้าใจว่า แล้วคนจะเล่นแชร์ไปทำไมในเมื่อได้เงินก้อนเท่าเดิม! แต่สู้เงินเฟ้อไม่ไหว เพิ่งมารู้ว่าที่เมืองไทยมีเปียแชร์แบบมีดอกเบี้ยกันด้วย ( ゚д゚) อย่างไรก็ตามปัจจุบันเริ่มได้ยินว่าที่ญี่ปุ่นมีวงแชร์ที่ต้องประมูลดอกเบี้ยแชร์กันแล้วครับจากการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยต่างๆ ทำให้การเข้าสังคมและสิ่งต่างๆในโลกเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งโลกมีการพัฒนามากขึ้นแค่ไหน การงานเกี่ยวกับสายบริการก็เพิ่มมากขึ้น ช่วงก่อนที่โควิด-19 จะระบาด ญี่ปุ่นมีสายอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากคือสายงานให้คำปรึกษา (consultant) ให้บริการรับปรึกษาและให้คำแนะนำเรื่องต่างๆ และผมได้ติดตาม (follow) นักให้คำปรึกษาอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่าเทเฮงคอนเซาท์ 底辺コンサル teihen konsaru เขาเล่าว่าสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าที่มาขอคำปรึกษาที่บริษัทเขาได้ 3 กลุ่ม คือ1. กลุ่มที่หนึ่ง คนที่ประสบความสำเร็จแล้ว มีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้วและมาปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาทางเทคนิคบางอย่างและเรื่องธุรกิจ2. กลุ่มที่สองคือ คนที่ขัดสนจริงๆ มีชีวิตความเป็นอยู่ยากจน และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จ หรือจะเรียกว่ากลุ่มที่ไม่รู้เรื่องอะไรอย่างเป็นการเป็นงาน มีความเข้าใจต่ำ เป็นประเภทที่จะโดนพวกมิจฉาชีพหลอกลวงได้ง่ายๆ เช่น มักจะหลงเชื่อเวปหลอกลวงได้อย่างง่ายดาย บางครั้งมีโฆษณาชวนเชื่อที่เสนอเงินสูงๆ มาจูงใจก็หลงเชื่อและมักจะถูกหลอกลวงในที่สุด3. กลุ่มที่สาม คนที่ครอบครัวพอมีฐานะ ความเป็นอยู่ไม่ขัดสน แต่คุณลักษณะส่วนตัวต่ำเรียนรู้ช้า พัฒนาชีวิตไม่ได้ ไม่สามารถดึงความสามารถตัวเองมาใช้ จะมีปัญหาบางอย่างอาจจะเรื่องส่วนตัวหรือครอบครัว เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดเทเฮงคอนเซาท์เล่าเรื่องต่างๆ ได้น่าสนใจหลายประเด็นเลยทีเดียวครับ เขาบอกว่าแน่นอนว่ากลุ่มต่างๆ ที่มาปรึกษา เขาจะรู้ประวัติและได้สัมภาษณ์ได้อ่านมาหมด เขาเล่ารวมๆ เช่น มีเคสที่เป็นลูกชายของครอบครัวที่พ่อแม่สร้างตัวจากช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วจนฐานะร่ำรวย และถึงแม้ลูกชายจะได้รับเงินสดจำนวนมากและมีอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยอย่างดี แต่ก็ล้มเหลวในการถ่ายทอดความรู้และการเอาชีวิตรอดให้คนรุ่นต่อๆ ไป หรือคนกลุ่มที่สองที่หลายคนยังมีหนี้สิน และมีความยากลำบากในการครองชีพ กลุ่มนี้ที่มักถูกชักจูงให้เล่นแชร์หรือกู้เงินดอกเบี้ยสูงและต้องใช้ชีวิตในวังวนเช่นนี้วนไปแชร์ญี่ปุ่นสมัยก่อนไม่มีผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะระดมทุนกันในกลุ่มและได้เงินเท่าเดิมไม่ว่าใครจะได้เงินคนแรกหรือได้เงินเป็นคนสุดท้าย คนสุดท้ายก็ยังเสี่ยงเจอเงินเฟ้ออีก เอาเงินไปฝากธนาคารยังพอจะได้ดอกเบี้ยบ้าง ส่วนแชร์ที่เมืองไทยก็อาจจะได้ดอกเบี้ยเยอะแต่ก็ได้ยินมาว่าบางทีก็มีความเสี่ยงต่อการโดนหลอกหรือแชร์ล้ม แชร์ลูกโซ่ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนักเทเฮงคอนเซาท์สรุปความเชื่อมโยงอย่างหนึ่ง ว่าสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดความประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลวของกลุ่มคนต่างๆ ดังกล่าว คือมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวพี่น้องตัวเองหรือเปล่า? เขาบอกว่า ยิ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวพ่อแม่พี่น้องตัวเองเท่าไหร่จะยิ่งส่งเสริมให้บุคคลคนนั้นมีความแข็งแรงด้านความคิด แล้วในกลุ่มคนที่มาปรึกษาเขาคนที่อยู่ในฐานะร่ำรวยทุกคนไม่มีใครที่มีความสัมพันธ์บกพร่องหรือทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัวเลยสักคนเดียว ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนะครับ ประเด็นครอบครัวและสังคมที่มีความสัมพันธ์กันอยู่อย่างปฏิเสธไม่ได้ วันนี้เล่าสู่กันฟัง สวัสดีครับ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

หุ้นกู้ VS พันธบัตร คืออะไร ต่างกันอย่างไร ?

