คลังความรู้

Everyday knowledge for you

ภาษี

อยากซื้อบ้านเก่าในญี่ปุ่น ต้องทำอย่างไร ราคาเท่าไหร่ จ่าย “ภาษี” หนักแค่ไหน

30/04/2024

หลังจากที่ “ประชาชาติธุรกิจ” นำเสนอข่าวว่า ชาวต่างชาติกำลังสนใจซื้อบ้านเก่าในญี่ปุ่นมากขึ้น อาจช่วยลดปัญหา “บ้านร้าง” กว่า 10 ล้านหลังทั่วประเทศ แล้วได้รับความสนใจจากผู้อ่านจำนวนมาก และผู้อ่านหลายคนสอบถามว่า ถ้าสนใจอยากซื้อบ้านเก่าในญี่ปุ่นจะต้องทำอย่างไร ราคาบ้านกี่บาท ต้องจ่ายภาษีแพงแค่ไหน “ประชาชาติธุรกิจ” จึงหาข้อมูลมาเหล่านี้มาตอบคำถามที่ผู้อ่านสงสัย ถ้าใครสนใจอยากมีบ้านในแดนอาทิตย์อุทัย ก็เตรียมเงินและเตรียมตัวตามนี้ แล้วไปกันเลย ราคาบ้านญี่ปุ่นกี่บาท บ้านมือสอง บ้านเก่าในญี่ปุ่น ราคาเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพของบ้าน ทำเลที่ตั้ง ขนาด และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ โดยราคาต่ำสุดเท่าที่เห็นเว็บไซต์ให้คำปรึกษาการซื้อขายบ้านในญี่ปุ่นระบุไว้คือ 5 ล้านเยน หรือประมาณ 1.2 ล้านบาท ส่วนราคาสูงสุดนั้น มีไปจนทะลุหลักพันล้านเยน หากใครสนใจสามารถเสิร์ชหาใน google เป็นภาษาไทยได้เลย มีเว็บไซต์ของบริษัทนายหน้า-บริษัทให้คำปรึกษาอยู่หลายเจ้าที่มีบ้านที่ประกาศขายให้เลือกไปในตัว ชาวต่างชาติซื้อบ้านในญี่ปุ่นได้ และส่งต่อมรดกได้อย่างอิสระ Japan-Property.jp เว็บไซต์ให้บริการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นอธิบายไว้ว่า ปัจจุบันญี่ปุ่นไม่มีข้อจำกัดทางกฎหมายสำหรับชาวต่างชาติในการซื้ออสังหหาริมทรัพย์ และไม่มีความแตกต่างทางอัตราภาษีระหว่างชาวญี่ปุ่นกับชาวต่างชาติ  ชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นสถานะ “ผู้พำนัก” (ผู้ที่ได้รับอนุญาตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี) หรือไม่ ก็สามารถซื้อและเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นได้ทั้งบ้านและที่ดิน โดยไม่มีการจำกัดเวลาถือครองกรรมสิทธิ์  อย่างไรก็ตาม การซื้อบ้านในญี่ปุ่นของชาวต่างชาติสำหรับคนที่มีสถานะ “ผู้พำนัก” และคนที่ไม่มีสถานะ “ผู้พำนัก” จะมีความแตกต่างกันทางด้านเอกสารและข้อกำหนดเรื่องบัญชีธนาคารสำหรับการซื้อขายและทำธุรกรรมจ่ายภาษีหลังการซื้อ  ส่วนการซื้อ-ขายต่อ และส่งต่อมรดก ชาวต่างชาติก็สามารถทำได้อย่างอิสระ ถ้าเราซื้อบ้านในญี่ปุ่นแล้ว เราสามารถโอนหรือส่งมอบให้ใครก็ได้ที่เราอยากให้ ส่วนเรื่องการขอสินเชื่อจากธนาคารในญี่ปุ่นเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นเรื่องยากสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่มีสถานะ “ผู้พำนัก” ชาวต่างชาติที่ไม่ได้เป็นผู้พำนักในญี่ปุ่นจะต้องซื้อบ้านด้วยเงินสด หรือขอสินเชื่อจากธนาคารในประเทศของตัวเองบ้านในชนบทญี่ปุ่น/ หมายเหตุ : ไม่ใช่บ้านที่ประกาศขาย/ Prachachatอยากซื้อบ้านในญี่ปุ่น ต้องทำอย่างไร ส่วนกระบวนการซื้อนั้น แม้ว่าเราจะสามารถหาข้อมูลหรือติดต่อกับตัวแทนจัดหาและจำหน่ายบ้านผ่านอินเทอร์เน็ตได้ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นอย่างน้อย 2 ครั้ง เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินที่จะซื้อและดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน  เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรม ควรดำเนินการซื้อโดยใช้บริการบริษัทให้คำปรึกษาหรือนายหน้า-ตัวแทนทำธุรกรรม ซึ่งผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์จะต้องค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมและการลงทะเบียนให้นายหน้า รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายบ้านและอื่น ๆ รวมราว ๆ 5-10% ของมูลค่าทรัพย์สินที่ซื้อ  ขั้นตอนในการดำเนินการมีดังนี้   ขั้นตอนที่ 1 เริ่มปรึกษานายหน้า : ปรึกษากับบริษัทให้คำปรึกษาหรือนายหน้าถึงเงื่อนไขต่าง ๆ และบอกความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของเรา เช่น อยากได้บ้านรูปแบบไหน อยู่ในโลเกชั่นไหน ราคาเท่าไร เป็นต้น  ขั้นตอนที่ 2 เลือกบ้าน : บริษัทให้คำปรึกษาจะค้นหาบ้านที่ตรงตามเงื่อนไขมาให้เลือก ขั้นตอนที่ 3 ทำคำขอซื้อ : เมื่อเลือกบ้านที่จะซื้อได้แล้วก็กรอกแบบฟอร์มประสงค์ซื้อบ้าน แล้วพนักงานของบริษัทให้คำปรึกษาจะประสานงานระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ขั้นตอนที่ 4 ลงนามในสัญญาซื้อ : เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงเงื่อนไขในการทำธุรกรรม คนจากบริษัทให้คำปรึกษาหรือนายหน้าจะอธิบายรายละเอียดสำคัญทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการทำสัญญา รวมถึงสิทธิในทรัพย์สิน ข้อจำกัดทางกฎหมาย และข้อตกลงการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้ซื้อและผู้ขาย แล้วลงนามในสัญญาการขายตามที่ได้ตกลงรายละเอียดไว้ ในวันทำการลงนาม ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินมัดจำ 5-10% ชำระค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (ครึ่งหนึ่งของจำนวนเต็ม) และชำระค่าธรรมเนียมอากรแสตมป์  ขั้นตอนที่ 5 เสร็จสิ้นธุรกรรมและโอนกรรมสิทธิ์ : ขั้นตอนการลงทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์ ในตอนนี้ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือ รวมทั้งค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เมื่อทำกระบวนการนี้ครบแล้วก็เปลี่ยนสถานะเป็นเจ้าของบ้าน จะได้รับกุญแจบ้าน สามารถเปิดเข้าไปนอนได้เลยบ้านในชนบทญี่ปุ่น/ หมายเหตุ : ไม่ใช่บ้านที่ประกาศขาย/ Prachachatค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านในญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านในญี่ปุ่นแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้  ค่าใช้จ่ายที่จ่ายในขั้นตอนลงนามในสัญญา     •  ค่าอากรแสตมป์ จ่ายตอนทำสัญญาซื้อขาย ประมาณ 10,000-30,000 เยน ขึ้นอยู่กับราคาอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ   •  ค่ามัดจำ 10-20% ของราคาขาย ค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือ ชำระตามเวลาที่ตกลง   •  ค่าบ้านส่วนที่เหลือ   •  ค่าธรรมเนียมการจัดการ, กองทุนสำหรับซ่อมแซม (สำหรับอพาร์ตเมนต์)   •  ค่านายหน้า ตามตกลง   •  ภาษีจดทะเบียน การลงทะเบียนของกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรืออาคาร อัตรา 2% ของราคาทรัพย์สินซึ่งประเมินโดยหน่วยงานของเขตที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่    •  ค่าธรรมเนียมอาลักษณ์ ค่าธรรมเนียมสำหรับการดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์และการลงทะเบียนที่เกี่ยวข้อง จำนวนเงินจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ กองทุน และความซับซ้อนของขั้นตอนการลงทะเบียน แต่ปกติจะอยู่ที่ประมาณ 100,000 เยน    •  ภาษีผู้บริโภค คิดที่อัตรา 8% ของราคาอสังหาริมทรัพย์เฉพาะราคาอาคาร-สิ่งปลูกสร้าง ไม่รวมราคาที่ดิน ซึ่งส่วนมากจะถูกรวมไว้ในราคาขายแล้ว ค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นหลังจากการส่งมอบทรัพย์สิน   •  ภาษีซื้ออสังหาริมทรัพย์ อัตรา 3% ของครึ่งหนึ่งของราคาประเมินทรัพย์สินซึ่งประเมินโดยหน่วยงานของเขตที่อสังหาริมทรัพย์ตั้งอยู่ โดยจ่ายหลังจากการซื้อทรัพย์สินแล้วประมาณ 3-6 เดือน    •  เบี้ยประกันภัยพิบัติ “ภาษี” ที่ต้องจ่ายทุกปี ภาษีที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นต้องจ่ายทุกปีในระหว่างครอบครองทรัพย์สิน ประกอบด้วย    •  ภาษีทรัพย์สินถาวร จัดเก็บโดยรัฐบาลญี่ปุ่น โดยทั่วไปอัตราอยู่ที่ 1.4% ของมูลค่าของทรัพย์สินถาวร แต่อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ    •  ภาษีผังเมือง จัดเก็บโดยรัฐบาลญี่ปุ่น อัตรา 0.3% ของมูลค่าของทรัพย์สินถาวร ซึ่งมูลค่าอสังหาริมทรัพย์จะยึดตามราคาประเมิน ณ วันที่ 1 มกราคมของปีนั้น ๆ  ในกรณีที่ปล่อยเช่า ต้องจ่ายภาษีอัตราประมาณ 5% ถึง 45% ของกำไรที่ได้หลังหักค่าใช้จ่าย  ในกรณีซื้ออสังหาริมทรัพย์แล้วจะขายต่อ ถ้าขายภายใน 5 ปีที่ซื้อมา ต้องจ่ายภาษี 39.63% ของกำไรจากการขาย ถ้าขายหลังจากซื้อ 5 ปีขึ้นไป ต้องจ่ายภาษี 20.315% ของกำไรจากการขายอ้างอิง :   •  japan-property.jp   •  LandHousing   • Tokyo Portfolio แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/world-news/news-1303480