30/04/2024

ทำความเข้าใจ หุ้นกู้ VS พันธบัตร คืออะไร ต่างกันอย่างไร ?วันที่ 1 กันยายน 2565 เป็นอย่างที่ทราบกันดีในยุคที่ดอกเป็นขาขึ้นการฝากเงินไว้กับธนาคารหรือการถือเงินสดไม่ใช่สิ่งที่ตอบโจทย์อีกต่อไป ซึ่งสิ่งที่ตอบโจทย์มากขึ้นในปัจจุบันคือลงทุนใน “หุ้นกู้” และ “พันธบัตร” ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าแต่คำถามที่ตามมาก็คือแล้ว “หุ้นกู้” และ “พันธบัตร” คืออะไร ลักษณะของผลตอบแทนเป็นอย่างไรและมีความแตกต่างกันอย่างไร “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมข้อมูลมาให้วันนี้หุ้นกู้ คืออะไร ?หุ้นกู้ คือ “ตราสารหนี้” ที่ออกโดยบริษัทภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการต่าง ๆ ของบริษัท เช่น เพื่อลงทุนขยายกิจการ ซื้ออุปกรณ์ หรือเพื่อก่อสร้างโรงงาน เป็นต้นหุ้นกู้สามารถแบ่งออกเป็นหน่วย ๆ แต่ละหน่วยมีมูลค่าเท่า ๆ กัน ในประเทศไทยการออกหุ้นกู้โดยทั่วไปมักจะกำหนดมูลค่าหน่วยละ 1,000 บาทเมื่อซื้อหุ้นกู้ ก็หมายความว่าเราให้เงินกู้กับบริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้น ๆ หรืออาจจะแปลได้ในอีกความหมายก็คือ เราจะอยู่ในสถานะของ “เจ้าหนี้” และบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นจะอยู่ในสถานะ “ลูกหนี้” ของเรา โดยที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้นให้คำสัญญาว่า จะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันตลอดช่วงอายุของหุ้นกู้ และจะชำระเงินต้นคืน ณ วันครบกำหนดอายุความนิยมของหุ้นกู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทขนาดใหญ่หลาย ๆ รายมีการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้อย่างจริงจังและต่อเนื่องมากขึ้น โดยบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งแต่ละบริษัทสามารถออกหุ้นกู้ได้หลาย ๆ รุ่น และต่างได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งมือสมัครเล่นและนักลงทุนมืออาชีพมากขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากหุ้นกู้ของบางบริษัทมีการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงและน่าสนใจประเภทของหุ้นกู้หุ้นกู้ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้  • หุ้นกู้ด้อยสิทธิ คือ หุ้นกู้ที่หากผู้ออกตราสารหนี้ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะมีสิทธิในการเรียกร้องสินทรัพย์ ในอันดับที่ด้อยกว่าเจ้าหนี้สามัญรายอื่น  • หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ คือ หุ้นกู้ที่หากผู้ออกตราสารหนี้ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ประเภทนี้จะมีสิทธิในการเรียกร้องสินทรัพย์จากผู้ออกตราสาร ทัดเทียมกับเจ้าหนี้สามัญรายอื่น ๆ และสูงกว่าผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ  • หุ้นกู้แปลงสภาพ  คือ หุ้นกู้ที่นักลงทุนสามารถเปลี่ยนจากหุ้นกู้เป็นหุ้นสามัญของบริษัทผู้ออกได้ตามราคาที่กำหนด โดยบริษัทผู้ออกจะออกหุ้นสามัญในจำนวนที่มีมูลค่าเท่ากับตราสารหนี้ที่ถืออยู่ สถานะของนักลงทุนจึงเปลี่ยนจากเจ้าหนี้เป็นเจ้าของ  • หุ้นกู้ชนิดมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คือ หุ้นกู้ที่ผู้ออกตราสารหนี้ นำสินทรัพย์มาค้ำประกันการออกหุ้นกู้ และผู้ถือจะมีสิทธิในสินทรัพย์ที่วางค้ำประกันนั้นเหนือเจ้าหนี้สามัญรายอื่น ๆ  • หุ้นกู้ชนิดที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน คือ หุ้นกู้ที่ไม่มีสินทรัพย์ใด ๆ วางไว้ ซึ่งหากผู้ออกตราสารล้มละลายต้องทำการแบ่งสินทรัพย์กับเจ้าหนี้รายอื่นตามสิทธิและสัดส่วนที่ถือลักษณะผลตอบแทนโดยทั่วไปแล้วหุ้นกู้จะจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งเป็นผลตอบแทนปีละ 2 ครั้งหรือทุก ๆ 6 เดือน แต่สำหรับหุ้นกู้บางรุ่น อาจจ่ายปีละ 4 ครั้งหรือทุก ๆ 3 เดือนก็ได้ และดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ 15% เช่นเดียวกับรายได้จากดอกเบี้ยชนิดอื่น ๆพันธบัตร คืออะไร ?