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย สนับสนุนเงินทุน 1.5 ล้านบาท ร่วมจัดตั้ง KKU Volleyball Academy ปั้นเยาวชนนักตบลูกยางไทยในภาคอีสานสู่นักกีฬาสากล

30/04/2024

กรุงเทพฯ, 1 มิถุนายน 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย นำโดย นายนิคฮิล แอดวานี (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมลงนามความร่วมมือการสนับสนุนโครงการ KKU Volleyball Academy กับ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นำโดย ดร.ณรงค์ชัย อัครเสรณี (กลาง) นายกสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น และ ร.ศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ที่ 3 จากซ้าย) พร้อมมอบเงินทุนสนับสนุนจำนวน 1.5 ล้านบาท เพื่อร่วมส่งเสริมนักเรียนและนักศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ชื่นชอบและมีความสามารถด้านกีฬาวอลเลย์บอล ให้ได้มีโอกาสที่จะฝึกซ้อมกีฬาด้วยองค์ความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ และด้านการกีฬาของมหาวิทยาลัย รวมถึงสามารถพัฒนาตนเองไปเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลมืออาชีพในอนาคต ตลอดจนต่อยอดไปสู่เวทีระดับสากล สะท้อนถึงพันธกิจของเอไอเอในการร่วมพัฒนาชุมชน และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โดยมี นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต และนางสาวจิราภรณ์ กนิษฐรัต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายประกันธุรกิจองค์กร เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม ณ อาคารพลศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นนายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “เอไอเอ ประเทศไทย รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโครงการ “KKU Volleyball Academy” เพื่อส่งเสริมความเป็นเลิศด้านกีฬาวอลเลย์บอล รวมถึงพัฒนาความสามารถทางด้านกีฬาของนักเรียน นักศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อต่อยอดสู่สโมสรอาชีพในระดับชาติและระดับนานาชาติต่อไป อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมโอกาสด้านการศึกษาของนักเรียน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยขอนแก่นโดยใช้ความสามารถและทักษะด้านกีฬาวอลเลย์บอลอีกด้วย และเพื่อเป็นการตอกย้ำถึงพันธกิจของเราที่ต้องการมุ่งสนับสนุนให้ผู้คนในสังคมไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น เอไอเอ ประเทศไทย จึงขอมอบเงินจำนวน 1,500,000 บาท เพื่อสนับสนุนโครงการ “KKU Volleyball Academy” มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะเป็นประโยชน์และสร้างแรงบันดาลใจด้านกีฬาและการออกกำลังกายให้กับเยาวชน นักเรียน และนักศึกษาต่อไป”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันภัย

หุ้นประกัน ไตรมาส 1 กำไรพุ่ง โบรกฯ ประเมินปี 2566 ยอดขายโต 5%

30/04/2024

หลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจประกันภัยเจอโจทย์ค่อนข้างยากและท้าทายอยู่หลายเรื่อง อย่างประกันชีวิตที่ต้องเผชิญภาวะดอกเบี้ยต่ำมานาน กว่าจะเข้าสู่ดอกเบี้ยขาขึ้น กระทั่งดอกเบี้ยใกล้พีก (สูงสุด) แล้ว ส่วนประกันวินาศภัยก็เพิ่งเจอระเบิดลูกใหญ่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาดรุนแรงไป ถึงขณะนี้ผ่านไป 1 ไตรมาสของปี 2566 ดูเหมือนฟ้าหลังฝนจะเริ่มสดใสขึ้น18 บริษัท กำไร Q1 พุ่ง 121%โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2566 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทย เซ็กเตอร์ประกันภัยและประกันชีวิต (insurance) รวมทั้งสิ้น 18 บริษัท มีกำไรสุทธิรวมกัน 6,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และเพิ่มขึ้น 81% จากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) โดยมีรายได้รวม 61,473 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56% YOY แต่ลดลง 14% QOQ“กรกช เสวตร์ครุตมัต” ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มอุตสาหกรรมประกันภัยปี 2566 ในภาพรวม น่าจะเติบโตสอดคล้องไปกับภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้นโดยคาดว่ายอดขายประกันใหม่ปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 4-5% ประกอบกับภาคธุรกิจไม่ได้แข่งขันด้านราคาที่รุนแรงเหมือนในอดีต เห็นได้จากธุรกิจประกันชีวิตลดการขายสินค้าชำระเบี้ยครั้งเดียว (single premium) หันมาเน้นขายสินค้าความคุ้มครอง (protection) กันมากขึ้น“สินค้าความคุ้มครอง ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพและสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ให้กำไรที่ดีในระยะยาว รวมถึงอัตราดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังอยู่ในระดับที่ทำกำไรได้ จึงเป็นภาวะแวดล้อมที่เอื้อสำหรับการขายประกันใหม่แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยง คือภาพเศรษฐกิจไทย จากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจพลิกมาเป็นขาลง รวมถึงกฎระเบียบและข้อบังคับจากหน่วยงานกำกับที่อาจห้ามขายพ่วงประกันมากขึ้น ทำให้เวลาขายประกันผ่านธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันส์) อาจทำได้ยากขึ้น”เทรนด์ขายผ่านแบงก์ถูกกระทบโดยเทรนด์ปีนี้ของช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ยังปรับตัวดีขึ้น แต่ถ้ามองระยะยาวอีก 2-3 ปีข้างหน้า อาจแย่ลง เพราะแบงก์จะค่อย ๆ ทยอยลดสาขาลง ซึ่งกดดันยอดขายประกันช่องทางนี้ โดยเบี้ยประกันจะย้ายไปบันทึกอยู่ในช่องทางอื่น ๆ มากขึ้น เช่น ช่องทางขายประกันออนไลน์, ช่องทางขายประกันผ่านโบรกเกอร์ต่าง ๆ เป็นต้นอย่างไรก็ดี “กรกช” กล่าวว่า บล.กสิกรไทย วิเคราะห์หุ้นประกันภัยเพียง 1 บริษัท คือ บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต (BLA) ซึ่งตอนนี้ราคาหุ้นค่อนข้างสวนทางกับพื้นฐาน โดยราคาหุ้นอยู่ที่ 25-26 บาทต่อหุ้น แต่หากประเมินตามมูลค่าปัจจุบันของกรมธรรม์ที่ขายไปแล้วทั้งหมด (embedded value) มีราคาหุ้นอยู่ที่ 40 บาทต่อหุ้นดังนั้น ราคาหุ้น BLA ยังดิสเคานต์อยู่เกือบ 40% โดยภาพรวมธุรกิจในไตรมาส 1/2566 มีเบี้ยรับปีแรกเติบโตขึ้น 20% YOY และมีมาร์จิ้นเกินระดับ 50% จากเมื่อ 2-3 ปีก่อนทำได้แค่ 30%“ตลาดไม่สนอง เพราะกำไรไม่เด่น แต่ต้องบอกว่า การดูงบกำไรของธุรกิจประกันชีวิต ต้องดูลึกกว่านั้น ดังนั้นเซนติเมนต์อาจไม่เอื้อ แต่เป็นหุ้นที่สะสมเพื่อลงทุนระยะยาวได้ ให้ราคาเป้าหมายสิ้นปีที่ 56 บาทต่อหุ้น ประเมินกำไร BLA ปีนี้ 4,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% YOY”แนวโน้ม 3 ไตรมาสที่เหลือของปีขณะที่ “ตฤณ สิทธิสวัสดิ์” นักวิเคราะห์กลุ่มธุรกิจการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทวิเคราะห์หุ้นประกันภัยอยู่ 2 บริษัท คือ บมจ.ไทยประกันชีวิต (TLI) และ บมจ.ทีคิวเอ็ม อัลฟา (TQM) โดยปกติแล้ว TLI ช่วงไตรมาสแรกจะเป็นไฮซีซั่น เพราะเป็นช่วงที่กรมธรรม์ประกันชีวิตครบกำหนดอายุค่อนข้างมาก จึงมีการโอนกลับสำรองเข้ามามากกว่าไตรมาสอื่นดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองจะน้อย แต่จะมีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2-4 ของปี เมื่อเริ่มมีการขายประกันใหม่ จึงทำให้งบการเงินในไตรมาสแรกจะดีที่สุดของปี และไตรมาส 4 จะแย่สุด“แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิต อาไม่น่าสนใจมากนัก เพราะผ่านช่วงดีของปีไปแล้ว แต่ด้วยราคาหุ้น TLI ที่ปรับลงมามาก อาจจะมองเป็นลักษณะเทรดดิ้ง รอผลประกอบการฟื้นตัว YOY แต่ QOQ อาจจะไม่เด่น แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงจากดอกเบี้ยนโยบายที่ใกล้ถึงจุดพีกแล้ว และมองกันว่าปลายปีหรือปีหน้าจะเริ่มปรับลงซึ่งจะส่งผลลบกับการตั้งสำรองประกันชีวิตที่มากขึ้น และผลตอบแทนจากตราสารหนี้จะลดลง ส่วน TQM เป็นธุรกิจนายหน้าประกันรถยนต์ ซึ่งช่วงโลว์ซีซั่นเป็นครึ่งปีแรก ดังนั้นแนวโน้มผลประกอบการจะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 3-4 ของปี แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงจากการแข่งขันของสถาบันการเงิน ทั้งแบงก์และน็อนแบงก์ที่พยายามพ่วงขายประกันกับโปรดักต์สินเชื่อมากขึ้น”“ตฤณ” กล่าวด้วยว่า ประเมินกำไรปีนี้ของ TLI จะอยู่ที่ 10,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.9% YOY ตามการเติบโตของเบี้ยประกันและการขายแบบเจอหน้า (face to face) ได้ง่ายขึ้น ส่วน TQM คาดมีกำไร 824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% YOY โดยเติบโตจากความต้องการทำประกันรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น ตามการใช้รถที่กลับสู่ภาวะปกติสุดท้ายแล้ว ธุรกิจประกันชีวิต อาจจะไม่ใช่กิจการที่จะหวือหวามากนัก โดยอาจจะเหมาะกับการลงทุนระยะยาว ส่วนธุรกิจประกันภัย ก็คงต้องติดตามข่าวสาร ข้อมูลการลงทุน และพิจารณาความแข็งแกร่งของบริษัทเป็นสำคัญแหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์https://www.prachachat.net/finance/news-1300236

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวทั่วไป

ก่อนจะนำผู้อื่น ต้องนำตนเองให้ได้ก่อน

16/02/2024

“การเติบโตของภาวะผู้นำที่แท้จริง ต้องพัฒนาจากภายในสู่ภายนอก ถ้าปราศจากคุณสมบัติภายในของภาวะผู้นำส่วนบุคคลที่แข็งแรงแล้ว ภาวะผู้นำที่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพก็เกิดขึ้นไม่ได้” ปัจจุบันมีคนเก่งที่ก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำตั้งแต่อายุยังน้อยๆ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่อุปสรรคที่มักจะกีดขวางความสำเร็จก็คือ ภาวะผู้นำในตนเองยังไม่แข็งแรงพอที่จะเป็นผู้นำผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาวะผู้นำก็เปรียบเสมือนต้นไม้ “ภาวะผู้นำที่เป็นทางการ” คือลำต้น กิ่งก้าน และใบ ที่ปรากฏให้เห็นจากภายนอก ซึ่งการที่ต้นไม้จะเจริญงอกงามได้ ก็ต่อเมื่อมันสามารถพัฒนาระบบรากที่อยู่ใต้ดินให้แข็งแรงเสียก่อน “ภาวะผู้นำส่วนบุคคล” ก็คือ เครือข่ายของรากที่ให้อาหารและบำรุงภาวะผู้นำที่เป็นทางการ ทำนองเดียวกัน การเติบโตของภาวะผู้นำที่แท้จริง ต้องพัฒนาจากภายในสู่ภายนอก ถ้าปราศจากคุณสมบัติภายในของภาวะผู้นำส่วนบุคคลที่แข็งแรงแล้ว ภาวะผู้นำที่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพก็เกิดขึ้นไม่ได้การรู้จักตนเอง เป็นพื้นฐานในการนำตนเอง ภาวะผู้นำส่วนบุคคลที่แท้จริง ไม่ใช่การเดินตามแนวทางที่ผู้อื่นสร้างไว้ หรือการเรียนรู้วิธีประสบความสำเร็จจากคนอื่น แต่หมายถึงการรู้จักตนเองอย่างลึกซึ้งว่า ตนเองเป็นใคร มีจุดยืนอะไร เข้าใจถึงพรสวรรค์และความสามารถเฉพาะตัวที่มี และสามารถดึงจุดแข็งของตัวเองออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การรู้จักตนเองจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคนเรามีบุคลิกที่ซับซ้อนอันเกิดจากความต้องการ และแรงกระตุ้นบางอย่างที่ส่งอิทธิพลจากภายใน และยังมีแรงกดดันจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สังคม และสภาพแวดล้อม การพัฒนาภาวะผู้นำส่วนบุคคล เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงใคร่ขอนำเนื้อหาบางส่วนจากหลักสูตร Effective Personal Leadership ของ LMI International Inc. มาแบ่งปัน และขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ :หลักสำคัญ 6 ประการของการพัฒนาภาวะผู้นำส่วนบุคคล 1. การมีความรับผิดชอบส่วนบุคคล Personal Responsibility : หมายถึงมีความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ ทัศนคติ การกระทำ และคำพูดของตัวเอง รวมทั้งผลที่จะตามมา ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่กล่าวโทษคนอื่น ตระหนักว่ามีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำให้เกิดผลที่ดีกว่าเดิมได้ ก่อให้เกิดการสร้างแรงจูงใจจากทัศนคติในทางบวก แทนที่จะสร้างแรงจูงใจจากความกลัว หรือจากสิ่งตอบแทนภายนอกที่ไม่ยั่งยืน 2. การมีเป้าหมาย Purpose : การคิดให้ตกผลึกว่า อะไรคือเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงที่เราต้องการ และตอนนี้เราอยู่ที่ไหนเมื่อเทียบกับเป้าหมายนั้น ซึ่งต้องอาศัยการรู้จักตนเอง มีความฝันและความปรารถนา และเมื่อได้ตกลงเลือกทางใดแล้ว ก็ต้องยึดมั่นต่อการตัดสินใจนั้น ด้วยความกล้าหาญและเชื่อมั่นในตนเองเป้าประสงค์ที่เรามีความปรารถนามากที่สุด ควรจะอยู่ในลำดับความสำคัญสูงสุด 3. การวางแผน Plan : การลงมือเขียนแผนเพื่อวางแนวทางปฏิบัติและกำหนดเวลาในการทำให้เป้าประสงค์สำเร็จเป็นจริง จะช่วยลดการผัดวันประกันพรุ่ง และติดตามความก้าวหน้าได้อย่างกระตือรือร้น 4. การมีความหลงใหล Passion : ความปรารถนาทะยานอยากกระตุ้นให้ลงมือทำ การสร้างความปรารถนาเป็นความรู้สึกจากข้างใน เราสามารถกระตุ้นอารมณ์อยากได้เหมือนความอยากทางกายภาพ โดยการสร้างภาพเสมือนจริงในจินตนาการอย่างมีสมาธิจดจ่อและเชื่อมั่น ยิ่งเราสร้างมโนภาพของเป้าประสงค์และผลตอบแทนความสำเร็จได้ชัดเจนมากเท่าใด เราก็จะยิ่งรู้สึกมีความทะยานอยากมากเท่านั้น 5. การมีความคาดหวังในเชิงบวก Positive Expectancy : เราสามารถเปลี่ยนทัศนคติและอุปนิสัยที่มีอยู่เดิมได้ด้วยการป้อนข้อมูลเชิงบวกและความมั่นใจเข้าไป จิตก็จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบในแบบนั้น การสร้างทัศนคติของความคาดหวังในเชิงบวก จะทำให้เกิดความกระตือรือร้นในการทำความฝันให้เป็นจริง ซึ่งสามารถทำได้ด้วยสามขั้นตอนคือ ก) รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ที่จุดใดในปัจจุบัน ข) เติมใจด้วยความคิดเชิงบวก ค) สร้างมโนภาพชีวิตใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมในแบบที่วางแผนไว้ 6. การมีความแน่วแน่เพียรพยายาม Persistence : มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะทำให้เป้าประสงค์บรรลุผลสำเร็จ ไม่ว่าคนอื่นจะมีความเห็น หรือทำ หรือพูด อย่างไรก็ตาม การสร้างความมุ่งมั่นให้กล้าแกร่ง สามารถทำได้โดย ก) รักษาทัศนคติให้มั่นคงหนักแน่น ข) มีความมุ่งมั่นอดทน ค) สามารถจัดลำดับความสำคัญ นอกจากนี้ การพัฒนาภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ยังต้องอาศัยการฝึกให้มีความฉลาดทางอารมณ์ โดยที่สามารถตระหนักรู้ว่า ตนเองมีความรู้สึกอย่างไร และความรู้สึกนั้นส่งผลต่อพฤติกรรมของตนอย่างไร ขณะเดียวกัน ก็สามารถควบคุมความคิดและการกระทำที่เป็นผลมาจากการตอบสนองทางอารมณ์นั้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้เป็นคนที่สามารถควบคุมสติได้ดี ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ตาม แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับการเงินการธนาคาร http://https//www.prachachat.net/finance/news-1296342