“พันธบัตร” หรือ “ตราสารหนี้รัฐบาล” เป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ โดยผู้ซื้อหรือนักลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ที่จะได้รับการชำระหนี้ และผลประโยชน์อื่น ๆ เช่น ดอกเบี้ย จากลูกหนี้ คือ รัฐบาลหรือหน่วยงานที่ออกพันธบัตรนั้น ๆความนิยมของพันธบัตรพันธบัตรรัฐบาล เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในหุ้นกู้เอกชน หรือการลงทุนในตลาดหุ้น ที่มีความผันผวนสูงกว่า ซึ่งทางภาครัฐเองก็ได้มีการเสนอขายพันธบัตรให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในพันธบัตรจะน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นกู้ แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง รับความเสี่ยงได้น้อย การลงทุนในพันธบัตรถือว่าตอบโจทย์ ทำให้นักลงทุนต่างก็ให้ความสนใจอย่างมากเช่นกันประเภทของพันธบัตร  • พันธบัตรตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill) เป็นพันธบัตรที่มีความมั่นคงสูงสุด เพราะออกโดยกระทรวงการคลัง จึงมีความเสี่ยงน้อย แต่ผลตอบแทนต่ำ ตั๋วเงินคลังไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย แต่ใช้วิธีขายต่ำกว่าเพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน โดยระยะเวลาไถ่ถอนไม่เกิน 1 ปี  • พันธบัตรตั๋วสัญญาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ (Debt Restructure Bill) เป็นพันธบัตรที่ออกโดยสถาบันการเงิน เพื่อระดมทุนช่วยเหลือฟื้นฟูกองทุน และพัฒนาสถาบันการเงิน มีความเสี่ยงมากกว่าตั๋วเงินคลัง ให้ผลตอบแทนด้วยวิธีขายต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว แต่ไถ่ถอนคืนเต็มราคา และไม่ได้รับดอกเบี้ย ไถ่ถอนได้ภายใน 6 เดือน  • พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับพันธบัตรประเภทนี้ ที่ออกโดยรัฐบาลเพื่อระดมทุนไปใช้ในการบริหารประเทศ ลดการขาดดุลทางการเงิน ถือเป็นตราสารหนี้ระยะยาว มีอายุมากกว่า 1 ปี ส่วนใหญ่อยู่ที่ 3-7 ปี มีการจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง  • พันธบัตรออมทรัพย์ (Government Saving Bond) เป็นการซื้อพันธบัตรเพื่อออมทรัพย์ โดยจะขายให้กับบุคคลทั่วไปและองค์กรไม่แสวงหากำไรในสังกัดของรัฐบาล มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป และจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้งลักษณะผลตอบแทนผู้ที่ลงทุนในพันธบัตร จะได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากำหนด ระยะเวลาลงทุนไม่นานมาก เช่น 1 ปี, 3 ปี, 5 ปี และ 7 ปี โดยในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีการกำหนดว่า ในการลงทุนในพันธบัตรนั้น ๆ จะได้รับดอกเบี้ยเท่าไหร่ต่อปี เช่น 2% ต่อปี และมีระยะเวลาลงทุนเท่าไหร่ เช่น 1 ปี 5 ปี และ 10 ปี โดยที่ถ้าเป็นพันธบัตรระยะสั้นจะได้ผลตอบแทนต่ำ และหากเป็นพันธบัตรระยะยาว ก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นหุ้นกู้ VS พันธบัตร ต่างกันอย่างไรสิ่งที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างหุ้นกู้ และพันธบัตร ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ หุ้นกู้ จะออกโดยบริษัทเอกชน ส่วนพันธบัตร จะออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐ นอกจากนี้หุ้นกู้มักจะมีความเสี่ยงที่สูงมากกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรนั้น แสดงว่าหุ้นกู้ก็จะให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยที่มากกว่า ส่วนพันธบัตรจะให้ดอกเบี้ยที่ถูกกว่าแต่ทั้งสองแบบจะจ่ายผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยคืนแก่ผู้ลงทุนตามกำหนดที่แน่นอน เมื่อครบอายุตามหน้าสัญญาเหมือนกันอย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังสำหรับการลงทุนทั้งในหุ้นกู้ และพันธบัตร คือเงินที่นำมาลงทุนควรเป็นเงินเย็น และแน่ใจว่าจะไม่ถอนเงินหรือใช้เงินก้อนนี้ตลอดอายุสัญญา เพราะหากต้องการขายออกก่อนกำหนด นักลงทุนจะต้องขายผ่านตลาดรอง ซึ่งจะถูกกดราคา ทำให้ขายได้เงินน้อยกว่าเงินที่ลงทุนไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/prachachat-wealth/news-1035338