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

4 เรื่องน่ารู้ของประกันชีวิต

30/04/2024

จากบทความก่อนๆ เราได้ทราบถึงว่าประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สามารถนำมาวางแผนการเงินในด้านต่างๆ ได้หลากหลาย ทราบถึงประกันชีวิตว่ามีกี่แบบ แต่ละแบบมีข้อจำกัดอย่างไรเหมาะกับใครบ้าง  และในบทความนี้เราจะพาไปเจาะลึกเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประกันชีวิตว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่น่าสนใจ ซึ่งหลายๆ คนอาจไม่เคยรู้มาก่อน1.ประกันชีวิตสามารถลดหย่อนภาษีได้หรือไม่มีเงื่อนไขอย่างไรเบี้ยประกันชีวิตที่เราจ่ายไปแต่ละปีนั้นสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้โดยมีรายละเอียดดังนี้  •  ประกันชีวิตแบบทั่วไปนอกเหนือจากแบบบำนาญซึ่งได้แก่ แบบตลอดชีพ, แบบสะสมทรัพย์, แบบชั่วระยะเวลา, ประกันชีวิตควบการลงทุน (เบี้ยเฉพาะในส่วนคุ้มครองชีวิตไม่รวมเบี้ยส่วนการลงทุน)สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีรวมกันได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ในกรณีที่กรมธรรม์มีความคุ้มครองชีวิตตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป  •  ประกันชีวิตแบบบำนาญเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถนำมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้หรือ 200,000 บาทแล้วแต่ว่าจำนวนใดจะน้อยกว่าให้เลือกจำนวนนั้น โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมดังนี้1. ในกรณีที่ใช้สิทธิประกันชีวิตแบบทั่วไปยังไม่ถึง 100,000 บาท สามารถใช้สิทธิประกันแบบบำนาญให้ครอบคลุมทั้งประกันชีวิตแบบทั่วไปและประกันชีวิตแบบบำนาญรวมกันได้สูงสุดถึง 300,000 บาท2. ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันแบบบำนาญ เมื่อนำไปรวมกับกองทุน SSF, กองทุน RMF, กบข./กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท  •  ประกันสุขภาพเบี้ยประกันสุขภาพตนเองสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท แต่เมื่อนำมารวมกับประกันชีวิตแบบทั่วไปนอกเหนือจากแบบบำนาญแล้วลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท2. มีปัญหาด้านสุขภาพสามารถทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้ไหม หลายๆท่านมีข้อสงสัยว่าถ้ามีปัญหาด้านสุขภาพ, มีโรคประจำตัว หรือเคยผ่าตัดมาก่อน จะสามารถทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพได้ไหม ถ้าได้จะมีเงื่อนไขอะไรบ้าง โดยแบ่งเป็นประกันชีวิตและประกันสุขภาพตามรายละเอียดดังนี้ประกันชีวิตถ้ามีปัญหาด้านสุขภาพ, มีโรคประจำตัว หรือเคยผ่าตัดมาก่อน บริษัทประกันจะมีหลักการพิจารณา 3 ข้อพิจารณาโดยฝ่ายพิจารณาการรับประกันของแต่ละบริษัท ดังนี้– รับทำประกันชีวิตโดยชำระเบี้ยตามอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าโรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น ไม่มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราที่เพิ่มขึ้น เช่นเคยผ่าตัดมาหลายปีและหายเป็นปกติแล้วบริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่ไม่มีความเสี่ยงว่าจะเสียชีวิตจากปัญหาสุขภาพ ก็จะคิดเบี้ยเท่ากับอัตราปกติ– รับทำประกันชีวิตโดยชำระเบี้ยเพิ่มจากอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าปัญหาด้านสุขภาพของเรา, โรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราที่เพิ่มขึ้น เช่น มีน้ำหนักมากหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนด บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงว่าจะเสียชีวิตจากปัญหาสุขภาพ ก็อาจจะรับทำประกันแต่พิจารณาเพิ่มเบี้ยจากอัตราปกติ-ไม่รับทำประกันชีวิตในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าปัญหาด้านสุขภาพของเรา, โรคที่เราเป็นหรือเคยเป็น มีผลกับความเสี่ยงในการเสียชีวิตของเราแบบมีความเสี่ยงสูงเช่น ทำประกันชีวิตเมื่อทราบว่าเป็นโรคมะเร็ง บริษัทจะพิจารณาไม่รับทำประกันชีวิตเลย ประกันสุขภาพ– รับทำประกันสุขภาพโดยชำระเบี้ยตามอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าสุขภาพของเราปัจจุบันไม่มีความเสี่ยงเป็นโรคแล้ว บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่สุขภาพแข็งแรง ก็จะคิดเบี้ยเท่ากับอัตราปกติ– รับทำประกันสุขภาพโดยชำระเบี้ยเพิ่มจากอัตราปกติในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาแล้วว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีความเสี่ยงเป็นโรค เช่น มีนำหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐาน บริษัทจะพิจารณาว่าเราเป็นบุคคลที่อาจจะมีความเสี่ยงที่จะมีปัญหาด้านสุขภาพมากกว่าคนปกติ ก็อาจจะรับทำประกันสุขภาพแต่จะพิจารณาเพิ่มเบี้ยจากอัตราปกติ– รับทำประกันสุขภาพโดยยกเว้นโรคที่เป็นอยู่หรือเคยเป็นในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาหรือมีการตรวจสุขภาพแล้วพบว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีโรคประจำตัวหรือเคยมีประวัติการรักษา ทางบริษัทประกันอาจพิจารณารับประกันสุขภาพแต่ยกเว้นไม่คุ้มครองโรคที่เป็นอยู่หรือเคยมีประวัติการรักษาและในบางกรณีอาจมีเพิ่มเบี้ยประกันจากปกติด้วย– ไม่รับทำประกันสุขภาพในกรณีที่บริษัทประกันพิจารณาหรือมีการตรวจสุขภาพแล้วพบว่าว่าสุขภาพของเราปัจจุบันมีโรคประจำตัวหรือเคยมีประวัติการรักษาที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสูง ทางบริษัทประกันอาจพิจารณาไม่รับทำประกันสุขภาพเลยก็ได้3. ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ต่างจากการฝากเงินในธนาคารไหม อะไรดีกว่ากันหลายๆท่านเวลาไปธนาคารหรือเวลาคุยกับตัวแทนอาจจะเคยโดนชักชวนให้ทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ โดยมีคำโฆษณาว่าออมเงินไว้กับเราได้ผลตอบแทนมากกว่าธนาคารนะ ลดหย่อนภาษีได้ด้วย จึงเกิดคำถามว่าประกันแบบสะสมทรัพย์ดีกว่าฝากเงินในธนาคารจริงหรือ คำตอบคือ ไม่มีอะไรดีกว่ากัน เพียงแต่เราจะใช้วางแผนการเงินในเรื่องใดเท่านั้นเอง แต่ละอย่างมีข้อดีข้อเสียต่างๆกันไป ดังนี้  •  ฝากเงินในธนาคารข้อดีสภาพคล่องสูง ในกรณีถ้าเราต้องการใช้เงินด่วนเราสามารถถอนออกมาได้เลยข้อเสียดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนน้อย, ลดหย่อนภาษีไม่ได้, ผลตอบแทนที่เป็นดอกเบี้ยต้องเสียภาษี, ไม่มีความคุ้มครองชีวิต  •  ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ข้อดีผลตอบแทนเมื่อครบระยะสัญญาสูงกว่าฝากเงิน, ลดหย่อนภาษีได้, ผลตอบแทนไม่ต้องเสียภาษี, มีความคุ้มครองชีวิตข้อเสียสภาพคล่องต่ำ ถ้าเรามีความจำเป็นต้องใช้เงินก่อนครบสัญญาต้องรอเวลาเวนคืนกรมธรรม์ 1-2 สัปดาห์กว่าจะได้เงินและอาจขาดทุนเงินต้นได้โดยสรุปคือ เงินฝากเหมาะสำหรับใช้วางแผนการเงินระยะสั้น (ไม่ถึง 1 ปี) เช่นเก็บเงินไปเที่ยวต่างประเทศปีหน้า หรือใช้เป็นเงินสำรองฉุกเฉินโดยทั่วไปควรมีสำรองไว้ใช้จ่ายในการดำรงชีวิต 3-6 เดือน เผื่อไว้ในกรณีที่เราขาดรายได้เช่นโดนออกจากงานกะทันหัน เวลา 3-6 เดือนจะเป็นเวลาที่เราสามารถหางานใหม่หรือหาช่องทางรายได้ใหม่ๆได้ ในขณะที่ประกันแบบสะสมทรัพย์เป็นการฝึกการออมของเราโดยต้องส่งเบี้ยทุกปีจนครบสัญญาแถมมีความคุ้มครอง เหมาะสำหรับการวางแผนการเงินระยะยาว (อย่างน้อยเท่ากับระยะเวลาคุ้มครอง)ดังนั้นเราควรแบ่งเงินสดไว้ใช้ในยามฉุกเฉินและวางแผนการเงินระยะสั้นก่อน จากนั้นถ้ามีเงินเหลือและเราประเมินตัวเองแล้วว่าเราสามารถจ่ายเบี้ยประกันได้ทุกปีก็สามารถแบ่งเงินมาทำประกันสะสมทรัพย์ได้4. ยกเลิกประกันชีวิตก่อนครบสัญญาได้ไหมการยกเลิกสัญญาประกันชีวิตก่อนครบสัญญาสามารถทำได้ 3 วิธีดังนี้คือ  •  เวนคืนกรมธรรม์โดยจะได้รับเงินก้อนตามตารางมูลค่ากรมธรรม์ ซึ่งอาจจะได้น้อยกว่าเบี้ยที่จ่ายไป แล้วสัญญาเป็นอันสิ้นสุด  •  การใช้มูลค่าเงินสำเร็จเป็นการหยุดจ่ายเบี้ยโดยมีความคุ้มครองตามระยะเวลาเดิมแต่ทุนประกันหรือความคุ้มครองลดลง ตามตารางมูลค่ากรมธรรม์  •  การใช้การขยายระยะเวลาเป็นการหยุดจ่ายเบี้ยโดยมีทุนประกันหรือความคุ้มครองเท่าเดิมแต่ระยะเวลาความคุ้มครองลดลง ตามตารางมูลค่ากรมธรรม์โดยสรุปคือไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกแบบไหนเราก็จะเสียผลประโยชน์ที่เราพึงได้จากกรมธรรม์รวมถึงอาจขาดทุนเบี้ยที่เราจ่ายไปด้วย ดังนั้นก่อนจะทำประกันทุกครั้งทุกกรมธรรม์ควรศึกษาข้อมูลและความพร้อมในการจ่ายเบี้ยให้ดีๆก่อนการตัดสินใจทำจากเรื่องน่ารู้ของประกันชีวิตทั้ง 4 ข้อดังที่กล่าวมาเป็นเรื่องที่ผู้ที่จะทำประกันทุกคนควรรู้เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการเลือกซื้อประกันชีวิตได้ ก่อนการซื้อประกันทุกครั้งควรศึกษาข้อมูลให้ดีเพื่อที่จะให้ประกันชีวิตทุกกรมธรรม์ที่เราซื้อตอบโจทย์ความต้องการและแผนทางการเงินของเราได้แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับnoonhttps://www.noon.in.th/blog/4-fact-about-life-insurance/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

ผลสำรวจเผย คน Gen Y วัยเดอะแบก กังวลและแบกไว้มากสุด คือการเป็นเสาหลักของครอบครัว

30/04/2024

หลายคนกำลังได้ยินถึงกลุ่มคนวัย “เดอะ แบก” ซึ่งคือกลุ่มคน Gen Y หรือกลุ่มมิลเลนเนียล ที่มีช่วงอายุระหว่าง 26-40 ปี หรืออาจมากกว่านั้น เป็นกลุ่มประชากรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนทุกมิติของสังคม เพราะอยู่ในวัยทำงาน มีครอบครัว ซึ่งต้องแบกรับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในด้านต่าง ๆ เป็นกลุ่มคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างเจนเนอเรชั่นของพ่อแม่และเจนเนอเรชั่นของลูกและคนรุ่นใหม่ เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงสงสัยว่าพวกเขา (หรือพวกเรา) แบกอะไรเอาไว้หนักหนาภายใต้บทบาทของการเป็น “เดอะแบก” โพลเผย “แบกครอบครัว” ไว้หนักสุด ผลสำรวจความคิดเห็นมหาชนออนไลน์บนโพล LINE TODAY* ในหัวข้อ “คนวัยเดอะแบก วัยที่ต้องแบกรับภาระรอบตัว คุณกำลังกังวลและแบกอะไรเอาไว้หนักที่สุด?” พบว่า อันดับหนึ่ง 30.17% แบกการเป็นเสาหลักของบ้านที่ต้องดูแลครอบครัว รองลงมา 21.23% แบกความกลัวที่ใช้ชีวิตได้ไม่เต็มที่แถมเงินไม่พอ และ 15.64% แบกภาระหนี้สินอันหนักอึ้ง ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนชัดถึงความรับผิดชอบของคนวัยเดอะแบก นอกจากนี้ยังกังวลเรื่องการเติบโตในหน้าที่การงาน ความคาดหวังจากคนรอบข้าง ความสัมพันธ์เพื่อนและคนรัก สามารถเชื่อมโยงไปอีกผลสำรวจจาก The American Institute of Stress ในปี 2565 ที่เผยว่าเป็น 76% ของกลุ่มคนวัยทำงานออกมายอมรับว่าความเครียดจากการทำงานส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวภาระรอบด้าน แต่ก็ไม่ทิ้งความสัมพันธ์รอบตัว ขณะเดียวกันคนวัย “เดอะแบก” ในวันนี้กำลังให้ความสำคัญในเรื่องการสื่อสาร เพื่อรักษาสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง จากข้อมูลสถิติการใช้โซเชียลมีเดียของ TrueList ระบุว่า Gen Y กว่า 61% ใช้แอปสื่อสารและโซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อสื่อสารกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อน โดยในปีที่ผ่านมามีการใช้งานเพิ่มขึ้นกว่า 63% และมีการคาดการณ์ว่าอีกสามปีข้างหน้าจะเติบโตขึ้นอีกกว่า 46% และนอกจากนี้ Gen Y กว่า 72% ยังมองว่าแอปสื่อสารและโซเชียลมีเดียมีส่วนสำคัญมากในชีวิต เป็นสัดส่วนที่มากที่สุดเมื่อเทียบกับคนในวัยอื่น ๆ สะท้อนอีกนัยหนึ่งให้เห็นถึงความพยายามในการเชื่อมต่อกับสังคมและกระชับความสัมพันธ์กับผู้คนขณะที่ต้องแบกรับภาระต่าง ๆ ในชีวิตจนความสัมพันธ์ในโลกออฟไลน์ต้องห่างเหินกัน วัยเดอะแบกกับสิ่งที่มองหาเพื่อสร้างสมดุลให้กับชีวิต อาจไม่ใช่แค่ความก้าวหน้าและความมั่นคงเพียงอย่างเดียวที่เดอะแบกกำลังมองหา ขณะเดียวกันก็ยังมองหาความสมดุลที่เกิดจาก ความยืดหยุ่น การเรียนรู้ที่จะยอมผ่อนปรนเมื่อตัวเองกำลังตึงเครียดมากเกินไป ซึ่งเกิดขึ้นได้จากตัวเองและสิ่งแวดล้อมก่อนจะกระทบกับเรื่องอื่นในชีวิต การสนับสนุน ไม่มีอะไรดีไปกว่าความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจจากครอบครัวและคนใกล้ชิด ซึ่งจะทำให้การแบกที่ว่าหนักนั้นเบาลงได้ และการสื่อสาร ที่สม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นจากเดอะแบกไปยังคนรอบตัวหรือคนรอบตัวไปยังเดอะแบกเพื่อลดความห่างเหินที่อาจจะนำไปสู่ช่องว่างในความสัมพันธ์และยังสามารถกระชับความสัมพันธ์อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างสมดุลให้เดอะแบกไม่รู้สึกว่ากำลังแบกหนักเกินไป *ผลสำรวจบนโพล LINE TODAY จากจำนวนผู้ร่วมโหวต 179 คน แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับโพสต์ workpointtoday http://https//workpointtoday.com/gen-y-bear-the-burden/