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ส่องสารพัดโปรฯ “P miner Crypto” ลงเยอะได้เยอะ ปันผลสูงหลายเท่าล่อคนลงทุน ก่อนเจ๊งกันระนาว

30/04/2024

เชียงใหม่ - ตามส่องสารพัดโปรฯ “P miner Crypto” ล่อคนร่วมลงทุนทั้งระยะสั้น-ระยะยาว แลกเงินปันผลรวมสูงกว่าเงินลงทุนหลายเท่าตัว แต่ห้ามถอนเงินต้น จนคนแห่ร่วมวงไม่พอ เทปันผลลงเพิ่มไม่หยุด ทำมูลค่าความเสียหายทบทวีกรณีผู้เสียหายจากการร่วมลงทุนเทรดคริปโตฯ กับบริษัท P MINER จำกัด เข้าร้องทุกข์-แจ้งความต่อ DSI ตลอดจนสถานีตำรวจต่างๆ ทั้งในเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,700 ล้านบาทกระทั่งตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สนธิกำลังเข้าบุกค้นบ้านนายเป้ เจ้าของธุรกิจที่อ้างว่าประกอบการเหมืองขุดคริปโตฯ "P miner Cryptocurrency" ซึ่งไม่พบเจ้าตัวแต่สามารถอายัดทรัพย์สินหลายรายการประกอบด้วยรถหรู 5 คัน ได้แก่ รถยนต์ปอร์เช่ ลัมโบร์กินี บีเอ็มดับเบิลยู เฟอร์รารี่ เบนท์ลีย์ ตลอดจนสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกหลายรายการไม่ว่าจะเป็น นาฬิกาหรู บ้านและที่ดิน ตลอดจนถึงบัญชีเงินฝากกว่า 10 บัญชี มูลค่ารวมกว่า 101 ล้านบาทนั้นหนึ่งในผู้เสียหายชาวเชียงใหม่ได้เปิดเผยถึงการเข้าไปร่วมลงทุนกับ P MINER ว่าเริ่มจากการชักชวนกันในกลุ่มเพื่อน ญาติพี่น้อง คนที่ร่วมงานด้วยกัน เบื้องต้นต้องสมัครเปิดบัญชีมีไอดีแอ็กเคานต์ก่อน จากนั้นจึงล็อกอินเข้าเว็บเพจ โอนเงิน ซื้อหุ้น หุ้นละ 10,000 บาท พอโอนแล้วให้แจ้งแอดมินเพื่อทำเรื่องโอนเงินเข้าบัญชีเราซึ่งลักษณะคล้ายกับฝากประจำของธนาคาร แต่เราไม่สามารถถอนเงินต้นได้ ให้ฝากเป็นก้อน แล้วทางบริษัทจะโอนเงิน (ปันผล) คืนมา โดยระบุวันเวลาทุกเดือนจนครบ รวมแล้วจะได้เงินคืนมาจำนวน 5 เท่าของเงินต้น โดยมีโปรฯ ต่างๆ ให้เลือกหลากหลายนับสิบๆ โปรฯ ทั้งระยะสั้น-ระยะยาวเช่น โปรฯ ฮาร์ลีย์ ปกติการซื้อมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์ ต้องเช็กเครดิตทั้งผู้ซื้อ-ผู้ค้ำ เนื่องจากเป็นรถที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่ P Miner ใช้วิธีดีลกับตัวแทนจำหน่ายรถฮาร์ลีย์ แล้วจัดโปรฯ ฮาร์ลีย์ขึ้นมา ล่อให้คนที่ต้องการซื้อรถฮาร์ลีย์ที่ต้องผ่อนชำระเดือนละไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท ได้ง่ายๆ-แบบไม่ต้องดาวน์ ตัดสินลงทุนกับโปรฯ นี้ แค่โอนเงินร่วมลงทุนตามที่กำหนด แล้วรอรับปันผลเป็นค่างวดผ่อนฮาร์ลีย์จนครบ รวมทั้งรับเข้าแก๊งเป็นพิเศษ มีเสื้อหนังทีม มีกิจกรรมขบวนรถฮาร์ลีย์เที่ยวร่วมกัน มีมีตติ้ง เป็นต้นโปรฯ ฝากประจำ 36 เดือน หุ้นละ 10,000 บาท ฝากเงินระยาว/ปันผลทั้งต้นทั้งดอก 36 งวด งวดละ 1,600 บาท โปรฯ ฝากระยะยาว 24 เดือน หุ้นละ 10,000 รับปันผลเดือนละ 1,400 จำนวน 24 งวด โปรฯ ระยะสั้น 3 เดือน (3MM) ลง 10,000 บาท จะได้ 14,500 บาท 3 งวด โปรฯ  IDOLD ทุน 300,000 บาท ปันผลทุกเดือน เดือนละ 30,000 บาท 24 เดือน โปรฯ  IDOLD Mini ลงทุน 30,000 บาท ปันผล 24 งวด งวดละ 3,000 บาท โปรฯ ETH หุ้นละ 30,000 บาท 45 วัน คืนเงินงวดเดียว 37,000 บาท โปรฯ MOBOX หุ้นละ 30,000 บาท ระยะปันผล 30 วัน เดือนละ 9,000 บาท 8 งวด 8 เดือน ฯลฯทั้งนี้ ทุกโปรฯ มีเงื่อนไขไม่สามารถถอนเงินต้นได้ แต่สัญญาจะจ่ายเงินปันผลในแต่ละเดือนแต่ละงวด ผ่านช่องทางที่เรียกว่า wallet โดยกำหนดให้ถอนขั้นต่ำที่ 30,000 บาท ไปจนถึง 2,000,000 บาท ซึ่งผู้ที่เข้าไปร่วมลงทุนส่วนใหญ่เมื่อเห็นว่าได้เงินปันผลสูงก็จะนำไปลงทุนเพิ่มต่อ โดยไม่ถอนเงินคืน ทำให้มูลค่าความเสียหายแต่ละรายทบทวีมากขึ้นอย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายชาวเชียงใหม่รายนี้ ซึ่งเพิ่งเริ่มลงทุนโอนเงินเข้าระบบเมื่อเดือนสิงหาคม 65 ที่ผ่านมา เชื่อว่าบริษัทดังกล่าวมีการทำเหมืองเทรดเงินคริปโตฯ จริง แต่เกิดปัญหาหลังมูลค่าเงินคริปโตฯ ลดลงฮวบฮาบ ทำให้ขาใหญ่ไม่ได้เงินปันผลตามกำหนดสัญญา ไม่พอใจและออกมาร้องเรียนกันจนเรื่องแดงขึ้นมาแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับผู้จัดการออนไลน์https://mgronline.com/loc al/detail/9650000083928