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ประเทศไทย มอบรางวัลผู้ชนะจากกิจกรรม “Share your precious memory with AIA” ฉลองครบรอบ 85 ปี รวมมูลค่ารางวัลกว่า 472,000 บาท

30/05/2023

กรุงเทพฯ, 30 พฤษภาคม 2566 - เอไอเอ ประเทศไทย มอบรางวัลผู้ชนะจากกิจกรรม “Share your precious memory with AIA” ชวนทุกคนร่วมแชร์ความประทับใจที่ได้รับจากเอไอเอ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “85 ปี เอไอเอ ประเทศไทย ดูแลคุณและคนที่คุณรักตลอดไป” รวมมูลค่ารางวัลทั้งสิ้นกว่า 472,000 บาท อาทิ ทองคำหนัก 2 สลึง มูลค่า 15,500 บาท* จำนวน 10 รางวัล บัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์จากสเวนเซ่นส์ มูลค่า 500 บาท จำนวน 100 รางวัล และ มูลค่า 300 บาท อีก 890 รางวัล โดยได้รับเกียรติจาก นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย และนางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย เป็นตัวแทนในการมอบรางวัล แก่ผู้ชนะเลิศที่มีเรื่องราวโดนใจคณะกรรมการมากที่สุด ซึ่งได้รับรางวัลเป็นทองคำหนัก 2 สลึง จำนวน 10 รางวัล ณ เอไอเอ ประเทศไทย สำนักงานใหญ่ นายเอกรัตน์ ฐิติมั่น ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของเอไอเอ ประเทศไทย ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ร่วมสนุกกับกิจกรรมในครั้งนี้ ซึ่งกิจกรรมที่เราจัดขึ้นนั้นนอกจากจะเป็นการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 85 ปี ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของชาวเอไอเอ ที่ได้ดูแลคนไทยมากว่า 8 ทศวรรษ ยังถือเป็นการแทนคำขอบคุณทุกท่านที่ไว้วางใจและมอบความเชื่อมั่นให้เอไอเอดูแลชีวิตและสุขภาพ ซึ่งนับเป็นเป้าหมายสำคัญของเราที่ต้องการสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น รวมทั้งพร้อมอยู่เคียงข้างและดูแลทุกคนเสมือนเป็นคนในครอบครัว ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives - เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น’ หมายเหตุ: *ทองคำหนัก 2 สลึง มูลค่าประมาณ 15,500 บาท ผู้ที่ได้รับรางวัลจะต้องเป็นผู้ชำระภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% ของมูลค่าของรางวัลเป็นเงินประมาณ 775 บาท (คำนวณจากราคาทองคำ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ทั้งนี้ ราคาทองคำอาจมีการปรับเปลี่ยนขึ้นอยู่กับราคาตลาด ณ วันที่ซื้อ) **คำตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ประกันชีวิต

เอไอเอ ฉลองชัย ทีมฟุตบอลไทยคว้าแชมป์ AIA Championship 2023 การแข่งขันฟุตบอลระดับภูมิภาค ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

30/04/2024

เอไอเอ ประเทศไทย นำทัพนักเตะลัดฟ้าคว้าชัยชนะรอบชิงชนะเลิศในรายการ ‘เอไอเอ แชมป์เปี้ยนชิพ 2023’ (AIA Championship 2023) ณ สนามฝึกซ้อม สโมสรฟุตบอลท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งจัดแข่งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมา โดยสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ทั้งประเภททีมฟุตบอลชาย ได้แก่ ทีม Forward United ซึ่งเป็นการฟอร์มทีมพลังตัวแทนเอไอเอ ประเทศไทย และสามารถคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 2 มาครองได้สำเร็จ พร้อมรางวัล Man of the Match ด้านทีมฟุตบอลหญิง ได้แก่ ทีมสมาคมฟุตบอลจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นการฟอร์มทีมจากพันธมิตรของเอไอเอ โดยสามารถคว้าชัยระดับนานาชาติได้เป็นครั้งแรก พร้อมรางวัล Women of the Match อีกทั้งยังทำลายสถิติในการทำประตูได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งสิ้นถึง 29 ลูก ถือเป็นการ Break the Record ยิงประตูได้สูงสุด 8 ลูกต่อ 1 เกม โดยความสำเร็จในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรง ความมุมานะ และความสามัคคีของทัพนักฟุตบอลไทย ซึ่งเอไอเอ พร้อมสนับสนุนทุกโอกาส เพื่อให้เหล่านักเตะได้พัฒนาศักยภาพ และความสามารถด้านกีฬาในระดับโลกต่อไป​ทั้งนี้ ‘เอไอเอ แชมป์เปี้ยนชิพ 2023’ (AIA Championship 2023) เป็นการแข่งขันฟุตบอลระดับภูมิภาคที่จัดในกลุ่มบริษัทเอไอเอ โดยมีทีมฟุตบอลจากประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง อินโดนีเซีย เกาหลี เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อมุ่งสร้างแรงบันดาลใจในการเริ่มต้นดูแลสุขภาพ พร้อมส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี ตอกย้ำคำมั่นสัญญาของเอไอเอ “Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