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

‘จุฬาฯ’ ชี้คนไทยออมเงินน้อย มีความพร้อมหลังเกษียณต่ำกว่า 40%

30/04/2024

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล หัวหน้าภาควิชาการธนาคารและการเงิน คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดทำ “ดัชนีความพร้อมเพื่อการเกษียณ” (NRRI) เพื่อหาเครื่องมือวัดระดับความพร้อมหรือไม่พร้อมของคนในประเทศไทยหลังเกษียณ โดยพบว่าตัวเลขความพร้อมด้านการเงินค่าเฉลี่ยของประเทศมีความพร้อมต่ำกว่า 40% ขณะที่ความพร้อมด้านสุขภาพมีความพร้อมในระดับที่สูงกว่ามิติด้านการเงิน ซึ่งการมีความพร้อมจากการมีความสุขด้านสุขภาพสูงกว่าความพร้อมจากความสุขด้านการเงิน ทำให้ต้องมีเงินเท่าใดถึงจะพอจึงเป็นอีกโจทย์หนึ่ง ซึ่งการสำรวจการใช้จ่ายของคนสูงวัย พบว่าจำนวนเงินที่จะเพียงพอที่จะอยู่รอดได้หลังเกษียณคือ 3 ล้านบาทต่อคน และต้องทยอยนำเงินมาใช้จ่ายต่อเดือนในระดับ 6,000-7,000 บาท แต่ปัจจุบันมีการใช้จ่ายกันที่ระดับ 10,000 บาทต่อเดือน หมายความว่ามีการใช้เงินมากกว่าที่มีอยู่นางพรอนงค์ กล่าวว่า ผู้ที่มีส่วนด้านการออมที่สำคัญที่สุด อันดับแรกคือ ประชาชนทุกคนต้องมีความตระหนักรู้ถึงประโยชน์ของการออม รองลงมาคือภาครัฐต้องมีบทบาทในการสนับสนุนทักษะทางการเงินของประชาชน ต้องมีนโยบายส่งเสริมให้คนมีทักษะและความรู้ทางการเงิน เพื่อให้ประชาชนตระหนักรู้ว่าต้องออม และจะนำไปสู่ความรู้ว่าจะออมอย่างไร ทำอย่างไรไม่ให้ถูกหลอกทางการเงิน รวมทั้งส่งเสริมให้มีเครื่องมือการลงทุน ระบบการออมภาคบังคับ รวมถึงฝั่งนายจ้าง ที่ควรมองว่าการดูแลพนักงานไม่ใช่ดูแลเฉพาะเวลาที่ทำงานกับองค์กร แต่มองไปถึงว่าหลังเลิกทำงานกับนายจ้างแล้วควรมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย“แรงงานในระบบสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้สูงสุด 15% ไม่เกิน 500,000 บาท จึงอยากให้ทุกคนออมผ่านรูปแบบใดก็ได้ ในสัดส่วน 15% ของรายได้ ซึ่งหากออมต่ำกว่า 10% ต่อไปชีวิตลำบากแน่ ทำให้ขั้นต่ำต้อง 15% หากใครทำได้ระดับ 30% เรียกว่าดี อยู่ได้ แต่หากสูงกว่า 30% ถือว่าดี ซึ่งการออมต่ำกว่า 10% อนาคตต้องพึ่งพาการถูกลอตเตอรี่ ได้มรดก หรือมีลูกหลานเลี้ยงดู ถือเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เราควบคุมได้คือการออมจากประโยชน์ที่ได้จากทางภาษี และหากใครมีการออมเกิน 15% อยู่แล้วให้ใส่ความรู้ด้านการลงทุนเข้าไปด้วย” นางพรอนงค์ กล่าวนางพรอนงค์ กล่าวว่า สำหรับแรงงานนอกระบบ ขอให้มีวินัยด้านการออม หากระบบที่มีอยู่ยังไม่เอื้อจะต้องขวนขวายด้วยตัวเอง อาทิ การเข้าสู่ระบบประกันสังคมมาตรา 40 รวมถึงเข้าสู่การออมในกองทุน โดยขอให้ปรับพฤติกรรมใหม่ คือ สร้างวินัยการออม โดยเฉพาะอาชีพอิสระไม่ควรลงทุนในสิ่งที่เสี่ยง ควรปรับสัดส่วนการออมและความสม่ำเสมอ จากที่เคยพบพฤติกรรมการออมคือ ออมจำนวนมากในครั้งเดียวแล้วหายไป 3 ปี หลังจากนั้นเมื่อเก็บเงินได้ใหม่จึงจะออมอีกครั้งหนึ่งทั้งนี้ หวังว่าตัวเลขค่าเฉลี่ยการออมของประเทศไทยจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจากการเริ่มทำวิจัยเมื่อ 10 ปีก่อน ได้พบว่าระบบบำนาญครอบคลุมในสัดส่วน 40:60 แต่ปัจจุบันกลับหัวเป็นสัดส่วน 60:40 หมายความว่าตัวเลขดีขึ้น แต่ยังไม่เร็วพอกับการที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสุดยอด ดังนั้น ต้องตระหนักรู้ให้เร็วและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนางพรอนงค์ กล่าวว่า อุปสรรคการออมหลังเกษียณที่ทำให้การเกษียณไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ประชาชนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าอุปสรรคคือ ความเสี่ยง อาทิการเข้ามาของโควิด แต่อยากบอกว่าแม้โควิดไปเชื้อโรคตัวใหม่ก็จะเข้ามา ต่อไปอุปสรรคคือ ความเสี่ยงจะมาเร็วและมาแรงขึ้น อาทิ โควิด หรือสงคราม ทุกอย่างจะเข้ามาเรื่อย ๆ อย่าให้เรื่องเหล่านี้มากระทบวินัยการออมแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับมติชนออนไลน์https://www.matichon.co.th/economy/news_3545355

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ภาษี

อัปเดต ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2565 พร้อมแนะวิธีการคำนวณ

30/04/2024

ขึ้นชื่อว่าภาษีก็เป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นะคะ โดยเฉพาะคนที่อยากสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง ก็ต้องจ่าย “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ดังนั้นเจ้าของที่ดินจึงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีดังกล่าวและอัปเดตข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับได้อย่างถูกต้อง วันนี้เราจึงสรุปภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปี 2565 พร้อมแนะนำวิธีการคำนวณภาษี เพื่อนๆ คนไหน อยากจะสร้างบ้าน ต้องอ่านเลยค่ะภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืออะไรภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า ภาษีที่ดิน คือภาษีที่จัดเก็บรายปีตามมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ โดยมีหน่วยงานผู้ทำหน้าที่รับผิดชอบจัดเก็บภาษี โดยอัตราภาษีจะคำนวณตามประเภทการใช้ประโยชน์ใครบ้างที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง  •  เจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง แต่ถ้าเจ้าของที่ดินและเจ้าของสิ่งปลูกสร้างเป็นคนละคนกัน ก็ให้เจ้าของที่ดินเสียภาษีเฉพาะส่วนมูลค่าที่ดิน ส่วนเจ้าของสิ่งปลูกสร้างเสียภาษีเฉพาะส่วนของมูลค่าสิ่งปลูกสร้าง  •  ผู้ครอบครอง ทำประโยชน์ในที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นทรัพย์สินของรัฐ   •  เจ้าของหรือครอบครองที่ดิน สิ่งปลูกสร้างในช่วงวันที่ 1 มกราคม ของปีภาษีนั้น จะต้องเป็นผู้เสียภาษีในปีถัดไปที่ดินที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างสูตร : ภาษีที่ต้องจ่าย = มูลค่าที่ดิน x อัตราภาษีโดยมูลค่าที่ดิน = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสูตร : ภาษีที่ต้องจ่าย  = (มูลค่าที่ดิน + มูลค่าสิ่งปลูกสร้าง) x อัตราภาษีโดยมูลค่าที่ดิน    = ราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน (ต่อ ตร.ว.) x ขนาดพื้นที่ดินมูลค่าสิ่งปลูกสร้าง = (ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือนสิ่งปลูกสร้าง (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่สิ่งปลูกสร้าง) - ค่าเสื่อมราคาห้องชุดห้องชุดสูตร : ภาษีที่ต้องจ่าย = มูลค่าห้องชุด x อัตราภาษีโดยมูลค่าห้องชุด = ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด (ต่อ ตร.ม.) x ขนาดพื้นที่ห้องชุด (ตร.ม.)อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยหลักแล้ว อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะจำแนกตามประเภทการใช้ประโยชน์และตัวผู้เสียภาษี ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ทั้งนี้ อัตราภาษีจะใช้คำนวณแบบขั้นบันไดตามมูลค่าของฐานภาษีแต่ละขั้น ดังนี้1. ที่ดินประกอบเกษตรกรรมการใช้ประโยชน์ในการประกอบเกษตรกรรม ต้องเป็นการทำนา ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และกิจการตามกำหนด หากทำเกษตรกรรมไม่เต็มพื้นที่ เสียภาษีตามสัดส่วนการใช้ประโยชน์ โดยบุคคลธรรมดา ได้รับยกเว้นที่ดิน 50 ล้านบาทแรก ไม่ต้องเสียภาษีอัตราภาษีตามมูลค่าทรัพย์สิน  •  0 – 75 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.01% ซึ่งภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 7,500 บาท  •  75 – 100 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.03% ซึ่งภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 30,000 บาท  •  100 – 500 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.05% ซึ่งภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 250,000 บาท  •  500 – 1,000 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.07% ซึ่งภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 700,000 บาท  •  1,000 ล้านขึ้นไป คิดอัตราภาษี 0.1% ซึ่งภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 1 ล้านบาทขึ้นไป2. ที่อยู่อาศัยที่ดิน หรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของใช้อยู่อาศัย โดยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้จะแบ่งออกเป็น2.1 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัย และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอัตราภาษีตามมูลค่าทรัพย์สิน  •  0 – 25 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.03% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 7,500 บาท  •  25 – 50 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.05% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 25,000 บาท  •  50 ล้านขึ้นไป คิดอัตราภาษี 0.1% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 50,000 บาทขึ้นไป2.2 สิ่งปลูกสร้าง ที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัย และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน)อัตราภาษีตามมูลค่าทรัพย์สิน  •  0 – 40 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.02% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 8,000 บาท  •  40 – 65 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.03% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 19,500 บาท  •  65 – 90 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.05% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 45,000 บาท  •  90 ล้านขึ้นไป คิดอัตราภาษี 0.1% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี 90,000 บาทขึ้นไป2.3 ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัย (บ้านหลังอื่นๆ) นอกจากการใช้ประโยชน์เป็นที่อยู่อาศัยตาม 2.1 และ 2.2อัตราภาษีตามมูลค่าทรัพย์สิน  •  0 – 50 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.02% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 10,000 บาท  •  50 – 75 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.03% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 22,500 บาท  •  75 – 100 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.05% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 50,000 บาท  •  100 ล้านขึ้นไป คิดอัตราภาษี 0.1% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี 100,000 บาทขึ้นไป*สำหรับข้อ 2.1 และ 2.2 บุคคลธรรมดา ได้รับยกเว้นทรัพย์สินมูลค่า 50 ล้านบาทแรก ไม่ต้องเสียภาษีที่ดินและภาษีสิ่งปลูกสร้าง3. ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่นนอกจาก ข้อ 1 และ 2สำหรับการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างข้อนี้ จะไม่ใช่เพื่อการเกษตรและที่อยู่อาศัย แต่จะเป็นที่ดินในเชิงพาณิชย์อัตราภาษีตามมูลค่าทรัพย์สิน  •  ไม่เกิน 50 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.3% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 150,000 บาท  •  50 – 200 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.4% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 800,000 บาท  •  200 – 1,000 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.5% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 5 ล้าน บาท  •  1,000 – 5,000 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.6% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 30 ล้าน บาท  •  5,000 ล้านขึ้นไป คิดอัตราภาษี 0.7% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 35 ล้าน บาทขึ้นไป4. ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่รกร้างหรือไม่ได้ทำประโยชน์และกลุ่มสุดท้ายที่จะเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแพงที่สุด คือที่ดินที่ปล่อยทิ้งให้รกร้างโดยไม่ได้ทำประโยชน์อัตราภาษีตามมูลค่าทรัพย์สิน  •  ไม่เกิน 50 ล้าน คิดอัตราภาษี 03% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 150,000 บาท  •  50 – 200 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.4% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 800,000 บาท  •  200 – 1,000 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.5% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 5 ล้าน บาท  •  1,000 – 5,000 ล้าน คิดอัตราภาษี 0.6% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 30 ล้าน บาท  •  5,000 ล้านขึ้นไป คิดอัตราภาษี 0.7% ซึ่งมีภาษีที่ต้องจ่ายต่อปี ไม่เกิน 35 ล้าน บาทขึ้นไป*ทุก 3 ปีที่มีการปล่อยที่ดินให้รกร้าง จะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีก 0.03% โดยอัตราภาษีรวมทั้งหมดต้องไม่เกิน 3%บทลงโทษหากชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเกินกำหนดเบี้ยปรับ คือ ค่าปรับที่เกิดจากการชำระภาษีไม่ครบถ้วนภายในเวลาที่กำหนด มีรายละเอียดคือ ไม่ได้ชำระภาษีภายในเวลาที่กำหนด จะได้รับหนังสือแจ้งเตือน และเสียเบี้ยปรับตั้งแต่ 10-40% ของจำนวนภาษีค้างชำระชำระภาษีที่ดิน-สิ่งปลูกสร้างได้ที่ไหนในส่วนของช่องทางการชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กรุงเทพมหานครได้เพิ่มทางเลือกและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการชำระภาษีได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ดังนี้1. สำนักงานเขต2. ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ3. เครื่องเอทีเอ็ม (ATM) ของธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ4. บัตรเครดิตประเภท Visa และ Master ของธนาคารและสถาบันการเงินทุกแห่ง หรือบัตรกรุงไทยวีซ่าเดบิต5. ทำรายการชำระเงินข้ามธนาคารด้วย Barcode หรือ QR Codeเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เพื่อน ๆ คนไหนที่มีแพลนคิดจะปลูกสร้างบ้านเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ อย่าลืมที่จะศึกษารายละเอียดเกี่ยวภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อที่จะไม่พลาดการคำนวณภาษีกันนะคะแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับBaanBaanhttps://baanbaan.co/story/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%93-2565