หนี้นอกระบบ อยากกู้ ต้องรู้ทันหนี้

30/04/2024

คอลัมน์ : แบงก์ชาติชวนคุย ผู้เขียน : ชญาวดี ชัยอนันต์  โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านอาจเคยเป็นหนี้หรือกำลังเป็นหนี้อยู่ ถ้ามีคนไทยเดินมา 3 คน อย่างน้อย 1 ใน 3 คนนี้จะมีหนี้ และกว่าครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้มีหนี้มากกว่า 1 แสนบาท โดยข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่า ตั้งแต่ปี 2563 หนี้ครัวเรือนของไทยมีสัดส่วนต่อจีดีพีสูงกว่า 80% มาต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีสัดส่วนถึง 87% เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิด-19 ถึง 7% สะท้อนว่ารายได้ทั้งหมดของประเทศ จะเหลือสำหรับใช้จ่ายน้อยลง เพราะต้องรับภาระหนี้สูงขึ้น และอาจกระทบกับความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือนไทยจำนวนมาก แต่ตัวเลขหนี้ที่เราพูดถึงกันอยู่ เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นน้ำมาเท่านั้น สิ่งที่อยู่ใต้ผิวน้ำขนาดจะใหญ่กว่าหลายเท่า เพราะส่วนใหญ่จะเป็น “หนี้นอกระบบ” ที่อยากชวนคุยวันนี้ค่ะ ขึ้นชื่อว่า “หนี้นอกระบบ” หลายคนคงนึกถึงแก๊งทวงหนี้สุดโหดที่เคยเห็นจากในหนัง แต่ที่จริงหนี้นอกระบบก็คือ การกู้ยืมเงินที่ไม่ผ่านระบบสถาบันการเงิน หรือผู้ให้กู้ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเงินกู้ตามกฎหมาย จึงไม่อยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานภาครัฐใด ๆ ดังนั้น แค่ขอยืมเงินจากเพื่อนก็นับเป็นหนี้นอกระบบแล้ว ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ยากที่จะเห็นข้อมูลหนี้นอกระบบ เช่น ผู้ให้กู้เป็นใคร มีจำนวนมากแค่ไหน และแหล่งของเงินที่ให้กู้มาจากที่ใด (ขาว หรือ เทา ๆ) จากการศึกษาของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในปี 2565 พบว่า มากกว่า 40% ของครัวเรือนที่ไปสำรวจมีหนี้นอกระบบ โดยส่วนใหญ่กู้จากนายทุนทั้งในและนอกพื้นที่จังหวัดที่สำรวจ กลุ่มเป้าหมายของเจ้าหนี้นอกระบบคือใครบ้าง ? แล้วทำไมจึงได้รับความนิยม ? คนคิดโฆษณาให้กู้หนี้นอกระบบ มักใช้คำได้ตรงใจกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น “เงินด่วน” “ได้เงินไว” “ไม่ตรวจประวัติ” “ไม่ต้องยื่นเอกสาร” ซึ่งคีย์เวิร์ดเหล่านี้ตอบโจทย์ผู้กู้กลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ต้องการใช้เงินเร่งด่วน เช่น ค่ารักษาพยาบาล นำไปลงทุนประกอบอาชีพ ต้องการเงินไม่มากเพื่อนำไปหมุนช่วงสั้น ๆ จึงไม่อยากเสียเวลาเตรียมเอกสาร กลุ่มที่มีข้อจำกัดในการกู้เงินจากผู้ให้บริการในระบบ เช่น ไม่มีงานประจำ จึงทำให้ไม่มีข้อมูลประวัติทางการเงินอย่างกลุ่มฟรีแลนซ์และพ่อค้าแม่ค้า หรือเคยเป็นหนี้เสียมาก่อน รวมถึงกลุ่มที่กู้ในระบบจนเต็มวงเงินแล้ว ซึ่งกลุ่มเหล่านี้หลายครั้งก็มีความจำเป็นจริง ๆ แต่อยากให้ลองมาดูความเสี่ยงที่มักเห็นกันสำหรับการกู้หนี้นอกระบบ เพื่อให้บริหารจัดการได้ดีขึ้น หากต้องกลายเป็นลูกหนี้นอกระบบขึ้นมา “ดอกเบี้ยแอบแฝง” โฆษณาชักชวนอาจบอกว่าดอกเบี้ยต่ำเพียง 1% ซึ่งจริง ๆ แล้ว เป็นดอกเบี้ยแบบคงที่ “รายวัน” ซึ่งคิดแล้วจะเท่ากับ 365% ต่อปี สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบที่เพดานอยู่ไม่เกิน 33% ต่อปี แถมในระบบส่วนใหญ่ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกด้วย หากเจอดอกเบี้ยแอบแฝงแบบนี้ ลูกหนี้อาจจ่ายได้แค่ดอกเบี้ย ขณะที่เงินต้นไม่ลดลงเลย เพราะดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายจริงในแต่ละปีสูงมากกว่าเงินต้นด้วยซ้ำ แถมบางแห่งยังคิดดอกเบี้ยแบบ “ดอกลอย” ที่แสนอันตรายและยิ่งซ้ำเติมลูกหนี้มากขึ้นไปอีก เพราะการกู้แบบนี้ลูกหนี้จะปิดหนี้ได้ก็ต่อเมื่อมีเงินต้นมาจ่ายคืนทั้งจำนวนในครั้งเดียว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ยาก ทำให้ต้องจ่ายแต่ดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ “สัญญาที่ไม่ชัดเจนและอาจไม่เป็นธรรม” เพราะไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล การเจรจาต่อรองเพื่อประนีประนอมก็ทำได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกทวงหนี้โหด ข่มขู่ หรือถูกทำร้ายร่างกาย ซึ่งแม้ลูกหนี้จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 แต่เราคงไม่อยากพบ “ติดกับดักหนี้ไม่จบสิ้นจากการกู้หนี้มาโปะหนี้” เมื่อดอกเบี้ยสูงและสัญญาไม่เป็นธรรม ลูกหนี้หลายรายที่จ่ายไม่ไหวจนเกิดการผิดนัดชำระหนี้ จึงใช้วิธีกู้หนี้ใหม่จากเจ้าหนี้อีกรายเพื่อเอาไปจ่ายหนี้เดิม วนไปแบบนี้จนทำให้หนี้สินล้นพ้นตัว และติดอยู่ในวงจรของหนี้นอกระบบแบบหาทางออกไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องกู้หนี้นอกระบบจริง ๆ ควรทำอย่างไร ? อย่างแรก คือ หากู้จากคนรู้จักก่อน เช่น เพื่อน ญาติ ที่พร้อม เพื่อให้เจรจาง่ายขึ้น สอง คือ เทียบดอกเบี้ยระหว่างเจ้าหนี้แต่ละรายให้ได้ต่ำที่สุด สาม คือ กู้ในจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้จริง ๆ เท่านั้น ให้นึกอยู่เสมอว่าหนี้นอกระบบแพงมาก และเมื่อกู้แล้วควร “ปิดหนี้ให้ไวที่สุด” ก่อนอื่นเอาหนี้ทุกก้อนมาดู หนี้ก้อนไหนใกล้หมด ปิดจบก้อนนั้นก่อน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ก้อนไหนดอกเบี้ยสูง ลองหาทางที่จะลดดอกเบี้ย ไม่ว่าจะเป็นเจรจากับเจ้าหนี้หรือกู้เงินจากแหล่งที่ดอกเบี้ยต่ำกว่ามาปิดหนี้ ถ้ากู้จากสถาบันการเงินได้ จะได้สัญญาที่เป็นธรรมขึ้นด้วย ซึ่งสถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มให้บริการนี้ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้กลับเข้ามาอยู่ในระบบ ผู้สนใจลอง โทร.มาสอบถามที่ ธปท. โทร.1213 หรือหากต้องการขอคำปรึกษา หรือร้องเรียนเรื่องหนี้นอกระบบ ก็สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (กระทรวงการคลัง) โทร.1359 หรือศูนย์ดำรงธรรม (กระทรวงมหาดไทย) โทร.1567 ที่สำคัญต้องพยายามลดรายจ่าย หารายได้เพิ่มเติม หรือตัดใจขายทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ และไม่ต้องกลับไปกู้ใหม่ เพื่อให้หลุดจากวงจรหนี้นอกระบบได้อย่างยั่งยืน สุดท้าย “วินัยทางการเงิน” เป็นหัวใจสำคัญ ต้องวางแผนการใช้จ่าย และออมเงินไว้เพื่อให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะ สมการการเงินที่ถูกต้องคือ รายได้-เงินออม=รายจ่าย การมี “อิสรภาพทางการเงิน” จึงไม่ได้แปลว่าต้องรวยล้นฟ้า แต่มีอิสระที่จะใช้จ่ายเงินที่เราหามา เก็บออม ลงทุน โดยไม่ต้องมีพันธนาการจากหนี้สินใด ๆ การไม่มีหนี้ ก็นับเป็นลาภอันประเสริฐเช่นกันค่ะ แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ http://https//www.prachachat.net/finance/news-1296342