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาด GDP จีนทั้งปีขยายตัว 3.7-4.2% หลัง Q2/65 โตต่ำกว่าคาด

26/04/2023

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินเศรษฐกิจจีนในปี 65 มีแนวโน้มเติบโตลดลงจากที่เคยประเมินเดิม โดยคาดขยายตัวอยู่ที่ 3.7-4.2% มีปัจจัยหนุนจากมาตรการภาครัฐ ขณะที่ยังมีความเสี่ยงสำคัญคือนโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่จะยังฉุดรั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ และสถานการณ์ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่คลี่คลายในไตรมาส 2/65 เศรษฐกิจจีนขยายตัวเพียง 0.4%YoY ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 1.5%YoY โดยช่วงครึ่งปีแรกเติบโตเพียง 2.5% เนื่องจากในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. 65 จำนวนผู้ติดเชื้อในจีนเร่งตัวสูงขึ้นทำให้ จีนมีการล็อกดาวน์เมืองสำคัญ เช่น เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่งโดย GDP ของเซี่ยงไฮ้ และปักกิ่งในไตรมาสที่ 2 หดตัวลงอยู่ที่ -13.7% และ 2.9% YoYการล็อกดาวน์ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ชะลอตัวลง ทั้งในส่วนของการผลิตสินค้า การขนส่งต่าง ๆ เมื่อพิจารณาองค์ประกอบสำคัญของตัวเลข GDP ตัวเลขยอดค้าปลีกในช่วงครึ่งแรกของปีหดตัวลง -0.7% YoY ซึ่งหดตัวทั้งในเขตชนบทและเขตเมืองสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและกำลังซื้อที่เปราะบางจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงจากการปิดเมืองนอกจากนี้ การส่งออกและการนำเข้าได้รับปัจจัยกดดันจากสถานการณ์ปิดเมืองเช่นเดียวกัน โดยในเดือนเม.ย.65 การส่งออกเติบโตเพียง 3.9% จาก 14.7% ในเดือนมี.ค.65 ขณะที่ภาคการนำเข้าชะลอตัวลงไปในทิศทางเดียวกับตัวเลข PMI ภาคการผลิตที่อยู่ต่ำกว่าระดับขยายตัว (เดือนเม.ย. 65 อยู่ที่ 47.4)อย่างไรก็ดี หลังจีนเริ่มเปิดเมืองเมื่อเดือนมิ.ย.65 ตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้น สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ปรับตัวดีขึ้นทั้งดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการในเดือนมิ.ย.65 ที่เริ่มกลับมาอยู่ในระดับขยายตัวที่ 51.7 และ 54.5 ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจจีนในปีนี้คาดว่าจะมาจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (Investment in Fixed Asset) ที่ครึ่งปีแรกเติบโตสูงถึง 6.1%YoYหลังเผชิญการปิดเมืองจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุด จีนได้มีการออก 33 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เสียหายจากการปิดเมืองเมื่อวันที่ 31 พ.ค.65 ทั้งในส่วนการคลัง เช่น การขยายเวลาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม และการเลื่อนจ่ายประกันสังคมของธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงในด้านการลงทุนผ่านการออกพันธบัตรรัฐวิสาหกิจจำนวนประมาณ 3.45 ล้านล้านหยวนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ขณะที่ในส่วนนโยบายการเงินจีนยังมีช่องว่างในการผ่อนคลายนโยบาย เนื่องจากระดับเงินเฟ้อยังอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 3% (ล่าสุดอยู่ที่ 2.5% ในเดือนมิ.ย.65) โดยคาดว่าอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์แม้มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ แต่เศรษฐกิจจีนยังเผชิญความเสี่ยงอีกหลายด้าน ทั้งในเรื่องที่จีนยังคงยืนยันที่จะใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ เมื่อมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นก็อาจทำให้การล็อกดาวน์เกิดขึ้นได้อีก โดยล่าสุดจีนได้มีประกาศล็อกดาวน์เมืองซีอานเป็นเวลา 7 วัน หลังพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนจำนวน 18 คน แม้จะไม่ใช่เมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอย่างเซี่ยงไฮ้และปักกิ่ง แต่การที่จีนยังคงใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์จะกระทบความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ และครัวเรือนต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะยิ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ให้ยังไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้เต็มที่ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวของจีนที่แม้ว่าจีนจะมีการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศโดยลดวันกักตัวลง แต่ก็ยังถือว่าเข้มงวดกว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัดส่วนใน GDP จีนค่อนข้างสูง (การลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 12.9% ต่อ GDP ในปี 64) ยังเผชิญความเปราะบางต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ที่จีนเผชิญกับการผิดชำระหนี้ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ สถานการณ์ดังกล่าวยังคงสืบเนื่องมาจนปัจจุบันและยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลายลง โดยอัตราส่วนการผิดนัดชำระหนี้ (Default Rate) ของหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 40%ล่าสุด รายงานของ Moody?s ระบุว่า ได้มีการปรับอันดับเครดิตหุ้นกู้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในจีนลงถึง 91 แห่งในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ในอดีต Moody?s มีปรับอันดับเครดิตหุ้นกู้เอกชนที่มีเพียง 56 แห่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมา) ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนค่อนข้างมาก นอกจากนี้ล่าสุดสถานการณ์การก่อสร้างบ้านที่เป็นไปอย่างล่าช้าได้ส่งผลให้ทางผู้ลงทุน/ผู้ซื้อบ้านเริ่มปฎิเสธที่จะจ่ายเงินผ่อนชำระต่อ ซึ่งหากสถานการณ์ลุกลามจะส่งผลกระทบไปยังความเชื่อมั่นในภาพอสังหาริมทรัพย์และภาคธนาคาร ขณะที่สถานการณ์การระดมทุนหรือขอกู้ใหม่ของภาคอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นไปได้อย่างยากลำบาก โดยยังมีกฎ Three Red Lines ที่จำกัดการกู้เงินของภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการกำหนดเพดานในการปล่อยกู้ของภาคธนาคาร แม้ว่าทางการจีนจะมีเข้ามากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์บางส่วนผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR 5 ปีและผ่อนคลายกฎต่าง ๆ แต่สถานการณ์ปัจจุบันและความเชื่อมั่นที่ยังไม่กลับมาจะทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของภาคเศรษฐกิจในระยะต่อไปแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับryt9https://www.ryt9.com/s/iq03/3339414

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การวางแผนทางการเงิน

3 เหตุผลง่ายๆ ทำไมทุกคนต้องวางแผนทางการเงิน

26/04/2023

1) ดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติการดำรงชีวิตในแต่ละวันของทุกๆคนนั้น ต้องมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ค่าใช้จ่ายบางส่วนก็อาจมากบ้างน้อยบ้างไม่ได้คงที่เท่ากันทุกวัน บางคนอาจยังไม่เคยรู้เลยว่าแต่ละเดือนเรามีค่าใช้จ่ายที่คาดการณ์ได้ล่วงหน้าเท่าไร ดังนั้นหากไม่มีการวางแผนการเงินในการจัดการรายได้ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า อาจส่งผลทำให้บางช่วงเวลาต้องมานั่งก่ายหน้าผากหาทางออกไม่เจอว่าจะหารายได้เพิ่มเติมจากแหล่งไหนให้เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตประจำวันตาม lifestyle ที่เป็นวิถีปกติ2) ตอบสนองความความสะดวกสบายและเป้าหมายเฉพาะเพิ่มเติมทุกๆคนย่อมคาดหวังว่าชีวิตในวันพรุ่งนี้จะดีขึ้น บางคนอาจวาดฝันถึงอนาคตที่มีความสะดวกสบายเพิ่มเติมจากเครื่องอำนวยความสะดวก gadget technology IT พร้อม accessorites ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Notebook ทรงพลัง มือถือพร้อมกล้องหลักละเอียดทะลุร้อยล้านพิกเซล นาฬิกา Smart Watch ไปจนถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังอินเทรนด์ หรือบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่และมีห้องสำหรับสมาชิกตัวเล็กที่เป็นของขวัญจากฟากฟ้า เป้าหมายเฉพาะเพิ่มเติมเหล่านี้ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยอย่างแน่นอน และถ้าหากไม่มีการวางแผนการเงินที่ดีพอคุณก็อาจจะต้องตื่นจากฝันดีมาพบว่าฝันสลายไปกับชีวิตจริงที่ยังอาจไม่สามารถดำรงชีวิตประจำวันได้ตามปกติ3) สร้างความมั่นคงในชีวิตเมื่อชีวิตของแต่ละคนผ่านการเดินทางมาครึ่งค่อนชีวิต หลายคนก็จะเริ่มมองถึงความมั่นคงในชีวิต อยากมีบั้นปลายชีวิตที่สุขสบาย และสามารถผ่านวันร้ายๆกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยไม่ทำให้ความมั่งคั่งที่สะสมมาต้องสูญเสียไปจนทำให้ชีวิตต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ความมั่นคงในชีวิตจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการวางแผนการเงินอย่างรอบด้านที่บูรณาการทุกๆมิติของแผนการเงินเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแผนสภาพคล่อง แผนบริหารหนี้ แผนการลงทุน แผนการประกัน แผนเพื่อวัยเกษียณ และแผนภาษีและ นี่ก็คือ 3 เหตุผลง่ายๆที่เป็นคำตอบว่า ทุกคนต้องมีการวางแผนทางการเงินวันนี้ เพื่อสร้างชีวิตที่ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ ให้ชีวิตมีความมั่งคั่ง มั่นคง และ ยั่งยืน!!!แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับThaiPFAhttps://thaipfa.co.th/news/view/156

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X