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ข่าวการเงิน

อาชีพไหน AI ไม่แย่ง

30/04/2024

จิตต์สุภา ฉิน ประเด็นเรื่อง AI จะมาแย่งงานมนุษย์ไหม แย่งงานประเภทไหนบ้าง เป็นเรื่องที่พูดคุยถกเถียงกันมาหลายปีจนฉันเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงรู้สึกเบื่อหรือด้านชาไปแล้ว แต่ไหนๆ ปีนี้ก็ดูเป็นปีที่ความนิยม AI พุ่งแรงมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมา เพราะ AI ทำให้เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่ามันอยู่ใกล้เราแค่ไหน AI ได้แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของมันแบบที่เราไม่สามารถปิดหูปิดตาไม่รู้ไม่ชี้ได้อีกต่อไป ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องมาสำรวจกันอีกสักครั้งว่าอาชีพหรืองานในแบบที่เราทำกันอยู่ทุกวันนี้จะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง รายงานจาก Goldman Sachs ที่ตีพิมพ์ในเดือนมีนาคม 2023 คาดประมาณว่า AI ที่สามารถสร้างเนื้อหาหรือคอนเทนต์ได้จะสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้มากถึง 1 ใน 4 ของงานทั้งหมดที่มนุษย์ทำอยู่ในตอนนี้ งานกว่า 300 ล้านตำแหน่งในยุโรปและสหรัฐอาจถูกยกให้ระบบอัตโนมัติรับไปทำแทน ความน่ากลัวก็คือ มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับใครคนใดคนหนึ่งเป็นคนๆ ไป แต่อาจจะเป็นการเปลี่ยนใหม่แบบยกระบบและเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอย่างกะทันหันด้วย ในที่สุดก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด เรื่องดีๆ ก็ยังพอมีอยู่บ้าง ตรงที่ AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ไปได้เสียหมดทุกประเภท ดังนั้น แทนที่เราจะไปโฟกัสว่าอาชีพไหนจะถูกแทนที่บ้าง วันนี้เราลองเปลี่ยนโฟกัสใหม่แล้วไปดูว่าอาชีพหรือทักษะไหนบ้างล่ะที่ AI ยังห่างชั้นจากเรานัก BBC บอกว่ามีหมวดหมู่อาชีพอยู่ 3 หมวดหมู่ที่มนุษย์น่าจะยังเก็บรักษาไว้ได้ หมวดหมู่แรกก็คือ อาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ “ที่แท้จริ” อาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อาชีพแรกๆ ที่เราก็มักจะนึกออกทันทีก็คืออาชีพอย่างเช่น นักวาดภาพ ศิลปิน จิตรกร หรือกราฟิกดีไซเนอร์ ซึ่งแม้จะเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่กลับไม่ถูกรวมอยู่ในหมวดหมู่นี้ และดีไม่ดีอาจจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ถูกแย่งงานอีกต่างหาก สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเราได้เห็นกันมาแล้วว่า AI สามารถสร้างภาพขึ้นมาได้แล้วทุกแบบ ทุกสไตล์ และยังทำได้ภายในเวลาอันน้อยนิด การสั่งงานให้ AI วาดภาพที่ต้องการให้ก็ง่ายดายเพียงแค่ป้อนคำสั่งเป็นข้อความเข้าไปเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นแล้ว อาชีพที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์แบบไหนกันล่ะที่จะอยู่รอดปลอดภัยได้ BBC บอกว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ประเภทอื่นค่ะ ตัวอย่างเช่น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ในอาชีพที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์หรือกฎหมาย อาชีพที่จะต้องคิดค้นกลยุทธ์ทางกฎหมายหรือทางธุรกิจแบบใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ในแง่มุมนี้อาชีพไหนก็ตามที่คนทำอาชีพใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปในงาน สร้างสิ่งใหม่ คิดไอเดียใหม่ ไม่ทำซ้ำของเดิม ก็จะถูกควบรวมอยู่ในหมวดหมู่แรก ความคิดสร้างสรรค์จะช่วยปกป้องคุ้มครองให้ยังมีงานทำต่อไปได้อีกยาวๆ หมวดหมู่ที่สองคือ งานใดๆ ก็ตามที่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างบุคคล อย่างเช่น พยาบาล ที่ปรึกษาบริษัท และนักข่าวสืบสวน เป็นต้น หมวดหมู่ที่สองครอบคลุมอาชีพใดๆ ก็ตามที่คนประกอบอาชีพต้องใช้ทักษะในการทำความเข้าใจมนุษย์อย่างลึกซึ้ง มีปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณค่าและความหมายระหว่างมนุษย์ด้วยกัน นี่ไม่ใช่ทักษะที่ AI สามารถลอกเลียนและเรียนรู้ได้ง่ายๆ มาถึงอาชีพปลอดภัยหมวดหมู่ที่สามคือ อาชีพใดๆ ก็ตามที่ต้องการความคล่องแคล่ว คล่องตัว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าภายใต้สถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ อาชีพอย่างช่างประปา ช่างไฟ ช่างเชื่อม ซึ่งสถานการณ์หน้างานแตกต่างกันออกไปทุกครั้งจึงถูกรวมเข้าไปในหมวดหมู่นี้ ฉันเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าจะพัฒนาหุ่นยนต์ให้ทำหน้าที่แทนช่างต่างๆ ที่ยกตัวอย่างมาได้มันจะต้องเป็นแบบไหนถ้าไม่ใช่หุ่นยนต์เก่งๆ ที่เราเห็นในหนังไซ-ไฟ ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงเรายังไม่สามารถพัฒนาหุ่นยนต์ที่เก่งกาจแบบนั้นขึ้นมาได้ ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าไม่อยากให้เราย่ามใจว่าหากอาชีพของเราเข้าข่ายหมวดหมู่ใดหมวดหมู่หนึ่งแล้วจะไม่มีทางถูก AI แย่งงานได้เลย เพราะความเป็นจริงก็คือเกือบทุกอาชีพไม่ว่าจะในแวดวงไหนก็ตามจะต้องถูกระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีเข้ามาแย่งงาน “บางอย่าง” ไป อาจจะไม่ได้แย่งไปทั้งอาชีพ แต่มันจะแบ่งภาระหน้าที่บางอย่างของเราไปทำ อย่างอาชีพหมอที่ทุกวันนี้ AI สามารถตรวจจับวินิจฉัยโรคต่างๆ ซึ่งรวมถึงมะเร็งบางอย่างได้แม่นยำยิ่งกว่ามนุษย์ AI ก็จะแย่งหน้าที่ในการตรวจจับนั้นไป แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเข้าไปตรวจคนไข้ พูดคุยกับคนไข้ หรือสั่งจ่ายยารักษาคนไข้แทน อาชีพหมอจะยังคงมีอยู่แต่หน้าที่ในการวินิจฉัยว่าคนไข้เป็นมะเร็งหรือไม่อาจถูกถ่ายโอนไปให้ AI ที่แม่นยำกว่าทำแทน สิ่งที่เราต้องปรับตัวอาจจะไม่ใช่การเสิร์ชหางานใหม่ก่อนที่งานจะถูก AI แย่งไปทำ แต่เป็นการหาวิธีในการพัฒนาทักษะของมนุษย์ให้โดดเด่นขึ้นและปรับตัวให้ทำงานไปพร้อมๆ กับ AI ได้ ตัวอย่างหนึ่งที่มักจะถูกหยิบยกมาพูดถึงคือพนักงานธนาคารหรือเทลเลอร์ที่ครั้งหนึ่งรับหน้าที่นับเงินเป็นปึกๆ ให้ได้รวดเร็วและแม่นยำ เมื่อแมชชีนเข้ามารับหน้าที่การนับเงินไปทำแทนและทำได้เร็วกว่าชนิดที่มนุษย์ไม่ต้องคาดฝันว่าจะแข่งด้วย อาชีพพนักงานธนาคารก็ยังไม่ได้หายไปไหน ความเปลี่ยนแปลงก็คือพนักงานธนาคารไม่ต้องนับเงินเป็นปึกเองแล้วแต่หันไปสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและไปเสนอขายผลิตภัณฑ์กับบริการใหม่ๆ แทน เราอาจจะเข้าใจกันว่าอาชีพใช้แรงงานจะเป็นอาชีพที่ถูก AI แทนที่ได้ง่ายๆ แต่อันที่จริงแล้วอาชีพพนักงานออฟฟิศก็เสี่ยงไม่แตกต่างกัน แถมในบางกรณีอาจจะเสี่ยงกว่าด้วยเพราะการพัฒนาระบบอัตโนมัติมาแทนที่อาชีพใช้แรงงานหลายอย่างนั้นทำได้ยากกว่า ถ้าดูจากประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา เทคโนโลยีก็ได้ทำให้อาชีพบางอาชีพของมนุษย์หายไปมาแล้วไม่น้อย แต่มนุษย์ก็สามารถปรับตัวและผ่านมันมาได้ทุกครั้ง สำหรับครั้งนี้ข้อคิดสำคัญก็คือ การต้องสำรวจอาชีพตัวเองและหาแง่มุมที่ AI ทดแทนไม่ได้ แล้วพัฒนาจุดนั้นให้แข็งแรงขึ้นเพื่อให้เรายังเก็บงานของเราเอาไว้ได้ต่อไป จนถึงวันที่มันเก่งขึ้นกว่านี้มากหรือมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาก็ค่อยมาประเมินสถานการณ์กันอีกที แหล่งที่มาข่าวต้นฉบับมติชนสุดสัปดาห์https://www.matichonweekly.com/column/article_673330?fbclid=IwAR1PbPIMTzUUKLAp_QI2UPAkxFgoMfxdsVE52hbx7tjVoqDzPaqiohaIPgY

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

X